ในโลกที่อำนาจมักอยู่เหนือเหตุผล การยืนหยัดด้วยความยุติธรรมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อผู้ท้าทาย… มิใช่มนุษย์ธรรมดา แต่คือผู้ครอบครองพลังแห่งฟ้าและฝน
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงพระราชาหนุ่มผู้กล้ายืนหยัดต่อเทพเจ้า ไม่ใช่ด้วยความโอหัง แต่เพราะประชาชนของเขากำลังจะตายจากความแห้งแล้ง และเขาคือคนสุดท้ายที่ยังไม่ยอมเงียบ กับนิทานชาดกเรื่องพระราชาผู้ทรงธรรม

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องพระราชาผู้ทรงธรรม
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาและพระมเหสีองค์หนึ่ง ทรงมีโอรสเพียงพระองค์เดียว เด็กชายผู้นี้ฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่ยังเล็ก พระองค์ไม่เพียงแต่เรียนรู้ศาสตร์แห่งการปกครอง หากยังมีความเมตตาและยุติธรรมในใจแต่เยาว์วัย
เมื่อเจริญพระชันษา พระองค์ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์สืบต่อราชบัลลังก์ ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยความซื่อตรง ห่วงใยราษฎร และแก้ไขปัญหาอย่างรอบคอบ ทุกผู้คนต่างยกย่องพระองค์ว่าเป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรม
เกียรติคุณของพระองค์แผ่ไกลไปทั่ว ทั่วแผ่นดินรู้จักพระราชาองค์นี้ในฐานะผู้ยืนหยัดเพื่อความยุติธรรม แม้กระทั่งเทพเจ้าก็ยังได้ยินชื่อเสียงของพระองค์
เมื่อเทพแห่งสายฝนได้ยินถึงชื่อเสียงของกษัตริย์ผู้นี้ ก็เกิดความริษยาในใจ “มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง จะมีเกียรติเกินเทพเจ้าเช่นข้าได้อย่างไร? ข้าจะทดสอบเขาด้วยสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้”
ด้วยความคิดเช่นนั้น เทพสายฝนจึงหยุดโปรยฝนลงสู่พื้นโลก ฤดูกาลเปลี่ยนผ่านโดยไม่มีน้ำฝนตกลงมา ดินแห้งแตกระแหง พืชพันธุ์ยืนต้นตาย ผู้คนและสัตว์ทั้งหลายเริ่มขาดน้ำและอาหาร
พระราชาทรงเห็นความเดือดร้อนของประชาชน จึงสั่งให้จัดพิธีบวงสรวง ขอพรจากเทพสายฝน “ขอท่านโปรดเมตตาประชาชนของเราเถิด พวกเขาไม่ได้ทำผิดอันใด” แต่ไม่ว่าจะบูชาหรือภาวนาเพียงใด เทพเจ้าก็ยังนิ่งเฉย

เมื่อเวลาผ่านไป ความแห้งแล้งรุนแรงขึ้นทุกวัน ราษฎรเริ่มล้มป่วย สัตว์เลี้ยงล้มตาย พืชผลถูกแดดเผาจนหมด พระราชาทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ของผู้คนก็ยิ่งรู้สึกหนักพระทัย
“หากผู้เป็นเทพไม่รับฟังเสียงของประชาชน เช่นนั้นแล้วข้าผู้เป็นมนุษย์ ย่อมต้องยืนหยัดแทนพวกเขา” พระองค์ตรัสต่อเหล่าขุนพลอย่างเด็ดขาด
พระราชาทรงรวบรวมกองทัพ เตรียมเสด็จขึ้นไปยังเขาอันเป็นที่สถิตของเทพสายฝน ไม่ใช่เพื่อรุกราน แต่เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ผู้คนที่ไม่มีแม้เสียงจะส่งไปถึงฟ้า
ศึกระหว่างมนุษย์กับเทพเริ่มต้นขึ้น กองทัพของพระราชาสู้ด้วยความกล้าหาญ แม้เทพเจ้าจะทรงฤทธิ์มากเพียงใด แต่ความมุ่งมั่นที่เกิดจากความทุกข์ของผู้คนก็ไม่แพ้ฤทธิ์ใด ๆ
การต่อสู้ดำเนินไปหลายวัน เทพสายฝนเริ่มเหนื่อยล้า เมื่อมองกลับลงมายังพื้นโลกก็เห็นแต่ความเสียหายที่เกิดจากความดื้อดึงของตน
ท้ายที่สุด เทพเจ้าก็หยุดมือ แล้วตรัสกับพระราชา “ข้าแพ้แล้ว มนุษย์ผู้ยึดมั่นในความยุติธรรมเช่นเจ้า สมควรได้รับการยอมรับจากทุกผู้”
พระราชาไม่ได้แสดงความยินดี หากเพียงตรัสว่า “หากท่านคือเทพ ข้าขอให้ท่านใช้อำนาจเพื่อดูแล ไม่ใช่ลงโทษ ขอให้สายฝนของท่านกลับคืนมา เพื่อประชาชนจะได้มีชีวิตต่อ”
เทพเจ้าประทับนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า แล้วสายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาสู่ผืนดินที่แห้งแล้ง
นับแต่นั้นมา เทพสายฝนก็ไม่เคยท้าทายความยุติธรรมอีก และยังกลายเป็นมิตรต่อพระราชา ผู้ซึ่งปกครองแผ่นดินด้วยคุณธรรมจนผู้คนจดจำตราบนานเท่านาน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ผู้นำที่แท้จริง ไม่ใช่ผู้มีอำนาจเหนือผู้อื่น แต่คือผู้ที่กล้ายืนหยัดต่อหน้าอำนาจที่ไม่เป็นธรรม เพื่อปกป้องชีวิตของผู้ที่เขารับผิดชอบ
พระราชาในเรื่องนี้ไม่ได้เอาชนะเทพเจ้าด้วยกำลัง หากแต่เอาชนะด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ ความเสียสละ และความรักในประชาชน จนกระทั่งแม้แต่เทพก็ยังยอมศิโรราบต่อความยุติธรรม
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องพระราชาผู้ทรงธรรม (อังกฤษ: The Just King) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดธรรมราชาชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นกษัตริย์ผู้ยึดมั่นในความยุติธรรม แม้ต้องเผชิญกับอำนาจเหนือมนุษย์ ก็ยังไม่ยอมละทิ้งหน้าที่ต่อประชาชน
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งตั้งคำถามถึงความกล้าหาญของผู้ปกครองในยามวิกฤต ว่าจะยังคงยืนหยัดเพื่อผู้อื่นหรือไม่ หากต้องเผชิญกับสิ่งที่เกินกำลังของมนุษย์
พระองค์จึงตรัสเล่าถึงอดีตชาติของพระองค์เอง เมื่อครั้งเสวยชาติเป็นพระราชาผู้กล้าหาญ ผู้กล้าเผชิญหน้ากับเทพเจ้าเพื่อเรียกร้องความเมตตาให้แก่ประชาชน โดยไม่ยอมให้ใคร แม้กระทั่งเทพเจ้าพรากความอยู่รอดไปจากผืนแผ่นดิน
ชาดกเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ความยุติธรรมมิใช่สิ่งที่ได้มาด้วยอำนาจ แต่เกิดจากหัวใจที่แน่วแน่ และศรัทธาต่อหน้าที่ที่ตนรับไว้
คติธรรม: “ความยุติธรรมที่แท้จริง ยืนอยู่ได้แม้ต่อหน้าอำนาจอันยิ่งใหญ่ หากใจมั่นคงในหน้าที่และเมตตาต่อผู้อื่น”