ในโลกที่สรรพชีวิตต่างพึ่งพาอาศัยกัน ความอดทนและการอยู่ร่วมกันเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำรงอยู่ แม้บางครั้งจะมีสิ่งที่ไม่สบอารมณ์หรือขัดแย้งเกิดขึ้น แต่สิ่งเหล่านั้นก็เป็นดั่งบททดสอบใจที่ผู้มีปัญญาย่อมเข้าใจถึงความหมายที่ลึกซึ้ง
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงเรื่องราวของต้นไม้ทั้งหลายในป่าใหญ่ ที่เมื่อความโกรธและความไม่พอใจเข้าครอบงำ พวกมันได้ตัดสินใจบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนไปอย่างไม่อาจย้อนคืน กับนิทานชาดกเรื่องต้นไม้โง่

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องต้นไม้โง่
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง เหล่าต้นไม้สามารถพูดคุยกันได้ พวกมันต่างมีเสียงมีถ้อยคำดังเช่นมนุษย์ วันหนึ่ง ขณะที่สายลมพัดเอื่อยเฉื่อยและแสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านยอดไม้ ต้นไม้ทั้งหลายก็กำลังสนทนากันอย่างเคร่งเครียด
ต้นเฟอร์ต้นหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า “สัตว์ทั้งหลายต่างพากันมานั่งพักผ่อนใต้ร่มเงาของพวกเราแล้วทำให้บริเวณรกรุงรังเลอะเทอะไปหมด ดูนั่นสิ เศษอาหาร เศษขนเต็มไปหมด”
ต้นสนที่อยู่ใกล้เคียงฟังดังนั้นก็โพล่งขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เราไม่ควรปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปอีก เราควรสั่งสอนเจ้าสัตว์พวกนั้นให้หลาบจำไปจนตาย” ฝูงต้นไม้รอบ ๆ ได้ยินดังนั้นก็ต่างส่งเสียงฮือฮา บ้างก็พยักหน้าเห็นด้วย
แต่ยังมีต้นไทรแก่ต้นหนึ่งที่เงียบขรึม เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงด้วยความหนักแน่นว่า “ใจเย็น ๆ เถิดสหายเอ๋ย หากพวกเจ้าขับไล่สัตว์ทั้งหลายไปหมดแล้ว พวกเจ้าจะต้องประสบเคราะห์กรรมหนักหนาเสียยิ่งกว่าที่คิดไว้แน่”
ต้นสนปรายสายตาอย่างดื้อรั้นพร้อมตอบด้วยเสียงแข็งกร้าวว่า “ไม่ พวกเราทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!” เมื่อเห็นว่าต้นสนมีความมุ่งมั่นหนักแน่น ต้นไม้อื่น ๆ ก็ต่างพากันเห็นพ้องต้องกันในที่สุด
ครั้นถึงวันถัดมา เมื่อสัตว์น้อยใหญ่ต่างพากันเดินทางเข้ามาใต้ร่มไม้ดังเคย ด้วยหวังจะพักพิงจากไอแดดร้อนระอุ
ต้นไม้ทั้งหลายก็กระทำตามแผนการณ์ พวกมันสั่นสะเทือนลำต้นและกิ่งก้านอย่างบ้าคลั่ง พายุแห่งใบไม้ปลิวว่อนจนสัตว์ทั้งหลายแตกตื่น
ต้นเฟอร์เปล่งเสียงก้องไปทั่วป่าว่า “จงไสหัวไปจากที่นี่ อย่ามาเหยียบย่ำพื้นที่ของพวกเราอีก!”
กระต่ายน้อยตัวหนึ่งร้องด้วยความตกใจ “เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ป่าแห่งนี้ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน” นกยูงสีสวยที่กำลังขนพองด้วยความหวาดกลัวกล่าวว่า “รีบหนีไปเถิด ก่อนที่เราจะประสบเคราะห์ร้าย!”
เหล่าสัตว์ทั้งหลายจึงพากันแตกตื่นหลบหนีจากป่าไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงความเงียบงันและความสงบที่ต้นไม้ทั้งหลายถวิลหา
ต้นสนถอนหายใจด้วยความพึงพอใจ “ในที่สุด พื้นดินของเราก็สะอาดหมดจดเสียที” ต้นไม้อื่น ๆ ต่างกู่ร้องยินดี เสียงสนทนาของพวกมันดังก้องไปทั่ว ทว่าภายใต้ความเงียบสงบที่เพิ่งได้มา ก็มีกลิ่นไอแห่งภัยร้ายที่ไม่มีผู้ใดเอะใจแม้แต่น้อย

แต่แล้วไม่นานหลังจากนั้น ในขณะที่ต้นไม้ทั้งหลายกำลังเพลิดเพลินกับความเงียบสงบ สองชายแปลกหน้าก็ปรากฏตัวขึ้นกลางป่า พวกเขาแต่งกายหยาบ ๆ ถือขวานเหล็กอันแวววาวในมือ สายตาโลภละโมบจ้องมองตรงมายังต้นไม้ใหญ่เหล่านั้น
ชายคนหนึ่งหันไปกระซิบกับเพื่อนว่า “ในที่สุด ที่นี่ก็ไม่มีสัตว์มารบกวนแล้ว เราจะสามารถตัดไม้ได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ”
อีกคนตอบรับด้วยน้ำเสียงเจือความยินดี “ใช่แล้วสหาย ต้นไม้เหล่านี้สูงใหญ่และแข็งแรง เราจะได้ไม้ดี ๆ กลับไปมากมาย”
ต้นสนที่อยู่ไม่ไกลนักได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นชัดเจน ลำต้นของมันสั่นไหวด้วยความหวาดหวั่น มันรีบส่งสัญญาณเตือนต้นไม้อื่น ๆ ด้วยเสียงสั่นเครือ “ทุกคน ฟังนะ มีภัยมาเยือนเราแล้ว!”
ต้นเฟอร์ที่เมื่อก่อนเคยเกรี้ยวกราดกลับเผยความหวาดกลัวออกมาจนกิ่งก้านสั่นไหว “เราจะทำอย่างไรดี? ไม่มีสัตว์ป่าเหลืออยู่ที่จะช่วยเตือนภัยให้เราอีกแล้ว!”
ต้นไทรเฒ่าเพียงหลับตานิ่ง ถอนหายใจเงียบ ๆ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าชะตากรรมได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
ไม่รอช้า ชายทั้งสองยกขวานขึ้นฟันลงบนลำต้นสนด้วยแรงทั้งหมด เสียงขวานกระทบเนื้อไม้ดังสะท้อนก้องไปทั่วป่า ต้นสนส่งเสียงครางเบา ๆ ด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน… เราไม่น่าทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้นเลย…”
ต้นไม้ต้นอื่น ๆ ต่างจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสิ้นหวัง พวกมันไม่อาจขยับหนี ไม่อาจหลบซ่อน มีเพียงความสำนึกผิดอันขมขื่นที่แล่นวาบไปทั่วทุกยอดไม้
ชายคนหนึ่งพูดพลางยกขวานขึ้นอีกครั้ง “ดูสิ ต้นไม้นี่แข็งแรงนัก ต้องได้ไม้ดี ๆ แน่นอน” อีกคนหัวเราะร่าอย่างเบิกบาน “วันนี้โชคดีจริง ๆ เราจะได้ไม้มาสร้างบ้านตั้งหลายหลัง!”
เมื่อขวานกระหน่ำฟันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลำต้นสนก็ค่อย ๆ ล้มลงกระแทกพื้นอย่างโครมใหญ่ ต้นไม้อื่น ๆ มองดูเพื่อนของตนล้มลงด้วยความเศร้าใจและเสียใจอย่างที่สุด
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยให้ชะตากรรมดำเนินไปตามที่ตัวเองเคยเลือกไว้
ใต้ผืนป่าที่เงียบงันนั้น เสียงร้องโหยหวนที่ไม่มีใครได้ยินดังสะท้อนอยู่ในหัวใจของต้นไม้ทุกต้น ตอกย้ำว่าการตัดสินใจในอดีต ได้กลายเป็นต้นเหตุของความหายนะในวันนี้โดยแท้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความโกรธและความไม่อดทนต่อผู้อื่น อาจนำมาซึ่งความหายนะที่เกินกว่าจะแก้ไขได้ การอยู่ร่วมกับผู้อื่น แม้จะมีความไม่สะดวกบ้าง ก็เป็นเสมือนเกราะคุ้มครองที่มองไม่เห็น การขับไล่ผู้ที่เคยเป็นพลังสนับสนุนให้จากไป อาจเปิดโอกาสให้ภัยร้ายใหญ่หลวงย่างกรายเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
ต้นไม้ที่เคยแข็งกร้าวได้เรียนรู้ว่าการมีอยู่ของสัตว์ทั้งหลายไม่ได้เป็นภาระ แต่เป็นสายสัมพันธ์แห่งการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และเมื่อสายใยเหล่านั้นขาดสะบั้น ความอ่อนแอและความสูญเสียย่อมตามมาในที่สุด เพราะแท้จริงแล้ว ธรรมชาติทั้งหมดล้วนต้องพึ่งพากันและกันเพื่อดำรงอยู่
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องต้นไม้โง่ (อังกฤษ: The Foolish Trees) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดเทวชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นเทวดา ซึ่งสะท้อนถึงบทเรียนเรื่องการพึ่งพาอาศัย ความอดทน และผลร้ายของการกระทำด้วยใจที่เต็มไปด้วยโทสะ
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุกลุ่มหนึ่งเกิดข้อขัดแย้งระหว่างกันในหมู่สงฆ์ เพราะไม่สามารถทนรับพฤติกรรมบางอย่างของกันและกันได้ จนถึงขั้นต้องการแยกตัวไปอยู่ตามลำพังเพื่อหลีกเลี่ยงความรำคาญใจ
พระองค์จึงตรัสเล่าเรื่องถึงเหล่าต้นไม้ในอดีตกาล ซึ่งมีเทวดาผู้รักษาต้นไม้เสมือนเป็นจิตวิญญาณที่คอยเกื้อหนุนต้นไม้เหล่านั้น แต่เมื่อเหล่าต้นไม้ขับไล่สัตว์ป่าไปด้วยความโกรธ ไม่เห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน เทวดาผู้คุ้มครองก็ถอนการอุปถัมภ์ออกไป ทำให้ภัยอันตรายย่างกรายเข้ามาอย่างง่ายดาย
ชาดกเรื่องนี้จึงสอนให้เห็นถึงคุณค่าของการให้อภัย การประคับประคองความสัมพันธ์ และการระงับโทสะในหมู่หมู่คณะ เพราะเมื่อสายสัมพันธ์แห่งเมตตาขาดลงแล้ว ความหายนะก็จะติดตามมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
“ผู้ใดขับไล่ผู้เกื้อกูลด้วยโทสะ ผู้นั้นย่อมเปิดประตูตนเองรับภัยพิบัติเข้ามาโดยไม่รู้ตัว”