ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในครอบครัวหนึ่งที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและการดูถูก มีบุตรชายคนเล็กนามว่าเจ้าโง่ ผู้ซึ่งถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาจากพี่ชายผู้เห็นแก่ตัว หากแต่จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความเมตตาที่บริสุทธิ์
มีนิทานกริมม์เรื่องหนึ่ง เล่าถึงการผจญภัยในป่าที่นำพาเจ้าโง่ไปสู่การพบกับห่านวิเศษที่มีขนเป็นทองคำ และความโลภของผู้คนก็ทำให้เกิดขบวนติดหนึบที่น่าขบขัน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะพาเจ้าโง่ไปสู่ราชสำนัก กับนิทานกริมม์เรื่องห่านทองคำ

นิทานกริมม์เรื่องห่านทองคำ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายผู้หนึ่งซึ่งมีบุตรชายสามคน คนเล็กสุดนั้นมีชื่อเรียกว่าเจ้าโง่ (Simpleton) ซึ่งถูกพี่ชายและคนรอบข้างดูถูก เย้ยหยัน และถูกละเลยในทุกโอกาส
วันหนึ่ง บุตรชายคนโตปรารถนาที่จะเข้าไปในป่าเพื่อตัดฟืน ก่อนที่เขาจะไป มารดาได้มอบ แพนเค้กแสนอร่อยและไวน์หนึ่งขวดให้แก่เขา เพื่อไม่ให้เขาต้องทนทุกข์จากความหิวหรือกระหาย เมื่อเขามาถึงป่า ก็พบกับชายชราผมสีเทาตัวเล็ก ผู้ทักทายเขาอย่างสุภาพ แล้วกล่าวว่า “ขอขนมเค้กชิ้นเล็ก ๆ จากกระเป๋าของเจ้า และขอน้ำไวน์ให้ข้าดื่มสักหน่อยเถิด ข้าหิวและกระหายเหลือเกิน”
แต่ชายหนุ่มผู้รอบคอบผู้นั้นกลับตอบว่า “แบ่งเค้กกับไวน์ให้เจ้าหรือ? ข้าไม่มีเหลือให้เจ้าหรอก! ไสหัวไปให้พ้น!” แล้วเขาก็เดินจากไป ทิ้งให้ชายชราตัวเล็กยืนอยู่ตรงนั้น
เมื่อเขาเริ่มลงมือโค่นต้นไม้ได้ไม่นาน ขวานก็พลาดเป้าและฟันเข้าที่แขนของเขาอย่างจัง ทำให้เขาต้องรีบกลับบ้านเพื่อทำแผล นั่นคือผลกรรมจากการปฏิเสธชายชราผมสีเทาตัวเล็ก
ต่อมา บุตรชายคนที่สองเข้าไปในป่า มารดาของเขาก็ให้แพนเค้กและไวน์หนึ่งขวดแก่เขาเช่นเดียวกับคนโต ชายชราผมสีเทาตัวเล็กก็พบเขาอีกครั้ง และขอขนมเค้กชิ้นเล็กและไวน์ให้ดื่ม แต่บุตรชายคนที่สองตอบอย่างหยาบคายว่า “สิ่งที่ข้าให้เจ้าไป ข้าก็เสียมันไปเอง! ไสหัวไปให้พ้น!” แล้วเขาก็เดินจากไป
บทลงโทษก็ติดตามมาเช่นกัน ขณะที่เขากำลังสับต้นไม้ เขาก็ฟันเข้าที่ขาของตนเองอย่างรุนแรงจนต้องหามเขากลับบ้าน
ในที่สุด เจ้าโง่ก็กล่าวว่า “พ่อครับ ให้ลูกเข้าไปในป่าตัดฟืนสักครั้งเถิดครับ” บิดาตอบว่า “พี่ชายของเจ้าก็บาดเจ็บเพราะเรื่องนี้แล้ว เลิกคิดไปเถอะ เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลย” แต่เจ้าโง่วิงวอนอยู่นาน จนในที่สุดบิดาก็กล่าวว่า “ก็ได้ เจ้าไปซะ! เจ้าจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์เอง”
มารดาให้เค้กแก่เขาหนึ่งชิ้น (ซึ่งทำจากแป้งผสมน้ำเท่านั้น และอบในเถ้าถ่าน) พร้อมกับ เบียร์เปรี้ยวหนึ่งขวด เมื่อเขามาถึงป่า ชายชราผมสีเทาตัวเล็กก็พบเขาและทักทายเขา แล้วกล่าวว่า “ขอขนมเค้กชิ้นเล็ก ๆ ของเจ้า และขอน้ำจากขวดของเจ้าดื่มสักหน่อยเถิด ข้าหิวและกระหายเหลือเกิน”
เจ้าโง่ตอบว่า “ข้ามีเพียงเค้กแป้งน้ำกับเบียร์เปรี้ยวเท่านั้น แต่ถ้ามันดีพอสำหรับท่าน เรามานั่งกินด้วยกันเถิด”
แล้วพวกเขาก็นั่งลง เมื่อเจ้าโง่หยิบเค้กแป้งน้ำของเขาออกมา มันกลับกลายเป็นแพนเค้กอันอุดมสมบูรณ์ และเบียร์เปรี้ยวของเขาก็กลายเป็นไวน์รสเลิศ พวกเขากินและดื่มด้วยกันอย่างมีความสุข หลังจากนั้น ชายชรากล่าวว่า “เพราะเจ้ามีจิตใจที่เมตตา และเต็มใจแบ่งปันสิ่งที่เจ้ามี เราจะมอบโชคดีให้แก่เจ้า ที่ตรงนั้นมีต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่ง จงตัดมันลง และเจ้าจะพบบางสิ่งอยู่ที่รากของมัน”
กล่าวจบ ชายชราตัวเล็กก็จากไป
เจ้าโง่เดินไปยังต้นไม้ที่ชายชราบอก แล้วลงมือโค่นต้นไม้ เมื่อต้นไม้ล้มลง เขาได้เห็นห่าน ตัวหนึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางรากของมัน ซึ่งมีขนเป็นทองคำบริสุทธิ์ เขาอุ้มห่านตัวนั้นออกมาและพาติดตัวไปด้วย เพื่อจะไปพักค้างคืนที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
เจ้าของโรงเตี๊ยมมีลูกสาวสามคน เมื่อพวกเธอมองเห็นห่านทองคำ ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นว่ามันเป็นนกมหัศจรรย์ชนิดใด และลงท้ายด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้ขนทองคำของมันสักเส้น ลูกสาวคนโตคิดในใจว่า “ฉันจะรอโอกาสดี ๆ แล้วฉันจะดึงขนทองคำของมันมาเก็บไว้เอง” ดังนั้น เมื่อเจ้าโง่ออกไปข้างนอก นางก็คว้าปีกของห่านทองคำไว้ แต่ทันใดนั้น นิ้วมือและแขนของนางก็ติดหนึบอยู่กับห่าน ไม่สามารถปล่อยได้
ไม่นานนัก น้องสาวคนที่สองก็ตามมาด้วยความคิดเดียวกันที่จะดึงขนทองคำมาเป็นของตน แต่ทันทีที่นางสัมผัสพี่สาว นางก็ถูกยึดติดกับพี่สาวไปอีกคน
ในที่สุด น้องสาวคนที่สามก็มาด้วยความตั้งใจเดียวกัน แม้ว่าพี่สาวทั้งสองจะกรีดร้องว่า “อย่าเข้ามา! ได้โปรดอย่าเข้ามาใกล้เลย!” แต่นางก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องห่าง และคิดว่า “ถ้าพวกเขายอมติดกับห่าน ฉันจะอยู่เฉยทำไม?” เมื่อนางเข้าถึงตัวพี่สาวนางก็หยุดนิ่งและติดหนึบกับห่านต่อจากพวกเธอไปอีกคน และพวกเขาทั้งสามก็ต้องติดอยู่เช่นนั้นตลอดทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าโง่ก็อุ้มห่านทองคำไว้ใต้แขน แล้วเดินจากไป โดยไม่ได้สนใจหญิงสาวสามคนที่ห้อยติดอยู่กับห่านเลยแม้แต่น้อย ทั้งสามต้องวิ่งตามเขาไปทุกที่ที่เท้าของเขาก้าวไป ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวา
ท่ามกลางทุ่งนา พวกเขาได้พบกับบาทหลวง ผู้ซึ่งเมื่อเห็นขบวนที่แปลกประหลาดนี้ ก็กล่าวว่า “พวกเจ้าช่างน่าละอายเหลือเกิน ที่วิ่งตามชายหนุ่มไปกลางทุ่งแบบนี้!” แล้วเขาก็คว้ามือของลูกสาวคนเล็กเพื่อดึงนางออกไปทันที แต่ทันทีที่บาทหลวงสัมผัสนางเขาก็ติดหนึบเช่นกัน ต้องวิ่งตามหลังขบวน ไปอีกคนอย่างช่วยไม่ได้
ไม่นานหลังจากนั้นผู้ดูแลโบสถ์ ก็เดินผ่านมา เมื่อเห็นบาทหลวงผู้เป็นที่เคารพวิ่งตามติดสตรีทั้งสามไปติด ๆ เขาจึงร้องตะโกนว่า “โอ้ ท่านผู้ทรงเกียรติ! ท่านจะรีบร้อนไปไหนกัน? ท่านลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้เรามีพิธีบัพติศมาอีกครั้งหนึ่ง!” เขาจึงคว้าชายเสื้อคลุมของบาทหลวง แต่ทันทีที่เขาแตะต้องบาทหลวงเขาก็ต้องวิ่งตามขบวนไปอีกคน

ขณะที่คนทั้งห้าเดินตามกันไปติด ๆ ชาวนาสองคนพร้อมจอบของพวกเขาก็เดินสวนมา และบาทหลวงก็ร้องขอความช่วยเหลือจากพวกเขา ให้เข้ามาปลดปล่อยตนเองและผู้ดูแลโบสถ์ให้เป็นอิสระ แต่ทันทีที่ชาวนาทั้งสองแตะต้องผู้ดูแลโบสถ์ พวกเขาก็ต้องติดหนึบ และวิ่งตามขบวนไปอีกด้วยเช่นกัน! บัดนี้ มีผู้ติดตามที่ต้องวิ่งตามเจ้าโง่และห่านทองคำรวมเป็น เจ็ดชีวิต
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงเมืองที่พระราชาปกครองอยู่ ซึ่งพระองค์มีธิดาเพียงคนเดียวที่เคร่งขรึม เสียจนไม่มีใครสามารถทำให้นางหัวเราะได้เลย ด้วยเหตุนี้ พระราชาจึงประกาศว่าผู้ใดที่ทำให้นางหัวเราะได้ ผู้นั้นจะได้อภิเษกสมรสกับนาง
เมื่อเจ้าโง่ได้ยินเรื่องนี้ เขาก็พาห่านทองคำและผู้ติดตามทั้งเจ็ดเข้าไปยังที่ประทับของพระธิดาทันที ทันทีที่นางเห็นคนทั้งเจ็ดเดินตามกันไปเป็นขบวนอย่างต่อเนื่อง นางก็หัวเราะออกมาอย่างสุดเสียง และดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหยุดหัวเราะได้เลย
ดังนั้น เจ้าโง่จึงได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าบ่าวของเจ้าหญิง แต่พระราชาไม่ทรงพอพระทัยที่จะมีเจ้าโง่เป็นบุตรเขย จึงทรงหาข้อคัดค้านทุกรูปแบบ
และกล่าวว่าเขาต้องนำชายผู้สามารถดื่มไวน์ในห้องใต้ดินทั้งหมดจนหมดมาให้ได้ก่อน เจ้าโง่คิดว่าชายชราผมสีเทาจะต้องช่วยเขาได้แน่ จึงเดินทางไปยังป่า และ ณ จุดเดียวกับที่เขาโค่นต้นไม้ลง เขาก็พบชายคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อยอย่างยิ่ง
เจ้าโง่ถามชายผู้นั้นว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาตอบว่า “ข้ากระหายน้ำอย่างรุนแรง ซึ่งข้าไม่สามารถดับได้ น้ำเย็นก็ไม่ถูกกับข้า ข้าได้ดื่มไวน์หมดไปถังหนึ่งแล้ว แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับความกระหายเช่นนี้เล่า?” เจ้าโง่จึงกล่าวว่า “ข้าช่วยท่านได้ เพียงแค่ตามข้ามา และท่านจะได้ดื่มอย่างเพียงพอ” เขาพาชายผู้นั้นตรงไปยังห้องใต้ดินของพระราชา ชายผู้นั้นนั่งลงหน้าถังไวน์ขนาดใหญ่ และดื่ม ดื่ม ดื่ม และก่อนที่วันจะสิ้นสุดลงเขาก็ได้ดื่มไวน์ในห้องใต้ดินจนหมดสิ้น!
เจ้าโง่กลับไปขอเจ้าสาวอีกครั้ง แต่พระราชาทรงหงุดหงิดที่ชายผู้น่าสมเพชที่ทุกคนเรียกว่าเจ้าโง่จะมาพาพระธิดาของพระองค์ไปได้ ดังนั้นจึงตั้งเงื่อนไขใหม่ เขาจะต้องนำชายที่สามารถกินภูเขาขนมปังจนหมด มาให้ได้ เจ้าโง่ไม่ลังเล แต่รีบวิ่งตรงไปยังป่า
และที่นั่น ณ ที่เดิม เขาก็พบชายอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ โดยใช้สายรัดรัดรอบตัว ทำหน้าเศร้าสร้อยอย่างยิ่ง แล้วพูดว่า “ข้าได้กินขนมปังหมดไปทั้งโรงอบแล้ว แต่จะประโยชน์อะไรเมื่อข้าหิวเช่นนี้? ท้องของข้ารู้สึกว่างเปล่า และข้าต้องรัดตัวเองไว้เพื่อไม่ให้ตายเพราะความหิว”
เจ้าโง่ดีใจมาก แล้วกล่าวว่า “ลุกขึ้นเร็วเข้า! แล้วมากับข้าเถิด ท่านจะได้กินอย่างเพียงพอ” เขาพาชายผู้นั้นตรงไปยังลานของพระราชา ซึ่งมีการรวบรวมแป้งทั้งหมดในอาณาจักรและอบเป็นภูเขาขนมปัง ชายจากป่าผู้นั้นนั่งลงเบื้องหน้ามัน และรีบกิน และภายในวันเดียว ภูเขาทั้งลูกก็หายไป!
เจ้าโง่ขอเจ้าสาวเป็นครั้งที่สาม อย่างไรก็ตาม พระราชาทรงหาข้ออ้างสุดท้าย และตรัสว่า เขาจะต้องมีเรือที่สามารถแล่นได้ทั้งบนบกและในน้ำ “ทันทีที่เจ้าล่องเรือลำนั้นมา เจ้าก็จะได้ธิดาของเราไปเป็นภรรยา”
เจ้าโง่เดินทางตรงไปยังป่าอีกครั้ง และพบกับชายชราผมสีเทาตัวเล็ก ผู้ที่เขาเคยแบ่งเค้กให้ ชายชรากล่าวว่า “ข้ากินแทนเจ้าแล้ว และข้าดื่มแทนเจ้าแล้ว ข้าจะมอบเรือให้เจ้าด้วย และทั้งหมดนี้เป็นเพราะความเมตตาที่เจ้ามีให้ข้าในครั้งแรก” จากนั้นเขาก็ได้มอบเรือที่สามารถแล่นได้ทั้งบนบกและในน้ำให้แก่เจ้าโง่
เมื่อเจ้าโง่กลับมาถึงพร้อมกับเรือที่สามารถแล่นได้ทั้งบนบกและในน้ำ พระราชาทอดพระเนตรเห็นเรือลำนั้นแล่นเข้ามาในลานกว้างอย่างน่าอัศจรรย์ พระพักตร์ของพระองค์แสดงความพ่ายแพ้อย่างชัดเจน
“เจ้าโง่เอ๋ย…” พระราชาตรัสด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เราไม่อาจหาข้ออ้างใดมาขัดขวางเจ้าได้อีกแล้ว เจ้าได้นำสิ่งที่อัศจรรย์มาให้เราถึงสามครั้ง ซึ่งคนฉลาดทั้งโลกก็ทำไม่ได้ เรายอมรับเจ้าแล้ว”
พระองค์หันไปหาเจ้าโง่ และกล่าวว่า “เจ้าโง่ ไม่สิ, เจ้าชายผู้กล้าหาญเอ๋ย เจ้าพิสูจน์แล้วว่าหัวใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตานั้น มีพลังเหนืออำนาจใด ๆ เจ้าจงดูแลลูกสาวของเราให้ดีเถิด”
การอภิเษกสมรสจึงเกิดขึ้นในทันทีด้วยความปิติยินดี และเมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์ เจ้าโง่ก็ได้ครอบครองราชอาณาจักร และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับภรรยาของเขาตลอดไป โดยเป็นที่รู้จักในนามกษัตริย์ผู้เมตตาและโอบอ้อมอารี

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ผู้ที่รู้จักให้และมีน้ำใจแบ่งปันแม้ในยามที่ตนเองมีน้อยที่สุด ย่อมได้รับพรแห่งความอุดมสมบูรณ์และความช่วยเหลือเหนือธรรมชาติเป็นการตอบแทน
ความเมตตาของเจ้าโง่ในการแบ่งปันอาหารอันแร้นแค้นของตนเอง กลับกลายเป็นการเปิดทางไปสู่โชคลาภอันยิ่งใหญ่และพันธมิตรผู้ทรงพลัง ในทางตรงกันข้าม ความเห็นแก่ตัวและความโลภที่ไม่รู้จักพอของพี่ชายและเหล่าตัวละครที่ติดหนึบไปกับห่านทองคำ ได้แสดงให้เห็นว่าการยึดติดในทรัพย์สินและความโลภจะนำมาซึ่งความอับอายและบทลงโทษในรูปแบบที่น่าขบขันและติดขัดในชีวิต
อ่านต่อ: รวมนิทานกริมม์นิทานโด่งดังจากยุโรปสนุกและได้ข้อคิดดี ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานกริมม์เรื่องห่านทองคำ (อังกฤษ: The Golden Goose) นิทานเรื่องนี้ถูกรวบรวมโดยพี่น้องกริมม์ (Brothers Grimm) และถูกตีพิมพ์ในชุดนิทาน Kinder- und Hausmärchen (นิทานสำหรับเด็กและครอบครัว) ในลำดับที่ 64 KHM
แก่นเรื่องหลักของนิทานนี้จัดอยู่ในกลุ่มนิทานประเภท “Tale of the Kind and the Unkind” (นิทานว่าด้วยคนใจดีและคนใจร้าย) ซึ่งมักเน้นความแตกต่างของผลลัพธ์ที่เกิดจากการปฏิบัติต่อผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ดูเหมือนต่ำต้อยกว่า
องค์ประกอบของ “วัตถุวิเศษที่ทำให้คนติดกัน” (The Chain of Adhesive Victims) เป็นลักษณะเด่นของนิทานตลกและนิทานอัศจรรย์ของยุโรป ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการนำเสนอภาพความตลกขบขัน และทำให้ภารกิจสุดท้ายของตัวเอก (ทำให้เจ้าหญิงหัวเราะ) สำเร็จลงได้ และยังมีเรื่องราวทึ่ตัวเอกเป็นเจ้าทึ่มหรือเจ้าโง่อย่างขนนกสามเส้นให้อ่านกันต่ออีกครับ
คติธรรม: “มือที่รู้จักให้ จะได้รับพรประเสริฐ และความโลภที่ยึดติด จะกลายเป็นบ่วงคล้องคอของตนเอง”

