ในโลกนี้มีพลังที่ไม่มีใครเห็น แต่มันหล่อเลี้ยงทุกสิ่งในจักรวาลโดยไม่ต้องแสดงตัว บางครั้ง เราต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ไม่ต้องแสดงออกให้ใครเห็น เพื่อเข้าใจพลังที่ซ่อนอยู่ในความเงียบสงบ
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่งที่เล่าถึงเด็กชายที่เติบโตมาในความเงียบสงบของแม่ผู้ไม่มีชื่อเสียง แม่ของเขาสอนให้เขารู้ว่า ความแข็งแกร่งไม่จำเป็นต้องแสดงออก แต่ซ่อนอยู่ในความอ่อนโยนและการยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความสมบูรณ์แห่งรูปธรรม

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความสมบูรณ์แห่งรูปธรรม
ในโลกที่หลายคนมองหาความสำเร็จและชื่อเสียง บางครั้งเราก็ลืมไปว่า มีบางคนที่อยู่เงียบ ๆ และทำหน้าที่ของตนได้อย่างมั่นคง แม้ไม่มีใครรู้จัก เรื่องราวของข้าเริ่มต้นจากที่นั่น…
ข้าเกิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ ตีนเขา มีแม่อยู่เพียงคนเดียว
พ่อจากไปตั้งแต่ข้ายังจำความไม่ได้ แม่ไม่เคยเล่าเรื่องเขา ไม่เคยโทษโชคชะตา ไม่เคยร้องไห้ให้ข้าเห็น
ทุกเช้า แม่จะหิ้วตะกร้าไม้สาน เดินขึ้นเขาไปหาผักป่า ถ่านแห้ง หรือบางวันก็แบกฟืนกลับมา
กลางคืนแม่ต้มข้าวต้มเปล่าให้ข้ากิน อุ่นมือข้าด้วยน้ำจากหม้อไฟ และคอยห่มผ้าตอนข้าหลับ
ตอนเด็ก ข้าคิดว่าแม่อ่อนแอ ทำไมต้องก้มหน้าทำทุกอย่างเงียบ ๆ?
ทำไมไม่พูดแรง ๆ เวลาคนข้างบ้านต่อว่าเรื่องควันจากเตา?
ทำไมไม่ต่อปากต่อคำ ไม่แสดงความโกรธ ไม่เคยปฏิเสธงานหนักเลยสักครั้ง?
บางทีข้าก็โกรธแทนแม่ แต่แม่กลับหัวเราะแผ่ว ๆ แล้วพูดว่า “คนที่แข็งเขายกของหนักได้… แต่คนที่อ่อนเท่านั้น ที่จะวางของหนักลงโดยไม่ทำให้ใครเจ็บ”
ข้าไม่เข้าใจหรอก แค่รู้ว่าแม่ไม่เหมือนใครในหมู่บ้านนี้เลย
ปีหนึ่งแล้งจัด ข้าวในหมู่บ้านเสียหาย ชาวบ้านเริ่มหวงน้ำ หวงอาหาร
บางวันแม่ต้องแบ่งข้าวมื้อเดียวออกเป็นสองชาม เพื่อให้ข้าได้กินก่อน
แต่ถึงกระนั้น แม่ก็ยังยิ้มในตอนเย็น และยังลูบหัวข้าก่อนนอนเสมอ
ข้าถามแม่ว่าไม่หิวหรือ? แม่ยิ้ม “หิวสิ แต่ถ้าหัวใจเราไม่หิว โลกก็ไม่ร้ายเท่าไรนัก”
วันหนึ่งข้าโดนเด็กในหมู่บ้านล้อว่าเป็น “ลูกหญิงชราผู้ไม่มีพ่อ”
ข้าโมโหมาก กลับบ้านไปพูดกับแม่ว่า “ข้าอยากโตให้เร็ว จะได้ปกป้องแม่!”
แม่เงียบไปพักหนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องแข็งแรงเพื่อสู้กับใคร… แค่ให้รากของเจ้าอยู่ลึกพอ เมื่อเจอลม เจ้าก็จะไม่ล้ม”
คำพูดนั้นไม่ได้ทำให้ข้าหายโกรธในทันที แต่มันฝังอยู่ในใจข้า เหมือนเมล็ดบางอย่างที่ยังไม่งอก

หลายปีผ่านไป ข้าเริ่มช่วยแม่มากขึ้น ข้าตัดไม้ ขนฟืน แลกเกลือจากตลาดเล็ก ๆ ใกล้ลำธาร แม่ก็ยังเหมือนเดิม ตื่นก่อนฟ้าแจ้ง กลับมาพร้อมรอยดินบนมือและรอยยิ้มจาง ๆ บนหน้า
ข้าเริ่มเห็นว่ารอยยิ้มของแม่ ไม่ใช่เพราะชีวิตดีขึ้น แต่เพราะแม้จะไม่มีอะไรดีขึ้น แม่ก็ยังยิ้มให้ได้อยู่ดี
วันหนึ่งในฤดูหนาว หิมะตกหนักจนเส้นทางปิด พ่อบ้านข้าง ๆ มาเคาะประตูเรา ข้าเปิดออก เห็นเขายืนหน้าซีด พร้อมลูกเล็กที่กำลังไอหนัก
แม่ไม่พูดอะไร นำเด็กเข้าไปในบ้าน ต้มน้ำ ใส่สมุนไพร ทั้งคืนแม่ไม่ได้หลับ คอยประคองเด็กคนนั้นจนหายใจดีขึ้น
ตอนเขากลับไป แม่เพียงพูดกับข้าว่า “คนบางคนแข็งแรงพอจะเอาชนะใครก็ได้… แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้มแข็งพอจะให้อภัยหรือเมตตา”
ข้าเริ่มเข้าใจแล้ว ว่าความอ่อนโยน ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าที่ยอมรับความเจ็บได้โดยไม่ส่งต่อ
ข้าเติบโตขึ้น ออกจากหมู่บ้านไปเรียนรู้จากครูหลายทิศ แต่ไม่ว่าใครจะสอนสิ่งใด ไม่มีใครพูดเหมือนแม่ข้า ไม่มีใครเงียบได้เท่าแม่ ไม่มีใครยิ้มได้ในวันที่เหนื่อยที่สุดเหมือนแม่
ข้าเริ่มเดินทางตามเต๋า ข้าไม่ได้มีชื่อเสียง ไม่ได้ร่ำรวย แต่ทุกคนที่พบข้า มักพูดว่า “เจ้ามีบางอย่างสงบในตัว เหมือนคนที่ไม่ต้องการอะไรจากโลก”
และทุกครั้งที่ได้ยิน ข้าจะนึกถึงมือของแม่ที่เต็มไปด้วยรอยแตก นึกถึงเสียงหายใจเบา ๆ ของเธอข้างเตาไฟ
และนึกถึงคำที่เธอเคยพูดอย่างแผ่วเบา “แม่ไม่ใช่ผู้เก่งกล้า แค่หวังว่าเจ้าจะยืนได้แม้ไม่มีใครเห็น”
หลายปีต่อมา แม่จากไปเงียบ ๆ เหมือนทุกอย่างที่เธอทำมาตลอดชีวิต ไม่มีใครมาไว้อาลัยมากนัก ไม่มีชื่อจารึก
แต่สำหรับข้า เธอคือผู้ให้กำเนิด ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่ให้ข้าได้เห็น “เต๋า” ผ่านชีวิตของเธอทุกวัน โดยไม่ต้องมีคำสอนใด
ข้าเป็นใครสักคนที่ยืนอยู่ได้ในโลกนี้ เพราะรากของข้า… คือผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยร้องขอสิ่งใดเลย
ในตอนนี้ ข้าแก่ตัวขึ้น ข้าไม่จำเป็นต้องบอกใครว่าข้าคือปราชญ์เต๋า เพราะคำตอบนั้นอยู่ในทุกสิ่งที่ข้าเคยทำ และไม่ได้ทำ
ทุกคนในหมู่บ้านเห็นการกระทำข้าแล้ว เห็นพลังของเต๋าโดยไม่ต้องพูดถึง
“เจ้ามีบางสิ่งที่สงบในตัว เหมือนคนที่ไม่ต้องการอะไรจากโลก” เป็นคำพูดที่ข้ายังจดจำได้เสมอ แต่ไม่ใช่คำที่ข้าจะพูดออกมาเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… พลังที่แท้จริงไม่ได้มาจากการแสดงออกหรือความโดดเด่น แต่กลับซ่อนอยู่ในความเงียบสงบ ความอ่อนโยน และการยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่โดยไม่ต้องฝืน สิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีค่า กลับอาจเป็นรากฐานของทุกสิ่งที่ยิ่งใหญ่
ในนิทานนี้ เล่าจื๊อได้เรียนรู้ว่าแม้จะไม่ได้มีความเก่งกาจหรือความชัดเจนเหมือนคนอื่น แต่การยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นอย่างเงียบ ๆ กลับทำให้เขามีพลังและยืนหยัดในโลกนี้ได้อย่างมั่นคง เขาเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่เงียบและไม่ต้องการการยกย่องนั้นแหละที่มีพลังมหาศาลที่สุด
อ่านต่อ: เรียนรู้ปรัชญาเต๋าลึกซึ้งแบบเข้าใจง่าย ๆ ผ่านนิทานเต้าเต๋อจิงสั้น ๆ สนก ๆ ที่นี่ taleZZZ.com
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความสมบูรณ์แห่งรูปธรรม (อังกฤษ: The Completion of Material Forms) มาจากบทที่ 6 ของคัมภีร์เต้าเต๋อจิง ซึ่งเขียนโดยปรามาจารย์เล่าจื๊อ (Lao Tzu) ผู้เป็นปราชญ์เต๋าจีนโบราณในยุคชุนชิว (ประมาณ 2,500 ปีก่อน) บทนี้พูดถึงพลังของสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มี หรือความอ่อนโยนที่ไม่แสดงออก ซึ่งเต็มไปด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบ “จิตแห่งหุบเขา” (Valley Spirit) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบสงบ แต่กลับเป็นแหล่งกำเนิดของฟ้าและดิน
ในบทที่ 6 ของเต้าเต๋อจิง กล่าวถึงว่า “พลังของสตรี” (ซึ่งเปรียบเหมือนเต๋าหรือธรรมชาติ) เป็นสิ่งที่ไม่ต้องการการแสดงออกหรือความแข็งแกร่ง แต่กลับเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล ความนิ่งเงียบที่ดูเหมือนจะไร้พลัง กลับมีพลังที่ยั่งยืนและสงบ โดยเล่าจื๊อได้เขียนในบทนี้ว่า:
ความสมบูรณ์แห่งรูปธรรม
“จิตแห่งหุบเขาไม่เคยตาย ยังคงเหมือนเดิม (หมายถึงพลังที่เงียบสงบ ไม่เคยหมดไป)
ความลึกลับแห่งสตรี จึงเป็นสิ่งที่เรานิยาม (เปรียบได้กับเต๋า พลังที่ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสิ่งต่าง ๆ)
ประตูที่พวกเขาออกมาครั้งแรก ถูกเรียกว่า รากที่ทำให้ฟ้าและดินเกิดขึ้น (จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งในจักรวาล เริ่มจากความว่างที่ให้กำเนิดฟ้าและดิน)
พลังของมันยาวนานและไม่เคยขาดตอน (พลังนี้ยั่งยืนและไม่มีวันหมดไป)
ใช้อย่างนุ่มนวล และไม่มีความเจ็บปวด (ใช้พลังอย่างอ่อนโยน ไม่มีผลกระทบที่ทำให้เจ็บปวด)”
นิทานนี้จึงเขียนเพื่อตีความคำสอนในบทนี้ โดยนำเสนอเรื่องราวของเล่าจื๊อตอนเด็กที่เติบโตมากับแม่ผู้เงียบสงบ แต่มีพลังในการเลี้ยงดูลูกและเผชิญกับชีวิตอย่างมีคุณค่า ถึงแม้จะไม่แสดงออกให้ใครเห็น
คติธรรม: “พลังที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องแสดงออก แต่ซ่อนอยู่ในความเงียบสงบ และการยอมรับในสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ และพลังที่ทำให้ทุกสิ่งสมบูรณ์ที่สุดคือสิ่งที่เราไม่เห็น และไม่จำเป็นต้องเข้าใจด้วยคำพูด”