ปกนิทานชาดกเรื่องโลกแตกสลาย

นิทานชาดกเรื่องโลกแตกสลาย

บางเรื่อง… ไม่ได้เกิดขึ้น แต่เพียงมีคนพูดว่ามันเกิดทุกอย่างก็เริ่มสั่นไหว เสียงหนึ่งอาจไม่ดังนัก แต่ถ้ามีคนฟัง แล้วส่งต่อโดยไม่ย้อนกลับไปดู เสียงนั้นก็อาจทำให้ทั้งโลกเหมือนจะ “แตกสลาย” มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง

ว่าด้วยกระต่ายตัวเล็กที่ไม่หันกลับไป และฝูงสัตว์ที่วิ่งหนีจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ จนกระทั่ง… ใครบางคนยอมเดินกลับไปดู กับนิทานชาดกเรื่องโลกแตกสลาย

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องโลกแตกสลาย

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องโลกแตกสลาย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางป่าใหญ่ที่สงบเย็น กระต่ายตัวหนึ่งนั่งหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มันไม่รู้ชื่อของต้นไม้ และไม่รู้ว่าต้นไม้ต้นนั้นอยู่มากี่ฤดูแล้วมันแค่นั่งอยู่เงียบ ๆ ในเงาร่มของใบไม้ที่พัดไหว

ขณะนั่งเงียบ จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจของมัน “ถ้าโลกแตกขึ้นมา…เราจะเป็นอย่างไร?” คำถามนั้นไม่มีคำตอบ มันไม่ได้กลัวทันที แต่รู้สึกแปลก ๆ เหมือนข้างในบางอย่างสั่นเล็กน้อย

มันมองท้องฟ้า มองพื้น มองรอบตัว ทุกอย่างยังอยู่ดี แต่มันยังคงคิด “ถ้าโลกหายไปจริง ๆ เราจะหล่นไปไหน?” และในระหว่างที่คำถามยังวนเวียนในใจ

พลันนั้นเอง เสียง ตุบ! ดังขึ้นจากด้านหลัง ผลไม้ขนาดใหญ่หล่นจากต้นกระแทกพื้นพอดี ไม่ห่างจากที่มันนั่ง

กระต่ายสะดุ้งสุดตัว หูตั้งตรง ดวงตาเบิกกว้าง แล้วมันก็ไม่หันไปมองข้างหลังเลยแม้แต่นิดเดียว มันคิดทันทีว่า “โลกแตกแล้วจริง ๆ !” แล้วพุ่งตัวออกวิ่งโดยไม่หยุด

เสียงฝีเท้าของมันดังลั่นไปตามทางหญ้า อีกกระต่ายที่อยู่ใกล้ได้ยินเสียงก็หันมามองเห็นเพื่อนวิ่งกระเจิง “เกิดอะไรขึ้น ?” มันถามขึ้น

“โลกแตก ๆ ๆ ! หนีเร็ว ๆ !” กระต่ายตัวแรกตะโกนโดยไม่หันกลับ

เพียงได้ยินเท่านั้น กระต่ายตัวที่สองก็วิ่งตามไปทันที แล้วกระต่ายตัวที่สาม สัตว์เล็ก สัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ ก็เริ่มแตกตื่นโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เสียงคำว่า “โลกแตก” ถูกส่งต่อเป็นทอด ๆ โดยไม่มีใครถามว่าใครเห็น หรือเกิดจากสิ่งใด ความกลัวแพร่กระจายเร็วกว่าเหตุผล… และเร็วกว่าความจริงเสมอ

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องโลกแตกสลาย 2

จากกระต่ายกลุ่มเล็ก ๆ ที่วิ่งโดยไม่ถามหาต้นเหตุ ฝูงสัตว์น้อยใหญ่ก็เริ่มแตกตื่นตามกันมา ไม่ว่าจะเป็นกวาง นกยูง ชะนี ลิง หรือแม้แต่หมูป่าที่ปกติไม่ใส่ใจอะไร ก็ยังตื่นวิ่งตามฝูงไปอย่างสับสน

ไม่มีใครหยุด ไม่มีใครถาม ทุกเสียงคือเสียงคำว่า “โลกแตก ๆ ๆ” ที่ถูกส่งต่อจากปากหนึ่งไปยังอีกหูหนึ่ง โดยไม่มีใครย้อนกลับไปมองต้นไม้ หรือมองดิน

เสียงฝีเท้ากระแทกพื้นพร้อม ๆ กันสะเทือนไปทั่วแนวป่า ฝูงสัตว์จำนวนมากวิ่งข้ามทุ่ง ข้ามเนิน ข้ามลำธารโดยไม่แม้แต่จะหยุดหายใจ

จนกระทั่งเสียงวิ่งนั้นผ่านหน้าสิงโตเจ้าป่า ผู้ซึ่งกำลังนั่งเงียบอยู่ใต้เงาไม้

สิงโตลืมตาช้า ๆ มองฝูงสัตว์ที่วิ่งผ่านแล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบ “เจ้าทั้งหลายวิ่งหนีอะไรกัน ?”

“โลกแตก! โลกกำลังแตกสลาย!” หลายเสียงตะโกนตอบ โดยไม่มีใครหันมามองแม้แต่ครั้งเดียว

สิงโตไม่ได้วิ่งตามฝูงสัตว์ แต่กลับวิ่งสวนทางกลับไปยังต้นทาง เขาถามซ้ำจนพบกระต่ายตัวแรกที่เริ่มเรื่อง

“เจ้าคนแรกหรือ ? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าโลกแตก ?”

กระต่ายตัวนั้นยืนหอบ แล้วตอบเสียงสั่น “ข้านั่งอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วอยู่ ๆ ก็มีเสียงดังมากจากด้านหลัง… ข้าคิดว่าโลกกำลังถล่ม… ก็เลยหนีมา… ”

สิงโตพยักหน้าเพียงเล็กน้อย ก่อนกล่าวสั้น ๆ ว่า “พาข้าไปที่ตรงนั้น”

เมื่อทั้งสองย้อนกลับไปยังใต้ต้นไม้ ก็พบว่ามีผลไม้ลูกใหญ่หล่นลงกระแทกพื้น เปลือกแตก แต่พื้นดินยังคงเหมือนเดิม

สิงโตจ้องมองผลไม้นั้นนิ่ง ๆ แล้วกล่าวเบา ๆ ว่า “เสียงนี้นั่นเอง… ที่เจ้าคิดว่าโลกกำลังแตก”

กระต่ายตัวนั้นค่อย ๆ นั่งลง ดวงตาค่อย ๆ หันกลับไปมองตัวเอง

วันนั้น สิงโตเรียกฝูงสัตว์ทั้งหมดให้กลับมาดูจุดเกิดเหตุ ทุกสายตาจ้องมองผลไม้ลูกเดียวที่หล่น และความจริงที่เรียบง่าย

ไม่มีใครพูดอะไรเลย ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงตำหนิ มีเพียงความเงียบที่ค่อย ๆ แทนที่เสียงวิ่งทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น

เพราะความจริง… ไม่ต้องพูดดังกว่า แค่ไม่วิ่งหนีเร็วไปกว่า “สิ่งที่ควรย้อนกลับไปดู”

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องโลกแตกสลาย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… บางครั้ง ความกลัวไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่มาจากการไม่หันกลับไปดูให้แน่ใจว่า “มันคืออะไร”

กระต่ายไม่ได้ผิดที่สะดุ้ง แต่ผิดที่เลือกวิ่งแทนการหันกลับ และเมื่อเสียงวิ่งถูกส่งต่อ ความจริงก็ถูกกลบด้วยคำว่า “เขาว่ามา”

สิ่งที่หยุดทุกอย่างได้ไม่ใช่คำสั่ง แต่คือสติที่กล้าพอกลับไปดูต้นเสียงด้วยตา ไม่ใช่ด้วยความตื่นตระหนกในใจ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องโลกแตกสลาย (อังกฤษ: The Earth Falling Apart) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมักใช้เรื่องเล่าเรียบง่ายเพื่อเตือนถึงพฤติกรรมของมนุษย์ที่สั่นคลอนเพียงเพราะ “สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น”

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุกล่าวถ้อยคำเกินจริงจนทำให้หมู่สงฆ์ตื่นตระหนก แม้เรื่องนั้นจะไม่มีมูล พระองค์จึงตรัสเล่าย้อนถึงอดีตชาติที่พระองค์เคยเป็นสิงโตผู้ใช้สติ พาฝูงสัตว์ทั้งป่าหยุดความกลัวที่ไร้ที่มา

ชาดกเรื่องนี้จึงเตือนให้เห็นว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงลือและความตื่นตระหนก บางที “ผู้กล้า” ไม่ใช่คนที่วิ่งเร็วกว่าใคร แต่คือคนที่กล้าหยุด ย้อนกลับไปดูต้นเสียง และเลือกเชื่อ “สิ่งที่ตนเห็นด้วยตา” แทนคำพูดที่ผ่านมาหลายปาก

“เมื่อความกลัวถูกส่งต่อ โดยไม่มีใครย้อนกลับไปดูต้นเหตุ สิ่งที่ไร้จริง… ก็กลายเป็นภัยได้จริงในใจของทั้งฝูง”


by