บางครั้ง สิ่งที่ฝังอยู่ใต้ดิน ไม่ได้ฝังเพียงทองคำ… แต่มักมีความบังเอิญซ่อนอยู่ลึกกว่านั้น สิ่งที่มือไม่เคยแตะ อาจรอเพียงใจที่ไม่เร่งรีบจะพบเข้าในวันหนึ่ง
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยชาวนาผู้ใช้แรงไถดินเหมือนทุกวัน แต่กลับพบสิ่งที่เปลี่ยนทั้งชีวิต โดยไม่เปลี่ยนเขาให้เป็นคนละคน กับนิทานชาดกเรื่องชาวนากับทองคำ

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องชาวนากับทองคำ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ล้อมรอบด้วยทุ่งนาสีซีดในหน้าแล้ง มีชายชาวนาคนหนึ่งใช้ชีวิตเรียบง่ายกับพื้นดินที่แห้งและแข็ง เขาไม่ได้ร่ำรวย ไม่มีทรัพย์สมบัติใดเก็บไว้ในเรือนหลังเล็ก แต่เขามีแผ่นดินอยู่ผืนหนึ่งซึ่งได้มาด้วยแรงมือของตนเอง
แต่ในผืนดินนั้น มีสิ่งที่เจ้าของไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแฝงอยู่
หลายปีก่อนหน้านั้น เจ้าของที่ดินเดิมคือชายผู้มั่งคั่ง เขาร่ำรวยจนเกรงว่าทรัพย์ของตนจะถูกขโมย จึงเลือกจะฝังทองคำก้อนใหญ่ไว้ใต้พื้นดินของตนเอง ห่างจากสายตา ห่างจากผู้คน ห่างจากการนินทา
“ที่นี่ปลอดภัยที่สุด ไม่มีใครคิดจะหา ข้าจะเก็บไว้ตรงนี้” เขากล่าวกับตนเองก่อนจะกลบฝังมันไว้อย่างมิดชิด
แต่กาลเวลาย่อมกลบเสียงของความลับ เศรษฐีนั้นเสียชีวิตโดยไม่บอกใคร ทองคำนั้นจึงหลับใหลอยู่ใต้ดิน รอวันที่ใครสักคนจะพบมัน โดยไม่รู้เลยว่าชีวิตของผู้พบจะเป็นอย่างไร
หลายปีต่อมา ชาวนาคนนั้นเริ่มลงมือไถนา เขาใช้ควายเพียงตัวเดียว ไถร่องยาวในดินที่แห้งแน่น เสียงเหล็กครูดกับดินดังเป็นจังหวะ สายลมพัดเบา ใบไม้ไหว และเม็ดเหงื่อเริ่มไหลลงข้างแก้ม
จนกระทั่ง… เสียงเหล็กกระแทกกับสิ่งแปลกประหลาดหนึ่งก็ดังขึ้น
แก๊ง!
คันไถกระดอนขึ้นเล็กน้อย ราวกับชนกับหิน ชาวนาหยุดเดินทันที เขาเอียงคอดูพื้นดินที่ถูกกระแทก แล้วใช้มือขุดเบา ๆ อย่างระวัง
ในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นหินก้อนโต แต่แล้วสิ่งที่โผล่ขึ้นมากลับทำให้เขาต้องหรี่ตาเพ่ง
มันคือโลหะ…ไม่ใช่เหล็กธรรมดา แต่เป็นก้อนกลมมน สีเหลืองเข้ม ละเอียดแวววาวอยู่ภายในคราบดินแห้ง
เขาขุดต่ออย่างระมัดระวัง แล้วสิ่งที่ปรากฏก็ทำให้เขานิ่งไปนาน มันคือทองคำก้อนใหญ่ หนักแน่น เย็นเยียบ และไม่ใช่ของธรรมดาที่จะอยู่กลางนาของคนอย่างเขา
“ทอง…?” เขาพึมพำกับตนเองเบา ๆ “ของใครกันแน่… หรือฟ้าจะส่งมา?”
แต่เขาไม่ขุดต่อทันที เขากลบมันไว้ดังเดิม กวาดดินให้เรียบ แล้วเดินกลับบ้านด้วยใจที่ปั่นป่วน เขารู้ว่าการแบกทองคำก้อนใหญ่กลางวันแสก ๆ จะไม่ปลอดภัย และไม่ใช่เรื่องที่ควรให้ใครเห็น
ในใจของเขามีทั้งความตื่นเต้น ความระแวง และแผนการที่เริ่มค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น
คืนนี้… เขาจะกลับมา

ค่ำวันนั้น ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว เหลือเพียงแสงเรื่อเรืองที่ไหลแผ่วผ่านยอดไม้ ชาวนาคนนั้นกลับมาที่นาอีกครั้งโดยลำพัง ไม่มีควาย ไม่มีไถ มีเพียงพลั่วเก่าและใจที่เต้นแรงกว่าเดิม เขาค่อย ๆ ขุดดินที่เคยกระแทกไว้ด้วยมือตัวเอง
เพียงไม่นาน ทองคำก้อนนั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ชัดเต็มตา มันวาวอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ลอดเมฆ
เขาก้มลงลองยกมันขึ้น ทันทีที่มือสัมผัส ความเย็นของโลหะและน้ำหนักที่ต้านมือก็ทำให้เขารู้สึกตึงที่ไหล่ทันที
“อืมม… หนักกว่าที่คิด” เขากัดฟัน แล้วลองดึงอีกครั้ง
แต่ทองไม่ขยับแม้แต่น้อย เขาลองลาก มันฝืดไปกับพื้นเหมือนก้อนหินถ่วงวิญญาณ ท่าไหนก็ไม่ได้ผล
เขนั่งลงที่เดิม ปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก แล้วมองทองก้อนนั้นอย่างใช้ความคิด
เขาไม่ใช่คนโง่ แต่ก็ไม่ใช่คนมีแผนลึกซึ้ง เขาแค่รู้ว่า… ถ้ายกไม่ได้ทั้งหมดในคราวเดียว เขาต้องเปลี่ยนวิธี
เขาลุกขึ้น เดินกลับไปที่เถียงนา หยิบขวานเก่า ๆ ที่เขาเคยใช้ผ่าฟืน เดินกลับมา และยืนมองทองอีกครั้ง
“ข้าไม่ต้องได้มันทั้งหมดในทีเดียวหรอก… แบ่งมันออกก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย”
เสียงขวานกระทบโลหะดังแผ่ว ๆ ในกลางคืน ก้อนทองถูกผ่าออกทีละส่วน ชายชาวนาใช้แรงและเวลา ผ่ามันออกเป็นสี่ชิ้นที่มีขนาดพอจะยกได้
เขาหอบหิ้วทองคำก้อนแรกกลับบ้านในคืนแรก ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้
คืนต่อมา คืนที่สอง ที่สาม ที่สี่ เขาทำแบบเดียวกัน ขนทองคำกลับทีละก้อน ทีละก้อน อย่างเงียบเชียบ
เมื่อทั้งหมดอยู่ในมือเขาแล้ว เขาไม่เปลี่ยนเรือนใหม่ ไม่อวดใคร ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เขาเพียงปรับปรุงบ้านให้แน่นหนาขึ้น ซื้อควายใหม่ให้แทนตัวเก่าที่แก่ลง และปลูกข้าวอย่างเดิม เพียงแต่มีอาหารดีขึ้น มีเสื้อผ้าอุ่นขึ้น และเสียงหัวเราะในบ้านก็มากขึ้น
ไม่มีใครเคยรู้ว่าเขารวยจากอะไร เขาก็ไม่เคยพูด
ทองคำก้อนนั้นเปลี่ยนชีวิตเขา แต่เขาไม่ได้เปลี่ยนใจตัวเอง เขาเพียงแค่เลือกใช้มันให้สมกับแรงที่เคยไถดินมาทั้งชีวิต
และทุกครั้งที่เขายืนมองผืนนา เขามักจะเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วคิดในใจว่า
“ของบางอย่าง ไม่ใช่ของที่เราตามหา… แต่มันรอให้เราพบ เมื่อเราขุดดินลึกพอ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… บางสิ่งมีค่าอาจไม่ใช่เพราะมันเปล่งแสง แต่เพราะเราใช้ปัญญาในการเข้าถึงมัน
ชาวนาไม่ได้ร่ำรวยเพราะโชค แต่เพราะไม่รีบร้อน ไม่ตกใจ และรู้จักแบ่งสิ่งใหญ่ให้เหมาะมือของตน การได้มาซึ่งสิ่งล้ำค่าอาจเริ่มจากบังเอิญ… แต่การรักษาและใช้ให้พอดี ต้องมาจากใจที่นิ่งและรู้จักพอ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องชาวนากับทองคำ (อังกฤษ: The Farmer and the Gold) จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก ซึ่งพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ เนื้อเรื่องสะท้อนให้เห็นถึงความไม่ประมาท ปฏิภาณไหวพริบ และการใช้สติในการเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งได้ลาภโดยไม่คาดคิด และเกิดความลังเลว่าจะใช้สิ่งนั้นอย่างไร ด้วยเกรงว่าจะเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่น ถือมั่น
พระองค์จึงตรัสเล่าเรื่องของชาวนาผู้พบทองคำโดยบังเอิญ แต่ไม่ลุ่มหลง ไม่อวดอ้าง และไม่รีบคว้า หากกลับใช้สติและความคิดให้เหมาะกับกำลังของตน
ชาดกเรื่องนี้จึงเตือนให้เห็นว่า แม้จะมีโชคลาภมาถึง แต่หากไม่มีปัญญาในการจัดการ สิ่งที่ได้มาอาจกลายเป็นภาระ แต่หากรู้จักแบ่ง รู้จักรอ และรู้จักพอ สิ่งนั้นจะกลายเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง
“สิ่งที่มีค่าที่สุด อาจไม่ใช่สิ่งที่พบ… แต่คือสติในวันที่พบมัน”