บางความผูกพันไม่ใช่เพราะเรายังได้สิ่งใดจากกัน แต่อยู่เพราะครั้งหนึ่ง เราเคยได้รับโดยไม่ต้องร้องขอ และไม่เคยลืมสิ่งนั้นเลย
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยนกแก้วตัวหนึ่งที่ไม่ยอมจากต้นไม้เก่า แม้ไม่มีผลไม้เหลือแม้แต่ลูกเดียว กับบทพิสูจน์ที่ธรรมดาเกินกว่าจะมีใครเห็น… ยกเว้นเทพเจ้าผู้เฝ้าดูอยู่เงียบ ๆ กับนิทานชาดกเรื่องนกแก้วผู้ซื่อสัตย์

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องนกแก้วผู้ซื่อสัตย์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางป่าลึกที่ต้นไม้เรียงรายเป็นแนวยาวราวกับคลื่นแห่งใบไม้ มีต้นมะเดื่อใหญ่ต้นหนึ่งยืนสูงตระหง่าน แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น ร่มเงากว้าง และผลมะเดื่อสีม่วงอมแดงที่อ่อนนุ่มและหอมหวานแขวนระย้าทั่วต้น บนนั้นมีนกแก้วตัวหนึ่งอาศัยอยู่
นกแก้วตัวนี้มีขนเขียวสด แววตาฉลาดเฉลียว และน้ำเสียงที่ไพเราะนัก มันมิได้บินไปมาเหมือนนกอื่น ๆ ที่เปลี่ยนต้นไม้ตามฤดู หากเลือกอยู่บนต้นมะเดื่อเพียงต้นเดียว ทั้งหลับนอน กินอยู่ และร้องเพลงยามเช้าใต้แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านใบ
“ต้นไม้นี้คือบ้านของข้า” มันเคยกล่าวเช่นนั้นกับผีเสื้อที่บินผ่านมา “มันให้ร่มเงา ให้ผลไม้ ให้ที่พัก ข้าจะไปที่อื่นทำไม”
วันเวลาผ่านไป ฤดูร้อนกลายเป็นฝน ฝนกลายเป็นหนาว แล้วกลับมาเป็นร้อนอีกครั้ง นับแล้วก็หลายปีอยู่เหมือนกัน แต่นกแก้วก็ยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่เคยห่างจากต้นไม้เลยแม้เพียงคืนเดียว
เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไปมากพอ ทุกสิ่งย่อมมีวันโรยรา ต้นมะเดื่อที่เคยเขียวชอุ่มและให้ผลดกกลับเริ่มบางใบ แตกกิ่งน้อยลง และในปีหนึ่ง เมื่อฤดูกาลแห่งผลมะเดื่อเวียนมา มันก็ไม่มีผลไม้แม้แต่ลูกเดียว
นกแก้วเห็นแล้วใจหาย มันโผจากกิ่งหนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่ง กวาดสายตามองทุกซอกของต้นไม้ แต่ก็พบเพียงใบแห้งและเงาว่างเปล่า
“เจ้าคงเหนื่อยแล้วสินะ ต้นไม้ของข้า” มันพูดเบา ๆ ขณะยืนอยู่บนกิ่งที่เคยห้อยผลไม้มากมาย “ข้าไม่โกรธหรอก ข้ารู้ว่าทุกสิ่งมีเวลา”
แม้ไม่มีผลให้กิน แม้จะหิวในบางวัน แต่นกแก้วก็ไม่เคยคิดจะจากไป มันยังคงอยู่ ร้องเพลงเบา ๆ ในยามเช้า เกาะกิ่งเดิมที่มันคุ้นเคย และมองฟ้าด้วยสายตาที่ไม่แสวงหาอื่นใด
“เพราะเจ้าคือมิตรของข้า เจ้าคือบ้านของข้า” มันย้ำกับตนเองเช่นนั้น แม้ใจจะรู้ว่าป่านี้ยังมีต้นไม้ที่ดกผลกว่า งดงามกว่า และเย็นกว่านี้อีกมากนัก
แต่ความผูกพัน ไม่ได้เกิดจากความอุดมสมบูรณ์ หากเกิดจากวันคืนที่แบ่งปันกัน และนกแก้วไม่ลืมว่าวันหนึ่ง ต้นไม้ต้นนี้เคยให้ชีวิตแก่ตน

ในยามเช้าที่อากาศอ่อนเย็น แสงแดดแรกเริ่มทอผ่านยอดไม้ ลมเฉื่อยพัดใบไม้ให้ไหวเบา ๆ นกแก้วตื่นขึ้นตามปกติ มันยืนอยู่บนกิ่งที่เดิมแต่ไม่มีผลไม้ให้เก็บกิน มันหลับตา สูดลมหายใจลึก ๆ แล้วร้องเพลงด้วยเสียงนุ่มนวล แม้จะไม่มีใครฟัง
ห่างออกไปบนยอดไม้สูง มีนกอีกตัวหนึ่งบินลงมาเกาะบนกิ่งใกล้ ๆ เป็นนกขนาดกลาง สีขนเรียบ ไม่ฉูดฉาดนัก แต่นัยน์ตามีประกายลึก
“เจ้าร้องเพลงได้ไพเราะนัก แต่ข้าเห็นว่าต้นไม้นี้ไม่มีผลไม้ให้เจ้าอีกแล้ว เหตุใดเจ้าจึงยังไม่จากไป?”
นกแก้วหันไปมอง แล้วตอบอย่างเรียบง่าย “ต้นไม้นี้เลี้ยงดูข้ามาหลายปี ให้ที่อยู่ ให้เงา ให้ผลไม้ ข้าเคยอิ่มอยู่กับมันทุกฤดู ข้าจะทอดทิ้งมันเพียงเพราะมันแก่เฒ่าแล้วหรือ? ข้าทำไม่ลง”
นกอีกตัวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนแววตาจะเปลี่ยนไป สีขนสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายเปล่งประกายอ่อน ๆ แล้วเปลี่ยนร่างกลับกลายเป็นเทพองค์หนึ่งที่มีรัศมีเรืองรอง
นกแก้วเบิกตากว้าง มันไม่เคยคิดว่าสิ่งที่พูดจากใจจะถูกฟังโดยผู้ที่อยู่เหนือสรรพสิ่ง
“เจ้ามีน้ำใจมั่นคง ซื่อสัตย์ และกตัญญูยิ่งนัก” เทพตรัสด้วยเสียงอ่อนโยน “ข้ายินดีจะให้พรแก่เจ้า เจ้าปรารถนาอันใด จงบอกมาเถิด”
นกแก้วไม่ได้รีรอที่จะขอสิ่งใดให้แก่ตน มันยกหัวขึ้นเล็กน้อย ตอบด้วยเสียงแน่วแน่
“ข้าไม่ขออะไรให้แก่ตัวเอง ข้าขอเพียงสิ่งเดียว… ขอให้ต้นไม้นี้ กลับมาออกผลได้อีกครั้ง”
เทพยิ้มกว้าง ประทานพรโดยไม่ลังเล แสงแห่งพลังแผ่ซ่านออกจากมือของท่าน ละอองสีทองโปรยปรายลงสู่พื้นดินและกิ่งไม้ และในพริบตานั้นเอง กิ่งที่แห้งกลับเปียกชื้น ใบที่ซีดกลับเขียวสด และผลมะเดื่อลูกเล็กลูกน้อยเริ่มทยอยผลิขึ้นตามปลายกิ่ง
เสียงลมเปลี่ยนไป กลิ่นของผลไม้ลอยขึ้นในอากาศ และนกแก้วมองด้วยดวงตาที่เอ่อล้น แม้ไม่มีน้ำตา แต่มันก็พูดอะไรไม่ออก
“ขอบคุณ… ขอบคุณแทนต้นไม้ ขอบคุณแทนความผูกพัน”
ต้นมะเดื่อส่งเสียงกรอบแกรบจากใบไม้ เหมือนกำลังหัวเราะเงียบ ๆ กับสายลม
จากวันนั้นเป็นต้นมา นกแก้วยังคงอยู่กับต้นไม้เดิม กินผลไม้ที่ไม่ต้องขอ ไม่ต้องร้องขอให้ใครสงสาร และไม่เคยลืมเลยว่า พรที่แท้จริง ไม่ได้มาจากเทพ แต่เกิดจากความไม่ทอดทิ้งในวันที่ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่แล้ว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความซื่อสัตย์ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน คือความงามที่เปล่งประกายที่สุดในวันที่ไม่มีใครเห็น
เมื่อนกแก้วไม่ทอดทิ้งต้นไม้ แม้ยามที่มันไม่มีอะไรให้ตอบแทนอีกต่อไป มันไม่ได้หวังผลใดกลับมา แต่นั่นเอง กลับกลายเป็นเหตุให้สิ่งที่ตายแล้วฟื้นคืนอีกครั้ง เพราะบางครั้ง ความรักแท้ ไม่ใช่การได้สิ่งใดจากกัน แต่คือการไม่ทิ้งกัน… แม้ในวันที่ไม่มีอะไรให้เลย
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องนกแก้วผู้ซื่อสัตย์ (อังกฤษ: The Faithful Parrot) จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน โดยมีเนื้อหาสะท้อนให้เห็นถึงความกตัญญู ความซื่อสัตย์ และการไม่ทอดทิ้งสิ่งที่เคยเกื้อหนุน แม้ในยามที่อีกฝ่ายไม่สามารถให้ประโยชน์ใดได้อีก
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุบางรูปแสดงความเบื่อหน่ายต่ออุปัชฌาย์อาจารย์ผู้ชราภาพ ไม่ยอมดูแล ไม่ไปเยี่ยม ไม่ช่วยเหลือ ด้วยเห็นว่า “หมดประโยชน์แล้ว” พระองค์จึงตรัสเล่าถึงชาติก่อน ที่พระองค์ได้เสวยชาติเป็นนกแก้ว และเลือกอยู่กับต้นไม้เดิม แม้มันจะแห้งไร้ผล เพราะจิตใจไม่อาจทอดทิ้งผู้เคยเลี้ยงดู
ชาดกเรื่องนี้จึงเตือนให้เห็นว่า ความผูกพันอันแท้จริง ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อทุกอย่างยังดีพร้อม หากปรากฏชัดที่สุดในวันที่ฝ่ายหนึ่งอ่อนแอ และอีกฝ่ายเลือกจะอยู่เคียงข้างต่อไป
“ผู้ที่ไม่ทอดทิ้งในวันที่เราไร้ค่า… คือผู้ที่มีค่าที่สุดในวันที่เรากลับมา”