ในโลกนี้ หลายครั้งที่ผู้คนละทิ้งสิ่งมีค่าในมือ เพียงเพราะหลงเชื่อเสียงลวงที่ฉาบฉวยไปด้วยภาพลวงตา ความโลภที่เกิดขึ้นเพียงชั่ววูบ อาจทำให้ต้องสูญเสียทุกสิ่งโดยไม่ทันรู้ตัว
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าเรื่องของหมาจิ้งจอกผู้ปล่อยใจให้โลภเกินพอดี มันตัดสินใจละทิ้งเหยื่อเบื้องหน้าเพราะหวังสิ่งที่ใหญ่กว่า แต่สิ่งที่ได้กลับคือความว่างเปล่า กับนิทานชาดกเรื่องจิ้งจอกกับกลอง

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องจิ้งจอกกับกลอง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเงียบสงบใต้เงาร่มไม้ หมาจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังเดินหากินด้วยท้องที่ว่างเปล่า ดวงตาคมกริบสอดส่ายไปทั่วพงหญ้าและพุ่มไม้
หวังจะพบอาหารเพื่อประทังชีวิต มันเดินทอดน่องอย่างระวังอยู่ครู่หนึ่ง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นแม่ไก่ตัวหนึ่งกำลังคุ้ยเขี่ยหาเมล็ดพืชอยู่ไม่ไกล
หมาจิ้งจอกเลียริมฝีปากด้วยความหิวโหย มันค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้โดยหลบอยู่หลังพุ่มไม้หนาทึบ หัวใจเต้นเร่าไปด้วยความตื่นเต้น
ขณะที่มันกำลังเตรียมตัวจะกระโจนเข้าใส่เหยื่อที่ไร้ทางหนี เสียงประหลาดก็ดังขึ้นมาจากทิศทางของต้นไม้ใหญ่ใกล้ ๆ
เสียงดัง “ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง” เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับมีใครกำลังเคาะบางสิ่งอย่างต่อเนื่อง หมาจิ้งจอกสะดุ้งเล็กน้อย มันชะงักมือชะงักเท้า ดวงตากลอกไปมาด้วยความสงสัย
หมาจิ้งจอกตั้งใจฟังอย่างพินิจ เสียงประหลาดนั้นยังคงดังต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงลมพัดกิ่งไม้เสียดสีกันในเบื้องสูง
มันขมวดคิ้วคิดในใจว่า “เสียงเช่นนี้ ช่างน่าสงสัยนัก อาจมีสัตว์ตัวใหญ่กว่าแม่ไก่อาศัยอยู่บนต้นไม้นี้เป็นแน่ หากข้าจับได้ ข้าจะมีอาหารอิ่มหนำหลายวันทีเดียว”
ด้วยความละโมบที่ครอบงำ หมาจิ้งจอกจึงเปลี่ยนเป้าหมายทันที มันละทิ้งแม่ไก่ที่อยู่ไม่ไกลนัก แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ตามเสียงที่ได้ยิน โดยไม่ทันได้สังเกตว่าแม่ไก่เองก็เริ่มขยับตัวหนีด้วยความระแวดระวัง
หมาจิ้งจอกปีนต้นไม้ขึ้นไปอย่างทุลักทุเล กิ่งไม้แห้งส่งเสียงดังกรอบแกรบไปทั่ว ปลุกให้แม่ไก่ที่กำลังลังเลอยู่รีบวิ่งหนีหายไปในพริบตา เหลือเพียงหมาจิ้งจอกที่กำลังโหมแรงปีนขึ้นด้วยใจที่เต็มไปด้วยความโลภ

เมื่อปีนขึ้นไปถึงกิ่งไม้ที่เสียงดังมาจากนั้น หมาจิ้งจอกก็พบเพียงสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหยื่อเลยแม้แต่น้อย มันเห็นกลองหนังใบใหญ่แขวนอยู่กลางกิ่งไม้สูง
แผ่นหนังที่ขึงตึงสั่นไหวตามแรงลม กิ่งไม้ที่กระทบกลองจึงก่อให้เกิดเสียง “ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง” ดังขึ้นอย่างที่มันได้ยินมาตลอด
หมาจิ้งจอกมองดูด้วยความผิดหวัง มันเดินวนรอบกลองพลางสูดกลิ่น แต่ไม่มีแม้แต่เงาของสัตว์ใด ๆ ให้จับกิน มันขมวดคิ้วแน่น หางตกลงอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกโกรธตัวเองที่ปล่อยให้ความโลภบดบังสายตา
“ข้าถูกเสียงลวงตาลวงใจเสียจนลืมเหยื่อที่อยู่ตรงหน้า…” หมาจิ้งจอกพึมพำกับตัวเองอย่างเจ็บใจ
หมาจิ้งจอกค่อย ๆ ปีนลงจากต้นไม้ด้วยท่าทางหมดแรงและผิดหวัง เมื่อกลับมาถึงพื้นดิน มันก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยของแม่ไก่เหลืออยู่เลย
มันนั่งลงใต้โคนไม้ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างขมขื่นว่า “ข้าช่างโง่เขลา ความโลภทำให้ข้าเสียทั้งเหยื่อที่อยู่ในมือ และต้องนอนหิวโหยเสียเอง”
ลมเย็นพัดผ่านมาเฉื่อย ๆ ใบไม้ร่วงปลิวลงมาทีละใบ หมาจิ้งจอกจึงได้เรียนรู้บทเรียนอันเจ็บปวด ว่าความโลภนั้นไม่เคยนำพาความสมหวังมาให้ มีแต่จะพรากเอาสิ่งที่มีค่าที่สุดไปอย่างน่าเสียดาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความโลภที่ไร้การยั้งคิดย่อมนำมาซึ่งความสูญเสียโดยไม่จำเป็น บางครั้งสิ่งที่อยู่ในมือก็คือสิ่งมีค่าที่สุด แต่หากมัวไขว่คว้าสิ่งที่ใหญ่กว่าโดยไม่ไตร่ตรอง กลับอาจต้องสูญเสียแม้แต่สิ่งที่เคยมี
หมาจิ้งจอกผู้ปล่อยให้ความโลภครอบงำจนลืมเป้าหมายเบื้องหน้า ได้เรียนรู้ว่าความพอดีและสติในการตัดสินใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าความฝันอันเลื่อนลอยที่ไม่มีวันเป็นจริง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องจิ้งจอกกับกลอง (อังกฤษ: The Fox and the Drum) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโทษของความโลภ และการหลงติดกับสิ่งที่ดูน่าสนใจโดยปราศจากการพิจารณาให้ถี่ถ้วน
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุบางรูปในสมัยพุทธกาลแสดงความโลภอยากได้ผลประโยชน์ที่ใหญ่โตเกินกว่าที่ตนมีอยู่ จนละทิ้งสิ่งดีงามที่มีอยู่แล้ว และประสบความล้มเหลวในที่สุด พระองค์จึงตรัสเล่าถึงหมาจิ้งจอกผู้ละทิ้งเหยื่อเบื้องหน้าเพราะหลงเชื่อเสียงลวง จนต้องนอนหิวโหยและไร้สิ่งใดติดตัว
ชาดกเรื่องนี้จึงสอนให้ตระหนักถึงคุณค่าของความพอดี ความไม่หลงติดกับภาพลวงตา และความสำคัญของการใช้สติใคร่ครวญ ก่อนจะทอดทิ้งสิ่งที่มีอยู่ในมือไปอย่างไม่ไตร่ตรอง
“ความโลภเกินประมาณ ย่อมหลงไล่เงาจนสูญเสียตัวจริง”