หลายคนเชื่อว่าการรู้มากคือหนทางสู่ปัญญา แต่ในความจริงของเต๋า กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะบางครั้ง “ความรู้” ที่เรายึดถืออาจกลายเป็นกรงขังที่ทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อถ่ายทอดผ่านเรื่องราวของหมอผู้รักษาโรคประหลาดแห่งจิตใจ ซึ่งทำให้ผู้คนเริ่มมองเห็นความหมายที่แท้จริงของ “การรู้ว่าตนยังไม่รู้” กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องโรคแห่งความรู้

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องโรคแห่งความรู้
ในยุคหนึ่งของแผ่นดินตงโจว มีเมืองใหญ่ชื่อ “จื้อเฉิง” เมืองแห่งความรู้
ที่นั่นมีตำราหนากองพะเนิน ห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงขลุกขลักของพู่กัน และผู้คนเดินถือม้วนกระดาษบนท้องถนนเหมือนถืออาวุธประจำตัว
ผู้ว่าราชการเมืองสั่งให้สร้าง “หอแห่งปัญญา” เพื่อเป็นศูนย์รวมของเหล่าผู้รู้ทั่วทั้งแผ่นดิน ทุกวัน ผู้คนจากแดนไกลแห่มาฟังบรรยายจากอาจารย์ใหญ่ผู้มีชื่อเสียง บ้างเถียงกันเรื่องเต๋า บ้างถกเรื่องฟ้าและดินหรือ และคัมภีร์อี้จิงอย่างเอิกเกริก
แต่ในความเอิกเกริกนั้น… เมืองกลับเริ่มป่วย
เด็กหนุ่มหลงเชื่อว่าความรู้คือการเอาชนะคนอื่น ครูผู้เฒ่าเริ่มภูมิใจกับชื่อเสียงของตนเองมากกว่าความจริง ข้าราชการยกตำรามาตัดสินผู้คนโดยไม่มองหัวใจของพวกเขา
ภายนอกเหมือนรุ่งเรือง ภายในกลับว่างเปล่า
จนวันหนึ่ง ท่ามกลางเสียงกลองเช้าของเมือง มีชายชราผมขาวเดินเท้าเข้ามาช้า ๆ เขาสวมชุดผ้าหยาบสีเทา ถือไม้เท้าไม้ไผ่ และมีเพียงรอยยิ้มเงียบ ๆ
“นั่นใครกัน?”
“คงเป็นนักเดินทางจากทางเหนือ เห็นว่าไม่มีตำรา ไม่มีศิษย์”
ไม่มีใครสนใจชายคนนั้นนัก เพราะในเมืองแห่งผู้รู้ ผู้ที่ไม่พูด ไม่แสดงความคิด ย่อมถูกมองว่า “ไม่รู้อะไรเลย”
แต่ไม่นาน มีคนสังเกตเห็นป้ายไม้เล็ก ๆ แขวนหน้ากระท่อมเก่าใกล้ทางเข้าตลาด บนป้ายนั้นเขียนไว้ด้วยพู่กันลายมือประหลาดว่า “สถานรักษาโรคแห่งความรู้ โดยหมอเต๋า”
ข่าวลือแพร่ไปทั่วเมืองว่ามีชายชรานามเล่าจื๊อผู้หนึ่งเปิดสถานรักษาแปลกประหลาดที่ไม่ใช้ยา ไม่ใช้เข็ม และไม่รับค่ารักษา
ผู้คนต่างหัวเราะกันไปทั่วว่า “คนบ้าแน่ ๆ!”
แต่มีบางคนที่เริ่มสงสัย… เพราะผู้ที่เข้าไปหาเล่าจื๊อ กลับออกมานิ่งเงียบ สีหน้าสงบเหมือนน้ำในบ่อ
วันหนึ่ง ปราชญ์หนุ่มผู้มีชื่อเสียงด้านการถกเถียงทางปรัชญา มาหาเขาด้วยรอยยิ้มมั่นใจ “ท่านหมอเต๋า ข้าอยากรู้ว่าท่านรักษาโรคแห่งความรู้ได้จริงหรือไม่ ข้าเป็นผู้ศึกษาคำสอนแห่งเต๋ามาหลายสิบปี รู้ทุกถ้อยคำของคัมภีร์เต๋า ท่านคิดว่าข้ายังมีโรคอะไรอีกหรือ?”
เล่าจื๊อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบเบา ๆ “ถ้าเจ้าหายหรือรู้ดีแล้ว เหตุใดเจ้าจึงมาหาข้า?”
ปราชญ์หนุ่มชะงัก “ข้า… ก็แค่อยากพิสูจน์คำสอนของท่าน”
เล่าจื๊อหัวเราะเบา ๆ “โรคแห่งความรู้ ไม่อาจรักษาด้วยถ้อยคำ หากเจ้ารู้แต่ไม่เห็นความไม่รู้ในใจตนเอง เจ้าก็ยังป่วยอยู่”
“หมายความว่าอย่างไร? ความไม่รู้คือสิ่งที่ต้องกำจัดไม่ใช่หรือ?” ชายหนุ่มถาม
“หาใช่เช่นนั้น” เล่าจื๊อตอบเสียงอ่อนโยน “ความไม่รู้คือหมอที่คอยเตือนเจ้า ว่ายังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ หากเจ้าไม่รู้ตัวว่าป่วย เจ้าจะไม่คิดรักษา โรคแห่งความรู้ก็เช่นเดียวกัน มันทำให้เจ้าคิดว่าตนเข้าใจหมดแล้ว จนปิดกั้นหนทางแห่งเต๋า”
ปราชญ์หนุ่มนิ่งไปนาน ในใจเขาเริ่มรู้สึกเหมือนมีมือใครกำลังเปิดประตูในความมืด
เขามองหน้าเล่าจื๊ออีกครั้ง เห็นเพียงรอยยิ้มบาง ๆ ที่ไม่ต้องการเอาชนะใคร และในรอยยิ้มนั้นเอง เขาเริ่มรู้สึกถึง “ความเงียบที่สอนมากกว่าคำพูด”

หลังจากวันนั้น ปราชญ์หนุ่มกลับมาหาเล่าจื๊อทุกวัน เขานั่งตรงข้ามเล่าจื๊อในศาลาไม้เก่า ที่มีเพียงกาน้ำร้อนและกลิ่นไม้หอมลอยคลุ้ง
แต่สิ่งที่เล่าจื๊อทำกลับมีเพียง “นั่งเงียบ”
วันแล้ววันเล่า ทั้งคู่จิบชาโดยไม่มีบทสนทนาใด ๆ ชายหนุ่มเริ่มร้อนใจ “ท่านไม่คิดจะสอนข้าบ้างหรือ? ข้ารอคำสอนอยู่”
เล่าจื๊อยิ้มบาง ๆ “ข้าได้สอนเจ้าทุกวันแล้ว เพียงแต่เจ้ามัวแต่รอฟังคำพูด จึงยังไม่ได้ยินสิ่งที่เต๋ากำลังพูดอยู่”
“เต๋าพูดหรือ?” เขาขมวดคิ้ว
“ใช่” เล่าจื๊อพูดพลางเทน้ำชา “มันพูดผ่านลมหายใจของเจ้า เสียงลมที่พัด ใบไม้ที่ไหว และแม้แต่ความเงียบระหว่างเราในตอนนี้ แต่เจ้ากลับฟังไม่ออก เพราะเจ้ามัวแต่รอฟังคำจากตำรา”
ปราชญ์หนุ่มนิ่งงัน ใจของเขาเริ่มสั่นไหว เหมือนผิวน้ำที่ถูกหยดน้ำแรกกระทบ
คืนนั้น เขากลับบ้านแต่หัวใจกลับไม่เหมือนเดิม
เขาเปิดตำราเต้าเต๋อจิงที่เคยอ่านจนขึ้นใจ พลิกไปบทหนึ่งที่ว่า “รู้แต่คิดว่ายังไม่รู้ นั่นคือยอดแห่งการรู้ ไม่รู้แต่คิดว่ารู้ นั่นคือโรคของใจ”
เขาอ่านมันอีกครั้ง… แล้วอีกครั้ง… แต่คราวนี้ ตัวอักษรดูเปลี่ยนไป เหมือนคำพูดนั้นไม่ได้กล่าวถึงผู้อื่นอีกต่อไป แต่มันกำลังพูดถึงเขาเอง
ในความเงียบของห้อง ศิษย์ผู้เคยมั่นใจในตนเองที่สุด ได้ยินเสียงหนึ่งในใจตนเองเบา ๆ
“ข้ารู้มากเหลือเกิน… แต่ไม่เคยรู้จักใจตนเลย”
รุ่งเช้า ปราชญ์หนุ่มกลับไปหาเล่าจื๊ออีกครั้ง คราวนี้เขาคุกเข่าลง “ท่านอาจารย์ ข้าขออภัย… ข้าเคยคิดว่าตนเข้าใจเต๋าแล้ว แต่แท้จริงข้าเพียงจำคำของเต๋าได้ ไม่ได้เข้าใจเลย”
เล่าจื๊อเพียงพยักหน้าเบา ๆ “เมื่อเจ้ารู้ว่าตนยังไม่รู้ โรคของเจ้าก็เริ่มหายแล้ว”
ชายหนุ่มเงยหน้ามองเล่าจื๊อ “แล้วผู้ใดกันที่หายขาดจากโรคนี้ได้จริง?”
เล่าจื๊อหัวเราะเบา ๆ “ไม่มีใครหายขาดหรอก ข้าเองก็ยังต้องระวังมันอยู่เสมอ โรคแห่งความรู้เหมือนเงา มันจะกลับมาทุกครั้งที่เจ้าเริ่มภูมิใจกับสิ่งที่เจ้ารู้ เพราะเต๋าไม่อาจอยู่ในใจที่อวดดีได้”
เขาลุกขึ้นเดินไปเทน้ำชาอีกถ้วย “เต๋าไม่ต้องการผู้รู้มากมาย แต่ต้องการผู้ที่รู้จักไม่รู้มากพอ”
ปราชญ์หนุ่มหลับตา ฟังเสียงชาที่ไหลลงถ้วย เสียงนั้นช่างเรียบง่าย… แต่กลับก้องกังวานในใจ
เมื่อเขาเปิดตาอีกครั้ง เล่าจื๊อนิ่งเงียบไปแล้ว เหลือเพียงควันจากกาน้ำที่ลอยขึ้นสู่อากาศเบา ๆ
และในควันนั้นเอง เขาเหมือนเห็นรอยยิ้มของปราชญ์ผู้ไม่เคยโอ้อวดความรู้ของตน
วันต่อมา ป้ายหน้ากระท่อมของ “หมอเต๋า” ถูกลมพัดหล่นหาย แต่แทนที่จะรู้สึกเสียดาย ปราชญ์หนุ่มกลับหัวเราะเบา ๆ “บางที… ปราชญ์ท่านนั้นอาจไม่เคยต้องการให้ใครจำชื่อเขาเลย”
และทุกครั้งที่ใครหลงคิดว่าตน “รู้ดีแล้ว” คนในเมืองจะหัวเราะเบา ๆ แล้วเตือนกันว่า “อย่าให้โรคแห่งความรู้กลับมาอีกเลย”
ปราชญ์หนุ่มมองภาพนั้นด้วยความซาบซึ้ง นี่หรือ คือการรักษาโดยไม่ต้องจ่ายยา
และในใจเขา ได้ยินเสียงของอาจารย์ดังขึ้นอีกครั้ง “เต๋าไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องรู้ให้หมด แต่คือสิ่งที่เจ้าต้องว่างพอ เพื่อให้มันไหลผ่านเจ้าได้”
เพราะสิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าใครสอน แต่คือการที่เราเริ่มมองเห็นโรคแห่งความรู้ในใจตนเองต่างหาก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความรู้ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การรู้มากที่สุด แต่อยู่ที่การรู้เท่าทันความไม่รู้ของตนเอง เพราะเมื่อเรายอมรับว่าตนยังไม่รู้ เราจึงเปิดใจเรียนรู้ และไม่ถูกหลงนำโดยความมั่นใจจอมปลอม นี่คือแก่นของโรคแห่งความรู้ ที่เตือนให้มนุษย์รักษาจิตด้วยความถ่อมตน ไม่ใช่ด้วยการสะสมปัญญา
ในเรื่อง ปราชญ์หนุ่มได้พบเล่าจื๊อซึ่งเปรียบเสมือน “หมอแห่งเต๋า” ที่รักษาโรคแห่งความหลงรู้ในใจมนุษย์ เขาได้เรียนรู้ว่า ผู้ที่คิดว่ารู้หมดแล้วจะปิดประตูแห่งการเติบโต ขณะที่ผู้ที่ยอมรับความไม่รู้ของตน กลับเปิดประตูให้สติปัญญาใหม่ ๆ ไหลเข้ามาได้เสมอ ดังนั้น การรู้ที่แท้ไม่ใช่การเติมเต็ม แต่คือการปล่อยว่าง เพื่อให้เต๋าไหลผ่านและหล่อเลี้ยงจิตใจอย่างอ่อนโยน
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอนปรัชญาเต๋าจีนโบราณโดยปรมาจารย์เล่าจื๊อ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องโรคแห่งความรู้ (อังกฤษ: The Disease of Knowing) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 71 ซึ่งเล่าจื๊อกล่าวถึง “โรคแห่งความรู้” ภาวะที่มนุษย์หลงคิดว่าตนเข้าใจทุกสิ่ง ทั้งที่แท้จริงแล้วยังไม่รู้จักความจริงเลย การ “รู้แต่คิดว่ายังไม่รู้” คือความสำเร็จของปัญญา ส่วนการ “ไม่รู้แต่กลับคิดว่ารู้” คือโรคที่กัดกินจิตใจผู้คนอย่างลึกซึ้ง เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
โรคแห่งความรู้
การ “รู้แต่คิดว่าตนยังไม่รู้” นั่นคือความสำเร็จสูงสุดของการรู้จริง
ส่วนการ “ไม่รู้แต่กลับคิดว่ารู้” นั่นคือโรคที่กัดกินจิตใจมนุษย์เราสามารถหลุดพ้นจากโรคนี้ได้ ก็ด้วยการ “รู้ตัว” และ “เจ็บปวด” ที่เห็นความหลงของตนเอง เพราะเมื่อเราตระหนักถึงโรคแห่งความหลงรู้ เราก็เริ่มรักษามันได้แล้ว
ปราชญ์ไม่ติดอยู่ในโรคนี้ เพราะเขารู้ถึงพิษของมัน
เขารู้ว่า เมื่อใดที่ใจหลงคิดว่าตนเข้าใจหมดแล้ว เมื่อนั้นหนทางแห่งเต๋าก็ถูกปิดกั้น
ดังนั้น เขาจึงไม่หลงมั่นใจในปัญญาของตนเอง แต่กลับถ่อมตน ยอมรับว่าความรู้ของตนยังมีขอบเขตจำกัด และยังเปิดใจเรียนรู้อยู่เสมอความรู้แท้ไม่ได้อยู่ที่ “รู้มากแค่ไหน” แต่อยู่ที่ “รู้ว่าตนยังไม่รู้” เพราะเมื่อใจถ่อมตน เราจึงยังคงเปิดรับความจริง และอยู่ใกล้เต๋าเสมอ
เล่าจื๊อสอนว่า ความหลงรู้ทำให้ใจปิดกั้น ไม่สามารถรับฟังหรือเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ได้ ผู้ที่ถ่อมตนยอมรับความไม่รู้ของตน ย่อมรักษาจิตได้เหมือนหมอผู้รู้พิษของโรค เพราะเมื่อใจรู้เท่าทันหลง ก็เท่ากับเริ่มต้นการเยียวยาแล้ว ปราชญ์จึงไม่โอ้อวด ไม่ถือว่าตนรู้หมดทุกอย่าง แต่กลับเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เหมือนสายน้ำที่ไหลไม่หยุด
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว ผ่านภาพของ “หมอเต๋า” ผู้รักษาโรคแห่งจิตใจของมนุษย์ ที่หลงอยู่ในความคิดว่าตนเข้าใจทุกสิ่ง โดยแท้จริงแล้วได้เพียงปิดกั้นตนเองจากสัจธรรมแห่งเต๋า และนี่คือหัวใจของบทนี้ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนตื่นรู้และถ่อมตน เพื่อให้ใจยังคงเปิดรับความจริงอย่างอ่อนโยนและไม่สิ้นสุด
คติธรรม: “เมื่อใดที่เจ้าคิดว่าตนรู้หมดแล้ว เมื่อนั้นเจ้าก็ปิดประตูแห่งการเรียนรู้ไปแล้วครึ่งหนึ่งแต่เมื่อเจ้ากล้ายอมรับว่าตนยังไม่รู้ ความจริงจะเริ่มเผยตัวอย่างเงียบงันในใจเจ้า นี่คือหนทางแห่งปัญญาแท้”

