บางคนเงียบ… เพราะไม่มีอะไรจะพูด บางคนเงียบ… เพราะรู้ว่าพูดไปก็ไม่เปลี่ยนอะไร
แต่บางคนเลือกเงียบ… เพราะไม่อยากกลายเป็นอีกเสียงหนึ่ง ที่ใช้คำสั่งแทนความเข้าใจ
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยเจ้าชายผู้มีโอกาสจะได้ครองทั้งแผ่นดิน แต่กลับเลือกจะไม่พูด ไม่ยืน และไม่เป็น เพราะสิ่งที่เขาอยากครอง… ไม่ใช่อาณาจักร แต่คืออะไรติดตามต่อกับนิทานชาดกเรื่องเจ้าชายใบ้

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องเจ้าชายใบ้
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในแคว้นอันสงบแห่งหนึ่ง พระราชาและพระราชินีทรงครองราชย์ด้วยความเป็นธรรม แต่สิ่งเดียวที่ยังค้างอยู่ในใจของทั้งสองคือ การไร้โอรสผู้จะสืบทอดราชบัลลังก์
พระราชินีทรงเฝ้าอธิษฐานทุกค่ำคืน ขอให้ได้บุตรผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม แม้จะเพียงผู้เดียวก็ตาม
วันหนึ่ง ขณะพระราชินีกำลังสวดมนต์เงียบ ๆ ในพระลานหลวง นางก็ได้เปล่งวาจาขึ้นเบา ๆ ว่า “ขอให้ข้าได้โอรสผู้ไม่สร้างเวร ไม่จองเวร ไม่ทำให้ผู้ใดทุกข์”
และไม่นานนัก ความปรารถนานั้นก็เป็นจริง นางให้กำเนิดเจ้าชายผิวผ่อง ผู้มีดวงตาสงบนิ่งตั้งแต่ยังอยู่ในอ้อมแขนของมารดา
เจ้าชายเติบโตขึ้นท่ามกลางความรักของทั้งสองพระองค์ พระองค์ไม่ใช่เด็กพูดมาก ไม่ชอบต่อสู้ และมักชอบนั่งเงียบ ๆ ฟังเสียงใบไม้ไหวมากกว่าฟังเสียงผู้คนโต้เถียง
เมื่อเจ้าชายเริ่มเติบโต พระราชาก็เริ่มให้พระองค์เข้าเฝ้าในที่ประชุม ทรงหวังให้ลูกได้เรียนรู้การปกครอง
แต่ครั้งหนึ่ง เจ้าชายได้เห็นพระราชาตรัสโทษชายสองคนที่ทำผิดด้วยโทษหนัก คือการลงทัณฑ์ที่แม้จะชอบธรรมตามกฎหมาย แต่โหดร้ายในสายตาผู้มอง
เจ้าชายไม่ได้กล่าวคำใดในที่นั้น แต่ในใจกลับหวั่นไหวอย่างหนัก พระองค์ไม่อาจเข้าใจได้ว่า ทำไมผู้เป็นบิดาซึ่งใจดีต่อคนใกล้ชิด จึงสามารถลงโทษใครบางคนด้วยความเด็ดขาดเช่นนั้น
คืนนั้น เจ้าชายนั่งนิ่งอยู่ริมระเบียงนานกว่าปกติ เมื่อพระราชินีมาพบและถามว่าเป็นอะไร พระองค์เพียงยิ้มบาง ๆ แต่ไม่ตอบ
ในใจของเจ้าชายเริ่มชัดเจนว่า “หากวันหนึ่งข้าต้องเป็นกษัตริย์…ข้าคงต้องเลือกระหว่างการครองอำนาจ หรือการทำให้ผู้อื่นทุกข์”
และเมื่อไม่อาจยอมรับความเจ็บปวดที่ตนจะต้องเป็นผู้ก่อได้ เจ้าชายก็เริ่มคิดหาทางที่จะไม่ต้องเป็นกษัตริย์เลย

เมื่อความไม่ปรารถนาในอำนาจฝังแน่นในใจ เจ้าชายได้แอบไปปรึกษาพราหมณ์ผู้เคร่งขรึมในวัง ซึ่งมักกล่าวคำสั้น ๆ แต่หนักแน่น เจ้าชายถามว่า หากตนไม่อยากเป็นกษัตริย์เลย จะมีวิธีใดที่ไม่ต้องปฏิเสธต่อหน้าผู้เป็นบิดา
พราหมณ์ตอบเพียงว่า “หากคนมองว่าเจ้าไร้ความสามารถ…เขาย่อมไม่มอบภาระใดให้เจ้า”
จากนั้นไม่นาน เจ้าชายก็เริ่มเปลี่ยนไป พระองค์ไม่พูด ไม่แสดงความเห็น ไม่แม้แต่สบตากับใครในที่ประชุม แม้เมื่อถูกถาม ก็เพียงนิ่งและยิ้มเล็กน้อย
จากวันเป็นเดือน และจากเดือนเป็นปี ทุกคนเริ่มพูดกันว่า เจ้าชายมีอาการผิดปกติ บ้างว่าไม่สมประกอบ บ้างว่าป่วยทางใจ แม้แต่พระราชาและพระราชินีเองก็เริ่มหมดหวังที่จะได้เห็นโอรสของตนสืบบัลลังก์
จนวันหนึ่ง พระราชาเรียกข้ารับใช้คนสนิทแล้วกล่าวเบา ๆ ว่า “หากเขาไม่มีความสุขในโลกนี้…จงช่วยเขาจากทุกข์นั้นเสียเถิด”
ข้ารับใช้มิได้ถามคำใด เขาคุกเข่ารับคำสั่ง แล้วถือดาบเงียบ ๆ เดินไปยังห้องของเจ้าชายในยามค่ำ
เมื่อข้ารับใช้ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมสีหน้าอึดอัด เจ้าชายเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตายังสงบเช่นเคย แต่ในครั้งนี้ พระองค์พูดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
“เจ้าจะฆ่าข้าใช่ไหม… เพราะข้าแสร้งเป็นผู้ไม่สมบูรณ์”
ข้ารับใช้ตกใจจนเกือบทำดาบหลุดมือ เจ้าชายจึงเล่าความทั้งหมดให้ฟัง ตั้งแต่วันที่เห็นโทษทัณฑ์จนถึงคำแนะนำของพราหมณ์
เมื่อทุกอย่างจบลง เจ้าชายก็กล่าวเพียงว่า “ข้าไม่อยากฆ่าใคร และไม่อยากให้ใครต้องฆ่าข้า”
รุ่งเช้า เจ้าชายเข้าเฝ้าพระราชาและพระราชินี พระองค์ก้มกราบทั้งสองแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ใช่คนป่วย…แต่ข้าไม่อยากเป็นผู้ตัดสินชีวิตใคร ข้าขอออกจากวังนี้ ไปหาสันติที่ไม่ต้องมีอำนาจ”
พระราชาและพระราชินีมิได้กล่าวคำห้ามใด มีเพียงน้ำตาเงียบ ๆ ที่ไหลลงข้างแก้ม และคำอวยพรจากหัวใจที่ไม่ยึดเหนี่ยว
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองพระองค์ก็สละราชสมบัติเพื่อติดตามโอรสออกบวช ใช้ชีวิตเงียบ ๆ ในป่าเล็กแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากเสียงผู้คน
ไม่มีใครได้ยินเสียงเจ้าชายอีกเลย แต่ในความเงียบนั้น… กลับมีคนมากมายจดจำเขาได้อย่างไม่รู้ลืม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การไม่พูดอะไร ไม่ได้แปลว่าไม่รู้ และการไม่รับอำนาจ… ไม่ได้หมายความว่าเราอ่อนแอ
เจ้าชายในเรื่องไม่ได้เงียบเพราะกลัว หากแต่เงียบเพราะเข้าใจว่า อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อาจไม่ใช่อำนาจในการปกครองคน แต่คืออำนาจในการปกครองใจตน ให้ไม่ต้องเป็นสิ่งที่ใจไม่ยินยอม… แม้ทั้งโลกจะยินดีให้เป็น
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องเจ้าชายใบ้ (อังกฤษ: The Dumb Prince) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ ซึ่งมักสะท้อนการตัดสินใจบนเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างความคาดหวังของผู้อื่น กับเสียงเงียบ ๆ ที่ดังอยู่ในใจของตน
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งถูกกล่าวหาว่า “ขาดศักยภาพ” เพราะเงียบ ไม่แสดงตน ไม่ร่วมแสดงความคิดเห็นกับหมู่คณะ พระองค์จึงตรัสเล่าถึงอดีตชาติของตน เมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายผู้เลือกจะเงียบ เพื่อไม่ให้ถูกผลักเข้าสู่อำนาจที่ตนไม่ศรัทธา
ชาดกเรื่องนี้จึงเตือนให้เห็นว่า ความเงียบไม่ได้เป็นเพียงการหนี แต่อาจเป็นการยืนหยัดในสิ่งที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำ และบางการสละ… ไม่ได้เพราะยอมแพ้ แต่เพราะรู้ว่าเราไม่ควรชนะในสิ่งที่เราไม่เคยอยากได้เลยตั้งแต่ต้น
“บางครั้ง…ความกล้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการไม่ก้าวขึ้นยืนในที่ที่คนทั้งโลกอยากให้เราไป”