ในโลกนี้ หลายคนมักคิดว่าความรู้และพลังต้องมาพร้อมชื่อเสียงหรือเกียรติยศ แต่เต๋าสอนให้เข้าใจอีกทางหนึ่ง ว่าบางสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อ ไร้ชื่อและไร้รูป และดำรงอยู่เหนือความคาดคิดของผู้คน
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง เล่าจื๊อพบชายขอทานลึกลับผู้สงบเย็น แม้ไม่มีทรัพย์สินหรือบ้านเรือน แต่กลับเข้าถึงความจริงของชีวิต เรื่องราวชวนให้เราสังเกตและตั้งคำถามต่อความหมายของ “การดำรงอยู่” กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเต๋าที่ไร้นาม

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเต๋าที่ไร้นาม
กาลหนึ่ง.. ข้ากำลังเดินทางลัดเลาะไปตามป่า ภายใต้แสงจันทร์ที่ลอดผ่านกิ่งไม้ย้อยลงมา เบื้องหน้าเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความเงียบงัน แต่ก่อนถึงนั้น ข้ากลับสะดุดตากับเงาร่างหนึ่งนั่งข้างทาง
เขาเป็นชายชราขอทาน เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งจนแทบปกปิดร่างกายไม่ได้ มือหนึ่งถือถ้วยไม้เก่า ๆ แตกบิ่นจนแทบไร้ค่า แต่สิ่งที่สะกดสายตาข้ากลับไม่ใช่สภาพภายนอก หากเป็นดวงตาที่สงบนิ่งดุจสายน้ำ ไม่หวั่นไหวแม้ยุงตอม
“ท่านผู้เฒ่า…เหตุใดท่านจึงนั่งตรงนี้ได้อย่างสงบสุข ทั้งที่ไร้บ้าน ไร้อาหาร และไร้แม้เกียรติใด ๆ?” ข้าอดเอ่ยถามไม่ได้
ชายชราหันมามองเพียงครู่ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบาง ๆ เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า “สิ่งที่เจ้ามองว่าไร้ค่า อาจเป็นที่พึ่งพิงของโลกก็ได้… เต๋าไร้นาม แต่ทุกสิ่งกลับดำรงอยู่ด้วยมัน”
คำพูดนั้นทำให้หัวใจข้าไหวสะท้าน คล้ายเมล็ดพันธุ์เล็ก ๆ ถูกโปรยลงกลางจิต
ข้านั่งลงข้างเขา ความอยากรู้อยากเข้าใจผลักดันให้เอ่ยถามต่อn “ข้าเองเฝ้าเสาะหาความจริงของเต๋า แต่ท่านกลับเอ่ยเพียงว่าเต๋าไร้นาม แล้วเราจะเข้าใจได้อย่างไร หากไร้คำเรียกขาน?”
ชายชรายกถ้วยไม้ขึ้นช้า ๆ จากนั้นชี้ไปที่ลำธารที่ไหลเอื่อยอยู่ไม่ไกล “ดูสิ น้ำไหลลงจากภูผาสู่ธารา มันไม่เคยบอกชื่อของมัน แต่สัตว์ พืช และมนุษย์ ต่างอาศัยมันดำรงชีวิต”
เขายกถ้วยตักน้ำขึ้นมา แม้ถ้วยจะบิ่น แต่หยดน้ำยังคงเต็มภาชนะนั้น “ชื่อเสียงก็เหมือนถ้วยใหม่ที่หรูหรา หากไร้น้ำก็เปล่าประโยชน์ ถ้วยเก่านี้แตกบิ่น แต่ก็ยังรับน้ำได้อยู่ เพราะน้ำมิได้เลือกภาชนะ… เช่นเดียวกับเต๋า”
ข้าฟังพลางนิ่งเงียบ แสงจันทร์ที่สะท้อนบนผิวน้ำทำให้ใจข้าสั่นสะเทือน ข้ารู้ทันทีว่า คำสอนที่แท้จริง บางครั้งปรากฏจากผู้ที่ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ แต่มี “ความเป็นหนึ่ง” อยู่เต็มเปี่ยม

ชายชรายื่นถ้วยไม้บิ่นนั้นมาให้ข้า น้ำในถ้วยสั่นระริกแต่ไม่หกแม้หยดเดียว ข้ารับมาอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เขาจะเอ่ยช้า ๆ
“เจ้าจงดื่มเสียเถิด”
ข้าจิบไปเพียงน้อย รสชาติไม่ต่างจากน้ำธารทั่วไป แต่ความเย็นใสกลับแล่นเข้าสู่ร่างกายราวกับชำระความวุ่นวายที่สะสมในใจมานาน
“เห็นหรือไม่เล่า” ชายชราพูดต่อ “น้ำย่อมเป็นน้ำ ไม่ว่าภาชนะจะสมบูรณ์หรือแตกหัก เต๋าก็เช่นกัน มันไม่เลือกผู้ครอบครอง เพียงแต่ใครเปิดใจ ก็ย่อมรับมันไว้ได้”
ข้ามองหน้าชายชราพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แต่ท่าน… เหตุใดจึงไม่ไขว่คว้าสิ่งใด ไม่สร้างชื่อเสียง ไม่รักษาเกียรติ แม้ยังชีพด้วยเศษอาหาร ท่านกลับมีดวงตาที่สงบยิ่งกว่าผู้ครอบครองแผ่นดิน”
ชายชราเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว แววตาเจือด้วยทั้งความเศร้าและความเข้าใจ
“ครั้งหนึ่ง ข้าก็เคยเป็นเหมือนเจ้าแสวงหาชื่อ ยึดติดเกียรติยศ ต่อสู้เพื่อที่นั่งและคำยกย่อง แต่ยิ่งไขว่คว้า ยิ่งว่างเปล่า กระทั่งวันที่สูญเสียทุกสิ่ง เหลือเพียงร่างและลมหายใจน้อยนิด จึงได้เห็นว่า สิ่งที่แท้จริงไม่เคยหายไปไหนเลย”
ข้าพลางรำพึงในใจ “เขาตื่นรู้… เพราะยอมสละทุกสิ่ง จนไม่เหลือสิ่งใดยึดติด เมื่อไร้ชื่อ ไร้เกียรติ ไร้พันธนาการ ก็เหลือเพียงความเป็นจริงแท้ของเต๋า”
ข้าเงยหน้ามองฟ้าที่ขาวสว่าง รู้สึกว่าโลกทั้งใบเงียบงันและสงบอย่างสมบูรณ์ “เต๋าไม่ต้องการชื่อ มันดำรงอยู่ในทุกหยดน้ำค้าง ในสายลม ในแสงแรกของอรุณ… เต๋าไร้นาม แต่กลับรวมทุกสิ่งเข้าด้วยกันอย่างอ่อนโยน”
ขณะนั้น หัวใจของข้าเต็มไปด้วยความเบาสบาย คล้ายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณได้กลับคืนสู่ความเรียบง่ายดั้งเดิม ราวกับว่าโลกทั้งโลกกลายเป็น “ขาวสะอาด” ปราศจากเงาหม่น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… “เต๋าที่ไร้นาม” คือความจริงอันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจจำกัดด้วยถ้อยคำหรือชื่อเรียก แต่ยังคงดำรงอยู่และหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งทั่วทั้งแผ่นดิน ผู้ที่เข้าถึงย่อมพบความสงบและอิสระที่เหนือพันธนาการของโลก นี่คือหนทางแท้จริงแห่งเต๋า
ดังเช่นชายขอทานผู้แม้ไร้บ้านและทรัพย์สิน แต่กลับมีจิตใจสงบสุข เพราะตื่นรู้ว่าเกียรติยศและชื่อเสียงล้วนเปราะบาง สิ่งที่คงอยู่จริงคือการดำเนินไปตามเต๋า เล่าจื๊อจึงเข้าใจว่าการไม่ยึดติดกับนามหรือรูปคือหนทางสู่ความสมบูรณ์และอิสรภาพที่แท้จริง
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอดแทรกปรัชญาชีวิตแห่งวิถีเต๋าในรูปแบบนิทานอ่านง่าย ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเต๋าที่ไร้นาม (อังกฤษ: The Dao With No Name) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 32 ซึ่งกล่าวถึง “เต๋าที่ไร้นาม” เต๋าเป็นสิ่งคงอยู่ชั่วนิรันดร์ ไม่ขึ้นกับชื่อเรียกใด ๆ แม้จะดูเรียบง่ายดุจสายน้ำเล็ก ๆ แต่แท้จริงกลับเป็นพลังที่รวมและเกื้อหนุนสรรพสิ่งทั่วหล้า เต๋าที่ไร้นามนี้มิได้ขึ้นอยู่กับเกียรติหรือถ้อยคำ แต่ดำรงอยู่อย่างแท้จริง เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
เต๋าที่ไร้ชื่อ
เต๋า เมื่อถือว่าเป็นสิ่งไม่เปลี่ยนแปลง
ย่อมไร้ชื่อแม้มันในความเรียบง่ายดั้งเดิมอาจเล็กน้อย
แต่ทั้งปวงแห่งโลกก็ไม่กล้าตัดสินกับผู้ถือมันเป็นข้าราชการ
หากเจ้าแผ่นดินหรือกษัตริย์รักษาและถือครองมัน
ทุกสิ่งก็จะยอมรับเขาโดยธรรมชาติฟ้าและดิน ภายใต้การนำของเต๋า
รวมกันและโปรยน้ำค้างหวาน
ซึ่งโดยไม่ต้องมีคำสั่งของมนุษย์
กระจายไปทั่วเท่าเทียมกัน ราวทำตามใจตนเองเมื่อมันเริ่มดำเนินการ จึงปรากฏชื่อ
เมื่อมีชื่อแล้ว มนุษย์จึงรู้จักหยุดพักในมัน
เมื่อรู้จักหยุดพักในมัน
ก็สามารถพ้นจากความล้มเหลวและความผิดพลาดทั้งปวงความสัมพันธ์ของเต๋ากับโลกทั้งปวง
เปรียบได้กับแม่น้ำใหญ่และทะเลต่อธารน้ำจากหุบเขา
เล่าจื๊อสอนว่า หากผู้ปกครองหรือผู้คนเข้าใจและรักษาเต๋าไว้ โลกทั้งโลกก็จะสงบและสมานฉันท์ดุจน้ำค้างที่ตกลงสู่พื้นโดยไม่ต้องมีผู้บังคับ เมื่อเต๋าถูกตั้งชื่อหรือถูกจำกัด มันย่อมสูญเสียความไร้ขอบเขต แต่ผู้ที่รู้จักหยุดพักในสิ่งนั้น ย่อมพ้นจากความผิดพลาดและการล้มเหลวได้
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนดังกล่าว ผ่านการพบเจอชายขอทานลึกลับที่ตื่นรู้ แม้ไร้ชื่อเสียงและทรัพย์สิน แต่กลับเข้าใจแก่นแท้ของชีวิต และสามารถถ่ายทอดสัจธรรมแก่เล่าจื๊อเอง เรื่องราวนี้จึงชี้ให้เห็นว่า สิ่งไร้นามต่างหากที่เป็นพลังสูงสุดในการเกื้อหนุนโลก และนี่คือหัวใจของ “เต๋าที่ไร้นาม” ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้ตระหนัก
คติธรรม: “เต๋าไร้นามมิได้ต้องการชื่อหรือเกียรติใด ๆ แต่ดำรงอยู่และหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ผู้ที่เข้าใจและอยู่กับมัน ย่อมพบความสงบและอิสรภาพที่แท้จริง”