บางครั้ง ความมั่นใจที่เราเก็บไว้ในใจนานเกินไป อาจกลายเป็นแรงที่พาเราเดินเข้าหาความเจ็บปวดอย่างไม่รู้ตัว และบางความคิดที่เชื่อว่าจะแข็งแกร่งที่สุด ก็อาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เราล้มเอง
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยแพะผู้มั่นใจในเขา และลาผู้ไม่เคยท้าทายใครก่อน กับเรื่องราวของการปะทะที่ไม่มีผู้ชนะ กับนิทานชาดกเรื่องแพะโง่

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องแพะโง่
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ท่ามกลางทุ่งหญ้าที่ทอดตัวยาวระหว่างป่ากับหมู่บ้าน มีแพะตัวหนึ่งกับลาตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ละแวกเดียวกันมานาน แต่ไม่เคยสบตากันอย่างเป็นมิตรเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ทั้งคู่เป็นสัตว์ที่ไม่พูดมาก แต่ในความเงียบนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่สั่งสมและไม่เคยถูกเอ่ยออกมา
แพะนั้นมีเขางอคม แข็งแรง และมักเดินเชิดหัวอยู่บนเนินหินเล็ก ๆ ทุกครั้งที่เห็นลาเดินผ่านก็มักจะหันไปสบตา แล้วคิดในใจ “เจ้าลาตัวนั้น ข้าไม่ชอบมันเลย มันเดินยืดยาด ช้าเหมือนขาดจิตใจนักสู้ ตัวก็ใหญ่ แต่หัวนิ่มจะตาย ข้าแค่พุ่งด้วยเขา ข้าก็ชนะ”
ลาที่มักเดินผ่านตรงนั้นเป็นประจำก็ไม่ใช่ฝ่ายยอมอยู่เงียบ ๆ เช่นกัน มันไม่ได้พูดอะไร แต่ทุกครั้งที่เห็นแพะยืนอยู่ตรงเนิน มันจะกระทืบพื้นแรงกว่าปกติ
บางครั้งก็สะบัดหางใส่ และคิดในใจ “แพะนั่นตัวเล็กกว่าข้าครึ่งหนึ่ง แต่ทำตัวใหญ่ราวราชสีห์ ข้ารอแค่วันที่มันกล้ามาใกล้ แล้วข้าจะให้รู้ว่ากีบหลังของข้านั้นพูดได้แรงกว่าคำพูดของมัน”
แม้จะไม่ได้สู้กันอย่างเปิดเผย แต่ความรู้สึกเป็นศัตรูนั้นคุกรุ่นอยู่ตลอด ไม่ต้องมีเสียงก็มองเห็นความตึงเครียดในจังหวะเดิน จังหวะหายใจ และสายตาที่ไม่มีใครยอมถอย
วันหนึ่ง แดดบ่ายจัดจนหญ้าแห้งกรอบ พื้นดินร้อนระอุ เงาไม้เบาบางจากกิ่งไม้หักไม่มีที่ไหนพอให้ซ่อนตัว
แต่แพะกลับยืนอยู่กลางลานดินโล่ง ลมไม่มี เคลื่อนไหวเพียงหูที่สั่นเบา ๆ ตามเสียงแมลง มันมองไปข้างหน้า ลากำลังเดินมาเหมือนทุกครั้ง แต่วันนี้ แพะไม่คิดจะยืนอยู่เฉย ๆ อีกต่อไป
“วันนี้แหละ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหันหลังเดินจากไปอีก ข้าจะชนให้เจ้าได้รู้ว่าใครควรอยู่ตรงเนิน และใครควรอยู่ใต้เงาเท้า” แพะคิดในใจแน่วแน่ และเริ่มยกเท้าเหยียบพื้นอย่างแรง
ลาเดินมาช้า ๆ แต่หยุดเมื่อเห็นท่าทางของแพะที่ไม่เหมือนเดิม มันเบี่ยงหูเล็กน้อย เหลือบตามอง “เอาสิ ถ้าเจ้าพร้อม ข้าก็จะไม่หันหลังหนี”
ทั้งสองยืนจ้องกันอยู่กลางลานดินที่ไม่มีใครมองเห็น ไม่มีผู้ชม ไม่มีเสียงลุ้น มีเพียงสายตาที่ไม่หลบกันเลยแม้แต่น้อย แพะก้าวถอยหลังหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง แล้วพุ่งตัวออกไปเต็มแรง เขาชี้ตรงอย่างมั่นคงเหมือนลูกศรที่ไม่คิดเปลี่ยนทาง
ลายืนนิ่งกับที่ กะจังหวะด้วยประสบการณ์ของสัตว์ที่ไม่พูดแต่รู้จักเอาตัวรอด เมื่อแพะเข้าใกล้ มันกระโดดหมุนตัวและเตรียมขาหลังไว้พร้อมจะเตะกลับด้วยแรงทั้งหมดที่เก็บสะสมมาโดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่น้อย

เสียงกีบของแพะกระทบพื้นดินดังขึ้นถี่และหนัก ก่อนร่างของมันจะพุ่งเข้าหาลาอย่างเต็มแรง เขาที่ชี้ตรงและมั่นใจพาดอยู่ข้างหน้าเหมือนง้าวที่คมและไม่ลังเล แพะไม่ได้ชะลอ ไม่เผื่อแรง ไม่เปลี่ยนใจ มันมั่นใจว่าครั้งนี้จะเป็นจังหวะเดียวที่จบทุกอย่าง
ทันใดนั้น ลาหมุนตัวไปทางซ้าย ก้าวขาขวาขึ้นเพียงนิด แล้วเหวี่ยงขาหลังทั้งสองเตะออกไปตรงเป้า เปรี้ยงเดียวเต็มแรง กีบของมันกระแทกเข้าที่ลำตัวของแพะอย่างจังจนเสียงดังกระทบเหมือนท่อนไม้หัก
แพะสะบัดหัวด้วยแรงปะทะ แต่เขาของมันก็ยังเฉียดเข้าที่ต้นขาของลาจนเกิดเสียงครูดเหมือนของแหลมเฉือนผ่านหนังอย่างไม่ตั้งใจ
ร่างของแพะกระเด็นถอยหลังไปเกือบสองช่วงตัว มันล้มลงกลิ้งกับพื้นสองตลบ ก่อนจะฝืนลุกขึ้นมาช้า ๆ ลาก็เขย่งขาหลังเล็กน้อย รู้สึกถึงแรงเจ็บที่แล่นอยู่ในกล้ามเนื้อ
ทั้งสองไม่ได้ล้ม แต่ก็ไม่ได้ยืนเหมือนเดิม พวกมันต่างหอบ มองหน้ากันอย่างไม่มีคำพูด อากาศรอบตัวเงียบราวกับต้นไม้ก็ไม่กล้าขยับใบ
ความแน่นอนที่เคยมีในใจต่างฝ่าย เริ่มไม่แน่นอีกต่อไป ความรู้สึกชนะถูกแทนที่ด้วยความระแวง ความตึงเครียดจางลงเหลือเพียงความจริงข้อหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้า ทั้งคู่เจ็บ และไม่มีใครได้เปรียบจริง ๆ
ลายืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้เดินเข้า ไม่ได้ถอยหลัง มันมองแพะที่ยังหอบอยู่อีกฝั่งหนึ่งอย่างนิ่งสงบ ไม่มีแววท้าทาย ไม่มีความโกรธ มีเพียงสายตาของสัตว์ตัวหนึ่งที่กำลังไตร่ตรองว่าเรื่องเมื่อครู่นั้น… คุ้มค่าหรือไม่
แพะก้มหน้า ไม่ใช่เพราะยอมแพ้ แต่เพราะแรงที่เคยมีกลับใช้ไปหมดในการพุ่งครั้งเดียว มันพยุงตัวด้วยขาหน้าทั้งสองข้างอย่างช้า ๆ หายใจถี่แต่ไม่หอบ ลมหายใจของมันเบาลงเรื่อย ๆ เมื่อรู้ว่าลาไม่ได้เดินเข้ามาซ้ำ
“พอเถอะ…” เสียงนั้นไม่ได้ดังออกมา แต่มันอยู่ในหัวของทั้งสองพอดีกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูด แต่เข้าใจตรงกันราวกับความเงียบเองได้กลายเป็นข้อตกลง
แพะหันหน้าออกจากลาน ลาค่อย ๆ เดินกลับไปตามทางที่มันมา ไม่มีใครต้องล้ม ไม่มีใครต้องชนะ แต่ทุกคนได้เรียนรู้บางอย่างจากความเจ็บบนร่างกายที่กำลังหาย
หลังจากวันนั้น พวกมันยังคงอยู่ในทุ่งเดียวกัน ยังเดินสวนกันบางครั้ง ยังสบตา แต่ไม่มีอีกแล้วที่ใครจะพุ่งใส่ใคร เพราะทั้งแพะและลาต่างรู้แล้วว่า… การสู้โดยไม่คิด ไม่ได้พิสูจน์ว่าใครแข็งแรง แต่มันแค่ทำให้ทั้งคู่… ไม่ฉลาดเท่าที่คิดเลยต่างหาก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความแข็งแรงที่ไม่มีความคิด ไม่ได้ต่างอะไรจากการพุ่งใส่เงาของตัวเอง ยิ่งมั่นใจ ยิ่งหลงทาง หากขาดปัญญาเป็นผู้พา
แพะและลาต่างเชื่อมั่นในพละกำลังของตนเอง ต่างคิดว่าชัยชนะอยู่ตรงปลายเขา หรือหลังแรงเตะของกีบ แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากันจริง ๆ สิ่งที่พวกเขาได้รับกลับไม่ใช่ชัยชนะ แต่คือบทเรียนจากความเจ็บที่ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย
เพราะบางครั้ง การไม่สู้… ไม่ใช่เพราะกลัวแพ้ แต่เพราะเรารู้แล้วว่าความเจ็บปวดนั้น ไม่คุ้มที่จะเอาชนะใครเลยจริง ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องแพะโง่ (อังกฤษ: The Foolish Goat) จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพื่อแสดงถึงหลักธรรมผ่านพฤติกรรมของสัตว์ ซึ่งสะท้อนอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ได้อย่างตรงไปตรงมา
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุสองรูปเกิดความขัดแย้งกัน ด้วยความยึดมั่นในความเห็นของตนเอง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดราวาศอก ใช้ถ้อยคำแข็งกร้าวและท่าทีแข็งขืนโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา
พระองค์จึงตรัสเล่าอดีตชาติ ที่พระองค์เคยเสวยชาติเป็นสัตว์ผู้เห็นเหตุการณ์ระหว่างแพะกับลา ซึ่งต่างฝ่ายต่างมั่นใจในพละกำลังของตนเอง จนสุดท้ายความดื้อรั้นนั้นนำไปสู่ความเจ็บปวดของทั้งคู่ โดยไม่มีใครได้ประโยชน์
ชาดกเรื่องนี้จึงแสดงให้เห็นว่า การเผชิญหน้าด้วยแรง ไม่ได้ทำให้เกิดชัยชนะที่แท้จริง และความเฉลียวฉลาดนั้น ไม่ได้อยู่ที่การเอาชนะ แต่คือการรู้ว่าเมื่อใดควรหยุด และเมื่อใดควรปล่อยวาง
“ชัยชนะที่ได้มาจากความดื้อรั้น มักทิ้งไว้เพียงบาดแผล ไม่ใช่ปัญญา”