บางคำพูดไม่ได้ทำให้ใครตาย แต่สามารถทำให้เก้าอี้ที่เคยนั่ง… หายไปได้ตลอดกาล
และบางปากที่เคยพูดให้คนเชื่อทั้งแผ่นดิน ก็อาจกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะของทั้งราชสำนัก
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยข้าวถ้วยเดียว ม้าห้าร้อยตัว และคนที่ประเมินทุกอย่าง… ยกเว้นตัวเอง กับนิทานชาดกเรื่องข้ารับใช้โง่

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องข้ารับใช้โง่
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในราชสำนักที่มั่งคั่งและเต็มไปด้วยขุนนางผู้มากความคิด กลับมีชายผู้หนึ่งที่ได้รับความไว้วางใจเหนือใคร
เขาไม่ใช่แม่ทัพ ไม่ใช่นักปราชญ์ ไม่ได้เชี่ยวชาญการศึกหรือการปกครอง เขาเป็นเพียงข้ารับใช้ธรรมดา ที่มีหน้าที่เพียงหนึ่งเดียว เป็นคนตั้งราคา
ไม่ว่าจะเป็นม้า ผ้า เครื่องประดับ หรือของป่าแปลกประหลาดจากแดนไกล หากพระราชาสนใจสิ่งใด ก็จะส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้คนนี้เป็นผู้ “กำหนดว่า ของสิ่งนั้นควรมีค่าเท่าไร”
เขาพูดเบา พูดน้อย แต่ทุกคำที่ออกจากปาก กลับกลายเป็นราคาจริงที่ราชสำนักยึดถือ ไม่มีใครเถียง ไม่มีใครกล้าโต้
เขาทำหน้าที่นี้มานาน จนเริ่มเชื่อว่าตนเองเข้าใจมูลค่าของทุกสิ่งมากกว่าผู้ใด ไม่มีความลังเล ไม่มีการคิดทบทวน เขาวางราคาในวังเหมือนคนเล่นตัวเลขในตลาด ไม่มีความละอาย ไม่มีการอธิบาย
ไม่ใช่เพราะเขาฉลาดจนไม่มีใครเทียบได้ แต่เพราะพระราชาเคยฟัง แล้วไม่มีใครกล้าแย้ง เขาจึงคิดว่าไม่มีวันผิด
เช้าวันหนึ่ง พ่อค้าวาณิชผู้หนึ่งเดินทางเข้ามาพร้อมม้าห้าร้อยตัว ทั้งหมดแข็งแรง ขนเงา ฝีเท้าดี แถมยังผ่านการฝึกฝนมาแล้วเพื่อใช้ในสนามรบหรือราชสำนัก
พ่อค้าเข้ามากราบถวายรายงานด้วยท่าทีเรียบร้อย “ขอถวายม้าชั้นดีแด่พระองค์ ขอเพียงราคาที่สมกับแรงและการดูแล”
พระราชาพยักหน้าเบา ๆ โดยไม่ตรัสอะไร แล้วหันไปทางชายที่เขาไว้ใจมากที่สุด
ข้ารับใช้เดินออกมาช้า ๆ มองดูม้าทั้งขบวน แล้วเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ราวกับกำลังบอกสีของหิน “ข้าวสาร หนึ่งถ้วย”
พ่อค้าเลิกคิ้วเล็กน้อย “หนึ่งถ้วย สำหรับ… ม้าห้าร้อยตัว?” เขาถามซ้ำ เผื่อหูตัวเองฟังผิด
“หนึ่งถ้วย” ข้ารับใช้ย้ำ โดยไม่แม้แต่จะหันมองหน้าใคร
ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีเหตุผล นอกจากความมั่นใจที่ไม่เคยถูกตั้งคำถามมาก่อน พ่อค้าเงียบไปอึดใจหนึ่ง เขาไม่ได้โกรธ ไม่ได้ร้องเรียน แค่พยักหน้าช้า ๆ
แล้วเดินถอยกลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในดวงตานั้นมีบางอย่างเปลี่ยนไปแวววาวเล็กน้อย คล้ายคนที่เพิ่งได้ไอเดียใหม่

ในวันถัดมา พ่อค้าวาณิชคนเดิมกลับมาเข้าเฝ้า คราวนี้ไม่มีขบวนม้า ไม่มีผ้าห่มสีสด หรือของหายากจากแดนไกล เขามีเพียงกล่องเล็ก ๆ บรรจุของขวัญละเอียดงาม
ซึ่งถูกส่งถึงมือข้าราชบริพารผู้ตั้งราคาโดยตรง ไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีคำอธิบาย มีเพียงสายตาที่ยิ้มเฉยของผู้ให้ และท่าทางรับของผู้รับที่พึงใจแต่ไม่พูด
หลังของขวัญเปลี่ยนมือ ทุกอย่างก็ดูเงียบไปชั่วครู่ จนกระทั่งพ่อค้าเดินขึ้นมายังหน้าท้องพระโรงอีกครั้ง พร้อมกล่าวต่อหน้าพระราชาและทุกคนที่อยู่ในที่นั้น “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท หม่อมฉันมีเพียงคำถามเดียวเท่านั้น มิได้มาเพื่อซื้อขายสิ่งใด”
พระราชาทรงพยักหน้าให้เขาพูดต่อ
พ่อค้ายกถ้วยข้าวเปล่าขึ้นเบื้องหน้า “ข้าพเจ้าใคร่ทราบจากท่านผู้เคยประเมินมูลค่าม้าห้าร้อยตัว ว่า… ข้าวสารหนึ่งถ้วยนี้ มีมูลค่าเพียงใด?”
ทุกสายตาหันไปยังข้าราชบริพารผู้เคยปักราคาด้วยความมั่นใจ เขานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น โดยไม่เหลือร่องรอยของการระมัดระวัง “หนึ่งถ้วยข้าว… มีค่าพอจะแลกได้ทั้งอาณาจักรนี้”
เสียงหัวเราะดังขึ้นเกือบทันทีจากฝั่งขุนนาง บางคนพยายามกลั้น บางคนระเบิดเสียงออกมาไม่ทัน บางคนหันหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนรอยยิ้ม
พระราชาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ไม่ได้หัวเราะแม้แต่น้อย พระเนตรของพระองค์แน่นิ่ง และแววตานั้นเปลี่ยนจากสงสัย… เป็นเข้าใจ
ท้องพระโรงเงียบลงในฉับพลัน เหลือเพียงเสียงลมหายใจกับแสงเงาที่ทอดผ่านช่องหน้าต่างยาว พระราชาลุกขึ้นจากที่ประทับ เสียงฉลองพระบาทแตะพื้นดังเบา ๆ เพียงพอให้ทุกคนหันกลับมาเงียบ
“ผู้ใดก็ตามที่เห็นว่าข้าวหนึ่งถ้วยมีค่ายิ่งกว่าม้าห้าร้อยตัว… และยิ่งกว่านั้น ยังประเมินว่าถ้วยนี้เทียบได้กับแผ่นดินที่ข้ายืนอยู่ หากเขายังประเมินค่าอะไรแทนเราอีก… ราชสำนักคงต้องใช้เวลาตลอดชีวิต เพื่อแก้ไขความเข้าใจของเขา”
ไม่มีใครพูดต่อ ข้าราชบริพารผู้เคยมั่นใจมองตรงไปยังพระราชา เห็นชัดว่าไม่มีคำใดจะถอนคำที่เขาเพิ่งพูดไปได้
ข้ารับใช้ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น คล้ายยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาเอ่ยไป กลายเป็นมีดที่หั่นมูลค่าของตนเองแทนมูลค่าของถ้วยนั้น
“เจ้าอยู่ในวังมานาน คงเคยประเมินราคาของหลายสิ่ง” พระราชาตรัสต่อโดยไม่เปลี่ยนน้ำเสียง “แต่ครั้งนี้เจ้าได้ทำให้ข้าวธรรมดาหนึ่งถ้วย กลายเป็นของที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์แพงจนข้าไม่อยากจ่ายมันเพื่อเก็บเจ้าต่อไป”
พระราชาเพียงยกพระหัตถ์ ทหารสองนายเดินเข้ามาพร้อมกันโดยไม่ต้องส่งสัญญาณ
เขาไม่ถูกด่าว่า เขาไม่ถูกประจาน เขาถูกพาออกไปอย่างเงียบ ๆ เหมือนคำพูดของเขาที่เคยกลายเป็นมาตรฐาน ถูกยกออกจากห้องนั้นโดยไม่มีเสียงเช่นกัน
ประตูท้องพระโรงปิดลง แล้วราชสำนักก็กลับสู่ความสงบ แต่ไม่มีใครลืมว่า คำเพียงคำเดียว… สามารถลดค่าความไว้วางใจลงได้เหลือไม่ถึงข้าวถ้วยเดียว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การพูดเพียงคำเดียว อาจไม่เปลี่ยนโลก แต่สามารถเปลี่ยนตำแหน่ง เปลี่ยนสายตาของผู้คน และเปลี่ยนราคาของตัวเราเองได้ในพริบตา
ข้าวหนึ่งถ้วยไม่มีปัญหา ม้าห้าร้อยตัวก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เมื่อคนคนหนึ่งเชื่อว่าเสียงของตนมีอำนาจมากพอจะกำหนดค่าของทุกอย่าง โดยไม่สนว่าสิ่งนั้นควรค่าจริงหรือไม่ เขาก็ได้วางราคาของตัวเองไว้ในประโยคเดียวกับที่เขาพูด
และบางครั้ง… มูลค่าของคน ไม่ได้ตกเพราะคนอื่นประเมินผิด แต่มันตก เพราะเขาเป็นคน “ตั้งราคาให้ตัวเอง” ได้แย่กว่าสิ่งที่เขาเคยประเมินมา
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องข้ารับใช้โง่ (อังกฤษ: The Foolish Servant) จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่ตัวละครสำคัญเกิดในเพศมนุษย์ มีบทบาทในราชสำนัก สังคม หรือชีวิตประจำวัน และเน้นให้เห็นผลของความหลง ความประมาท และการใช้ปากแทนสติ
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีเหตุการณ์ในหมู่ภิกษุที่มีผู้กล่าวถ้อยคำอวดรู้ ทั้งที่ไม่ได้เข้าใจเนื้อแท้ของธรรมะอย่างแท้จริง กล่าวคำเกินจริง พูดตัดสินสิ่งใหญ่เกินปัญญาของตนเอง จนก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหมู่คณะ
เพื่อเตือนให้รู้ว่า “แม้คำเดียว ถ้าหยิบผิดที่ เวลาผิดจังหวะ หรือมาจากใจที่ไม่เข้าใจ ก็พาให้ทุกอย่างพังได้” พระองค์จึงตรัสเล่าเรื่องของข้ารับใช้ที่เคยเป็นคนโปรดของกษัตริย์ แต่กลับทำลายความเชื่อใจด้วยประโยคที่ตนคิดว่าแยบยล
ชาดกเรื่องนี้จึงเป็นเสมือนกระจกเงาสำหรับผู้ที่อยู่ใกล้อำนาจ ใกล้คำสั่ง ใกล้ความเชื่อมั่นของผู้อื่น ว่าแม้ตำแหน่งจะมาจากความไว้วางใจ… แต่มันจะอยู่นานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ “คำพูด” ที่เลือกใช้และ “มูลค่า” ที่กล้าใส่ให้กับสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจจริง
“บางคนไม่เคยรู้เลยว่า คำพูดแค่ประโยคเดียว… คือต้นทุนสุดท้ายของศักดิ์ศรีตัวเอง”