ในโลกนี้ มีผู้คนมากมายที่ถูกคำยกยอป้อยอหลอกล่อให้หลงลืมตน จนเสียสิ่งสำคัญไปโดยไม่รู้ตัว การใช้สติและปัญญาเฝ้าระวังใจ จึงเป็นเกราะที่จำเป็นยิ่งในการดำรงชีวิตท่ามกลางเล่ห์กลและมายา
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงการเผชิญหน้าระหว่างสัตว์สองชนิด ที่หนึ่งฝ่ายเปี่ยมไปด้วยเจตนาแอบแฝง ส่วนอีกฝ่ายกลับพ่ายแพ้ให้แก่ความหลงตนเองอย่างง่ายดาย กับนิทานชาดกเรื่องจิ้งจอกกับอีกา

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องจิ้งจอกกับอีกา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าเขียวชอุ่มแห่งหนึ่ง มีต้นไม้สูงใหญ่เรียงรายอย่างแน่นขนัด ท่ามกลางสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านอยู่เสมอ มีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้สูง
มันกำลังคาบเศษเนื้อชิ้นหนึ่งไว้ในปาก ดวงตากลมดำของมันเหลือบมองไปมาด้วยความระแวดระวัง รู้ดีว่ากลิ่นเนื้อสดอาจเชิญชวนผู้ล่าให้เข้ามาใกล้ได้
ขณะนั้นเอง หมาจิ้งจอกตัวหนึ่งเดินผ่านมา ท้องของมันแห้งเหี่ยวจากความหิวโหย ดวงตาคมกริบเหลือบไปเห็นอีกาที่กำลังถือชิ้นเนื้ออยู่ มันชะงักกึกทันที ความอยากอาหารแล่นวาบขึ้นในหัวใจ
หมาจิ้งจอกเหลือบตามองอีกาอย่างครุ่นคิด มันรู้ดีว่าการแย่งชิงโดยตรงไม่มีทางสำเร็จ ด้วยอีกาเกาะอยู่บนกิ่งไม้สูงเกินกว่าที่มันจะกระโจนขึ้นไปถึง หมาจิ้งจอกจึงเริ่มวางแผนในใจ
หมาจิ้งจอกยิ้มกว้าง แววตาเจ้าเล่ห์วาววับ มันแหงนหน้าขึ้นและเอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำประจบสอพลอด้วยน้ำเสียงไพเราะว่า “โอ้ อีกาผู้ทรงสง่างาม เจ้าเปล่งประกายดั่งอัญมณีแห่งท้องฟ้า ขนดำขลับของเจ้าช่างแวววาวงามตายิ่งนัก”
อีกาเหลือบตาลงมามองด้วยความแปลกใจ มันไม่เคยได้รับคำเยินยอเช่นนี้มาก่อน หมาจิ้งจอกยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น
มันกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ข้าเชื่อแน่ว่า นอกจากความงามแล้ว เสียงของเจ้าคงไพเราะจับใจ ราวกับเสียงพิณจากสรวงสวรรค์ หากเจ้าขับขานสักท่อน ข้าเชื่อว่าทั้งผืนป่าแห่งนี้จักต้องเงียบงันเพื่อสดับฟัง”
อีกาได้ฟังดังนั้น ก็รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง มันกระพือปีกเล็กน้อยอย่างสำราญใจ ความหลงตัวเองแล่นพล่านอยู่ในอก จนลืมนึกถึงชิ้นเนื้อที่กำลังคาบไว้โดยสิ้นเชิง

อีกาไม่อาจต้านทานคำสรรเสริญเยินยอได้ มันสูดลมหายใจเต็มปอด ตั้งใจจะเปล่งเสียงขับขานให้ก้องกังวานที่สุด
มันอ้าปากกว้างแล้วเปล่งเสียงร้องลั่นป่า “ก้าาาาาา ๆ ๆ ๆ ๆ” เสียงของมันทั้งแหลม ทั้งดัง แต่หาได้ไพเราะตามคำกล่าวของหมาจิ้งจอกไม่
ชิ้นเนื้อที่คาบอยู่ร่วงหล่นลงสู่พื้นทันทีที่อีกาอ้าปากร้อง หมาจิ้งจอกที่เฝ้ารอจังหวะอยู่แล้ว พุ่งเข้าไปรับชิ้นเนื้อด้วยความรวดเร็ว
มันอ้าปากงับเนื้อแล้วกระโจนถอยห่างออกไปอย่างว่องไว รอยยิ้มเย้ยหยันฉายชัดอยู่บนใบหน้าเจ้าเล่ห์ของมัน
อีกาตกใจจนลืมหุบปาก มันก้มมองลงมาเห็นเพียงชิ้นเนื้อที่หายวับไปกับหมาจิ้งจอก รู้ทันทีว่าตนเองถูกหลอก
หมาจิ้งจอกยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก มันเงยหน้าขึ้นมองอีกาด้วยแววตาเยาะเย้ย พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “อีกาผู้มีเสียงกึกก้อง เจ้าอาจมีขนสวยและเสียงดัง แต่น่าเสียดายที่เจ้าปราศจากสติปัญญา”
สิ้นคำพูดนั้น หมาจิ้งจอกก็หันหลังแล้วเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้อีกายืนอึ้งอยู่บนกิ่งไม้ ด้วยความโกรธและอับอายที่ถูกหลอกอย่างง่ายดาย ใต้แสงแดดยามบ่ายที่เริ่มเอียงคล้อยลง อีกาจึงได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากการหลงเชื่อคำเยินยออย่างไม่ใช้ปัญญาฃ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การหลงเชื่อคำเยินยอโดยไม่ใช้สติ ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายต่อตนเอง ความภาคภูมิใจที่ปราศจากการพิจารณา ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้เจ้าเล่ห์ฉวยประโยชน์ได้โดยง่าย
อีกาที่หลงใหลในเสียงสรรเสริญจนลืมระวังตัว ได้เรียนรู้ว่าความงามภายนอกหรือเสียงกึกก้องนั้นไร้ค่า หากขาดสติและปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครอง เพราะแท้จริงแล้ว ผู้ที่รู้เท่าทันใจตน ย่อมไม่ตกเป็นเหยื่อของเล่ห์กลผู้อื่น
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องจิ้งจอกกับอีกา (อังกฤษ: The Fox and the Crow) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ปัญญาในการระวังภัยจากผู้เจ้าเล่ห์ และการไม่หลงใหลในคำยกยอจนขาดความยั้งคิด
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุบางรูปในสมัยพุทธกาลแสดงความหลงระเริงในคำสรรเสริญเยินยอ และเริ่มประมาทในการปฏิบัติธรรม พระองค์จึงตรัสเล่าถึงอีกาผู้หลงใหลในคำชมของหมาจิ้งจอก จนเผลอทำเนื้อหล่นและต้องสูญเสียสิ่งมีค่าที่ตนมีอยู่
ชาดกเรื่องนี้จึงสอนให้เห็นถึงความสำคัญของการมีสติรู้เท่าทันตน ไม่หลงระเริงในคำพูดอันหอมหวาน และตระหนักว่าปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นเกราะป้องกันภัยจากเล่ห์กลของผู้อื่น
“ผู้ที่หลงระเริงในคำเยินยอ ย่อมตกเป็นเหยื่อของกลลวงโดยง่าย แต่ผู้มีสติรู้เท่าทันใจตน ย่อมไม่มีใครพรากสิ่งมีค่าไปจากตนได้”