ในโลกนี้ ผู้คนมักแสวงหาความจริงผ่านสิ่งที่ตาเห็นและมือสัมผัส แต่คำสอนของเต๋ากลับชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่แท้จริงและยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น ไม่อาจจับต้องหรือบรรยายได้อย่างสิ้นเชิง เพราะมันดำรงอยู่เหนือรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสใด ๆ
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อเล่าผ่านประสบการณ์อันลึกซึ้งของผู้แสวงหาปัญญา ซึ่งได้เรียนรู้ว่าความว่าง ความลึกลับ และสิ่งที่มองไม่เห็น อาจเป็นประตูไปสู่ความจริงที่มั่นคงยิ่งกว่าภาพลวงที่อยู่ตรงหน้า กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องวิถีเต๋าที่ปรากฏผ่านหัวใจที่ว่างเปล่า

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องวิถีเต๋าที่ปรากฏผ่านหัวใจที่ว่างเปล่า
ยามหนึ่ง พลบดึก ข้ายังคงมุ่งหน้าเดินไปตามเส้นทางคดเคี้ยวของหุบเขา เช้าวันนั้นหมอกขาวหนาทึบปกคลุมไปทั่ว เหมือนโลกทั้งใบถูกคลุมด้วยผ้าขาวที่พร่ามัว ทุกย่างก้าวของข้าเต็มไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงลมพัดและเสียงน้ำจากลำธารที่ดังแผ่วเบาอยู่ข้างหู
ระหว่างที่ข้ากำลังคิดถึงความหมายของเต๋า สิ่งที่ลึกล้ำเกินกว่าจะจับต้อง สายตาของข้าไปสะดุดเข้ากับเงาร่างหนึ่งอยู่ริมลำธาร ร่างนั้นนั่งขัดสมาธิอย่างสงบใต้ต้นไม้ใหญ่
เป็นพระธุดงค์ชรา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอ่อนโยน ผมและเครายาวสีขาว แผ่วไหวไปตามสายลม
ข้าหยุดยืนและสังเกตอยู่นาน พระชรามิได้ขยับแม้แต่น้อย เขานิ่งราวกับภูเขา แต่กลับเปล่งแสงแห่งความสงบที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน
ข้าตัดสินใจเดินเข้าไป เอ่ยทักด้วยเสียงนอบน้อม “นมัสการ หลวงตา เหตุใดท่านจึงดูสงบเย็นราวกับไม่ถูกรบกวนจากสิ่งใดเลย ทั้งที่รอบกายล้วนเต็มไปด้วยความวุ่นวาย?”
พระธุดงค์ชราลืมตาช้า ๆ แววตาของเขาเหมือนสายน้ำที่ใสสะอาด ไม่มีการตัดสิน ไม่มีความหวั่นไหว ก่อนเอ่ยคำตอบสั้น ๆ แต่หนักแน่น “เพราะหัวใจของเราว่างเปล่า เมื่อหัวใจว่าง เต๋าจึงไหลเวียนได้โดยไม่ถูกกีดขวาง”
คำพูดนั้นสะกิดใจข้าอย่างแรง ข้าเองแม้ศึกษาคำสอนมานาน แต่ภายในยังเต็มไปด้วยความคิด ความสงสัย และความกังวลเสมอ ข้าเริ่มถามตนเองว่า…หัวใจที่แท้จริงของข้านั้น ว่างจริงหรือไม่?
ข้านั่งลงเคียงข้างพระธุดงค์ชรา ลมเย็นพัดมาอ่อน ๆ หมอกขาวปกคลุมลำธาร ทำให้ทุกสิ่งดูเหมือนความฝัน
ข้าเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “หัวใจว่าง…คือการไร้ความคิดใด ๆ ใช่หรือไม่? หากว่างจนสิ้น คงไม่ต่างจากความว่างเปล่าไร้ชีวิต”
พระธุดงค์ส่ายศีรษะช้า ๆ ยกมือแตะอกตนเอง แล้วกล่าวเสียงแผ่ว “ไม่ใช่ว่างจากชีวิต แต่เป็นว่างจากการยึดมั่น หัวใจว่างมิใช่ความขาดแคลน หากแต่เป็นพื้นที่กว้างใหญ่สำหรับสิ่งทั้งปวงจะดำรงอยู่ได้ โดยไม่กีดกัน ไม่ผลักไส”
คำตอบนั้นทำให้ข้าเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ข้ารู้สึกได้ว่า แม้ข้าจะเข้าใจเต๋าด้วยถ้อยคำ แต่ท่านผู้นี้เข้าใจเต๋าด้วยการดำรงชีวิต
ในขณะที่เราสนทนา จู่ ๆ ลมแรงพัดผ่านทั่วหุบเขา หญ้าทั้งหุบเขาโอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนโยน ทว่าต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรงกลับถูกหักโค่นลงตรงหน้า ข้าตกตะลึงยืนมองภาพนั้น
ส่วนพระธุดงค์เพียงยิ้มบาง ๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าจงดูเถิด สิ่งที่แข็งกระด้างย่อมแตกสลาย สิ่งที่อ่อนน้อมและโอนอ่อน กลับดำรงอยู่ได้อย่างยาวนาน หัวใจที่ว่างเปล่าก็เป็นเช่นนั้น”
ข้าเงยหน้ามองหมอกที่ค่อย ๆ จางลง รู้สึกว่าใจตนเองเริ่มสงบ เหมือนมีพื้นที่ใหม่ที่กว้างใหญ่ขึ้นมา ข้าเพิ่งเข้าใจว่า “หัวใจว่าง” มิได้หมายถึงการสูญสิ้น หากแต่คือการคืนพื้นที่ให้เต๋าได้เผยตัวออกมาเอง

หลังจากที่ต้นไม้ใหญ่หักโค่น ความเงียบก็คืบคลุมทั่วหุบเขา เหลือเพียงเสียงน้ำไหลกับเสียงนกที่บินผ่าน พระธุดงค์ชรายังนั่งนิ่ง ราวกับไม่ได้แปลกใจต่อเหตุการณ์เมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
ข้าพเจ้าจึงถามอีกครั้ง “หากหัวใจว่างเปล่าดังที่ท่านว่า แล้วสิ่งที่เราเรียกว่า ‘เต๋า’ นั้นเป็นเช่นไร? เหตุใดเราจึงจับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่กลับกำหนดทุกสิ่งได้?”
พระธุดงค์ยกดวงตาอันลึกซึ้งขึ้นมามองท้องฟ้า แล้วกล่าวช้า ๆ “เต๋า… เป็นเหมือนเงาที่ไม่มีต้นกำเนิด เหมือนรากที่ไม่มีใครเห็น แต่เลี้ยงดูทุกสิ่งให้เติบโต เจ้าจะหามันด้วยตา หรือสัมผัสมันด้วยมือไม่ได้ แต่เจ้าจะเห็นร่องรอยของมันในสิ่งทั้งหลาย”
ข้าหยุดคิดตาม ภาพใบไม้ที่ผลิแตกใหม่ ลำธารที่ไหลไปอย่างไม่มีวันสิ้น หรือแม้แต่ชีวิตของข้าเอง ทุกสิ่งต่างก็มีบางสิ่งหล่อเลี้ยงและเชื่อมโยงอยู่โดยไม่เห็นตัวตน
พระธุดงค์ย้ำเสียงหนักแน่น “เต๋าเป็นความจริงที่ดำรงอยู่ตลอดกาล แม้คนจะลืม แม้คนจะไม่รู้จัก แต่มันก็ไม่เคยดับสูญ”
คำพูดนั้นเสมือนแสงสว่างแหวกผ่านหมอกที่ยังคลุมใจข้าอยู่ ข้าเริ่มเห็นว่า สิ่งที่เรียกว่าความว่างมิใช่ความสูญสิ้น แต่เป็นที่ว่างที่เปิดออกเพื่อให้เต๋าแสดงออกมา
ตกค่ำวันนั้น ฟ้าดำสนิท ดาวน้อยใหญ่ส่องแสงอยู่เหนือยอดเขา พระธุดงค์จุดตะเกียงน้ำมันเล็ก ๆ วางไว้ตรงหน้า แสงไฟอ่อนโยนไหวระริกท่ามกลางความมืดกว้างใหญ่
พระธุดงค์เอ่ยขึ้น “ดูเถิด ความมืดนั้นกว้างใหญ่เพียงใด แต่แสงเล็ก ๆ ก็สามารถเผยตัวตนของมันได้ เต๋าก็เช่นกัน มันดำรงอยู่ในความมืดและความไม่รู้ แต่เมื่อเจ้าเปิดหัวใจว่าง มันก็เผยออกมาดั่งแสง”
ข้านั่งฟังด้วยใจสงบ รู้สึกว่าแต่ละถ้อยคำเป็นเหมือนสายน้ำที่ไหลเข้าสู่ใจ ข้าเริ่มไม่พยายาม “เข้าใจ” เต๋าอีกต่อไป แต่เพียงปล่อยให้มันแผ่วผ่านหัวใจเหมือนสายลม
พระธุดงค์หลับตาเข้าสมาธิ ท่ามกลางหมอกที่ยังลอยอ้อยอิ่ง ข้าพเจ้าเพียงนั่งเฝ้ามอง รู้สึกว่าแม้จักรวาลจะกว้างใหญ่และลี้ลับเพียงใด ข้าก็มิได้แปลกแยกจากมันอีกต่อไป
ในความเงียบนั้น ข้าเข้าใจว่า… เต๋าไม่ใช่สิ่งที่ต้องค้นหา หากแต่เป็นสิ่งที่เผยออกมาเอง เมื่อหัวใจของเราว่างพอที่จะรับมัน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความลึกซึ้งของ “เต๋า” ไม่อาจถูกอธิบายด้วยถ้อยคำหรือการมองเห็น แต่สัมผัสได้ด้วยใจที่ว่าง สงบ และเปิดกว้าง เต๋าเป็นรากฐานของสรรพสิ่ง เป็นความจริงที่ไม่เสื่อมสูญ และเป็นพลังที่ดำรงอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวทั้งหมดของโลก
ในนิทาน เล่าจื๊อได้เปรียบเสมือนพระชราผู้ธุดงค์ที่ค้นพบว่า สิ่งที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ กลับเป็นสิ่งที่แท้จริงที่สุด เขาเรียนรู้ว่าความว่างนั้นคือพื้นที่ที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นและคงอยู่ และแม้กาลเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน แต่แก่นแท้ของเต๋าก็ยังดำรงอยู่ไม่เสื่อมสูญ เหมือนสายน้ำที่ไหลไปไม่สิ้นสุด
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอนชีวิตผ่านปรัชญาวิถีเต๋าในรูปแบบนิทานอ่านง่าย ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องวิถีเต๋าที่ปรากฏผ่านหัวใจที่ว่างเปล่า (อังกฤษ: The Empty Heart, or The Dao in its Operation) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง บทที่ 21 ซึ่งกล่าวถึง “เต๋าในความดำเนินไปของมัน” เต๋าคือรากฐานของสรรพสิ่งทั้งหลาย แม้มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้ แต่เต๋ากลับเป็นพลังที่ค้ำจุนจักรวาล สิ่งที่เรามองเห็นล้วนเป็นเพียงเงาสะท้อนของความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องลึก เต๋าเป็นความจริงนิรันดร์ที่ไม่เสื่อมสูญไปตามกาลเวลา เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
หัวใจว่างเปล่าหรือเต๋าในธรรมชาติการดำเนินของมัน
พลังอันยิ่งใหญ่ที่สุดทุกอย่าง
เกิดจากเต๋า แหล่งกำเนิดเพียงหนึ่งเดียว
ใครจะบอกได้ว่าธรรมชาติของเต๋าเป็นอย่างไร?
สายตาของเรามองไม่เห็น สัมผัสก็ไม่ถึงหลบสายตา หลบสัมผัส
รูปร่างของสรรพสิ่งทั้งหลายซ่อนอยู่ภายใน
หลบสัมผัส หลบสายตา
นี่คือเงาของสิ่งต่าง ๆ อย่างแท้จริงลึกซึ้ง มืดมิด และลึกลับ
แก่นแท้ของสิ่งทั้งหลายอยู่ที่นั่น
แก่นเหล่านี้คือความจริง
ซึ่งเมื่อใดที่ปรากฏ ก็สามารถบอกเล่าได้เป็นเช่นนี้ในปัจจุบัน และเป็นเช่นนี้ตั้งแต่โบราณ
ชื่อของมัน ไม่เคยเลือนหาย
ดังนั้น ในการจัดเรียงอันงดงามของสิ่งทั้งหลาย
สิ่งต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นโดยไม่รู้จักความเสื่อมสลายข้าพเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือสัจธรรมของความงามทุกสิ่งที่มีอยู่?
ตอบได้เพราะธรรมชาติของเต๋า
เล่าจื๊อได้อธิบายว่า แม้เต๋าจะดูเลือนราง ดำมืด และยากจะเข้าใจ แต่ในความลึกซึ้งนั้นเองที่สรรพสิ่งทั้งหลายได้ถือกำเนิดขึ้น เขาเน้นว่าผู้ที่เข้าถึงแก่นของเต๋าจะสามารถมองเห็นความจริงที่ดำรงอยู่ในทุกสิ่ง ไม่หวั่นไหวไปตามรูปลักษณ์ภายนอก และรู้ว่าความงามและความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายล้วนเกิดจากพลังอันเดียวกันนี้
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนของเล่าจื๊อ โดยเล่าเรื่องพระธุดงค์ชราผู้เดินทางและค้นพบว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดมิใช่สิ่งที่จับต้องได้ แต่คือพลังแห่งความว่างและความสงบที่เชื่อมโยงสรรพสิ่งไว้ด้วยกัน เหมือนเต๋าที่ดำรงอยู่เบื้องหลังทุกการเปลี่ยนแปลง และเป็นความจริงอันไม่เสื่อมคลาย
คติธรรม: “สิ่งที่จับต้องได้ย่อมเสื่อมสลาย แต่สิ่งที่มองไม่เห็นต่างหากที่ค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวง”