ในโรงละครเก่าแก่ที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการปรบมือ บัดนี้กลับเงียบสงัด มีเพียงซากของเวทีและอุปกรณ์การแสดงที่หลงเหลืออยู่ วันหนึ่ง จิ้งจอกผู้รักการสำรวจเดินเข้าไปในโรงละครด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ที่นั่นมันพบกับสิ่งที่ดูเหมือนจะมีค่าและงดงาม แต่สิ่งที่มันค้นพบกลับเป็นบทเรียนที่ชวนให้ขบคิด… กับนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับหน้ากาก
เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับหน้ากาก
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในโรงละครเก่าแก่ที่ร้างไปนาน มีเศษซากของการแสดงในอดีตหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นม่านที่ขาดรุ่งริ่ง เสื้อผ้าที่ซีดจาง และอุปกรณ์ที่วางกระจัดกระจาย ท่ามกลางความเงียบสงบของสถานที่แห่งนี้ จิ้งจอกตัวหนึ่งเดินเตร่เข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ช่างเงียบเหงาเสียจริง ใครจะเชื่อว่าโรงละครแห่งนี้เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา” จิ้งจอกพูดกับตัวเองขณะเดินสำรวจไปทั่ว
ขณะที่มันเดินผ่านเวทีเก่า มันสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดสายตา นั่นคือหน้ากากที่เคยใช้ในการแสดง หน้ากากถูกวางทิ้งไว้บนพื้น ท่ามกลางฝุ่นและความเก่าแก่ของโรงละคร หน้ากากนั้นยังคงความงดงามไว้ ดวงตาที่ดูเฉียบคม คิ้วหนา และรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ ทำให้ดูเหมือนเป็นใบหน้าจริง
“โอ้ ช่างงดงามเหลือเกิน! ดูสิ คิ้วที่โค้งได้รูปนี่ช่างดูทรงพลัง ดวงตาก็ดูฉลาดและเฉียบคม และรอยยิ้มนี้ก็เปี่ยมด้วยเสน่ห์” จิ้งจอกอุทานด้วยความตื่นเต้น มันหยิบหน้ากากขึ้นมาแล้วหมุนดูรอบ ๆ “นี่คงเป็นใบหน้าของใครบางคนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนสำคัญในป่า หากนี่เป็นใบหน้าจริง คงทำให้ผู้คนเคารพและหวาดเกรงไม่น้อย”
มันจ้องมองหน้ากากอยู่นานก่อนจะพลิกดูด้านใน ทันทีที่เห็นภายในหน้ากาก จิ้งจอกก็หัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “แต่ช่างน่าเสียดาย ความงามที่ข้าชื่นชมนี้ กลับไม่มีอะไรอยู่ข้างในเลย ว่างเปล่า ภายในกลับกลวงเปล่า ไม่มีอะไรอยู่เลย”
จิ้งจอกนั่งลงข้างหน้ากาก ราวกับกำลังพูดคุยกับมัน “เจ้าหน้ากากเอ๋ย… เหมือนกับคนบางคนที่ได้รับเกียรติจากโชคชะตา รูปลักษณ์ภายนอกทำให้ผู้คนยกย่อง แต่สิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงคือสติปัญญาและสามัญสำนึก ซึ่งเจ้ากลับไม่มี หากไร้สิ่งเหล่านี้ ความงดงามของเจ้าก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
มันถอนหายใจและพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น “ในป่า ข้ามักเห็นสัตว์ที่ภายนอกดูสง่างามแต่ข้างในว่างเปล่า พวกมันได้รับเกียรติและความรุ่งโรจน์เพราะรูปลักษณ์ แต่ไม่ได้มีความสามารถที่แท้จริง หากเจ้าเป็นสิ่งที่มีชีวิตจริง ๆ เจ้าคงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความผิดพลาดเช่นนี้”
หลังจากพูดเสร็จ จิ้งจอกวางหน้ากากกลับลงไปบนพื้น มันยืนขึ้นแล้วเดินจากไป พลางพูดเบา ๆ กับตัวเอง “รูปลักษณ์งดงามแค่ไหนก็ไร้ค่า หากปราศจากความคิดและจิตวิญญาณที่แท้จริง”
ในโรงละครที่เงียบสงัด หน้ากากยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม เหมือนรอให้ใครสักคนมาค้นพบและเรียนรู้บทเรียนสำคัญที่มันเก็บซ่อนไว้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า รูปลักษณ์ภายนอกที่งดงามหรือสถานะที่ได้รับการยกย่อง อาจดึงดูดสายตาผู้คนในช่วงแรก แต่หากขาดสติปัญญาและสามัญสำนึก สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงเปลือกนอกที่ไร้ค่า และผู้ที่ได้รับเกียรติหรือความรุ่งโรจน์จากโชคชะตา ควรใช้โอกาสนั้นในการแสดงคุณค่าภายในและสร้างประโยชน์ให้กับตนเองและผู้อื่น แทนที่จะเป็นเพียงภาพลวงตาที่ว่างเปล่า
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับหน้ากาก (อังกฤษ: The Fox and the Mask) เป็นนิทานอีสปเรื่องหนึ่งซึ่งมีทั้งภาษากรีกและละติน ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 27 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)
นิทานเรื่องนี้มักกล่าวสั้นๆ และดูเหมือนจะเป็นเครื่องมือวิพากษ์วิจารณ์ชนชั้นสูงที่หน้าตาดีแต่โง่เขลา สุนัขจิ้งจอกพบหน้ากากที่นักแสดงใช้กันในสมัยโบราณ และเมื่อพลิกไปมาหลายครั้งมันก็พูดว่า “เต็มไปด้วยความสวยงาม แต่มันไร้สมอง!”
นี่คือคำพูดที่ใช้กับคนที่ได้รับเกียรติและความรุ่งโรจน์จากโชคชะตา แต่กลับพรากสามัญสำนึกไป