บางครั้งสิ่งล้ำค่าที่สุดในตัวคนหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่เขาครอบครอง แต่คือสิ่งที่เขาเลือกจะไม่หยิบยื่นให้ตนเอง แม้มันจะอยู่ตรงหน้า และไม่มีใครรู้
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงชายยากจนผู้มีเพียงขนมปังก้อนเดียว แต่กลับได้รับรางวัลจากความซื่อสัตย์ของตนเอง ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาให้… แต่เพราะสิ่งที่เขาไม่ยอมรับ กับนิทานชาดกเรื่องคนซื่อสัตย์

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องคนซื่อสัตย์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเขตชายป่าแห่งหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งตั้งตระหง่านสูงเหนือไม้ทั้งหลาย ใบของมันหนาทึบ แผ่เงาร่มเย็นดั่งหลังคาของแผ่นดิน ชาวบ้านเล่าต่อกันมาว่า ภูตศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในต้นไม้ต้นนี้ เป็นวิญญาณผู้รักความสงบและรับรู้ใจมนุษย์
ผู้คนจากหมู่บ้านต่าง ๆ มักเดินทางมาสักการะ บ้างก็จุดธูป บ้างก็อธิษฐาน บ้างนำของมีค่ามาถวาย มีทั้งทองคำ ผ้าไหม อาหารแพง ๆ และของแปลกจากต่างแดน ทุกคนหวังว่าหากถวายสิ่งล้ำค่า วิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะโปรดให้พรสมปรารถนา
แม้แต่คนมั่งมีจากในเมือง ก็ยังส่งคนมาเสี่ยงโชคที่ใต้ต้นไม้นั้น บ้างขอเรื่องเงินทอง บ้างขอเรื่องลาภยศ บ้างขอแม้กระทั่งอำนาจ
และเมื่อเวลาผ่านไป ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นก็กลายเป็นที่รวมของคำขอและความโลภจากผู้คนโดยไม่รู้ตัว
วันหนึ่ง มีชายยากจนผู้หนึ่งเดินเข้ามายังโคนต้นไม้ เขาไม่ได้แต่งกายดี ไม่มีเครื่องประดับ หรือของล้ำค่าใดติดตัว เขามีเพียงขนมปังก้อนแข็ง ๆ ที่ห่อผ้าธรรมดาไว้ เดินมาเงียบ ๆ ด้วยท่าทีเรียบง่าย
เขายืนอยู่ตรงหน้าต้นไม้ ก้มหน้าลงต่ำแล้วกระซิบในใจ “ข้าไม่มีสิ่งใดมีค่า แต่ข้านำสิ่งเดียวที่ข้ามีมาให้” เขาค่อย ๆ คลี่ผ้าออก หยิบขนมปังขึ้นมาถือด้วยสองมือ แล้วเงยหน้ามองกิ่งไม้ที่ไหวตามลม
แต่เพียงครู่เดียว เขาก็ลดมือที่ถือขนมปังลง แล้วถอนใจเบา ๆ “ของต่ำต้อยเช่นนี้ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์คงไม่รับ ข้าไม่สมควรจะรบกวน” ว่าแล้วเขาก็ห่อขนมปังกลับ และหมุนตัวเตรียมจะจากไปอย่างเงียบ ๆ
ขณะนั้นเอง ลมก็พัดแรงขึ้นอย่างประหลาด ใบไม้ไหวสะท้อนแสงแดดเป็นประกายวาบ และทันใดนั้น แสงสีทองอ่อน ๆ ก็ปรากฏตรงหน้าชายยากจน
เสียงอ่อนโยนดังขึ้นกลางอากาศ “เจ้าจะไปไหน? จงให้ข้าเถิด ข้าหิว”
ชายยากจนตาเบิกโพลง เขามองเห็นร่างของวิญญาณผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ผิวพรรณเรืองรอง ท่าทางสงบสง่า ไม่ยิ่งใหญ่ แต่แฝงด้วยพลังที่ไม่อาจมองข้าม
เขาอ้ำอึ้งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยื่นขนมปังในมือออกไปด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย “ข้า… ขอน้อมถวาย”
วิญญาณศักดิ์สิทธิ์รับขนมปังมาอย่างเงียบ ๆ แล้วกัดกินด้วยความพอใจ ไม่มีคำพูดโอ้อวด ไม่มีแสงอัศจรรย์ใดเพิ่มเติม มีเพียงความเงียบสงบ ที่ดูเหมือนจะเข้าไปล้างสิ่งฟุ้งเฟ้อของโลกทั้งใบ

เมื่อขนมปังหมดลง วิญญาณศักดิ์สิทธิ์เงยหน้าขึ้นมองชายยากจนด้วยแววตาที่อบอุ่น เขาไม่กล่าวคำชม ไม่กล่าวขอบคุณ มีเพียงคำพูดที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
“เจ้ามอบของจากใจ มิได้หวังสิ่งตอบแทน ความศรัทธาเช่นนี้มิใช่สิ่งที่พบได้ง่าย ข้ามีสิ่งหนึ่งจะมอบให้แก่เจ้า”
ชายยากจนนิ่งงัน ไม่เข้าใจว่าตนทำสิ่งใดถึงได้ความกรุณานั้น วิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงชี้ไปยังโคนต้นไม้ ฝั่งที่มีรากไม้แผ่กว้างขนาบแนบพื้นดิน
“ใต้รากไม้นั้น มีหม้อทองคำฝังอยู่ เจ้าไปขุด แล้วนำไปใช้เถิด”
ชายยากจนยืนนิ่งอยู่อีกครู่หนึ่ง แววตาเขาเปลี่ยนจากความแปลกใจเป็นความคิดลึกซึ้ง เขาเงยหน้ามองวิญญาณอีกครั้ง แล้วเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ข้ามิอาจเอาสิ่งนั้นไปเองได้ ที่ตรงนี้มิใช่ของข้า และทองก็มิใช่สิ่งที่ข้าพึงมี หากสิ่งนั้นจะใช้ประโยชน์ได้ ควรให้ผู้ปกครองบ้านเมืองนำไปใช้เพื่อส่วนรวมจะดีกว่า”
วิญญาณไม่ได้ขัดขวาง เพียงพยักหน้าเบา ๆ แล้วร่างเรืองแสงนั้นก็ค่อย ๆ เลือนหายไปพร้อมกับแสงลมที่สงบลงราวกับไม่เคยปรากฏ
ชายยากจนกลับเข้าเมืองในทันที เขาไม่ได้แวะพัก หรือเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือแอบกลับไปขุดดินที่ต้นไม้นั้นอีก เขาเดินตรงไปยังวังหลวง และขอเข้าเฝ้าเจ้าเมือง
เมื่อได้รับอนุญาต เขาก็เล่าทุกสิ่งอย่างซื่อตรง ตั้งแต่ขนมปังก้อนเดียวที่มี จนถึงการปรากฏตัวของวิญญาณ และหม้อทองคำที่ฝังอยู่ใต้รากไม้
เจ้าเมืองนั่งฟังโดยไม่พูดอะไรเลยจนจบ แล้วมองชายยากจนอย่างพินิจ เขาถามเพียงคำเดียว “เหตุใดเจ้าจึงไม่เก็บมันมาเอง?”
ชายผู้นั้นตอบโดยไม่ลังเล “เพราะข้าไม่มีสิทธิ์ และข้าไม่ต้องการให้ความโลภเปื้อนความศรัทธาที่ข้ามอบไปแล้ว”
เจ้าเมืองนิ่งไปชั่วครู่ แล้วกล่าวขึ้นเสียงหนักแน่น “ผู้ที่มีคุณธรรมเช่นเจ้า ควรดูแลทรัพย์ของแผ่นดินมากกว่าผู้ใด ข้าขอมอบตำแหน่งเก็บรักษาทรัพย์หลวงให้เจ้า”
และนับแต่นั้น ชายยากจนผู้ไม่เคยหวังสิ่งตอบแทนใด ๆ ก็ได้รับเกียรติอันสูงส่งในฐานะคนซื่อสัตย์ผู้ดูแลสมบัติของแผ่นดิน ด้วยมือที่ไม่เคยเอื้อมเพื่อประโยชน์ของตนเองแม้แต่น้อย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความซื่อสัตย์ที่แท้ มิได้แสดงออกเพียงด้วยถ้อยคำ แต่ปรากฏในเวลาที่ไม่มีใครเห็น และไม่มีใครบังคับ เมื่อใจไม่สั่นคลอนแม้ต่อทองคำตรงหน้า นั่นคือคุณธรรมที่สูงค่าอย่างแท้จริง
ชายยากจนผู้นั้นมิได้มีทรัพย์จะถวาย มีเพียงใจที่เต็มไปด้วยศรัทธา และเมื่อโอกาสแห่งความร่ำรวยอยู่ตรงหน้า เขากลับเลือกบอกความจริงแทนที่จะเอื้อมคว้า เพราะคุณค่าของความดี ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่ได้รับ แต่อยู่ที่สิ่งที่เราเลือกจะไม่ทำ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องคนซื่อสัตย์ (อังกฤษ: The Honest Man) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการครองตนด้วยความซื่อสัตย์ และการปฏิเสธผลประโยชน์ที่ตนไม่มีสิทธิ์แม้จะสามารถเอื้อมถึงได้
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของวัด แต่กลับถูกตำหนิว่าไม่ยอมใช้ของวัดเพื่อประโยชน์ส่วนตน ทั้งที่มีโอกาส พระองค์จึงตรัสเล่าเรื่องของชายยากจนผู้หนึ่งในอดีต ที่มีโอกาสได้ครอบครองสมบัติล้ำค่า แต่กลับเลือกมอบมันแก่บ้านเมือง โดยไม่มีสิ่งใดผูกใจเขาไว้กับทองคำเลย
ชาดกเรื่องนี้สื่อให้เห็นว่า ความซื่อสัตย์ไม่ใช่เพียงการไม่ลักขโมย แต่คือการรู้จักวางใจในสิ่งที่ควรถือ และไม่ถือในสิ่งที่ไม่ควร แม้ไม่มีผู้ใดเห็น ก็ยังเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง
คติธรรม: “ผู้ซื่อสัตย์ย่อมเป็นที่ไว้วางใจ แม้ไร้ทรัพย์สิน แต่เปี่ยมด้วยศรัทธาและความจริงใจ ย่อมมีค่ากว่าสมบัติเหลือคณานับ”