ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงพูด บางเสียงอาจฟังไพเราะแต่ซ่อนเจตนา บางเสียงอาจพูดเบาแต่เปี่ยมด้วยความจริง การรู้ว่าควรฟังใคร จึงไม่ใช่เรื่องของหู… แต่เป็นเรื่องของใจ
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงพระราชาผู้ต้องเลือกระหว่างเสียงของผู้มีอำนาจ กับเสียงของผู้มีธรรม และคำตัดสินนั้นไม่เพียงเปลี่ยนชะตาของบุคคลหนึ่ง… แต่อาจเปลี่ยนทั้งแผ่นดิน กับนิทานชาดกเรื่องที่ปรึกษาของกษัตริย์

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องที่ปรึกษาของกษัตริย์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาผู้หนึ่งปกครองเมืองใหญ่ด้วยความยุติธรรม แต่แม้พระองค์จะทรงตั้งใจฟังเสียงประชาชน ทรงมีอุปสรรคอยู่อย่างหนึ่งคือ พระองค์มักพึ่งพาคำแนะนำจากเสนาบดีประจำราชสำนักมากเกินไป
ในราชสำนักมีเสนาบดีอยู่ห้าคน พวกเขามีหน้าที่ปรึกษาราชกิจ ให้ความเห็นเรื่องความยุติธรรม การปกครอง และความมั่นคงของบ้านเมือง แต่แท้จริงแล้ว เสนาบดีทั้งห้าหาได้ยึดถือคุณธรรมไม่ พวกเขามักให้คำแนะนำโดยแฝงความลำเอียง เพื่อประโยชน์ของพวกตนเองและพรรคพวกที่คอยรับผลประโยชน์จากเบื้องหลัง
วันหนึ่ง ระหว่างที่มีการถกเถียงกันในศาลาว่าราชการเรื่องคดีความอันซับซ้อน เสนาบดีทั้งห้านั่งอภิปรายกันอยู่นานก็ยังหาข้อยุติไม่ได้
ขณะนั้นเอง ชายในผ้าอินทรีย์เก่า ๆ แต่ดวงตาเปล่งประกายแห่งปัญญา ได้ย่างเท้าเข้ามาเงียบ ๆ เขาเป็นพราหมณ์ผู้เรืองความรู้ ซึ่งเดินทางมาจากแดนไกลเพื่อถวายความเห็นในทางธรรม
เมื่อเขาได้ฟังเรื่องราวที่ถกเถียงกันอยู่ เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คดีนี้หาได้ยุ่งยากเลย หากพิจารณาให้ลึกในเหตุและเจตนา”
แล้วเขาก็แจกแจงข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ทำให้พระราชาและผู้ฟังทั้งศาลถึงกับนิ่งงันด้วยความทึ่ง
พระราชาตรัสขึ้นทันทีด้วยความพอพระทัย “บุคคลเช่นนี้ควรได้รับตำแหน่งปรึกษาราชการ มิใช่เพียงคนพูดเก่ง แต่ต้องเป็นผู้มีใจเที่ยง”
ตั้งแต่วันนั้น พราหมณ์ผู้นั้นจึงได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการ และเริ่มมีบทบาทในการเสนอความคิดเห็นต่อพระราชาอย่างตรงไปตรงมา ทุกคำที่เขาพูดเต็มไปด้วยความรอบคอบและเป็นธรรม จนทำให้เสียงของเขาเริ่มดังขึ้นในหมู่ผู้มีอำนาจ
แต่เสียงหนึ่งที่เริ่มเงียบลง… ก็คือเสียงของเสนาบดีทั้งห้า
พวกเขาไม่พอใจที่พราหมณ์ได้รับความไว้วางพระราชา พวกเขารู้ดีว่า หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานความไม่ซื่อของตนคงถูกเปิดเผย
เริ่มแรก พวกเขายังแสร้งทำดียิ้มให้พราหมณ์ ร่วมถกเรื่องราชการอย่างสงบ แต่เบื้องหลังกลับเริ่มกระซิบต่อกันด้วยวาจาอันแฝงความริษยา
“ถ้าเขายังอยู่ เราไม่อาจคุมราชาได้ดังเดิม”
วันแล้ววันเล่า พวกเขาค่อย ๆ วางแผนใส่ร้าย บิดเบือนความคิดของพระราชาให้คลางแคลงในพราหมณ์ โดยใช้คำพูดแนบเนียน สอดแทรกในบทสนทนา และเสนอความคิดเห็นที่ขัดกับพราหมณ์ในทุกเรื่อง
“บางทีคนที่ดูเหมือนฉลาด อาจซ่อนเจตนาไว้ก็ได้พะยะค่ะ”
“ความคิดของเขาดูดีเกินไป จนเกินความเป็นไปได้”
เมื่อพระราชาได้ฟังซ้ำ ๆ เข้า พระทัยก็เริ่มแปรเปลี่ยนจากความไว้วางใจ เป็นความสงสัยโดยไม่รู้ตัว
ไม่นาน พระองค์เริ่มเพิกเฉยต่อคำแนะนำของพราหมณ์ และหันกลับไปฟังเสียงที่คุ้นเคย แม้เสียงนั้นจะเคยพาให้ตัดสินผิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

พราหมณ์ผู้ซื่อสัตย์เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง เขาไม่เคยหวังจะเป็นที่โปรดปรานของผู้ใด เพียงแต่เมื่อใดที่คำแนะนำของเขาถูกละเลยโดยไร้เหตุผล และความอยุติธรรมเริ่มย้อนกลับมาอีกครั้ง เขาก็รู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิด
วันหนึ่ง เขาเดินผ่านศาลาเปล่าข้างวังซึ่งมักถูกใช้สำหรับปรึกษาลับ เขาได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา เลยหยุดยืนฟังเงียบ ๆ หลังม่านไม้ไผ่
“ดูสิ เราทำได้แล้ว ตอนนี้พระราชาไม่ฟังมันอีกต่อไป”
“แค่หว่านคำให้คลุมเครือหน่อย ๆ ก็เพียงพอ”
“ต่อให้มันพูดสิ่งที่ถูกต้องแค่ไหน พระราชาก็ไม่ฟังแล้ว”
พราหมณ์ยืนนิ่ง ใจไม่ได้โกรธ… แต่สงสาร เขาไม่ได้โกรธที่ตนถูกลอบทำลายชื่อเสียง แต่สงสารพระราชา ที่กำลังตกอยู่ใต้เงาของคนไม่ซื่อ โดยไม่รู้ตัว
เขาไม่ลังเล หันหลังแล้วเดินเร็วกลับไปยังท้องพระโรง เพื่อขอเข้าเฝ้าพระราชาโดยด่วน และขอให้พระองค์ตามเขาไปเงียบ ๆ ไม่ต้องตรัสอะไร
ไม่นานนัก พระราชาก็เสด็จตามพราหมณ์ไปยังศาลาหลังเดิม เสียงกระซิบยังดำเนินต่อไปโดยไม่มีใครรู้ว่าผู้ปกครองของแผ่นดินกำลังยืนอยู่ข้างนอก
“หากไม่มีมัน เราจะได้ควบคุมราชสำนักอย่างแน่นอน”
ทันใดนั้น ประตูศาลาก็ถูกเปิดออก เสียงพูดเงียบลงในชั่วพริบตา ทุกสายตาหันมาพร้อมความตกใจยิ่งกว่าฝันร้าย เพราะผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือพระราชาเอง
พระราชามิได้ตรัสด้วยเสียงดัง แต่ดวงตาเต็มไปด้วยการตระหนักรู้ “วันนี้ เราไม่ได้ยินจากเขา… แต่เราได้ยินจากเจ้า”
พระองค์สั่งลงโทษเสนาบดีทั้งห้าตามความผิด และเพิกถอนตำแหน่งทันทีโดยไม่ลังเล จากนั้นจึงเสด็จกลับมาหาพราหมณ์ที่ยังยืนนิ่งอยู่ ณ ที่เดิม
พระราชาทรงพนมพระหัตถ์ กล่าวเบา ๆ แต่จริงใจว่า “เราขอโทษ ที่ละเลยเสียงของความซื่อสัตย์ เพราะหลงเชื่อเสียงของคนใกล้ตัว”
พราหมณ์มิได้โกรธเคือง หากแต่กล่าวด้วยแววตานุ่มนวล “ขอเพียงพระองค์ไม่หยุดฟังสิ่งที่เป็นธรรม โลกย่อมไม่อับแสง”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระราชาเฝ้าระวังตนเองให้มากขึ้น ไม่ตัดสินใจจากคำพูดเพียงด้านเดียว และไม่หลงในเสียงที่หวาน หากขาดความจริง
ส่วนพราหมณ์ ยังคงเป็นที่ปรึกษาที่ไม่อิงตำแหน่ง หากแต่ยืนอยู่ตรงกลางของความถูกต้อง และความกล้าหาญเงียบ ๆ ที่ไม่ต้องเอาชนะใคร แต่ยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ควร

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การฟังเสียงรอบข้างโดยไม่พิจารณาให้รอบด้าน อาจทำให้เราหลงทางจากความจริงโดยไม่รู้ตัว ความซื่อสัตย์นั้นอาจพูดเบากว่าเสียงของอำนาจ แต่หากเปิดใจฟังอย่างแท้จริง เสียงนั้นจะชัดกว่าคำลวงเสมอ
พระราชาผู้เคยให้ความไว้วางใจกับผู้ที่แสวงหาประโยชน์ส่วนตน กลับเพิกเฉยต่อผู้มีความรู้และจิตใจสุจริต จนเกือบสูญเสียคนดีไปเพราะความลำเอียงของใจ แต่เมื่อพระองค์ได้เห็นความจริงด้วยตาตนเอง พระองค์จึงยอมรับผิด และกลับมาเลือกฟังสิ่งที่ถูกต้องแทนสิ่งที่ถูกใจ นิทานเรื่องนี้จึงเตือนให้เรากล้าตั้งคำถามกับคำพูดที่ฟังดูดี และให้คุณค่ากับความจริงแม้มันจะพูดเบาแค่ไหนก็ตาม
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องที่ปรึกษาของกษัตริย์ (อังกฤษ: The King’s Advisors) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ สะท้อนถึงคุณค่าของความซื่อสัตย์ และอันตรายของการฟังโดยปราศจากการพินิจพิเคราะห์
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นในคราวที่มีภิกษุบางรูปตั้งข้อสงสัยว่าทำไมบางครั้งผู้พูดความจริงกลับไม่เป็นที่ยอมรับ ในขณะที่ผู้พูดจาเอาใจกลับได้รับความไว้วางใจมากกว่า ทั้งที่ไม่มีเจตนาเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
พระองค์จึงตรัสเล่าถึงอดีตชาติที่พระองค์เสวยชาติเป็นพราหมณ์ผู้ซื่อสัตย์ ทำหน้าที่ที่ปรึกษาให้พระราชา แต่ต้องเผชิญกับการใส่ร้ายจากกลุ่มเสนาบดีที่หวังผลประโยชน์ส่วนตน แม้จะถูกมองข้ามและเพิกเฉยอยู่ระยะหนึ่ง แต่ด้วยความมั่นคงในธรรม พราหมณ์จึงสามารถเปิดเผยความจริง และทำให้พระราชากลับใจได้ในที่สุด
ชาดกเรื่องนี้ตอกย้ำว่า ผู้ปกครองที่ดีต้องมีปัญญาในการแยกแยะคำจริงจากคำลวง และผู้มีธรรมในใจแม้จะพูดเบา ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใหญ่ได้ หากยืนหยัดในความถูกต้องอย่างไม่หวั่นไหว
คติธรรม: “อย่าเชื่อคำที่พูดคล่อง แต่จงฟังด้วยใจที่รู้จักแยกแยะ เพราะความจริงไม่จำเป็นต้องพูดดัง แต่จะยืนอยู่นานกว่าคำลวงเสมอ”