ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องแหล่งกำเนิดที่ว่างเปล่า

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องแหล่งกำเนิดที่ว่างเปล่า

ในโลกที่ผู้คนมักให้ค่ากับสิ่งที่จับต้องได้ มองเห็นได้ และวัดผลได้ เรามักเผลอคิดว่าสิ่งที่เงียบ ว่าง หรือไม่มีชื่อเสียงนั้นไม่มีคุณค่า แต่ในความจริง บางสิ่งอาจยิ่งใหญ่กว่านั้น เพียงเพราะมันไม่พยายามเป็นอะไรเลย

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่งเล่าถึงการเรียนรู้บางอย่าง ที่ไม่ได้เกิดจากคำตอบที่ชัดเจน แต่จากความว่าง ความเงียบ และสิ่งธรรมดาที่เราอาจมองข้ามไป กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องแหล่งกำเนิดที่ว่างเปล่า

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องแหล่งกำเนิดที่ว่างเปล่า

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องแหล่งกำเนิดที่ว่างเปล่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ข้าเดินทางกับอาจารย์เล่าจื๊อไปทั่วแผ่นดิน ผ่านเมืองใหญ่ หมู่บ้านเล็ก ป่า เขา ลำธาร และที่ที่ไม่มีใครสนใจจะหยุดเท้า อาจารย์ไม่เคยบอกว่ามีจุดหมาย เราแค่เดิน หยุด แล้วเรียนรู้จากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

วันที่เรามาถึงหมู่บ้านกลางหุบเขา ข้าอาสาช่วยหญิงชราตักน้ำจากบ่อน้ำใส่โอ่งใหญ่ ข้าตักอยู่หลายรอบ แต่พอกลับมาดู น้ำในโอ่งกลับลดลงไปมาก ทั้งที่ข้าเพิ่งตักเมื่อไม่นานนี้ ข้าก้มดูโอ่งแล้วก็เห็นว่าด้านล่างมีรอยร้าว น้ำค่อย ๆ ซึมออกทีละน้อยจนเปียกพื้นดินใต้โอ่ง

หญิงชราเดินมาดู แล้วพูดกับข้าว่า “ถึงมันรั่ว แต่ก็ยังพอใช้ได้ ถ้ารีบใช้ตอนยังมีน้ำ” ข้าไม่เข้าใจนัก

แต่ก็พยักหน้าไปตามมารยาท ทั้งที่ในใจคิดว่าโอ่งที่รั่วแบบนี้น่าจะเอาไปทิ้งหรือเปลี่ยนใหม่

ตอนเย็น ข้าเล่าเรื่องนี้ให้อาจารย์ฟัง ตอนนั้นท่านกำลังนั่งดื่มน้ำอยู่เงียบ ๆ ท่านพยักหน้าเบา ๆ แล้วพูดว่า “ภาชนะที่ว่าง ไม่ได้ไร้ค่า มันว่างต่างหากจึงใช้งานได้”

ข้าขมวดคิ้วทันที “แต่ถ้ามันว่าง ก็ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นสิครับ”

อาจารย์ไม่ตอบอะไร ท่านเพียงเทน้ำจากขันของท่านออกให้หมด แล้ววางขันเปล่าไว้ตรงหน้า จากนั้นจึงพูดว่า “ถ้าขันนี้เต็มตลอดเวลา เจ้ายังจะเติมน้ำใหม่ได้ไหม”

ข้ามองขันเปล่า แล้วเริ่มคิดตามนิดหน่อย

วันถัดมา เราเดินผ่านลานกว้างของหมู่บ้าน มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังขัดกระจกทองเหลืองให้เงาวับอยู่กลางแดดแรง ๆ เขาขัดจนมันสะท้อนแสงแรงมากจนแสบตา พอเขาเห็นพวกเราเดินผ่าน

เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าขัดไว้ให้คนเห็น คนที่โดดเด่น ย่อมมีคนสนใจมากกว่าคนธรรมดา”

ทันใดนั้น เด็กผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งผ่านมาพอดี เธอโดนแสงสะท้อนเข้าตาแล้วสะดุดล้มลงกับพื้น ชายหนุ่มตกใจ รีบเข้าไปประคองเธอแล้วขอโทษ แต่หลังจากนั้นเขาก็กลับไปขัดกระจกต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ข้าเดินมาข้างอาจารย์ แล้วถามว่า “คนเราควรเปล่งแสงให้คนมองเห็นใช่ไหมครับ อย่างน้อยก็จะได้มีคนสนใจ”

อาจารย์ตอบทันทีโดยไม่หันมา “แสงที่แรงเกินไป อาจทำให้คนอื่นมองอะไรไม่เห็นเลย แม้แต่ทางเดินตรงหน้า”

ข้ามองไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาอยู่ใกล้ ๆ มันไม่ได้เงา ไม่ส่องแสงอะไรเลย แต่ใคร ๆ ก็อยากมานั่งใต้ต้นไม้นั้นเพราะมันเย็นและสบาย ข้าเริ่มรู้สึกบางอย่างว่า เต๋าอาจไม่ใช่สิ่งที่เปล่งแสงเพื่อให้คนอื่นสนใจ แต่อาจเป็นเหมือนร่มเงาที่เงียบ ๆ อยู่ตรงนั้น โดยไม่ต้องพูดอะไร

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องแหล่งกำเนิดที่ว่างเปล่า 2

ตอนสายของวันต่อมา เราเดินขึ้นเนินหลังหมู่บ้าน ที่นั่นมีลานหินกว้าง ไม่มีอะไรเลย นอกจากลมหายใจของลมกับเสียงรองเท้าของเรา

ข้าถามอาจารย์ว่า “ตรงนี้จะเอาไว้ทำอะไรครับ ไม่มีเงา ไม่มีต้นไม้ ไม่มีน้ำ ไม่มีบ้าน ใครจะมาอยู่ได้” ท่านยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรเลย…แต่เจ้ากลับรู้สึกได้หลายอย่าง”

ข้าหันไปรอบตัว มองพื้นหินเรียบ ๆ ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ

“พื้นที่ที่ไม่มีอะไรบังตา ก็ทำให้เห็นท้องฟ้าได้เต็มที่” ท่านพูดต่อ

ข้ามองขึ้นไปบนฟ้า ฟ้ามีเมฆบาง ๆ ลอยผ่าน ไม่มีสิ่งกีดขวาง ไม่มีสิ่งล่อตา ไม่มีเสียงอะไรเลย มันเงียบจนข้าเริ่มได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง

“เจ้าพูดเสมอว่าเต๋ามองไม่เห็น จับไม่ได้ แต่บางทีสิ่งที่เห็นชัดที่สุด อาจอยู่ในสิ่งที่ไม่มีอะไรให้จับเลยก็ได้”

ข้าก้มลงมองพื้น แล้วพูดเบา ๆ ว่า “เหมือนลานหินนี้…”

“ใช่ มันว่าง แต่กลับทำให้ทุกอย่างที่อยู่รอบมันชัดขึ้น” อาจารย์พูดพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ

ก่อนจะออกเดินทางต่อ ข้านั่งอยู่คนเดียวที่ลานหินเดิม หยิบก้อนหินเล็ก ๆ มาวางเรียงกันเหมือนจะสร้างอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้ต่อให้เป็นรูปร่าง

ข้านั่งคิดถึงคำสอนทั้งหมดที่อาจารย์พูด ไม่ว่าจะเรื่องโอ่งรั่ว ขันเปล่า กระจกสะท้อนแสง หรือแม้แต่ลานหินที่ว่างเปล่า ทุกอย่างดูไม่เกี่ยวกัน แต่กลับต่อกันได้แบบแปลก ๆ

“อาจารย์ เต๋านี่มันคืออะไรกันแน่ครับ”

ท่านเดินมาช้า ๆ แล้วนั่งลงข้าง ๆ ข้า “ข้าก็ตอบไม่ได้หรอก”

ข้ามองหน้าท่าน งง ๆ “แต่ท่านสอนข้ามาตลอดเลยนะครับ”

“ข้าสอนให้เจ้ารู้ว่าไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่าง… ถึงจะใช้มันได้” ท่านพูดช้า ๆ

“เต๋าไม่ใช่สิ่งที่มีรูปร่างให้จำ แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในทุกอย่างที่เจ้าทำ ถ้าเจ้าฝึกใช้ใจที่ว่าง ไม่ยึด ไม่เร่ง ไม่แข่ง เดี๋ยวเจ้าจะรู้เองว่าเต๋าคืออะไร โดยไม่ต้องเรียกชื่อมันเลย”

ข้าไม่ได้ตอบกลับอาจารย์เล่า จื๊อ แต่รู้ว่าคำตอบที่ข้าอยากได้มาตลอด มันไม่ใช่ประโยคเดียวจบ แต่มันคือสิ่งที่ข้าต้องใช้ชีวิตเพื่อเข้าใจเอง

เราเก็บของ เตรียมเดินต่อ ข้าหันไปมองลานหินอีกครั้ง ก่อนจะก้าวเท้าออกไปโดยไม่ต้องถามอะไรอีก

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องแหล่งกำเนิดที่ว่างเปล่า 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… บางครั้งสิ่งที่ว่างเปล่า ไม่ได้ไร้ค่า แต่เป็นพื้นที่ให้สิ่งอื่นเกิดขึ้นได้ เต๋าไม่ใช่สิ่งที่ต้องเข้าใจด้วยคำพูด แต่เป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสด้วยใจที่ไม่ยึดติด

ลูกศิษย์ของปรมาจารย์เล่าจื๊อพยายามจะเข้าใจคำสอนด้วยเหตุผลและคำตอบที่ชัดเจน แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งสับสน จนเมื่อเขาเจอกับเหตุการณ์ธรรมดาอย่างโอ่งรั่ว กระจกที่สะท้อนแสงแรงเกินไป หรือพื้นที่ว่างเปล่าบนลานหิน เขาจึงเริ่มเข้าใจคำสอนของอาจารย์ว่า เต๋านั้นไม่ใช่สิ่งที่ต้องควบคุมหรืออธิบาย แต่คือหนทางที่สงบ เรียบง่าย และไม่ยึดติดกับความเต็มหรือความชัดใด ๆ ทั้งสิ้น

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าของเล่าจื๊อ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องแหล่งกำเนิดที่ว่างเปล่า (อังกฤษ: The Fountainless) มีรากฐานมาจากบทที่ 4 ของคัมภีร์เต้าเต๋อจิง เขียนโดยปรมาจารย์เต๋าเล่าจื๊อ ซึ่งกล่าวถึง “เต๋า” ในฐานะพลังลึกล้ำที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีที่มา และไม่มีชื่อ แต่มีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง โดยเน้นว่าการเข้าใจเต๋า ไม่ได้เกิดจากการพยายามควบคุมหรืออธิบายอย่างชัดเจน แต่เกิดจากการเปิดใจให้ว่าง ยอมรับความเงียบ ความกลมกลืน และความไม่แน่นอน

บทนี้มีใจความสำคัญว่า:

“เต๋าเปรียบเหมือนภาชนะว่างเปล่า ใช้เท่าไรก็ไม่มีวันหมด
มันลึกล้ำเกินจะหยั่ง เหมือนเป็นบรรพบุรุษของทุกสิ่ง
ผู้เดินตามเต๋า ควรลดความแหลมคม แก้สิ่งยุ่งยากให้ง่าย
ลดแสงของตนเอง และอยู่ร่วมกับความมืดของผู้อื่น
เต๋านั้นบริสุทธิ์ สงบนิ่ง และดำรงอยู่เช่นนั้นเสมอ
ไม่มีใครรู้ว่าเต๋ามาจากไหน อาจอยู่มาก่อนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง”
(แปลความจาก เต้าเต๋อจิง บทที่ 4)

นิทานจึงถ่ายทอดคำสอนนี้ ผ่านเรื่องราวของลูกศิษย์เล่าจื๊อ ผู้พยายามเข้าใจคำสอนของอาจารย์ด้วยเหตุผลและคำตอบที่แน่นอน แต่กลับพบว่าเต๋าไม่ได้อยู่ในสิ่งที่อธิบายได้ชัด หากแฝงอยู่ในความว่างของโอ่งรั่ว แสงจ้าที่บังสายตา และลานหินที่ไม่มีอะไรเลย ความเข้าใจจึงเกิดขึ้นเมื่อเขาเลิกพยายามควบคุม และยอมเปิดใจให้เรียนรู้จากความว่างที่มีคุณค่า

คติธรรม: “สิ่งที่ว่างเปล่าอาจไม่มีรูปร่างให้จับต้อง แต่กลับหล่อเลี้ยงทุกสิ่งโดยไม่ต้องแสดงตัว เหมือนเต๋า ที่ยิ่งเงียบ ยิ่งอยู่ได้ยาวนาน”