ในโลกของผู้คน บางครั้งความซื่อสัตย์และความอดทนก็สำคัญยิ่งกว่าความแข็งแรงหรือโชคชะตา
มีเรื่องเล่าขานจากนิทานกริมม์เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับชาวนาซื่อ ๆ ผู้ได้เรียนรู้ว่า การต่อรองด้วยความจริงใจและการวางใจในความยุติธรรม จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีและคุ้มค่ากว่าการโกงหรือใช้เล่ห์ กับนิทานกริมม์เรื่องการต่อรองอันดีงาม

เนื้อเรื่องนิทานกริมม์เรื่องการต่อรองอันดีงาม
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาคนหนึ่ง ขับวัวของเขาไปขายที่ตลาด ได้เงินเจ็ดทาเลอร์ ด้วยความดีใจ เขาจึงหิ้วเงินกลับบ้าน ขณะเดินผ่านบ่อน้ำใกล้หมู่บ้าน เขาได้ยินเสียงกบดังออกมาจากไกล ๆ
“อ๊บ ๆ อ๊บ ๆ อ๊บ ๆ อ๊บ ๆ”
ชาวนาหยุดฟังแล้วคิดในใจ “เอ๊ะ พวกกบพวกนี้พูดอะไรไม่รู้เรื่องหรือเปล่า ข้าพเจ้าได้เงินเจ็ดทาเลอร์ ไม่ใช่แปด!”
เมื่อถึงขอบบ่อน้ำ ชาวนาตะโกนขึ้นด้วยความหงุดหงิด “พวกเจ้ากบโง่เอ๊ย! ข้าได้เงินเจ็ดทาเลอร์ ไม่ใช่แปด!”
แต่กบยังคงร้อง “อ๊บ ๆ อ๊บ ๆ อ๊บ ๆ อ๊บ ๆ” อย่างไม่ฟัง
ชาวนาจึงหยิบเงินออกจากกระเป๋าและนับให้พวกกบดู “นี่นะ เจ็ดทาเลอร์ ตีเป็นเงินย่อย ๆ ตามระบบสากลดูสิ”
แต่กบไม่สนใจ เสียง “อ๊บ ๆ” ของมันยังดังต่อไป ชาวนาโกรธจัด เขาจึงตะโกน “ถ้าเจ้าต้องการจะเถียงข้า ข้าพเจ้าจะให้พวกเจ้านับเองก็แล้วกัน!”
แล้วเขาก็โยนเงินลงไปในน้ำทั้งหมด ให้กบได้เห็นว่ามันคือเจ็ดทาเลอร์
เขายืนรอว่ากบจะนับเงินให้เขาคืนหรือไม่ แต่กบยังคงร้องอย่างดื้อรั้น “อ๊บ ๆ อ๊บ ๆ อ๊บ ๆ อ๊บ ๆ” และไม่คืนเงินให้
ชาวนารออยู่จนเย็น จำใจต้องกลับบ้านด้วยความหัวเสีย
เขาตะโกนด่าพวกกบในใจ “เจ้ากบเปียกน้ำ หัวโง่ ตาปริบ ๆ ปากใหญ่ ทำเสียงดังจนเจ็บหู แต่กลับนับเจ็ดทาเลอร์ไม่ได้! ข้าจะยืนรอให้พวกเจ้าสำเร็จงานนี่ไปถึงเมื่อไหร่กัน!”
แล้วชาวนาก็เดินจากไป ทิ้งให้กบร้องอยู่ข้างบ่อจนเขาหายไป
หลังจากเหตุการณ์กบผ่านไปไม่นาน ชาวนาได้ซื้อวัวอีกตัว เขาฆ่าวัวและเตรียมขายเนื้อเพื่อให้ได้กำไรมากกว่าเงินจากวัวสองตัวเดิม
ไม่นานหลังจากเหตุการณ์กบ ชาวนาซื่อ ๆ ของเราได้ซื้อวัวอีกตัว และคิดจะขายเพื่อเอาเงิน
เขาพูดกับตัวเอง “ถ้าข้าขายเนื้อวัวนี้ ฉันจะได้เงินมากกว่าค่าวัวสองตัวรวมกัน แถมยังได้หนังวัวด้วย”
หลังจากเชือดวัวและแล่เนื้อเรียบร้อย เขาเดินไปตลาดเพื่อขาย
ทันทีที่เดินถึงประตูเมือง เขาเจอฝูงหมามารวมตัวอยู่ หัวฝูงเป็นหมาตัวใหญ่ที่กระโดดใส่เนื้อ หอนเสียงดัง “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!”
ชาวนาเห็นท่าทางหมาแล้วเข้าใจผิด เขาคิดว่า “เอ้อ หมาพวกนี้อยากช่วยฉันเอาเนื้อไปขายให้พ่อค้าแน่ ๆ”
ชาวนาเอ่ยกับหมาอย่างซื่อ ๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าพูดว่า ‘โฮ่ง โฮ่ง’ เพราะอยากได้เนื้อ แต่ข้าจะให้เจ้าทำงานแทนข้าได้ไหม? เจ้าต้องสัญญาว่าจะเอาเนื้อไปให้พ่อค้า และคืนเงินข้าให้ครบสามวันนะ”
หมาตอบเพียง: “โฮ่ง โฮ่ง”
ชาวนาเชื่อใจเต็มที่ จึงวางเนื้อไว้กับหมาแล้วกลับบ้านอย่างสบายใจ
สามวันผ่านไป ชาวนารอเงิน แต่ไม่เคยมีใครมาใช้เงินเลย เขาโมโหมาก
ชาวนาโมโหและบ่นกับตัวเอง “หมาพวกนี้คงไม่เข้าใจ ข้าเสียเวลาเสียเงินอีกแล้ว!”
เมื่อไปทวงที่ร้านขายเนื้อ พ่อค้าเนื้อมองเขาแล้วนิ่ง ไม่พูดอะไร แต่ความจริงกลับชัดเจน ฝูงสุนัขกินเนื้อจนหมดตั้งแต่วันแรก เนื้อทั้งหมดไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะความซื่อของชาวนาที่ไว้ใจสุนัข ทำให้ไม่มีใครได้อะไรเลย พ่อค้ากลับโกรธมาก เขาคว้าไม้กวาดไล่ชาวนาออกจากร้าน
ชาวนาแทบจะร้องไห้ แต่ก็คิดขึ้นมาได้ “เอาล่ะ คราวนี้ฉันต้องหาผู้ใหญ่ที่มีอำนาจจริง ๆ แล้ว… ต้องไปหาเจ้าของเมืองใหญ่ หรือแม้แต่พระราชา!”
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยที่ชาวนาจะได้พบกับพระราชาและเจ้าหญิง…

ชาวนาซื่อ ๆ เดินทางไปยังพระราชวัง เพื่อร้องเรียนเรื่องความอยุติธรรม
เมื่อเข้าห้องพระโรงเขาพบพระราชานั่งอยู่พร้อมเจ้าหญิง
ชาวนาเริ่มเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ขอพระองค์เจ้าข้า ข้าถูกกบขโมยเงิน ข้าถูกหมาเอาเนื้อไป และพ่อค้าก็ตีข้าเพราะข้าทวงเงิน!”
พระราชามองชาวนาแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เจ้าหญิงก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงใส “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เรื่องนี้ตลกจริง ๆ”
ชาวนาไม่เข้าใจหัวเราะ “ข้าเล่าความจริงทั้งหมด ท่านจะหัวเราะทำไม?”
พระราชายิ้มกว้าง “เพราะเรื่องที่เจ้าทำและคิด มันทั้งโง่และตลก ช่างทำให้ข้าหัวเราะจนเจ้าหญิงก็หัวเราะตาม”
เจ้าหญิงหัวเราะครั้งแรกในชีวิต ชาวนาจึงพูดอย่างซื่อ ๆ “ข้าขอบคุณพระองค์ แต่ข้าไม่เอาเจ้าหญิงหรอก ข้าก็มีภรรยาอยู่ที่บ้านแล้ว”
พระราชาโกรธนิดหน่อย “เจ้านี่ซื่อบื้อจริง ๆ!”
ชาวนาไม่สนใจ เขายังคงยิ้มแล้วพูด “เอาเถอะ ข้าแด่พระองค์ ข้าแค่ต้องการวัวหรือเงินเล็กน้อยไว้ประทังชีวิตก็พอ”
พระราชาหัวเราะและพูดว่า “งั้นข้าจะให้รางวัลเจ้า อีกสามวันข้างหน้ามารับเงินห้าร้อยทาเลอร์”
ชาวนาออกจากพระราชวังอย่างพอใจ
หลังจากชาวนาได้ข่าวว่าจะได้รับรางวัลจากพระราชา เขาเดินทางไปยังพระราชวัง ระหว่างทางเจอพ่อค้าชาวยิวผู้โลภ
พ่อค้าพูดเจ้าเล่ห์: “เจ้าชาวนา! ข้าเห็นเจ้าจะไปพบพระราชา ข้าจะให้เสื้อโค้ทดี ๆ เจ้าสวมใส่ไปก่อน เพื่อให้ดูดีก่อนไปพบพระราชา พอเจ้าได้เงินมาห้าร้อยทาเลอร์ เอามาแลกเหรียญทองเล็ก ๆ ที่มีค่าของข้า เจ้าจะเอาไหม?”
ชาวนาใส่เสื้อโค้ททันที และพูดอย่างซื่อ ๆ “ได้สิ ตอนนี้ข้ายังไม่มีเงิน ข้าจะไปรับจากพระราชาในสามวันข้างหน้า”
พ่อค้าชาวยิวบอก “งั้นเอาเหรียญทองของข้าส่วนหนึ่งไปก่อนเลย” พ่อค้าชาวยิวลูบปากคิดว่าจะโกงชาวนาง่าย ๆ เหรียญทองเล็ก ๆ แลกกับเงินห้าร้อยทาเลอร์นับว่าคุ้ม
ครบสามวัน ชาวนากับพ่อค้าชาวยิวไปพบพระราชาเพื่อรับเงิน
พระราชาผู้ปราดเปรื่องแค่เห็นชาวนามากับพ่อค้าชาวยิวก็รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกพ่อค้าชาวยิวทันที
พระราชาทรงพูด “ข้าเห็นเจ้าตกลงกับพ่อค้าชาวยิวเรื่องเงินห้าร้อยทาเลอร์ แต่พ่อค้าพยายามหลอกเจ้า ดังนั้นข้าจะค้ำประกันให้เจ้าสิทธิ์ได้รับเงินตามสัญญา โดยเงินนี้ตกเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว คนอื่นไม่มีสิทธิ์ ห้ามแลกกับอะไร นอกจากเจ้าจะเอาไปใช้ในประทังชีวิตเพื่อครอบครัวของเจ้า”
พ่อค้าชาวยิวหน้าซีด พูดวีดวายเสียงดัง “นี่มันไม่ยุติธรรม! ข้าให้เสื้อโค้ทและเหรียญทองบางส่วนกับเจ้าชาวนาไปแล้ว แล้วเจ้าชาวนายังเอาเงินทั้งหมดที่ข้าต้องได้จากพระราชาไปอีก นี่มันโกงข้า!”
ชาวนาเงยหน้าขึ้น ยิ้มซื่อ ๆ แล้วพูด “เอ่อ… ข้าไม่ได้ตั้งใจโกงใครหรอก ข้าเพียงแค่เอาเงินตามที่พระราชาสัญญา ข้าเองก็ไม่ได้ขออะไรมากไปกว่านี้ ข้อเสนอที่เจ้าให้มาข้าก็รับไว้ด้วยความซื่อ ๆ เหมือนกัน”
พ่อค้าชาวยิวหัวเสีย ทำหน้าขุ่น พยายามโต้เถียงอีก แต่ชาวนาตอบกลับด้วยความซื่อ ๆ แต่ช่างคิด “ถ้าเจ้าต้องการเงินห้าร้อยทาเลอร์ เจ้าก็ต้องไปถามพระราชา ข้าแค่ทำตามสัญญาของพระองค์เอง ข้าไม่อยากมีปัญหากับพระราชา”
พ่อค้าชาวยิวงงเป็นไก่ตาแตก ชี้หน้าชาวนา “นี่เจ้าฉลาดได้ยังไงกันเนี่ย!”
ชาวนาแค่ยิ้มกว้าง ๆ แล้วยักไหล่ “เอ่อ… ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน… ข้าแค่คนซื่อ ๆ แล้วก็ทำตามพระราชาเท่านั้นแหละ”
พระราชาเองก็หัวเราะอย่างพอใจ ชี้เงินทั้งหมดให้ชาวนา “เงินทั้งหมดนี้ตกเป็นของเจ้าแล้ว เจ้าซื่อบื้อ แต่กลับทำให้พ่อค้าผิดหวังเสียเอง!”
ชาวนากลับบ้านด้วยเงินครบห้าร้อยทาเลอร์และเสื้อโค้ทดี ๆ แถมเหรียญทองเล็ก ๆ ส่วนหนึ่ง พร้อมยิ้มอย่างสบายใจ “คราวนี้… ข้าได้ครบทุกอย่างโดยไม่ต้องโกงใครจริง ๆ แปลกแต่ก็โชคดีของข้าแท้ ๆ”
และตั้งแต่นั้น ชาวนาซื่อ ๆ ของเราก็กลายเป็นชาวนาผู้ฉลาดโดยบังเอิญ ครอบครัวของเขาอยู่สุขสบาย ได้ทั้งเงินและสิ่งของที่จำเป็นโดยไม่ต้องทุกข์ใจเรื่องใครโกงใคร
ชาวนารู้ตัวเองว่า บางครั้งความซื่อ ความอดทน ความบังเอิญ และโชคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถเปลี่ยนความผิดพลาดให้กลายเป็นข้อตกลงที่ดีจริง ๆ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความซื่อสัตย์ ความคิดรอบคอบ และความอดทน สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยุติธรรมและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย แม้ชาวนาจะถูกกบ หมาสุนัข และพ่อค้าโกงหรือสร้างความสับสนให้เขาหงุดหงิด แต่การรักษาความซื่อสัตย์ ทำตามกฎและคำสัญญาอย่างจริงใจ รวมถึงใช้ความเฉลียวฉลาดและใจเย็นรวมถึงความดี ทำให้เขาได้รับรางวัลตามที่ควรได้ในที่สุด
นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้เข้าใจว่า การยึดมั่นในความดี แม้จะเจออุปสรรคหรือความผิดหวังชั่วคราว ก็สามารถสร้างความยุติธรรมและโชคดีในชีวิตได้
อ่านต่อ: นิทานกริมม์อ่านง่ายอ่านสนุกให้ข้อคิดดี ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานกริมม์เรื่องการต่อรองอันดีงาม (อังกฤษ: The Good Bargain) นิทานเรื่องนี้เป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นลำดับ 007 ของนิทานกริมม์ (KHM 007) ซึ่งรวบรวมโดยพี่น้องกริมม์ ชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 19 เพื่อบันทึกเรื่องเล่าพื้นบ้านและวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่
เรื่องราวสะท้อนถึงความซื่อสัตย์ ความอดทน และความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ ผ่านเหตุการณ์ชาวนาซื่อ ๆ เผชิญกับกบ สุนัข และพ่อค้าโลภ แต่ด้วยความซื่อสัตย์ การคิดรอบคอบ และการต่อรองอย่างดีงาม เขาสามารถรักษาผลประโยชน์ของตนโดยไม่ทำร้ายใคร และได้ผลลัพธ์ที่ยุติธรรม
นิทานเรื่องนี้ยังสอนให้เห็นว่าความสุจริตใจและการมีวิจารณญาณในการตัดสินใจ สามารถเปลี่ยนความยากลำบากให้กลายเป็นโอกาส และทำให้ผู้ที่ซื่อสัตย์ได้รับผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและเป็นธรรม โดยไม่ต้องเบียดเบียนผู้อื่น
คติธรรม “ความซื่อสัตย์ ความอดทน และการใช้สติปัญญาในการต่อรอง สามารถเปลี่ยนความยากลำบากให้กลายเป็นผลลัพธ์ที่เป็นธรรมและน่าพอใจ”

