ในชนบทที่เงียบสงบ มีชาวนาผู้หนึ่งที่ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการทำงานในไร่นา เขาสร้างทุกสิ่งขึ้นมาด้วยสองมือ และหวังว่าสิ่งที่เขาทำจะคงอยู่เพื่อเลี้ยงดูครอบครัวต่อไป แต่เมื่อเขาแก่ชราและใกล้ถึงวาระสุดท้าย
เขากลับกังวลว่าลูกชายทั้งหลายที่ขี้เกียจและไม่เข้าใจคุณค่าของการทำงานหนักจะละเลยสิ่งที่เขาสร้างขึ้น ด้วยเหตุนี้ เขาจึงวางแผนที่จะสอนบทเรียนสุดท้ายที่เปลี่ยนชีวิตลูกชายของเขาไปตลอดกาล… กับนิทานอีสปเรื่องชาวนากับลูกชายของเขา
เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องชาวนากับลูกชายของเขา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในชนบทที่ห่างไกล มีชาวนาผู้ขยันขันแข็งคนหนึ่งที่อุทิศชีวิตให้กับการทำไร่เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เขาใช้เวลาทั้งหมดดูแลแปลงนาและปลูกพืชผล แม้จะเหนื่อยยาก แต่เขาก็ภูมิใจในไร่นาอันอุดมสมบูรณ์ของเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวนาเริ่มแก่ชราและรู้ว่าตัวเองใกล้จะจากโลกนี้ไป เขากลับกังวลถึงลูกชายของเขา
ลูกชายทั้งสามคนของเขาเป็นคนที่ขี้เกียจและไม่เคยเข้าใจถึงคุณค่าของการทำงานหนัก พวกเขามักทะเลาะกันเรื่องเล็กน้อยและไม่เคยช่วยกันดูแลไร่ ชาวนาเกรงว่าหลังจากเขาเสียชีวิต ไร่ที่เขาทำงานหนักมาตลอดชีวิตอาจถูกละเลยและกลายเป็นที่ดินรกร้าง
วันหนึ่ง ขณะที่เขานอนอยู่บนเตียงด้วยอาการป่วยหนัก ชาวนาเรียกลูกชายทั้งสามคนมาหา และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลูกเอ๋ย พ่อมีความลับสำคัญจะบอกกับพวกเจ้า ฟังให้ดีนะ ในไร่นาของเรา มีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ ถ้าพวกเจ้าค้นพบมัน มันจะทำให้เจ้ามีชีวิตที่มั่งคั่งและสุขสบายไปตลอดชีวิต”
ลูกชายทั้งสามมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น “สมบัติเช่นนั้นอยู่ที่ไหนล่ะพ่อ?” ลูกชายคนโตถาม
ชาวนายิ้มอ่อนแรงและตอบ “พ่อไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่ามันอยู่ที่ไหน แต่สมบัตินั้นฝังอยู่ในไร่นาแห่งนี้ เจ้าต้องทำงานเพื่อขุดค้นหามันด้วยตัวเอง”
ไม่นานหลังจากนั้น ชาวนาก็จากไปด้วยความสงบ ทิ้งลูกชายทั้งสามไว้กับคำพูดปริศนา หลังจากงานศพสิ้นสุดลง ลูกชายทั้งสามก็เริ่มลงมือขุดไร่ตามคำบอกของพ่อ
“เราเริ่มตรงนี้ก่อนดีไหม?” ลูกชายคนกลางเสนอ
“ไม่ เราควรเริ่มจากมุมไร่ฝั่งนั้นก่อน” ลูกชายคนโตแย้ง
“พอเถอะ! ไม่ว่าเราจะเริ่มตรงไหนก็ต้องขุดทุกที่อยู่ดี” ลูกชายคนสุดท้องพูดอย่างหงุดหงิด
ทั้งสามคนเริ่มลงมือขุดด้วยแรงที่มี พวกเขาขุดดินทุกตารางนิ้วในไร่ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ วันแล้ววันเล่า ไร่ที่เคยรกร้างค่อย ๆ ถูกพลิกดินจนทั่ว แต่พวกเขาไม่พบสมบัติใด ๆ เลย
“ข้าเริ่มคิดแล้วว่าพ่อคงแค่ล้อเราเล่น” ลูกชายคนกลางพูดพลางเช็ดเหงื่อ “ไม่มีสมบัติอะไรเลย!”
“บางทีพ่ออาจอยากให้เราทำงานหนักก็เท่านั้น” ลูกชายคนโตพูดเสริมด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
ลูกชายคนสุดท้องถอนหายใจ “ถ้าไม่มีสมบัติจริง อย่างน้อยเราก็ได้ขุดดินจนทั่วแล้ว เราควรปลูกพืชเสียที จะได้ไม่เสียแรงเปล่า”
ด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขาตัดสินใจปลูกพืชในไร่นาที่ขุดไว้ และในฤดูกาลต่อมา พืชผลก็เติบโตขึ้นอย่างงดงามกว่าที่เคยเป็นมา ดินที่ถูกพลิกไถทั่วทั้งไร่ทำให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ พวกเขาขายผลผลิตได้ในราคาดี และเงินที่ได้ก็เพียงพอสำหรับเลี้ยงดูครอบครัวอย่างสบาย
ลูกชายทั้งสามนั่งคุยกันใต้ต้นไม้ใหญ่ มองไร่นาอันอุดมสมบูรณ์ด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าเข้าใจแล้ว” ลูกชายคนโตพูดขึ้น “สมบัติล้ำค่าที่พ่อพูดถึง ไม่ใช่ทองคำหรือเงินตรา แต่คือผลผลิตจากการทำงานหนักของเราเอง”
ลูกชายคนกลางพยักหน้า “ใช่ พ่อไม่ได้โกหกเรา แต่พ่ออยากให้เราเรียนรู้ว่าความขยันและความร่วมมือคือสมบัติที่แท้จริง”
ลูกชายคนสุดท้องยิ้มและกล่าว “พ่อช่างฉลาดนัก พ่อสอนให้เราเข้าใจว่าผลตอบแทนจากการทำงานหนักคือความมั่งคั่งที่ยั่งยืนที่สุด”
ตั้งแต่นั้นมา ลูกชายทั้งสามก็ดูแลไร่ของพ่อด้วยความขยันขันแข็ง พวกเขาร่วมมือกันสร้างชีวิตที่มั่นคงและไม่เคยลืมบทเรียนล้ำค่าที่พ่อได้มอบให้พวกเขา
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความขยันหมั่นเพียรและการทำงานหนักคือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริง แม้จะไม่มีรางวัลในรูปของทองคำหรือเงินตรา แต่ผลลัพธ์จากความพยายามจะสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงในชีวิต ความร่วมมือและความอดทนสามารถนำพาไปสู่ความสำเร็จ และสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีค่าหรือไม่แน่นอนในตอนแรก อาจกลับกลายเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดหากเรารู้จักพยายามและมองให้ลึกซึ้ง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานอีสปเรื่องชาวนากับลูกชายของเขา (อังกฤษ: The Farmer and his Sons)เป็นเรื่องราวที่มีต้นกำเนิดมาจากกรีก ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 42 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของการทำงานหนัก และสอนผู้ปกครองในสมัยก่อนให้รู้คุณค่ากับการปฏิบัติงานจริง
ชาวนาซึ่งใกล้จะเสียชีวิตได้เรียกลูกชายมาหาในความลับและบอกพวกเขาว่าอยากแบ่งที่ดินของครอบครัว เนื่องจากมีสมบัติซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งบนที่ดินนั้น แต่หลังจากนั้น แม้ว่าจะขุดค้นอย่างหนักและระมัดระวัง แต่ก็ไม่พบอะไรเลย อย่างไรก็ตาม เมื่อพืชผลเจริญเติบโตอย่างมีกำไร พวกเขาก็ตระหนักว่าความหมายที่ซ่อนเร้นของคำแนะนำของชาวนานั้นหมายถึงการทำงานหนัก
ทรัพย์สมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์คือการทำงาน