ในโลกนี้ มีบางคนที่เลือกจะเดินบนเส้นทางอันเงียบงัน ไม่ใช่เพราะต้องการหนีจากผู้คน แต่เพราะใฝ่หาความสงบแท้จริงจากภายใน เขาไม่ต้องการทรัพย์ ไม่ปรารถนาชื่อเสียง หากแสวงหาเพียงความมั่นคงของจิตที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงผู้ที่ละทิ้งทุกอย่างเพื่อธรรมะ แม้จะต้องเผชิญบททดสอบอันหนักหนาจากฟ้าดิน แต่ก็ไม่เคยคลอนแคลนไปจากหนทางแห่งสัจจะ เรื่องราวของเขาคือบทเรียนอันล้ำค่าที่ความสงบงามงอกขึ้นจากความเพียรแท้จริง กับนิทานชาดกเรื่องฤาษีผู้ยิ่งใหญ่

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องฤาษีผู้ยิ่งใหญ่
กาลครั้งหนึ่งนานมาาแล้ว ณ แคว้นหนึ่งอันสงบร่มเย็นในชมพูทวีป มีครอบครัวพราหมณ์ผู้เคร่งศาสนาอาศัยอยู่ในเรือนไม้หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขา วันหนึ่ง ภรรยาพราหมณ์ได้ให้กำเนิดบุตรชายผู้มีผิวพรรณผ่องใส ดวงตากลมโตและเปล่งประกายดุจพระอาทิตย์แรกอรุณ
เมื่อหมอผีประจำหมู่บ้านมาพินิจดวงชะตาของเด็กน้อย เขาถึงกับพนมมือและกล่าวว่า “เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เขาจะเติบโตเป็นผู้เปี่ยมด้วยปัญญา ดั่งแสงแห่งเปลวเพลิง เขาเกิดมาเพื่อสละโลก มิใช่เพื่อเสวยสุขในโลกนี้”
พ่อแม่ได้ยินดังนั้นจึงปลื้มปิติยิ่งนัก บุตรชายเติบโตขึ้นท่ามกลางตำราและครูผู้เชี่ยวชาญ ตั้งแต่วัยเยาว์ เขาเรียนรู้คัมภีร์พระเวทจนจำได้แม่นยำและตีความได้อย่างลึกซึ้ง การสนทนาในบ้านล้วนแต่เป็นเรื่องธรรมะและการบำเพ็ญพรต
วันหนึ่ง ขณะที่ยังไม่ถึงวัยฉกรรจ์ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว และกล่าวกับผู้เป็นบิดาว่า “บิดา… โลกนี้ดูสับสนเหลือเกิน ข้ารู้สึกว่าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดจีรังเลย”
พราหมณ์ผู้เป็นบิดาลูบศีรษะลูกชายอย่างอ่อนโยนก่อนจะตอบว่า “ลูกเห็นถูกแล้ว ผู้ใดเข้าใจในความไม่เที่ยง ผู้นั้นคือผู้พร้อมแล้วที่จะก้าวออกจากห่วงแห่งโลกีย์”
ไม่นานหลังจากนั้น บุตรชายได้ลาบิดามารดาออกจากบ้านเรือน เขาสวมผ้ากาสาวพัสตร์ เดินเท้าเข้าสู่หุบเขาลึก บรรจงปลงผมด้วยตนเอง และเริ่มชีวิตแห่งฤๅษีที่เต็มไปด้วยความสันโดษ
ในถ้ำเล็กกลางป่าใหญ่ เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย วันแล้ววันเล่า เขานั่งสมาธิภายใต้ร่มไม้ เจริญสติและเพ่งพิจารณาธรรมชาติของจิต เขางดเว้นอาหารมากมาย บริโภคเพียงผลไม้แห้งและน้ำจากลำธาร บางวันก็อดอาหารเป็นวัน ๆ
ตลอดยี่สิบปีแห่งความสงบ เขาไม่เคยละทิ้งวัตรปฏิบัติแม้เพียงวันเดียว แม้พายุจะโหมกระหน่ำ แม้หนาวเหน็บจะกัดกระดูก เขายังคงนั่งนิ่งดุจแท่นศิลา
กิตติศัพท์เรื่องความเพียรและจิตอันแน่วแน่ของเขาเริ่มกระจายไปทั่วแคว้น ชาวบ้านเริ่มกล่าวขานถึง “ฤๅษีผู้ไม่ยอมหวั่นไหว” บ้างเดินทางมาไกลเพื่อเฝ้าเขา บ้างถวายผลไม้และน้ำ บ้างเพียงยืนพนมมืออยู่ห่าง ๆ ด้วยความเลื่อมใส
แม้กระทั่งในหมู่เทพเจ้า เรื่องราวของฤๅษีก็แว่วไปถึงสวรรค์ชั้นสูง เทพเจ้าผู้ปกครองทิพย์โลกหรี่ตามองลงมายังโลกมนุษย์ พลางกล่าวกับบริวารว่า “ฤๅษีผู้นี้… เขามีจิตมั่นคงกว่าสมณะใด ๆ ที่ข้าเคยเห็น หากเขาแสวงหาพร ข้าจะมอบให้… แต่ก่อนอื่น เราต้องรู้ว่า เขามั่นคงจริงหรือไม่”
และการทดสอบจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงัน…

วันหนึ่ง ขณะที่ฤๅษีนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ ร่างของชายชราผอมแห้งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขามีไม้เท้าในมือ และดวงตาที่สั่นระริกจากความหิวโหย “ท่านผู้ทรงศีล… ได้โปรด เมตตาเถิด ข้าไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว” ฤๅษีลืมตาขึ้นช้า ๆ เขาหยิบผลมะเดื่อแห้งเพียงลูกเดียวที่มีในย่าม แล้วยื่นให้โดยไม่ลังเล
วันต่อมา หญิงสาวท่าทางเศร้าหมองเดินมาที่หน้าถ้ำ มือข้างหนึ่งอุ้มเด็กเล็กที่ร้องไห้ไม่หยุด “ฤๅษีผู้ทรงเมตตา โปรดให้ข้าได้พักพิงสักคืนเถิด เด็กน้อยของข้ากำลังจะตายด้วยความหนาว” ฤๅษีลุกขึ้นจากที่นั่ง ถอดผ้าผืนเดียวของตนออก คลุมร่างแม่ลูกไว้โดยไม่พูดสิ่งใด
ตลอดหลายสัปดาห์ เทพเจ้าได้จำแลงกายเป็นคนต่าง ๆ ทั้งขอทาน คนเจ็บ คนหลงทาง และแม้แต่สัตว์บาดเจ็บ ฤๅษีไม่เคยปฏิเสธใคร แม้สิ่งเดียวที่เหลืออยู่จะเป็นอาหารมื้อสุดท้าย หรือแม้ร่างกายตนจะเริ่มซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม
ในคืนเดือนมืดที่ลมหนาวพัดแรง หญิงสาวในชุดหรูหราผู้งดงามอย่างน่าประหลาด เดินเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มเย้ายวน “โอ… ท่านผู้เคร่งครัด หากข้าเป็นของท่าน ท่านจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป”
ฤๅษีหลับตาและกล่าวเสียงเรียบ “กายนี้ไม่ใช่ของข้า ใจก็เช่นกัน เจ้าจงกลับไปเถิด”
เทพเจ้าที่เฝ้าดูอยู่ในรูปของลม เงา และสายตาที่มองไม่เห็น ก็เริ่มสั่นสะเทือนภายในใจ ไม่เคยมีใครผ่านบททดสอบทั้งหมดโดยไร้รอยสั่นไหวเช่นนี้มาก่อน
รุ่งอรุณของวันที่ห้าสิบแห่งบททดสอบ ท้องฟ้าเหนือยอดไม้กลายเป็นสีทองเรืองรอง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมากับสายลม เสียงดนตรีอันวิจิตรดังขึ้นโดยไม่มีที่มา เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏเบื้องหน้าฤๅษีในร่างที่แท้จริง รัศมีของพระองค์สว่างจนป่าทั้งผืนเหมือนจมหายไปในแสงนั้น
พระองค์กล่าวด้วยเสียงที่กังวานดุจสายน้ำ “ฤๅษีผู้ตั้งมั่น เจ้าได้ผ่านบททดสอบทุกประการโดยไม่หวั่นไหว ข้าพอใจในจิตมั่นของเจ้ายิ่งนัก จงกล่าวมาเถิด เจ้าอยากได้สิ่งใด ข้าจะมอบให้ไม่ว่าเป็นสิ่งใดในโลกนี้หรือโลกหน้า”
ฤๅษียังคงนั่งนิ่ง ดวงตาไม่แสดงความยินดีหรือโลภะ เขาประนมหัตถ์และตอบว่า “ข้าขอเพียงสิ่งเดียว… โปรดประทานพรให้ข้ามิหวั่นไหวจากหนทางนี้ ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใด และโปรดอวยพรข้าพเจ้าด้วย เพื่อข้าพเจ้าจะไม่หลงทาง”
เทพเจ้าสบตาฤๅษี เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเบาแต่แน่นหนัก “พรของเจ้าลึกล้ำกว่าที่ข้าเคยได้ยินมา จงสมพรเถิด จากนี้ต่อไป จิตของเจ้าจะมั่นคงยิ่งกว่าขุนเขา”
ทันใดนั้น เทพเจ้าก็เลือนหายไปพร้อมกับแสงสว่าง ป่าทั้งผืนกลับคืนสู่ความเงียบ ฤๅษีหลับตาลงอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าสงบ สายลมหยุดไหว ใบไม้หยุดเคลื่อนไหว เหลือเพียงเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอและใจอันไม่หวั่นไหวดุจศิลา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความมั่นคงในใจตนเอง คือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้เดินทางสายธรรม แม้โลกภายนอกจะเปลี่ยนแปลง แม้ความยากลำบากจะถาโถม หรือแม้จะถูกล่อลวงด้วยความปรารถนาอันละเอียดอ่อน ผู้ที่มีใจแน่วแน่ย่อมไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านั้น
ฤๅษีผู้อดทน ไม่ได้เป็นผู้วิเศษเพราะมีอำนาจเหนือคนอื่น แต่เพราะเขารู้จักควบคุมตนเอง ไม่แสวงหาความยิ่งใหญ่จากภายนอก แต่กลับขอเพียงพรเพื่อรักษาความดีในจิตใจให้มั่นคงไปตลอดชีวิต การเสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทน และการทำดีโดยไม่ต้องการรางวัล คือคุณธรรมอันสูงส่งที่แม้แต่เทพเจ้าก็ยังต้องยอมรับ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ (อังกฤษ: The Great Ascetic) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ ซึ่งกล่าวถึงความเพียร ความมั่นคงทางใจ และการเสียสละอย่างแท้จริงในการดำเนินชีวิตตามหลักธรรม โดยไม่ยอมสั่นไหวแม้จะต้องเผชิญกับบททดสอบอันหนักหน่วงจากเทพเจ้าเอง
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งแสดงความคลางแคลงใจว่า แม้จะพยายามปฏิบัติตามธรรม แต่เมื่อพบกับความลำบากหรือการเย้ายวนจากโลกภายนอก ใจก็กลับหวั่นไหว ไม่อาจยืนหยัดในเจตนาดั้งเดิมได้
พระองค์จึงตรัสเล่าถึงฤๅษีผู้ตั้งมั่น ผู้ซึ่งละโลกไปเพื่อบำเพ็ญตบะและปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด แม้จะถูกทดสอบทั้งด้วยความอดอยาก ความหนาวเหน็บ การล่อลวงด้วยวัตถุและอารมณ์ เขายังคงดำรงตนอย่างมั่นคง ไม่เสียหลักแม้แต่น้อย ที่สุดแล้ว เมื่อเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏและเสนอพรให้ เขากลับมิได้ขอสิ่งใดนอกจากความมั่นคงในทางธรรม
ชาดกเรื่องนี้จึงสอนให้เห็นถึงคุณค่าของความตั้งมั่นในความดี แม้ในยามที่ไม่มีใครเห็น แม้เมื่อผลตอบแทนไม่มี ความมั่นคงเช่นนี้เอง ที่สามารถเปลี่ยนโลกได้โดยไม่ต้องออกแรงแม้เพียงคำเดียว
คติธรรม: “ผู้ที่เอาชนะโลกมิใช่ผู้มีฤทธิ์ หากคือผู้ที่ชนะใจตนโดยไม่ต้องต่อสู้กับใครเลย”