ปกนิทานชาดกเรื่องบ่าวผู้โลภ

นิทานชาดกเรื่องบ่าวผู้โลภ

บางครั้ง คำเตือนที่ฟังดูธรรมดา อาจเป็นเส้นแบ่งระหว่างชีวิตกับความตาย แต่เมื่อใจยังอ่อนแอเพราะความอยาก คำพูดแม้จะจริงเพียงใด ก็ไร้ค่าเมื่อไม่ยอมฟัง

มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงขบวนพ่อค้าที่เดินทางผ่านป่าใหญ่ กับบ่าวผู้ไม่ยับยั้งใจ แม้จะได้รับคำเตือนอย่างชัดเจน แต่ความโลภเพียงชั่ววูบกลับนำพาสู่จุดจบที่ไม่มีวันย้อนกลับ กับนิทานชาดกเรื่องบ่าวผู้โลภ

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องบ่าวผู้โลภ

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องบ่าวผู้โลภ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ เมืองใหญ่แห่งหนึ่ง มีพ่อค้าใหญ่มากด้วยทรัพย์และปัญญา วันหนึ่ง เขาเก็บข้าวของ เตรียมสินค้าหลายเกวียน พร้อมลูกจ้างและบ่าวหลายคน เดินทางข้ามเมืองไปค้าขายยังแคว้นที่อยู่ห่างไกล

พ่อค้าจัดขบวนเกวียนเป็นระเบียบเรียบร้อย สัตว์บรรทุกเต็มไปด้วยถุงผ้า ตะกร้าไม้ และหีบของค้าราคาสูง ระหว่างทาง เขาดูแลทุกอย่างด้วยความรอบคอบ แบ่งอาหารน้ำดื่ม และสั่งความเคร่งครัดให้บ่าวทั้งหลายเฝ้าระวังสิ่งแปลกปลอม

หลังจากเดินทางมาหลายวัน พวกเขาก็เข้าเขตป่าใหญ่ ป่าผืนนี้เป็นที่รู้กันว่ามีบางสิ่งบางอย่างน่าสะพรึง แม้จะเงียบสงบ แต่มีกลิ่นอับชื้นแฝงความน่ากลัวอยู่ในอากาศ ใบไม้หนาทึบบดบังแสงแดดจนทางดูมืดสลัว

พ่อค้าหยุดเกวียนใต้ร่มไม้ใหญ่ แล้วเรียกบ่าวทั้งหลายมารวมตัวกัน “พวกเจ้าฟังให้ดี ป่าผืนนี้มิใช่ที่ปลอดภัย มีอสูรร้ายสิงอยู่ มันเคยโปรยยาพิษไว้กับของกินต่าง ๆ พวกเจ้าจงอย่าแตะต้องสิ่งใดในป่านี้เด็ดขาด”

บ่าวหลายคนรับฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บางคนพยักหน้าหงึก ๆ อย่างเข้าใจ บางคนถอนหายใจอย่างฝืน ๆ แต่ไม่มีใครกล้าเถียง พ่อค้าเพียงมองกว้างไปทั่วผืนป่าก่อนถอนหายใจ “ความตายอยู่แค่ปลายนิ้ว หากใจไม่ยับยั้ง”

ลึกเข้าไปในป่ามืดนั้น มีอสูรตนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ มันเฝ้าดูผู้คนที่ผ่านทางนี้มานานหลายปี มันรู้ว่าเหยื่อที่ดีที่สุดไม่ใช่คนโง่ แต่คือคนที่อ่อนแอเพราะกิเลสในใจ

เมื่อเห็นขบวนเกวียนใหญ่และบ่าวมากหน้าตาเดินเข้ามา อสูรก็ยิ้มเย็น มันแอบกระโจนขึ้นต้นไม้สูง แล้วหยิบใบไม้บาง ๆ มาทาด้วยน้ำผึ้งหอมหวาน จากนั้นจึงโปรยยาพิษลงไปผสมเบา ๆ มันวางใบไม้เหล่านั้นเรียงไว้ริมทางที่เกวียนจะหยุดพัก โดยหวังให้มนุษย์ที่หิวโหยมองเห็นแล้วอดใจไม่ไหว

ในขณะเดียวกัน พ่อค้ากำลังเดินออกไปยังลำธารเพื่อหาน้ำมาเติม บ่าวหลายคนจึงเหลือกันตามลำพังใต้ร่มไม้ ระหว่างนั้น กลิ่นน้ำผึ้งหอมหวานก็ลอยมาแตะจมูก บ่าวบางคนเงยหน้าดมแล้วขมวดคิ้ว บางคนเริ่มเดินเข้าไปใกล้ใบไม้แปลกตา

“เจ้าดูสิ กลิ่นหอมเหมือนขนมหวานเลย”
“นั่นน้ำผึ้งแน่ ๆ ข้าหิวจนจะเป็นลมอยู่แล้ว”
“พ่อค้าบอกอย่ากินของในป่า แต่แค่ลองชิมนิดเดียว คงไม่เป็นไรหรอก”

เสียงกระซิบกลายเป็นแรงยุยง สุดท้าย บ่าวบางคนก็อดใจไม่ไหว คว้าใบไม้นั้นมาเลีย แล้วอีกคนก็เอาตามภายในพริบตา พวกเขาไม่รู้เลยว่า ความหิวในท้องเพียงชั่วครู่ กำลังจะกลายเป็นความเงียบที่ไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีก

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องบ่าวผู้โลภ 2

เมื่อใบไม้ที่ชุ่มด้วยน้ำผึ้งถูกวางลงริมทาง บ่าวบางคนก็กินไปโดยไม่ทันคิด รสหวานที่ปลายลิ้นช่างล่อลวงเกินกว่าจะปฏิเสธได้ แต่ไม่นานนัก สีหน้าเริ่มเปลี่ยนจากพึงพอใจเป็นตกตะลึง

คนแรกทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกโพลง ร่างกระตุกเบา ๆ ก่อนแน่นิ่งไปโดยไม่มีเสียงใด คนถัดมาที่กินตามก็มิได้ต่างกันนัก บ่าวอีกสองสามคนที่ยังลังเลอยู่ถึงกับก้าวถอยหลังเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า “เกิดอะไรขึ้น… นั่นมัน…”

ยังไม่ทันได้วิ่งหนี เสียงหัวเราะเบา ๆ ก็ดังขึ้นจากเงามืดในพุ่มไม้ เสียงนั้นเย็นยะเยือกและชวนขนลุก “เจ้ากินของข้าแล้ว ก็ต้องเป็นของข้า…”

อสูรร่างสูงใหญ่ออกมาจากความมืด ผิวหนังของมันคล้ำหยาบ ลิ้นยาวหยดน้ำลาย เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เหยียบใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ บ่าวที่ยังเหลืออยู่ร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่ทันได้วิ่ง มันก็กระโจนเข้าใส่

ในเวลาไม่ถึงครู่ รอยเลือดก็เลือนหาย เหลือเพียงกองกระดูกขาวที่เกลื่อนอยู่ใต้ต้นไม้ อสูรหายเข้าเงามืดเช่นเดียวกับตอนมันมา ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อพ่อค้าเดินกลับมาพร้อมน้ำในหม้อไม้ เขาก้าวเข้าเขตร่มไม้เงียบ ๆ แต่แล้วเขาก็ชะงักทันทีเมื่อเห็นบางอย่างบนพื้น ร่างของบ่าวทั้งหลายหายไป เหลือเพียงเสื้อผ้า กระเป๋าเล็ก ๆ และกระดูกที่กระจัดกระจายอยู่ในเงาไม้

เขาวางหม้อน้ำลงอย่างช้า ๆ เดินเข้าไปพิจารณาแต่ละร่องรอย ก่อนหลับตาลงแล้วพึมพำกับตนเอง “โอ้… หากพวกเจ้าไม่โลภ ไม่ฝืนคำเตือน ก็คงไม่จบเช่นนี้”

เสียงลมพัดผ่านใบไม้เบา ๆ เหมือนตอบกลับอย่างเศร้า ๆ พ่อค้าไม่พูดสิ่งใดอีก เขาหันกลับไปยังเกวียน แล้วสั่งให้ขบวนออกเดินทางต่อ ท่ามกลางความเงียบงันของป่าใหญ่ เขายังคงคิดถึงผู้ที่ล่วงลับ และถ้อยคำที่เตือนแล้ว…แต่ไม่มีใครฟัง

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องบ่าวผู้โลภ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความโลภนั้นมิได้เพียงทำให้ใจพร่ามัว แต่ยังทำให้หูตาปิดบอดต่อคำเตือนของผู้มีปัญญา แม้จะรู้ดีว่าอันตรายอยู่เบื้องหน้า แต่หากใจยังตกอยู่ในเงาของกิเลส ก็ยากนักที่จะหลีกพ้นความพินาศ

บ่าวเหล่านั้นมิได้ตายเพราะยาพิษเพียงอย่างเดียว แต่ตายเพราะไม่ยั้งคิด ไม่ยับยั้งใจ และไม่เชื่อฟังผู้ที่หวังดี พ่อค้าผู้รอบรู้แม้จะกล่าวเตือนแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้เพียงยืนมองเงาแห่งความสูญเสียที่ไม่อาจย้อนกลับได้

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องบ่าวผู้โลภ (อังกฤษ: The Greedy Servants) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเตือนภัยจากความโลภ ความประมาท และการไม่เชื่อฟังคำแนะนำจากผู้รู้ ซึ่งนำไปสู่ความหายนะที่ไม่มีวันย้อนคืน

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อภิกษุกลุ่มหนึ่งพูดถึงเหตุการณ์ที่มีชายหนุ่มไม่เชื่อคำตักเตือนของบิดาผู้เฒ่า แล้วกระทำการโดยขาดสติจนเกิดอันตรายแก่ตนเอง พระองค์จึงตรัสเล่าถึงบ่าวของพ่อค้าใหญ่ผู้หนึ่ง ที่แม้ได้รับคำเตือนอย่างชัดเจนแล้ว แต่ก็ยังยอมให้ความโลภชักนำให้ล่วงละเมิด

ชาดกเรื่องนี้จึงเน้นย้ำว่า คำเตือนจากผู้มีปัญญานั้นไม่ควรมองข้าม และการฝึกตนให้ยับยั้งใจในยามที่ความอยากเข้าครอบงำ คือกุญแจที่ช่วยให้พ้นจากภัยร้ายที่อาจซ่อนอยู่เบื้องหน้าอย่างแนบเนียน

คติธรรม: ผู้ไม่ยับยั้งใจในยามโลภ ย่อมตกเป็นเหยื่อแห่งภัยที่ซ่อนอยู่ แม้รู้คำเตือน แต่หากไม่เชื่อฟัง ก็ย่อมไม่มีประโยชน์อันใด”


by