ปกนิทานชาดกเรื่องพระราชากับลูกศิษย์

นิทานชาดกเรื่องพระราชากับลูกศิษย์

ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงพูด เสียงตีความ และความเข้าใจที่มักเดินทางลัด เราอาจลืมไปว่า ความจริงบางอย่างต้องฟังด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยหู และมองด้วยเมตตา ไม่ใช่เพียงสายตา

มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงการเข้าใจผิดเพียงชั่วขณะ ที่กลายเป็นบทเรียนยาวไกลเกี่ยวกับการรู้จักฟังอย่างลึกซึ้ง และการไม่ด่วนตัดสินใครจากสิ่งที่เราเพียง “คิดว่าใช่” กับนิทานชาดกเรื่องพระราชากับลูกศิษย์

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องพระราชากับลูกศิษย์

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องพระราชากับลูกศิษย์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีฤๅษีผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในป่าใหญ่กับเหล่าลูกศิษย์ เขาเป็นผู้เคร่งครัดในธรรม รู้จักพอประมาณ และฝึกฝนตนเองให้หลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัดแห่งโลก

วันหนึ่ง พระราชาแห่งแคว้นนั้นทรงได้ยินเสียงเล่าลือถึงคุณธรรมของฤๅษี จึงส่งราชบุรุษไปนิมนต์เข้าวัง เพื่อขอรับฟังธรรมะและถวายสิ่งของบำรุงร่างกายตามสมควร

ฤๅษีและลูกศิษย์รับคำเชิญ และพำนักอยู่ในวังระยะหนึ่ง พระราชาทรงยินดีที่ได้สนทนาธรรมกับฤๅษีทุกวัน ความสงบที่ได้จากคำสอนทำให้พระองค์รู้สึกเหมือนได้พักจากภารกิจของโลก

วันเวลาผ่านไปหลายวัน ฤๅษีตัดสินใจจะกลับสู่ป่า “ข้าขอขอบพระทัยในไมตรีของพระองค์ แต่สถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกตนยังคงเป็นป่าลึก”

พระราชาทูลขอให้อยู่ต่ออีกเล็กน้อย ฤๅษีจึงยอมอยู่ในวังตามคำขอ แต่ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ขอตัวกลับก่อน เพื่อดูแลอาศรม

วันหนึ่ง ขณะที่ฤๅษียังคงพำนักในวัง มีลูกศิษย์คนหนึ่งกลับมาเยี่ยมอาจารย์ เขาเคยเป็นหัวหน้าผู้ดูแลอาศรม และได้รับการยกย่องในความสำรวมและเมตตา

เขาเดินเข้าสู่บริเวณที่ฤๅษีกำลังนั่งสนทนาธรรมอยู่ใต้ศาลาริมสวน โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าพระราชาก็ประทับอยู่ใกล้ๆ

เมื่อเขาเห็นหน้าอาจารย์ ใจของเขาเต็มไปด้วยความยินดี เขาพนมมือ ก้มศีรษะ และกล่าวออกมาด้วยเสียงเบาแต่จริงใจว่า “โอ้ ยินดีเหลือเกินๆ… ยินดีเหลือเกินๆ”

พระราชาได้ยินถ้อยคำนั้นก็เกิดความรู้สึกผิดคาด ทรงคิดไปว่าเขากำลังชื่นชมอาหารดีๆ ที่ได้ลิ้มรสในวัง หรือเพลิดเพลินกับความสะดวกสบายที่ป่าไม่มี

ในพระทัยเริ่มมีเงาแห่งความตำหนิแฝงเร้นขึ้นมา “นี่หรือคือผู้ฝึกตนที่ละทางโลก ยังหลงใหลในรสอาหารจนกล่าวว่าดีเลิศ”

แต่ฤๅษีที่นั่งอยู่ มิได้เคลื่อนไหวใดๆ ใบหน้าเขานิ่งสงบดังเดิม แต่ดวงตากลับเป็นประกาย เหมือนรู้ดีว่าอะไรเกิดขึ้นในจิตของกษัตริย์

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องพระราชากับลูกศิษย์ 2

หลังจากได้ยินคำว่า “ยินดีเหลือเกินๆ” ซ้ำสองครั้ง พระราชาก็ยิ่งมั่นใจในความคิดของตน ความไม่พอใจแฝงตัวอยู่เงียบๆ ในใจของพระองค์ แม้พระพักตร์จะยังเรียบเฉย แต่สายตากลับเต็มไปด้วยการตั้งคำถาม

ฤๅษียังคงนั่งนิ่ง มองลูกศิษย์ด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะหันมาทางพระราชาและกล่าวช้าๆ ด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้าเห็นความแปรปรวนในใจของพระองค์”

พระราชาชะงักเล็กน้อย ไม่ตอบ แต่แววตาเริ่มสะท้อนความกระวนกระวาย “พระองค์เข้าใจว่าลูกศิษย์ของข้าเอ่ยถ้อยคำนั้นเพราะรสของอาหาร หรือความสะดวกในวังใช่หรือไม่?”

พระราชาไม่ตอบ เพียงพยักหน้าเบาๆ ยอมรับในความคิดที่ตนเผลอมี

ฤๅษีหันไปมองลูกศิษย์ แล้วกล่าวกับพระราชา “คนผู้นี้… แต่ก่อนเคยเป็นพระราชาเหมือนพระองค์ มีวัง มีข้าราชบริพาร มีอาหารเลิศรสในทุกมื้อ”

พระราชาตาเบิกกว้าง ไม่อาจปิดบังความประหลาดใจได้ “แต่เมื่อเขาสละทุกอย่าง และรู้จักรสของความสงบที่แท้จริง จึงรู้ว่าอาหารอันโอชะยังไม่เท่าความเงียบในป่า ความเย็นของใจ และความไม่มีพันธะในจิต”

ฤๅษีหันกลับมามองตรง ดวงตาสงบนิ่ง “ที่เขากล่าวว่า ‘ยินดีเหลือเกินๆ’ หาได้หมายถึงของกินไม่ แต่เป็นความยินดีที่ได้หวนคืนสู่ทางแห่งธรรม ความยินดีที่ได้เห็นอาจารย์ ได้พบทางที่ละทิ้งมาเพื่อฝึกตน”

เมื่อได้ฟังถ้อยคำนั้น หัวใจของพระราชาก็คล้ายมีสิ่งหนึ่งหลุดออก ความเข้าใจผิดเปลี่ยนเป็นความละอาย พระองค์ประทับเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นจากอาสนะ แล้วเดินตรงไปยังลูกศิษย์ของฤๅษี

พระองค์พนมมือ และก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ข้าเข้าใจผิดไป… โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”

ลูกศิษย์รับไหว้อย่างนอบน้อม ไม่มีความขุ่นเคืองในแววตา

ฤๅษีกล่าวขึ้นอีกครั้ง “แม้แต่ผู้มีอำนาจ เมื่อกล้ายอมรับความผิดโดยไม่ปิดบังใจ นั่นย่อมเป็นผู้ที่ใกล้ธรรม”

พระราชาเงยหน้าขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนน้อม ไม่ใช่ต่อบุคคล แต่ต่อความจริง

จากวันนั้น พระราชายิ่งตั้งใจฟังธรรมจากฤๅษี และพยายามฝึกใจตนให้ละเอียดขึ้น มองให้ลึกกว่าภายนอก และรู้เท่าทันเสียงของตนเอง

ส่วนลูกศิษย์ผู้นั้น ก็ได้อยู่ร่วมปฏิบัติธรรมกับอาจารย์อีกครั้งในระยะหนึ่ง ก่อนกลับสู่ป่าลึก โดยมีใจเบาเหมือนใบไม้ที่หลุดจากกิ่งในฤดูลมแล้ง… เป็นอิสระ แม้จะเคยเป็นผู้ครองโลกมาก่อนก็ตาม

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องพระราชากับลูกศิษย์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การตัดสินผู้อื่นจากสิ่งที่เห็นหรือได้ยินเพียงผิวเผิน อาจนำพาเราไปสู่ความเข้าใจผิด เพราะแท้จริงแล้ว จิตใจของแต่ละคนมีเหตุผลและประสบการณ์ลึกซึ้งที่เรามองไม่เห็น การรู้จักฟังด้วยใจที่ว่าง และมองด้วยความกรุณา คือหนทางสู่ปัญญาและความสงบ

พระราชาเผลอเข้าใจลูกศิษย์ของฤๅษีผิดเพราะเพียงคำพูดสั้นๆ ที่ได้ยิน ด้วยอคติที่คิดว่าเขายังยึดติดในรสอาหารของวัง แต่เมื่อฤๅษีเปิดเผยว่าเขาเคยเป็นพระราชามาก่อน และกลับมาชื่นชมความสุขทางธรรม พระราชาจึงตระหนักถึงความผิดในความคิดของตน การยอมรับผิดของพระราชาแสดงให้เห็นว่าแม้ผู้มีอำนาจ หากกล้าเปิดใจ ก็สามารถเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตนเองได้อย่างงดงาม

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องพระราชากับลูกศิษย์ (อังกฤษ: The King and the Disciple) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ เป็นเรื่องที่สะท้อนถึงธรรมะว่าด้วย “การเห็นด้วยใจ” มากกว่าเพียง “การตัดสินจากภายนอก” รวมถึงคุณค่าของชีวิตทางธรรมที่เหนือกว่าความสะดวกสบายทางโลก

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นในคราวที่มีภิกษุบางรูปตั้งข้อรังเกียจเพื่อนสหธรรมิกจากถ้อยคำหรือกิริยาที่ตนตีความไปเองว่าไม่สำรวม หรือยังติดในโลกธรรม โดยมิได้พิจารณาเบื้องลึกของเจตนา

พระองค์จึงตรัสเล่าถึงอดีตชาติของพระองค์เมื่อครั้งเป็นฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ของลูกศิษย์หลายคน โดยเฉพาะศิษย์เอกผู้เคยเป็นพระราชามาก่อน แต่กลับสละทุกอย่างเพื่อออกบวช เมื่อเขากลับมาเยี่ยมอาจารย์และกล่าวคำด้วยความปลื้มใจจากการได้หวนคืนสู่ชีวิตทางธรรม พระราชาผู้เป็นเจ้าภาพกลับเข้าใจผิด คิดว่าเขายินดีเพราะอาหารหรือสิ่งสบายในวัง จนฤๅษีต้องเปิดเผยความจริงให้เห็นถึงคุณค่าของความสุขที่ไม่อิงวัตถุ

ชาดกเรื่องนี้จึงตอกย้ำว่า ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากภายนอก แต่มาจากใจที่รู้จักพอ รู้เท่าทัน และวางลงได้ ที่สำคัญคือ การไม่รีบด่วนตัดสินใครด้วยความคิดของตนเองเพียงฝ่ายเดียว

คติธรรม: “อย่าด่วนตัดสินใจใคร ด้วยสายตาของตนเพียงข้างเดียว เพราะใจคนมิได้เผยให้เห็นในคำพูดหรือท่าทีเสมอไป”


by