ปกนิทานชาดกเรื่องการเสียสละของพระราชา

นิทานชาดกเรื่องการเสียสละของพระราชา

บางครั้ง การให้ไม่ใช่แค่การแบ่งปันสิ่งของ แต่คือการเปิดใจปล่อยวางแม้สิ่งที่เราหวงแหนที่สุด และในโลกนี้ มีเพียงไม่กี่คน… ที่กล้าจะให้ถึงเพียงนั้น

มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงพระราชาผู้ไม่เพียงแต่ให้ข้าวของหรือทรัพย์สิน แต่ให้แม้กระทั่งสิ่งที่ผู้อื่นไม่มีวันคิดจะเสียสละ ทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะรักจนกล้าปล่อย กับนิทานชาดกเรื่องการเสียสละของพระราชา

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องการเสียสละของพระราชา

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องการเสียสละของพระราชา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ แคว้นใหญ่แห่งหนึ่งในอดีตกาล มีพระราชาผู้เลื่องชื่อในความเมตตาและใจกว้างอย่างยิ่ง ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ พระองค์เติบโตมาพร้อมกับช้างเผือกตัวหนึ่งที่ถูกนำมาถวายตั้งแต่ยังเป็นลูกช้าง ช้างตัวนี้มีผิวขาวนวลตา ฉลาด เชื่อง และมีแววตาเปี่ยมด้วยมิตรไมตรี

ช้างเผือกกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสิริมงคล ผู้คนในแคว้นเชื่อว่า ความรุ่งเรืองของเมืองเกิดจากความบริสุทธิ์และอำนาจแห่งสัตว์วิเศษนี้ บรรยากาศทั่วแคว้นเต็มไปด้วยความสงบ อุดมสมบูรณ์ และไร้ศึกภัย

วันหนึ่ง แคว้นเพื่อนบ้านเกิดภาวะแห้งแล้ง ฝนไม่ตกพืชผลเหี่ยวเฉา ผู้คนอดอยากอย่างรุนแรง จึงส่งฑูตมาเข้าเฝ้าขอความช่วยเหลือ

พระราชาเมื่อทราบเรื่อง มิได้ลังเลแม้แต่น้อย “หากช้างเผือกของเราอาจช่วยให้ฝนตกในแคว้นนั้นได้จริง เราก็ยินดีให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน”

พระองค์จึงมอบช้างเผือกให้ไปยังแคว้นนั้น ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความหวังดีและเสียสละ

แต่เรื่องกลับไม่เป็นเช่นที่คาด เมื่อประชาชนในแคว้นของพระองค์ได้ยินข่าว ต่างโกรธเคืองและเสียใจอย่างรุนแรง

“ช้างเผือกเป็นของแคว้น ไม่ใช่ของพระองค์ผู้เดียว”
“เรารุ่งเรืองเพราะมัน แล้วเหตุใดจึงยกให้ผู้อื่น?”

กระแสต่อต้านเริ่มรุนแรงขึ้น ขุนนางบางส่วนไม่กล้าเผชิญกับความไม่พอใจ จึงเสนอให้ขับไล่พระราชาออกจากเมือง เพื่อให้ความสงบกลับมา

พระราชาแม้ทรงเศร้า แต่ก็ไม่โกรธ ไม่ปฏิเสธ ทรงยอมรับคำตัดสินของประชาชนโดยสงบ

“หากการจากไปของเราทำให้บ้านเมืองสงบขึ้น เราก็จะยอมเดินออกไป… พร้อมกับใจที่ไม่มีอะไรเหลือ นอกจากความเมตตา”

ในวันที่ต้องออกจากเมือง พระองค์ไม่เพียงแค่สละบัลลังก์ ยังแจกจ่ายทรัพย์สินทุกอย่างให้ผู้ที่ต้องการ ไม่เก็บทอง ไม่หวงอาภรณ์ ไม่เหลือแม้แต่ของใช้ส่วนตัว

บนเส้นทางสู่ป่า พระองค์พร้อมครอบครัวเดินไปอย่างเงียบงัน ด้วยใจที่ว่างจากความยึดติด แต่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ในคุณธรรม

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องการเสียสละของพระราชา 2

ข่าวเรื่องการเสียสละทรัพย์สินของพระราชาแพร่สะพัดออกไปไกล จนถึงชายยากจนผู้หนึ่งซึ่งเป็นพราหมณ์ผู้เร่ร่อน เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์ของพระราชามานาน ว่าเป็นผู้ให้โดยไม่มีเงื่อนไข

วันหนึ่ง พราหมณ์ผู้นั้นเดินทางมาถึงกระท่อมกลางป่าซึ่งพระราชาพักอาศัยอยู่กับครอบครัว เขาก้มกราบอย่างอ่อนน้อม แล้วกล่าวด้วยเสียงสั่น

“ข้าไม่มีบ้าน ไม่มีแรง ไม่มีใครช่วย แม้จะละอายใจนัก แต่ข้าขอพระราชาทรงเมตตา… โปรดประทานบุตรชายและบุตรสาวของพระองค์ให้ข้าไว้เป็นผู้ช่วยในบั้นปลายชีวิต”

พระราชานิ่งฟังอย่างสงบ ดวงตาไม่ได้มีแม้เศษเสี้ยวของความลังเล “ลูกคือสิ่งที่เรารักยิ่ง… แต่หากเขาสามารถช่วยให้ท่านมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม เราก็ยินดี”

พระองค์หันไปหาลูกทั้งสอง พูดเพียงเบาๆ “เจ้าเกิดมาเพื่อให้ และวันนี้เจ้าได้ทำหน้าที่นั้น”

แม้เด็กทั้งสองจะหลั่งน้ำตา แต่พวกเขายอมเดินตามพราหมณ์ไปอย่างสงบ เพราะรู้ว่าพ่อของตนไม่ได้ให้เพราะไม่รัก… แต่เพราะรักมากพอที่จะไม่ยึดไว้

ไม่นานหลังจากนั้น ชายชราผู้หนึ่งในคราบพราหมณ์มาปรากฏตัวที่หน้ากระท่อม ร่างกายผอมเกร็ง หลังค่อม และเสียงแหบพร่า

เขาก้มลงแล้วเอ่ยคำขออย่างเงียบงัน “ข้าไม่มีคู่ชีวิต ไม่มีใครดูแลในยามแก่เฒ่า ขอพระองค์โปรดประทานพระมเหสีให้ข้าได้ดูแลข้าในยามสุดท้าย”

คำขอของชายชรานั้นหนักยิ่งกว่าครั้งใด… เพราะภรรยาคือผู้ที่ยืนเคียงข้างพระองค์มาตลอด แม้ในวันที่ไม่มีบัลลังก์ ไม่มีวังทอง ไม่มีสิ่งใดเหลือ

พระราชาหันไปมองภรรยา สีหน้าสงบแต่หนักแน่น

นางยิ้มเพียงน้อย แล้วพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร “เราเคยให้สิ่งที่รักทั้งหมด… เหลือเพียงเธอ และแม้แต่เธอ… เราก็ไม่ยึดไว้”

ทันใดนั้น ชายชราเปลี่ยนร่าง กลายเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งปลอมตัวมาเพื่อทดสอบจิตใจของพระราชา

ด้วยความปลื้มปีติ เทพเจ้าประทานพรให้พระราชาได้พบกับลูกและภรรยาอีกครั้ง และคืนบัลลังก์กลับให้โดยสมบูรณ์

พระราชาไม่ได้ยินดีเพราะได้คืนสิ่งเดิม… แต่เพราะเขาได้พิสูจน์ว่า การให้ที่แท้จริง ไม่ต้องมีอะไรเหลือเลยก็ยังมีคุณค่าได้

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องการเสียสละของพระราชา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การเสียสละที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ว่าเรายอมให้สิ่งใดไป แต่อยู่ที่เรายอมให้ด้วยใจที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้เป็นสิ่งที่รักที่สุด หากให้ด้วยความเมตตาและความมั่นคงในคุณธรรม ก็ย่อมนำมาซึ่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า

พระราชายอมเสียสละทั้งทรัพย์สิน ลูก และภรรยา โดยไม่มีแม้รอยลังเล ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะความรักนั้นยิ่งใหญ่พอจะปล่อยวาง นิทานเรื่องนี้จึงเตือนใจเราว่า ผู้ให้ที่แท้ ไม่ได้วัดจากจำนวนสิ่งที่เสียไป… แต่วัดจากความบริสุทธิ์ของใจที่ไม่ยึดถือแม้สิ่งที่ลึกที่สุดในหัวใจ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องการเสียสละของพระราชา (อังกฤษ: The King’s Sacrifice) นิทานเรื่องนี้คือเวสสันดรชาดก หนึ่งในชาดกชุดใหญ่ 10 เรื่องสุดท้ายที่เรียกว่าทศชาติชาดก ซึ่งว่าด้วยการบำเพ็ญบารมีขั้นสูงสุดก่อนพระพุทธองค์จะตรัสรู้ โดยเฉพาะในเรื่องนี้ เป็นการบำเพ็ญทานบารมี คือการให้โดยไม่ยึดมั่นในสิ่งใด แม้แต่ครอบครัว

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อภิกษุบางรูปสงสัยว่า การเสียสละอย่างสุดขั้ว เช่น การให้ลูกเมียเป็นไปได้จริงหรือ และควรถูกยกย่องหรือไม่ พระองค์จึงตรัสเล่าถึงอดีตชาติของพระองค์เอง เมื่อครั้งเสวยชาติเป็นพระราชาผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา และพร้อมจะให้ทุกสิ่งอย่างบริสุทธิ์ใจ

แม้จะถูกเนรเทศ ถูกประณาม และทดสอบด้วยคำขอที่เจ็บปวดที่สุด พระองค์ก็ยังไม่ถอยจากเจตนาแห่งการให้ จนในที่สุด เทพเจ้าก็ปรากฏกายและมอบทุกสิ่งกลับคืน

เวสสันดรชาดกจึงไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของการเสียสละเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนว่า “การให้ที่ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน” คือรากฐานของจิตที่ใกล้พุทธภาวะมากที่สุด

คติธรรม: “ผู้ให้ด้วยใจบริสุทธิ์ ย่อมได้กลับคืนมากกว่าที่เคยมี แม้ไม่ได้ตั้งใจจะได้อะไรเลย”


by