บางครั้ง การไม่พยายามเอาชนะสิ่งใด ไม่ได้แปลว่าแพ้ หากคือการยอมรับอย่างกล้าหาญ ว่าตัวเราเล็ก แต่ใจก็ไม่จำเป็นต้องอ่อนแอไปด้วย
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยนกกระทาตัวเล็กที่ไม่อาจหนีไฟได้ จึงตัดสินใจไม่หนี แล้วพูดเพียงคำเดียวที่เปลี่ยนทุกอย่าง กับนิทานชาดกเรื่องเทพแห่งไฟกับนกกระทา

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องเทพแห่งไฟกับนกกระทา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ลึกเข้าไปในผืนป่าที่ห่มเงาใบไม้แน่นหนา มีรังของนกกระทากลุ่มหนึ่งอยู่ใต้โคนไม้ใหญ่ รังนั้นเล็ก เรียบ และสงบ นกกระทาพี่น้องห้าตัวอยู่ร่วมกันมาแต่ฟักไข่
เหล่านกต่างขยันหาอาหาร บินเตี้ย ๆ ลงหาหนอนและแมลงในแอ่งดิน ทุกเช้าพวกมันจะออกบินตามกลิ่นหญ้าเปียกและเสียงดินแตกที่หนอนซ่อนอยู่ แต่มีนกกระทาตัวหนึ่งต่างออกไป
มันไม่กินหนอน ไม่จับแมลง ไม่จิกแม้แต่มดแดงที่ไต่ขึ้นมาตรงหน้า มันเลือกกินเพียงเศษกิ่งไม้เล็กแห้ง ๆ ที่ตกอยู่รอบรัง มันไม่ได้แสดงเหตุผล ไม่บ่น ไม่ขอ ไม่ตัดสินใคร และไม่เคยขัดขวางสิ่งที่พี่น้องทำ
วันเวลาผ่านไป ร่างกายของนกกระทาตัวนี้ค่อย ๆ อ่อนแรงลง ปีกเริ่มบาง กล้ามเนื้อลีบเล็ก ท่าบินช้ากว่าตัวอื่น จนในที่สุดมันแทบไม่บินเลย เพียงเดินไปรอบรังเงียบ ๆ และมองพี่น้องที่ยังคงคล่องแคล่วอย่างเดิม
แม้มันจะไม่แข็งแรง แต่มันก็ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใคร และไม่เคยออกห่างจากรังเลยแม้แต่วันเดียว
วันหนึ่งในฤดูแล้ง เสียงใบไม้แห้งเสียดสีกันดังกว่าปกติ ลมแรงพัดผ่านยอดไม้ กลิ่นไหม้จาง ๆ เริ่มแตะปลายจมูก ท้องฟ้าไม่เปลี่ยนสี แต่เงาในป่าหนักขึ้น
พี่น้องนกกระทาทั้งสี่บินออกไปตามปกติเพื่อหาอาหาร ทิ้งนกกระทาตัวเล็กที่สุดให้อยู่ในรังเพียงลำพัง แต่ในวันนั้นเอง เปลวไฟเริ่มต้นขึ้นจากอีกฝั่งของป่า แผดเสียงกรอบแกรบของไม้แห้งลั่นสนั่น
ไฟลามอย่างรวดเร็ว กลืนกินพงหญ้า เถาวัลย์ และรากไม้ สัตว์น้อยใหญ่เริ่มเคลื่อนไหวอย่างแตกตื่น ทั้งกวาง หมูป่า กระรอก และนกฝูงอื่น ต่างพากันวิ่งหนี บินหนี ล้มตาย หรือล้มลง
แต่นกกระทาตัวเล็กไม่อาจทำอะไรได้ มันยืนอยู่ตรงรัง แค่การขยับตัวแรง ๆ ก็ยังต้องใช้แรงใจมากกว่าปีก
ไฟเริ่มเข้ามาใกล้ มันมองเห็นแสงแดงสะท้อนจากใบไม้ มองเห็นเงาเปลวเพลิงสะบัดขึ้นฟ้าราวกับพญานาคแห่งอากาศ และมันรู้ดีว่า ไม่มีทางบินหนีได้อีกแล้ว
แต่มันก็ไม่ได้ดิ้นรน ไม่สะอื้น ไม่ตะโกนร้องหาความช่วยเหลือ มันเพียงยืนอยู่นิ่ง ๆ และเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังเตรียมจะพูดกับอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือไฟ

เมื่อเปลวไฟแผ่เข้ามาใกล้ขึ้นอีก รังไม้เล็ก ๆ ก็เริ่มร้อนจนรู้สึกได้ มวลอากาศรอบตัวสั่นไหว ราวกับลมหายใจของสิ่งที่ไม่มีตัวตน กำลังเคลื่อนเข้ามาเพื่อกลืนทุกอย่างให้หมดไป
นกกระทาไม่ขยับหนี ไม่ขุด ไม่กลบ ไม่หาทางเลี่ยง มันเพียงยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบที่บีบแน่น แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความจริงใจ
“โอ ท่านผู้เป็นเจ้าของเปลวเพลิง… ข้าอ่อนแอเกินกว่าจะบินหนีได้ พี่น้องของข้าก็ไม่อยู่ ข้าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะถวายท่านได้”
เสียงของมันไม่ดัง ไม่เร่ง ไม่ร้องขออย่างสิ้นหวัง หากแต่เต็มไปด้วยการยอมรับ
“สิ่งเดียวที่ข้ามี… คือร่างกายที่อ่อนแรงนี้ หากท่านจะเผา จงเผาเถิด”
มันหลับตา ไม่เพื่อหลบ ไม่เพราะกลัว แต่เพราะวินาทีนั้นใจของมันนิ่งเกินกว่าจะจำเป็นต้องลืมตาดูโลก และได้แต่ยอมรับชะตากรรมของมัน
เมื่อได้ยินคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของนกกระทา เทพเจ้าแห่งไฟก็สงสารมันและถอยกลับไปโดยไม่ทำอันตรายรัง
แล้วเปลวไฟก็นิ่งไปชั่วขณะ ราวกับลมหายใจของป่าทั้งผืนหยุดลง เสียงแตกดังของกิ่งไม้ก็เงียบลง เหลือเพียงเสียงลมหายใจของสิ่งที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะกลืนกิน หรือถอยกลับ
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวินาทีนั้น แต่เปลวไฟที่ใกล้เข้ามาเพียงปลายกิ่งไม้ กลับหยุดนิ่ง ราวกับกำลังฟังบางอย่างที่ไม่มีใครได้ยิน แล้วมันก็ถอยกลับช้า ๆ ไม่ลุกลามต่อ ไม่แตะต้องรังนั้น ไม่กลืนนกกระทาตัวเล็กที่ไม่เหลืออะไรนอกจากใจ
ไม่นานนัก ไฟป่าก็สงบลง ฝนตกลงมาในคืนเดียวกันเหมือนกับว่าไม่มีไฟเคยเกิดขึ้น
รุ่งเช้า พี่น้องนกกระทากลับมาถึง พวกมันบินวนต่ำลง เห็นรอยไหม้เต็มป่า ต้นไม้หักพัง ดินแดงกรอบแตก แต่ท่ามกลางเถ้าถ่านนั้น มีรังเล็ก ๆ รังหนึ่งยังอยู่ครบ
นกกระทาตัวเล็กยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น บนรังเดิม ใต้เงาเดิม แม้ขนจะเกรียมเล็กน้อยตามแรงลมร้อน แต่ดวงตายังสงบนิ่ง
มันไม่ได้เล่าทุกอย่างให้ใครฟัง ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีตำนาน มันเพียงอยู่ต่อไปกับพี่น้อง ราวกับไม่เคยมีไฟ ไม่เคยมีเทพ และไม่เคยมีการเผชิญหน้ากับสิ่งใดเลย
แต่ในป่าทั้งผืนนั้น ไม่มีสัตว์ตัวใดที่ไม่รู้ว่า มีรังหนึ่งซึ่งไฟไม่แตะต้อง และมีเสียงหนึ่งซึ่งเปลวไฟยังหยุดฟัง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความจริงใจจากผู้ที่ไม่มีอะไรจะให้ อาจมีพลังมากกว่าคำอ้อนวอนของผู้ที่ครอบครองทุกอย่าง
นกกระทาตัวเล็กไม่ใช่ผู้เข้มแข็ง ไม่ได้ต่อสู้ ไม่ได้หนี แต่เพียงยอมรับและพูดในสิ่งที่อยู่ในใจอย่างตรงไปตรงมา นั่นเองที่ทำให้เทพเจ้าแห่งไฟเลือกจะถอย ไม่ใช่เพราะความกลัว ไม่ใช่เพราะแรงต้าน แต่เพราะเห็นค่าของความสัตย์ซื่อที่ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
บางครั้ง สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด… เกิดจากใจที่นิ่งและไม่พยายามจะเอาชนะอะไรเลย
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องเทพแห่งไฟกับนกกระทา (อังกฤษ: The Fire-God and the Quail) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งสะท้อนถึงพลังของความสงบและความจริงใจ ที่ไม่ต้องพยายามเอาชนะใคร แต่กลับสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะเปลี่ยนได้
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งรู้สึกอ่อนแอทั้งทางกายและใจ ด้วยคิดว่าตนไม่อาจทำประโยชน์แก่พระศาสนาได้เท่าผู้อื่น พระองค์จึงตรัสเล่าชาดกเรื่องนี้ เพื่อเตือนใจว่า แม้ผู้ที่ไม่มีแรง ไม่มีทรัพย์ ไม่มีความสามารถเฉพาะ ก็ยังสามารถรักษาธรรมด้วยใจที่มั่นคงได้
ในชาติก่อน พระองค์เสวยชาติเป็นนกกระทาตัวเล็ก ไม่สามารถบินหนีไฟป่าได้ แต่กลับเผชิญชะตาด้วยถ้อยคำที่ตรงและไม่หวังผล เทพแห่งไฟจึงเกิดความเมตตา และถอยเปลวเพลิงกลับ
ชาดกเรื่องนี้จึงสื่อให้เห็นว่า ความจริงใจและการยอมรับอย่างสงบ บางครั้งอาจเป็นแรงที่ทรงพลังยิ่งกว่าการดิ้นรน และเป็นคุณธรรมที่แม้แต่เทพยังยอมรับนบนอบ
“ใจที่ยอมรับอย่างสงบ มักมีอำนาจมากกว่าการดิ้นรนด้วยความหวาดกลัว”