ในโลกที่เต็มไปด้วยความทะยานอยากและเสียงนินทา ผู้ที่ยืนอยู่ในความเงียบสงบกลับกลายเป็นเป้าของความหวาดระแวงเสมอ แต่ใช่ว่าทุกถ้อยคำจะต้องตอบโต้ และใช่ว่าทุกความดีจะต้องประกาศให้ใครเห็น
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงผู้ที่ยอมก้าวถอยเพื่อหลีกทางให้ผู้อื่น แต่ด้วยจิตอันมั่นคงและความสามารถแท้จริง เขากลับกลายเป็นแสงสว่างที่ฉายชัดในเงาแห่งความไม่เข้าใจ

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องนักธนูผู้ยิ่งใหญ่
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในแคว้นอันรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง พระราชามีพระโอรสอยู่สองพระองค์ พระโอรสองค์โตเป็นผู้สงบเสงี่ยม พูดน้อยแต่เฉียบคม ทรงทุ่มเทฝึกฝนวิชาธนูมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย จนในที่สุดฝีมือก็ล้ำเลิศเหนือกว่าอาจารย์ผู้ใด
พระราชาทรงภาคภูมิใจในพระโอรสยิ่งนัก และมีพระราชประสงค์จะสถาปนาโอรสองค์โตขึ้นครองราชย์ในวันหน้า
แต่เมื่อพระองค์ตรัสถาม พระโอรสกลับน้อมศีรษะลงต่ำแล้วเอ่ยเบา ๆ ว่า “พระราชบิดา ข้าพระองค์ขอปฏิเสธตำแหน่งนั้นเถิด น้องชายของข้าพระองค์เหมาะสมจะครองราชย์มากกว่า ข้าพระองค์ขอใช้ชีวิตอย่างอิสระ มิยึดติดในบัลลังก์”
พระราชาทรงนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะยอมรับในคำตัดสินนั้น ส่วนพระโอรสองค์น้อง เมื่อได้รับราชสมบัติก็ปกครองด้วยความเข้มแข็ง แต่ภายในพระทัยกลับมีความเกรงใจพี่ชายอยู่ลึก ๆ เสมอ
วันหนึ่ง ข้าราชบริพารคนหนึ่งซึ่งเปี่ยมด้วยความอิจฉา เข้าเฝ้าพระราชาองค์ใหม่แล้วกระซิบถ้อยคำที่เต็มไปด้วยพิษร้ายว่า “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พี่ชายของพระองค์ยังมิละความทะยานอยาก เขาเพียงแสร้งยอมหลีกทางเท่านั้น ขณะนี้เขาเฝ้ารอจังหวะเพื่อชิงบัลลังก์คืน”
พระราชาองค์น้องทรงเชื่อในคำกล่าวนั้น และเกิดความหวาดระแวงในพระทัย ทรงตรัสสั่งให้ทหารไปจับกุมพระเชษฐาโดยไม่ทันไต่สวน
พระโอรสองค์โตเมื่อทราบข่าว ก็เพียงแค่มองฟ้าแล้วถอนใจ “เมื่อใจคนถูกบดบังด้วยคำหลอกลวง ก็ยากจะมองเห็นความจริง”
ก่อนทหารจะมาถึง พระองค์ทรงหลบหนีออกจากเมืองเงียบ ๆ เพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังแคว้นอื่นโดยไม่หันกลับไปอีกเลย

พระโอรสองค์โตเดินทางลัดเลาะผ่านป่าเขาและท้องทุ่ง จนกระทั่งมาถึงแคว้นหนึ่งอันห่างไกล ผู้คนที่นั่นยังคงมีวิถีชีวิตเรียบง่าย และนิยมการประลองฝีมือกันเป็นกิจกรรมสำคัญของบ้านเมือง
วันหนึ่ง ขณะพระองค์เดินผ่านลานประลอง ก็เห็นนักธนูฝึกซ้อมกันอย่างเอิกเกริก ท่านยืนนิ่งมองอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงหยิบธนูจากต้นไม้ใกล้มือ พลันแผลงศรออกไปโดยไร้ถ้อยคำ เสียงสายธนูดัง “ฟึ่บ” สะท้อนกึกก้องทั่วลาน ลูกศรพุ่งทะลุเป้าไม้ทีละชั้นจนสุดปลายกระดาน
ผู้คนต่างตกตะลึง ก่อนจะพากันปรบมือโห่ร้องด้วยความตื่นตะลึง “ชายผู้นั้นเป็นใคร?” “ธนูของเขาราวกับแสงฟ้าแลบ!”
เมื่อกิตติศัพท์ของชายแปลกหน้าแพร่ไปถึงพระราชาแห่งแคว้นนั้น พระองค์ทรงเรียกให้เข้าเฝ้าทันที ครั้นได้เห็นฝีมือด้วยพระเนตร พระราชาก็ถึงกับกล่าวว่า “เรามิเคยเห็นนักธนูผู้ใดแม่นยำและสงบเยี่ยงนี้เลย ท่านควรเป็นผู้ฝึกทหารหลวงให้เราด้วยเถิด”
พระโอรสองค์โตรับตำแหน่งอย่างเงียบงาม ไม่เผยชาติกำเนิดแก่ผู้ใด ทว่าด้วยความสามารถและจริยวัตรอันเรียบสง่า ชื่อเสียงของเขาก็แผ่ไกลออกไป ทั่วแคว้นต่างขนานนามว่า “ท่านธนูผู้ยิ่งใหญ่”
เขายังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะ ไม่ไล่ตามอำนาจ ไม่โต้กลับผู้ใส่ร้าย แต่เปล่งประกายด้วยความสามารถที่แท้จริง ซึ่งเปลี่ยนใจผู้คนได้มากกว่าพันคำพูด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ผู้มีคุณธรรมและความสามารถที่แท้จริง ย่อมเปล่งประกายโดยไม่ต้องเอ่ยอ้างตน แม้ถูกใส่ร้ายหรือผลักไสออกจากสิ่งที่ควรเป็นของตน แต่หากใจยังมั่นในทางที่ถูก ย่อมพบหนทางแห่งศักดิ์ศรีในที่สุด
ความยิ่งใหญ่ที่แท้ มิได้อยู่ที่ตำแหน่งหรือคำสรรเสริญ หากแต่อยู่ที่การวางใจมั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อคำลวง และดำรงตนอย่างสงบจนผู้คนยอมรับในความจริงของเราโดยไม่ต้องพิสูจน์
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องนักธนูผู้ยิ่งใหญ่ (อังกฤษ: The Great Archer) จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ ซึ่งสะท้อนถึงคุณธรรมของผู้มีสติ ไม่โต้ตอบด้วยโทสะ แต่ดำรงตนด้วยความดีและความสามารถอันแท้จริง
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เพื่อตักเตือนภิกษุบางรูปที่ถูกใส่ร้ายและเกิดความโกรธ พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่า ผู้มีธรรมในใจ ย่อมไม่จำเป็นต้องตอบโต้ด้วยถ้อยคำ หากแต่ให้การกระทำและความสงบภายในเป็นคำตอบ
ชาดกเรื่องนี้จึงเป็นบทเรียนอันงดงาม ที่สอนให้เราเชื่อมั่นในความดีและศักดิ์ศรีในตน ไม่หลงไหลในอำนาจ หรือความอิจฉาริษยา แต่ดำรงตนมั่นคง จนความจริงเผยแสงของมันเอง
“ผู้มีธรรมในใจ ย่อมไม่หวั่นไหวต่อคำนินทา เพราะความดีแท้ จะเป็นเกราะคุ้มภัย และเป็นเสียงที่ดังกว่าเหตุผลใด”