ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องอิทธิพลที่แท้จริง

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องอิทธิพลที่แท้จริง

ในโลกนี้ ผู้คนมากมายเชื่อว่าการเป็นผู้นำที่ดีต้องอาศัยอำนาจ กฎหมาย และการควบคุม แต่ในสายตาแห่งเต๋า กลับมีหนทางที่ต่างออกไปหนทางที่เรียบง่าย เงียบงัน และทรงพลังยิ่งกว่าการบังคับใด ๆ ในโลก

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อได้ถ่ายทอดผ่านเรื่องราวของเจ้าผู้ครองแคว้นผู้เรียนรู้จากความนิ่งเงียบ ว่าการปกครองอาณาจักรนั้นเริ่มต้นจากการปกครองตนเอง และเมื่อใจสงบ โลกทั้งใบก็สงบตาม กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องอิทธิพลที่แท้จริง

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องอิทธิพลที่แท้จริง

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องอิทธิพลที่แท้จริง

กาลหนึ่ง ลมหนาวพัดผ่านหุบเขาทางเหนือของแคว้นเหอหนาน ข้าก้าวเดินบนเส้นทางดินเก่าที่เคยผ่านเมื่อหลายสิบปีก่อน

ครั้งนั้น ข้ายังเป็นเพียงนักบันทึกแห่งราชสำนักโจว ผู้มีถ้อยคำแต่ไร้อิทธิพลต่อโลก
วันนี้ ข้ากลับมาในฐานะผู้เดินทางไร้บ้าน ผู้เฝ้ามองสรรพสิ่งโดยไม่คิดจะแก้ไขอะไรอีกแล้ว

ระหว่างพักในหมู่บ้านเล็ก ๆ ข้าได้ยินเรื่องราวของ “เจ้าเมืองเหอหนานผู้เงียบงัน”

พวกชาวบ้านพูดถึงเขาด้วยน้ำเสียงประหลาด ไม่ใช่ความกลัว ไม่ใช่ความเทิดทูน แต่เป็นความสงบ “เจ้าเมืองของพวกเราไม่ค่อยพูด ไม่ชอบออกกฎหมาย ไม่เรียกทหารไปรบ แต่เมืองกลับสงบกว่าที่เคย”

“เมื่อปีที่แล้วฝนแล้ง เขาเพียงสั่งให้คนแบ่งน้ำกันใช้ ไม่มีการลงโทษ ไม่มีการเกณฑ์แรงงาน ทุกคนกลับยอมช่วยกันเอง”

ข้าฟังแล้วพลันยิ้ม เพราะชื่อของเจ้าเมืองคนนั้น ข้ารู้จักดี เขาคือศิษย์เก่าผู้เคยเรียนกับข้าเมื่อหลายปีก่อน

ชายหนุ่มผู้เงียบขรึม ไม่ค่อยถามคำถาม แต่ชอบนั่งมองเมฆ

ในครั้งนั้น เขาเคยกล่าวว่า “อาจารย์ ข้าอยากเป็นผู้นำที่ไม่ต้องใช้คำสั่ง” ข้าจำได้ดี เพราะแม้แต่ข้าเองยังไม่กล้าพูดเช่นนั้น

เมื่อข้าเข้าใกล้เมือง เห็นคูคลองสะอาด บ้านเรือนเรียงเป็นระเบียบโดยไม่มีป้ายประกาศ ไม่มีเสียงกลองเตือนภัย

พ่อค้าไม่ทะเลาะกันที่ตลาด เด็ก ๆ วิ่งเล่นในลานกว้างโดยไม่มีทหารเฝ้า ทุกสิ่งดูเป็นระเบียบราวกับน้ำที่ไหลตามทางของมันเอง

“ใครกันที่ปกครองเมืองนี้?” ข้าเอ่ยถามชายแก่ผู้หนึ่ง

เขายิ้มพลางตอบว่า “เจ้าเมืองเราปกครองด้วยความเงียบ ท่านเพียงเดินผ่านตลาดวันละหนึ่งครั้ง ยิ้มให้ผู้คน แล้วกลับไปสวนไผ่ของเขา”

ข้ารู้ทันทีว่าชายผู้นั้นเข้าใจเต๋าแล้ว แม้ไม่ต้องเอ่ยชื่อของมันเลย

ข้าเดินทางต่อจนถึงเรือนเล็กกลางสวนไม้ไผ่ ที่นั่นเขากำลังนั่งอยู่ เสื้อผ้าสีน้ำตาลเรียบ ๆ มือถือถ้วยชา ดวงตาสงบเหมือนผิวน้ำ

เมื่อเห็นข้า เขาลุกขึ้นแล้วคำนับ “อาจารย์ ท่านกลับมาอีกครั้ง”

ข้ามองดูเขาเงียบ ๆ แล้วหัวเราะเบา ๆ “เจ้าคงไม่ต้องการคำสอนจากข้าอีกแล้วละมัง เมืองของเจ้าดูราวกับไม่มีเจ้าอยู่เลย”

เขายิ้มบาง ๆ แล้วตอบ “นั่นแหละที่ข้าปรารถนา ข้าพยายามไม่เข้าไปในสิ่งที่เขาทำ เพียงแต่เฝ้าดูให้พวกเขาไม่ลืมความพอดี”

ข้าจึงถามว่า “แล้วเจ้าปกครองอย่างไร หากไม่ออกคำสั่ง ไม่สร้างกฎหมาย?”

เขาวางถ้วยชา แล้วตอบเรียบ ๆ “ข้าเริ่มจากการปกครองตัวเองก่อน เมื่อข้าหยุดโลภ ผู้คนก็ไม่คิดแข่งขัน เมื่อข้าไม่อยากมีอำนาจ ผู้คนก็ไม่อยากท้าทาย เมื่อข้าสงบ เมืองก็สงบ”

ลมพัดใบไผ่ไหว เสียงเสียดสีเบา ๆ ราวกับธรรมชาติกำลังเอ่ยคำตอบแทนเขา

ข้ามองดูศิษย์ของตน แล้วรู้ว่าคำสอนทั้งหมดที่ข้าเคยกล่าว บัดนี้ได้ผลิดอกอยู่ในใจเขาแล้ว

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องอิทธิพลที่แท้จริง 2

เรานั่งสนทนากันยามบ่าย แสงอาทิตย์ลอดผ่านซี่ไผ่ลงบนพื้นไม้ เงาไหวไปมาราวกับสายน้ำ
ไม่มีทหารยืนเฝ้า ไม่มีข้าราชบริพารวิ่งรับใช้ มีเพียงเสียงลมและถ้วยชาที่ส่งกลิ่นหอมจาง

“อาจารย์” เขากล่าวขึ้นหลังความเงียบยาวนาน “ข้าเคยคิดว่าการเป็นผู้นำคือการทำให้ผู้คนยำเกรง แต่เมื่อข้าพยายามบังคับ พวกเขากลับต่อต้าน เมื่อข้าออกคำสั่งมาก เขากลับสับสน แล้ววันหนึ่ง ข้าจึงหยุดพูด หยุดสั่ง หยุดเร่งเร้า ข้ากลับพบว่า พวกเขาเริ่มเข้าใจหน้าที่ของตนเอง โดยไม่ต้องมีข้าชี้นำ”

ข้าพยักหน้าเบา ๆ “นั่นแหละคือพลังของผู้รู้ ผู้ที่ปกครองโดยไม่ปกครอง เขาไม่ยกตนให้เหนือกว่า แต่กลับเป็นรากที่หล่อเลี้ยงต้นไม้ทั้งป่า น้ำไม่ต่อสู้กับภูเขา แต่น้ำต่างหากที่ค่อย ๆ กัดเซาะมันจนกลายเป็นหุบเขา”

เจ้าเมืองเงียบลงอีกครั้ง มองไปยังลานกว้างด้านนอก ที่เด็ก ๆ กำลังช่วยกันกวาดใบไม้ “เมื่อก่อนข้าใช้เวลาทั้งวันตรวจบัญชีและตั้งกฎ ตอนนี้ข้าเพียงดูแลสวน เมืองดูแลตัวเองได้แล้ว”

ข้าเอ่ยตอบอย่างอ่อนโยน “เพราะเจ้าไม่พยายามจะครอบครอง เมืองจึงไม่รู้สึกว่าถูกควบคุม เมื่อเจ้าไม่อยากเด่น เจ้าเลยกลายเป็นศูนย์กลางของความสงบ ผู้ที่เข้าใจเต๋า ย่อมไม่ต้องใช้คำพูดเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อฟัง เพราะจิตของเขาเองได้กลมกลืนกับเต๋าไปแล้ว”

ยามค่ำมาเยือน แสงจากโคมกระดาษส่องแผ่วในสวนไผ่ ข้าลุกขึ้นเตรียมจาก

ศิษย์ของข้าคำนับด้วยความเคารพ “อาจารย์ ท่านจะฝากคำสอนไว้ให้ข้าอีกหรือไม่?”

ความเงียบในตอนนั้นเต็มไปด้วยคำตอบทั้งหมดของชีวิต

เมื่อจะจากลา ข้าเขียนบทกลอนสั้น ๆ มอบให้เขา เพื่อให้จารึกไว้บนผนังศาลาวัดกลางเมือง เป็นถ้อยคำเตือนใจให้ผู้ปกครองรุ่นหลังได้เห็นทุกคราวที่ผ่านประตูนั้น

ผู้ยิ่งใหญ่ไม่พูดถึงอำนาจ
แต่แผ่อำนาจโดยไม่ต้องออกคำสั่ง
ผู้มีธรรมมิได้สั่งสอนธรรม
แต่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงธรรมในใจตนเอง
เขาไม่ชี้นำ แต่ทางก็ปรากฏ
เขาไม่บังคับ แต่ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น
ดังนั้น โลกจึงสงบ โดยไม่ต้องมีมือใดจับควบคุม นี่คืออธิพลที่แท้จริง

แสงจันทร์ยังคงส่อง เหมือนเตือนให้ข้ารู้ว่า สิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มักเกิดจากผู้ที่ไม่พยายามจะยิ่งใหญ่เลย

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องอิทธิพลที่แท้จริง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… อิทธิพลที่แท้จริงไม่ใช่การออกคำสั่งหรือการบังคับผู้คนให้ทำตาม แต่คือพลังแห่งความสงบที่ทำให้ทุกสิ่งดำเนินไปด้วยตนเองโดยไม่ต้องผลักดัน เมื่อผู้ปกครองรู้จักปกครองตนเองก่อน โลกย่อมสงบโดยไม่ต้องใช้กำลัง หรือกฎใด ๆ มาควบคุม นี่คือแก่นของอิทธิพลแท้จริง

ดังเช่นเจ้าผู้ครองแคว้นเหอหนานผู้เรียนรู้จากเล่าจื๊อ เขาไม่เร่งรัด ไม่สั่งการด้วยความหวาดกลัว แต่เพียงเป็นดั่งสายน้ำที่หล่อเลี้ยงผู้คนโดยไม่โอ้อวด ความสงบของเขากลายเป็นกระแสที่แผ่ขยายออกไปทั้งแผ่นดิน จนทุกชีวิตดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ อำนาจที่แท้จริงจึงมิได้อยู่ในคำสั่ง หากแต่อยู่ในความเข้าใจที่กลมกลืนกับเต๋า และนี่เองคือหนทางแห่งผู้นำที่แท้ ผู้ที่ยิ่งนิ่ง กลับยิ่งมีอิทธิพล

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าของเล่าจื๊อ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องอิทธิพลที่แท้จริง (อังกฤษ: The Genuine Influence) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 57 ซึ่งเล่าจื๊อกล่าวถึง “วิถีแห่งการปกครองโดยไม่ปกครอง” การที่ผู้ปกครองยิ่งออกกฎมาก ประชาชนยิ่งยากจน ยิ่งถืออาวุธมาก ความวุ่นวายยิ่งเกิด และยิ่งแสดงความชำนาญมาก บ้านเมืองก็ยิ่งสับสน แต่เมื่อผู้นำไม่แทรกแซง ปล่อยให้สรรพสิ่งดำเนินไปตามธรรมชาติ บ้านเมืองกลับสงบ ผู้คนกลับซื่อสัตย์ และสังคมกลับสมดุล เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

ถ้าเจ้าอยากเป็นผู้นำยิ่งใหญ่ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะตามเต๋า

หยุดความพยายามที่จะควบคุม เลิกแผนการณ์หรือความคิดอันรอบคอบพวกนั้นเสีย โลกจะปกครองตัวมันเอง ข้าพเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นเช่นนี้?

ยิ่งเจ้าไปออกกฎห้าม ประชาชนก็จะลดความดีงามลง ยิ่งเจ้าสะสมอาวุธไว้มาก ประชาชนก็จะยิ่งมีความมั่นคงปลอดภัยน้อยลง ยิ่งเจ้าโอ๋ประชาชนมาก พวกเขาก็จะพึ่งตัวเองได้น้อยลง

ดังนั้นผู้รู้จึงว่า เมื่อข้าปล่อยปละละเลยกฎหมาย ประชาชนก็ซื่อสัตย์มากขึ้น เมื่อข้าปล่อยปละละเลยเศรษฐกิจ ประชาชนก็อยู่ดีกินดีมากขึ้น เมื่อข้าปล่อยปละละเลยศาสนา ประชาชนก็มีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีมากขึ้น เมื่อข้าลดความอยากครอบครองลง สิ่งเหล่านั้นกลับมีมากมายดกดื่นราวกับหญ้าแพรก

โดยเล่าจื๊อสอนว่า พลังที่แท้จริงของผู้นำไม่อยู่ที่อำนาจหรือคำสั่ง แต่อยู่ที่การรู้จัก “ปกครองตนเอง” ก่อน เมื่อใจสงบ ปัญญาย่อมเกิด และเมื่อไม่ยึดตนเป็นศูนย์กลาง ผู้อื่นก็จะรู้สึกปลอดภัยและเชื่อมั่นโดยไม่ต้องใช้คำพูด การปกครองจึงไม่ใช่การควบคุม แต่คือการปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างสมดุลในทางของมัน

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทนี้ผ่านเรื่องราวของ “เจ้าผู้ครองแคว้นเหอหนาน” ศิษย์ผู้เงียบงันของเล่าจื๊อ ที่เรียนรู้การนำพาผู้คนด้วยความสงบ ไม่เร่งรัด ไม่บังคับ แต่ทำให้ทุกสิ่งคลี่คลายด้วยการเข้าใจเต๋าอย่างแท้จริง เรื่องนี้จึงสื่อให้เห็นว่า ความนิ่งและความเข้าใจในตนเอง คืออิทธิพลสูงสุดที่มนุษย์พึงมี และนี่คือหัวใจของ “อิทธิพลแท้จริง” ที่เล่าจื๊อฝากไว้แก่โลก

คติธรรม: “ผู้ปกครองตนเองได้ คือผู้ปกครองแผ่นดินได้โดยไม่ต้องใช้มือ เพราะอำนาจที่แท้จริงไม่ใช่การบังคับให้ผู้อื่นทำตาม หากคือการทำให้ผู้อื่นอยากทำดีเอง ด้วยความสงบที่แผ่จากใจผู้นำ”