ปกนิทานชาดกเรื่องศิษย์ผู้ไม่เคยเชื่อฟัง

นิทานชาดกเรื่องศิษย์ผู้ไม่เคยเชื่อฟัง

บางโอกาสที่เราปฏิเสธ อาจไม่หวนกลับมาอีก และบางคำสอนที่เราเคยละเลย…อาจกลายเป็นสิ่งเดียวที่เราเสียดายเมื่อสายเกินไป มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยศิษย์ผู้ไม่เชื่อฟังครู

เขาไม่เคยฟัง ไม่เคยเรียน และไม่เคยคิดว่าสิ่งใดสำคัญ จนวันที่เขาต้องยืนอยู่ตามลำพัง… โดยไม่มีใครเหลือให้ถามว่า ควรทำอย่างไร กับนิทานชาดกเรื่องศิษย์ผู้ไม่เคยเชื่อฟัง

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องศิษย์ผู้ไม่เคยเชื่อฟัง

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องศิษย์ผู้ไม่เคยเชื่อฟัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ สำนักแห่งหนึ่ง มีอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงมากในหมู่บ้านและเมืองใกล้เคียง ท่านมีลูกศิษย์หลายคน

ซึ่งแต่ละคนล้วนเคารพในวิชาและคำสอนของท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่ในหมู่ศิษย์เหล่านั้น กลับมีอยู่ผู้หนึ่งชื่อภาณุ ที่แตกต่างจากคนอื่นโดยสิ้นเชิง

ภาณุไม่เคยตั้งใจเรียน ไม่ใส่ใจในคำสอน และไม่สนใจสิ่งใดนอกจากการกินและก่อเรื่องกับเพื่อนร่วมสำนัก

เวลาที่อาจารย์พูดสอน เขามักนั่งเหม่อ หรือพูดแทรกโดยไม่สนใจว่าใครจะได้ยินหรือไม่ บางครั้งเขายังล้อเลียนเพื่อน ๆ และทำให้การเรียนการสอนต้องหยุดชะงักอยู่บ่อยครั้ง

อาจารย์เคยเรียกภาณุมาว่ากล่าวหลายครั้ง แต่ทุกครั้งภาณุกลับตอบด้วยสีหน้าไม่สำนึก “ข้าก็ไม่ได้อยากเป็นนักปราชญ์อะไร แค่อยากมีข้าวกินก็พอแล้ว” ทำให้อาจารย์รู้สึกเหนื่อยใจมากขึ้นทุกวัน

เมื่อวันเวลาผ่านไป พฤติกรรมของภาณุก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง อาจารย์เริ่มรู้สึกว่าการเก็บเขาไว้ในสำนัก อาจเป็นผลเสียต่อศิษย์คนอื่น ๆ มากกว่าผลดี

วันหนึ่ง หลังจากที่ภาณุสร้างเรื่องทะเลาะวิวาทจนศิษย์คนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ อาจารย์ก็เรียกเขามาเฝ้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ภาณุ…ข้าเตือนเจ้ามาหลายครั้งแล้ว แต่เจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงใด ๆ สำนักนี้มีไว้ให้ผู้ใฝ่เรียน ไม่ใช่ที่พักของผู้เกียจคร้าน”

ภาณุยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ถ้าอาจารย์ไม่ต้องการข้า ก็ไม่เป็นไร ข้าไปเองก็ได้” จากนั้น เขาก็เก็บของเพียงเล็กน้อยที่มี แล้วออกจากสำนักโดยไม่มีจุดหมายในใจ

เขาเดินเรื่อยไปตามทาง ฝ่าแดด ฝ่าฝน ด้วยความเหนื่อยล้า และเริ่มรู้สึกหิวขึ้นทุกขณะ เขาไม่มีเงิน ไม่มีที่อยู่ และไม่มีใครให้พึ่งพาอีกต่อไป

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องศิษย์ผู้ไม่เคยเชื่อฟัง 2

หลังจากเดินทางเร่ร่อนไปหลายวัน ภาณุก็มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาเห็นว่ามีคนรับจ้างทำงานอยู่มากมาย

จึงไปขอสมัครเป็นกรรมกร เพียงเพื่อแลกกับอาหารและที่นอน เขาทำงานหนักอยู่หลายวัน จนเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวบ้าน

วันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งถามขึ้นว่า “เจ้าเคยอยู่ที่ไหนมาก่อนถึงมาทำงานเช่นนี้”

ภาณุตอบด้วยความรู้สึกปนโอ้อวดว่า “ข้าเคยเป็นศิษย์ของอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงแห่งสำนักทางเหนือ” ชาวบ้านได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกทึ่ง และเริ่มเล่าต่อกันไป

ไม่นานนัก ข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน ว่ามีผู้เคยเป็นศิษย์ของอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักมาทำงานอยู่ที่นี่ หลายคนเริ่มเข้ามาถามคำปรึกษาในเรื่องต่าง ๆ

ตั้งแต่เรื่องค้าขาย การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงเรื่องครอบครัว ภาณุรู้สึกภูมิใจที่ได้รับความเคารพ จึงเริ่มให้คำแนะนำโดยไม่ลังเล

ช่วงแรก ๆ ชาวบ้านรู้สึกว่าคำแนะนำของภาณุดูชาญฉลาดและมั่นใจ แต่ไม่นานนัก พวกเขาก็เริ่มสังเกตเห็นผลเสียจากสิ่งที่ภาณุแนะนำ

บางครอบครัวทำตามแล้วขาดทุน บางรายเกิดความขัดแย้งกันเองเพราะเข้าใจผิดจากคำพูดของเขา

เมื่อเหตุการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น ชาวบ้านก็มารวมตัวกันและกล่าวกับภาณุว่า “หากเจ้าไม่มีความรู้จริง ก็อย่าพูดเหมือนรู้มาก เราเสียหายมากพอแล้ว” ภาณุพยายามอธิบาย แต่ไม่มีใครฟัง เขาจึงถูกไล่ออกจากหมู่บ้านไปอย่างไม่ไว้หน้า

ระหว่างเดินออกจากหมู่บ้าน ภาณุรู้สึกเสียใจและสำนึกในใจว่า “หากตอนนั้นเราตั้งใจเรียนจริง ๆ วันนี้ชีวิตคงไม่ต้องระหกระเหินเช่นนี้” เขาหยุดยืนมองท้องฟ้า แล้วหลับตาลงด้วยความรู้สึกผิดที่ลึกเกินจะแก้ไข

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องศิษย์ผู้ไม่เคยเชื่อฟัง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ปัญญาไม่อาจเกิดขึ้นจากชื่อเสียง หรือความใกล้ชิดกับผู้รู้ และการได้รับความเคารพ ไม่ได้แปลว่าเรามีคุณค่าจริง หากสิ่งที่เรายึดถือมา… ว่างเปล่าแต่ภายนอก

ภาณุไม่ได้ล้มเหลวเพราะไร้โอกาส แต่เพราะเขาไม่เคยเห็นค่าของโอกาสที่อยู่ตรงหน้า บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่า “ยังไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ตอนนี้” อาจกลายเป็นสิ่งที่เราเสียดายที่สุดในวันที่ไม่มีใครเหลือให้ถามอีกต่อไป

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องศิษย์ผู้ไม่เคยเชื่อฟัง (อังกฤษ: The Disobedient Student) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุสสชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ ซึ่งมักกล่าวถึงการเรียนรู้ ความเพียร และการยึดมั่นในคำสอนมากกว่าการใช้ฤทธิ์หรืออำนาจ พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งไม่สนใจในโอวาทของพระองค์ มักอ้างว่าเข้าใจดีอยู่แล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรมอย่างจริงจัง

พระองค์จึงตรัสเล่าย้อนถึงอดีตชาติ ที่พระองค์เคยเกิดเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง และมีลูกศิษย์คนหนึ่งที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำสอนใด ๆ จนในที่สุดต้องพลาดโอกาสสำคัญในชีวิต

ชาดกเรื่องนี้จึงเตือนให้เราเห็นว่า การได้อยู่ใกล้อาจารย์ ไม่เท่ากับการเรียนรู้จากอาจารย์ และไม่มีคำสอนใดมีค่า… หากผู้ฟังไม่เปิดใจรับด้วยความเคารพ

“อยู่ใกล้แสงสว่าง แต่ไม่ยอมเปิดตา… ย่อมมืดบอดไม่ต่างจากคนหลงทาง”


by