ปกนิทานชาดกเรื่องมือกลอง

นิทานชาดกเรื่องมือกลอง

บางครั้ง… สิ่งที่ดังที่สุด อาจไม่ใช่สิ่งที่คนฟังเชื่อถือ แต่อาจเป็นสิ่งที่ทำให้คนเงียบและถอยห่าง มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยพ่อผู้รู้จังหวะ และลูกผู้รู้เพียงจังหวะของตนเอง

แต่ไม่รู้เลยว่า… เสียงกลองที่เขาตี ไม่ได้ทำให้คนฟัง “กลัว” แต่อาจทำให้สิ่งที่ควรหลบ…ได้ยินชัดขึ้นกว่าเดิม กับนิทานชาดกเรื่องมือกลอง

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องมือกลอง

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องมือกลอง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองชนบทแห่งหนึ่ง มีชายชราคนหนึ่งซึ่งมีอาชีพตีกลอง เขาไม่ได้ร่ำรวย แต่มีฝีมือจนเป็นที่นับถือของผู้คนในหลายหมู่บ้าน

ลูกชายของเขาเพิ่งเริ่มเรียนรู้การตีกลองจากพ่อ และหวังว่าจะได้เป็นนักตีกลองที่เก่งเช่นเดียวกัน

วันหนึ่ง มีเทศกาลใหญ่ในเมืองใกล้ ๆ พ่อจึงชวนลูกเดินทางไปพร้อมกัน

เพื่อนำกลองของตนไปแสดง และหารายได้กลับบ้าน “เจ้าอยากรู้ว่ากลองของเราทำให้คนยิ้มได้อย่างไร ก็ต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง” พ่อพูดด้วยรอยยิ้ม

ลูกชายตอบอย่างตื่นเต้นว่า “ข้าจะตีกลองดัง ๆ ให้คนทั้งเมืองได้ยินเลยทีเดียว” แล้วก็รีบช่วยพ่อแบกกลองออกเดินทางทันที

เมื่อถึงงานเทศกาล ทั้งสองแสดงฝีมือได้อย่างน่าประทับใจ ผู้คนมามุงดู และโยนเหรียญให้แทบไม่ขาดสาย เสียงกลองของพ่อลุ่มลึก หนักแน่น ส่วนลูกชายแม้ยังใหม่ แต่ก็ตีกลองด้วยจังหวะที่สดใสและมั่นใจ

เมื่อค่ำลง งานก็สิ้นสุด ทั้งสองเก็บเงินได้มากกว่าที่คาดไว้ “วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก” พ่อกล่าวกับลูกชาย พลางเก็บเหรียญใส่ผ้าอย่างระมัดระวัง

ทั้งสองออกเดินทางกลับขณะฟ้ายังมืดสลัว แต่ระหว่างทางต้องผ่านป่ารกแห่งหนึ่ง ซึ่งขึ้นชื่อว่าเคยมีโจรซ่อนอยู่ ลูกชายเริ่มรู้สึกประหม่า จึงพูดขึ้นว่า “พ่อ ถ้าข้าตีกลองดัง ๆ โจรอาจจะกลัวก็ได้”

พ่อมองลูกแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย “การส่งเสียงให้ดัง ไม่ได้ทำให้คนกลัวเสมอไป บางครั้ง… มันอาจบอกตำแหน่งของเราชัดกว่าเดิม”

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องมือกลอง 2

แม้พ่อจะเตือนแล้ว แต่ลูกชายยังคงไม่มั่นใจ เขาคิดในใจว่า “หากโจรได้ยินเสียงกลอง พวกมันคงคิดว่าเป็นทหารหรือขบวนใหญ่แน่ ๆ”

จากนั้นเขาก็เริ่มตีกลองเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ เสียงก้องสะท้อนเข้าไปในป่าราวกับจะประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่าพวกเขากำลังเดินทางผ่าน

พ่อหันมามองลูกอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดว่า “หากเจ้าจะตีจริง ๆ…จงตีให้เหมือนขบวนหลวงกำลังเคลื่อนผ่าน ไม่ใช่เด็กที่กำลังตีกลองด้วยความคึกคะนอง”

แต่ลูกกลับตอบเบา ๆ ว่า “ข้าคิดว่าเสียงแบบนี้น่ากลัวกว่า” แล้วก็ไม่หยุดตีแม้พ่อจะนิ่งเงียบ

ในเงามืดของป่าลึก กลุ่มโจรที่หลบซ่อนอยู่ได้ยินเสียงกลองดังนั้น พวกมันหันมามองหน้ากัน แล้วหัวเราะเบา ๆ “เสียงกลองเช่นนี้ ไม่มีทหารที่ไหนตีแน่ มีเพียงพวกบ้านนอกที่ไม่รู้กาละ”

โจรไม่ลังเล พวกมันลอบเข้าใกล้ทั้งสองจากด้านหลัง และในชั่วพริบตา ก็จู่โจมเข้ามาด้วยมีดไม้และเสียงตะโกน สองพ่อลูกไม่มีโอกาสแม้แต่จะหนี พวกโจรค้นตัวและริบเงินทั้งหมดไปโดยไม่เหลือแม้แต่เหรียญเดียว

เมื่อลับโจรไป พ่อยังคงนั่งนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ส่วนลูกชายก้มหน้าด้วยความอับอาย “พ่อ…ข้า ข้าไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้”

พ่อเพียงถอนหายใจ แล้วกล่าวอย่างเรียบง่ายว่า “หากเจ้าเพียงตั้งใจฟังมากกว่าตีเสียงให้ดัง…วันนี้เราคงได้กลับบ้านพร้อมเงิน”

ลูกชายไม่กล้าตอบอะไรอีก เขารู้ว่าเงินที่หายไปไม่ใช่สิ่งเดียวที่สูญไป แต่คือโอกาสในการพิสูจน์ว่าเขาพร้อมจะเป็น “มือกลอง” ไม่ใช่เพียง “ผู้ที่ตีเสียงดัง”

คืนนั้น ทั้งสองเดินกลับบ้านด้วยความเงียบ เงียบยิ่งกว่าเสียงใดที่กลองเคยทำได้

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องมือกลอง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… เสียงที่ดัง ไม่ใช่เสียงที่ทำให้คนเกรง และการตัดสินใจที่ดี… ไม่จำเป็นต้องมาจากความกล้า แต่อาจมาจากความนิ่ง ที่ยอมฟังคนที่เคยเดินมาก่อน

มือกลองที่ตีเสียงเก่ง อาจยังไม่ใช่มือกลองที่เข้าใจจังหวะ บางครั้ง… สิ่งที่เราตีออกไป ด้วยความคิดว่า “น่าจะดี” คือเสียงที่บอกตำแหน่งของความพลาด… ให้ดังที่สุด

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องมือกลอง (อังกฤษ: The Drummers) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวด มนุสสชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ ซึ่งมักถ่ายทอดบทเรียนผ่านความสัมพันธ์ระหว่างผู้รู้กับผู้ฟัง ผู้ผ่านทางกับผู้เริ่มต้น โดยไม่ต้องพึ่งพาปาฏิหาริย์หรืออำนาจใด

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อภิกษุรูปหนึ่งทำการใด ๆ อย่างใจร้อน ทั้งที่มีผู้เตือนแล้ว แต่ยังยืนยันว่าตนเข้าใจดี โดยไม่รับฟังคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ พระองค์จึงตรัสเล่าย้อนถึงอดีตชาติ ที่พระองค์เสวยชาติเป็นบิดาผู้มีสติปัญญา และพยายามเตือนลูกผู้ยังหลงคิดว่า “เสียงของตน” คือคำตอบของทุกอย่าง

ชาดกเรื่องนี้จึงเตือนให้เห็นว่า การได้ “เปล่งเสียง” ไม่เท่ากับการ “รู้จังหวะ” และเสียงที่ดังที่สุด… อาจเป็นเสียงที่ทำให้ทุกอย่างเงียบลงที่สุดในตอนจบ

“อย่ามัวแต่ตีเสียงให้ดัง… จนไม่ได้ยินเสียงของคนที่พยายามเตือนเรา”


by