ในโลกที่เต็มไปด้วยการเอาตัวรอด บางครั้งมิตรภาพก็ถูกทดสอบท่ามกลางอันตราย ความแข็งแรงอาจไม่ใช่คำตอบ และความฉลาดก็ไม่อาจช่วยได้ทุกครั้ง
แต่หากมีเพื่อนที่ไม่ทิ้งกันแม้ในยามลำบากที่สุด นั่นอาจเป็นกุญแจเดียวที่จะพาเราผ่านกับดักของชีวิตไปได้ เรื่องราวนิทานพื้นบ้านไทยของสัตว์สองตัวนี้ จะทำให้เราได้คิดว่า… ใครกันแน่ที่รอด และเพราะอะไร กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคเหนือเรื่องมิตรภาพของสองสัตว์

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคเหนือเรื่องมิตรภาพของสองสัตว์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว บนฝั่งน้ำปิงที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยเงาไม้ มีสัตว์สองตัวที่เป็นเพื่อนรักต่างสายพันธุ์นากกับกระต่าย
ทั้งสองมักจะออกหากินร่วมกันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นยามเช้าแดดอ่อน หรือยามเย็นที่ลมโชยมาเย็นสบาย พวกเขาจะเดินเลียบตลิ่ง พูดคุย กระโดดโลดเต้นกันอย่างรื่นเริง
กระต่ายขุดหาหัวไม้หัวหญ้า นากก็มุดน้ำจับปลามาแบ่งกันกิน แม้ชีวิตจะแตกต่าง แต่หัวใจของทั้งสองกลับแนบแน่นด้วยความซื่อสัตย์และช่วยเหลือกันอย่างไม่ลังเล
วันหนึ่ง แดดส่องทะลุยอดไม้ลงบนผิวน้ำ นากเดินนำหน้าตามลำคลองสายเล็ก ๆ ใกล้บึงใหญ่ตามปกติ ส่วนกระต่ายกระโดดตามอยู่ห่าง ๆ พลางฮัมเพลงเบา ๆ
ขณะที่นากว่ายน้ำไปเรื่อย ๆ มันก็สังเกตเห็นช่องว่างใต้พุ่มไม้ที่ดูเหมือนเป็นทางน้ำเล็ก ๆ นากคิดว่าอาจมีปลาชุกชุมอยู่ข้างใน จึงว่ายเข้าไปอย่างว่องไว โดยไม่รู้เลยว่า ที่ตรงนั้นคือ “กะต้ำ” เครื่องดักปลาอันแน่นหนาของนายพราน
เพียะ! ทันทีที่นากชนกับสายใยตรงปากกับดัก กลไกประตูก็ปิด “ปั้ง!” เสียงดังแน่นหนา นากติดอยู่ข้างใน ไม่สามารถขยับหนีได้
นากตกใจสุดขีด ดิ้นไปมา พยายามหาทางออก แต่มันไม่สามารถดันประตูเปิดได้เลย
มันร้องเรียกเพื่อนทันที “กระต่าย! กระต่าย! ข้าติดอยู่ในนี่!”
กระต่ายรีบกระโดดมาดู เห็นเพื่อนรักติดอยู่ในกรงไม้แน่นหนา ใบหน้าเปื้อนโคลน ลมหายใจหอบแรง
กระต่ายปีนขึ้นไปข้างบน พยายามเขย่ากะต้ำ ดูซ้ายดูขวา หาทางดึงหรือถีบเปิด แต่ด้วยแรงของสัตว์ตัวเล็กอย่างมัน ไม่มีทางทำลายกับดักนี้ได้
“ข้าขอโทษนาก ข้ารื้อไม่ไหวจริง ๆ มันแน่นหนาเกินไป!” กระต่ายพูดเสียงสั่น
นากพยายามกลั้นน้ำตา “เจ้าหนีไปก่อนก็ได้ อย่าให้ถูกจับด้วยกันเลย ข้าคงไม่รอดแล้วล่ะ”
แต่กระต่ายไม่ยอมไปไหน มันกระโดดหลบอยู่ในกอหญ้าใกล้ ๆ คอยเฝ้าเพื่อนด้วยหัวใจที่หวั่นไหว
ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าเดินมาใกล้ พร้อมเสียงกิ่งไม้หักใต้ฝ่าเท้า หนักแน่น หนักแน่นขึ้นทุกก้าว… นายพรานมาแล้ว!
เขาถือไม้ยาวเดินมาตามแนวตลิ่ง สายตาเหลือบไปเห็นว่า กับดักของเขาทำงานแล้ว!
“ฮึ่ม… มีอะไรติดอยู่ในกะต้ำงั้นหรือ?” เขายิ้มกว้าง รีบเดินเข้าไปเปิดประตูดัก นากรีบกลั้นลมหายใจ เบ่งท้องพอง คล้ายกับมันตายมาแล้วหลายชั่วโมง สีหน้าแน่นิ่ง ลิ้นห้อยออกเล็กน้อย
นายพรานเห็นเข้าก็หัวเราะเบา ๆ “แหม ตายเสียแล้วหรือ เจ้านากตัวโตนี่”
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะหยิบมันขึ้นมาดูให้แน่ใจ เสียงบางอย่างก็ดึงสายตาเขาไปอีกทาง
กระต่ายกระโจนออกมา! มันกระโดดหลุดจากพุ่มไม้ กลิ้งไปมากลางหาดทราย ดิ้นพล่าน ร้องครางเหมือนโดนยิง แล้วนอนนิ่งไป
นายพรานเบิกตากว้าง “โชคสองชั้น! ได้ทั้งนาก ทั้งกระต่าย!”
เขาวางนากลง รีบเดินขึ้นฝั่งตรงไปยังกระต่ายด้วยใจโลภตาโต…
แต่เขาไม่รู้เลยว่ากับดักตัวจริง… คือแผนของสัตว์สองตัวที่รู้จักคำว่า “เพื่อน”

นายพรานก้าวเท้าเร็วปานฟ้าแลบ วิ่งจากริมน้ำไปหากระต่ายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนหาดทราย หัวใจเต้นแรงด้วยความดีใจ ไม่เคยนึกเลยว่าจะได้สัตว์ถึงสองตัวในวันเดียว
แต่ขณะที่เขาเดินห่างออกไป เจ้าตัวนากลืมตาขึ้นช้า ๆ มันไม่รอช้า รีบเกร็งขา ใช้แรงเฮือกสุดท้าย พุ่งกระโจนลงสู่แม่น้ำ
ตูม! เสียงน้ำแตกกระจาย ทิ้งเพียงรอยคลื่นเป็นทางยาว นากว่ายน้ำหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
ในเวลาเดียวกัน ขณะที่นายพรานกำลังจะก้มลงคว้ากระต่าย…
ฟุ่บ! กระต่ายลุกพรวด! ตาเบิกโพลง ขาหลังดีดตัวแรงเหมือนติดสปริง แล้วกระโจนหายเข้าไปในพุ่มไม้โดยไม่เหลียวหลัง
นายพรานชะงักไปชั่ววินาที ก่อนจะอ้าปากค้าง “หา!? อะไรกันนี่—!?”
ชายพรานยืนกลางหาด ท่ามกลางความว่างเปล่า มือทั้งสองเปล่าเปลือย ไร้แม้แต่นกสักตัว เขามองไปที่น้ำซึ่งไร้เงานาก และป่าทึบซึ่งไร้เงากระต่าย
เขาได้แต่พึมพำกับตัวเองอย่างขุ่นใจ “สองตัวนี่มันเล่นข้าเข้าให้แล้ว…”
ทางด้านหนึ่งของแม่น้ำ นากโผล่ขึ้นจากน้ำ มองไปยังพงไม้ฝั่งตรงข้าม
ในระยะไม่ไกล กระต่ายโผล่หัวออกมาจากกอหญ้า ทั้งสองสบตากัน แล้วต่างก็ยิ้ม ไม่ใช่เพราะรอดตายอย่างเดียว แต่เพราะรู้ว่าพวกเขารอดมาด้วยกัน
“ขอบใจเจ้ามากนะ เพื่อนรัก” นากพูดเบา ๆ กับสายลม แต่กระต่ายได้ยิน
“ไม่ต้องขอบใจหรอก ถ้าข้าเป็นคนติด ข้าก็รู้ว่าเจ้าคงไม่ทิ้งข้าเหมือนกัน”
และแล้วพวกเขาก็กระโดดหายไปคนละทิศ กลับคืนสู่โลกของพวกเขา โลกที่เสียงปืนไม่มีความหมาย ถ้ายังมีมิตรภาพอยู่ในใจ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… มิตรภาพแท้ไม่ได้วัดกันที่รูปร่างหรือพละกำลัง แต่วัดกันที่หัวใจ และการไม่ทอดทิ้งกันในยามคับขัน
กระต่ายตัวเล็ก ๆ ไม่อาจรื้อกับดักที่แน่นหนาได้ แต่ด้วยไหวพริบและความรักในมิตรภาพ มันสามารถช่วยเพื่อนให้รอดพ้นจากอันตรายได้ ขณะเดียวกัน นากก็เชื่อใจและอดทนรอ ด้วยความหวังว่ามิตรแท้จะไม่ปล่อยให้มันสูญสิ้น
นิทานเรื่องนี้ยังเตือนเราว่าเล่ห์กลอันแหลมคมของสติปัญญา ย่อมเหนือกว่ากับดักที่แข็งแรงที่สุดเสมอ และในโลกที่เต็มไปด้วยอันตราย การมีเพื่อนแท้สักคน ก็อาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เรารอดพ้นจากภัยได้
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานพื้นบ้านไทยภาคเหนือเรื่องมิตรภาพของสองสัตว์ เป็นเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมาในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในแถบลุ่มน้ำปิง ซึ่งชาวบ้านมักใช้แม่น้ำและป่าไม้เป็นแหล่งอาหารและชีวิต เรื่องราวของนาก กับกระต่าย จึงเกิดขึ้นท่ามกลางภูมิประเทศที่มีแม่น้ำ กอหญ้า และเครื่องมือหาป่าแบบพื้นบ้านอย่าง “กะต้ำ” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาการดักปลาที่ชาวเหนือใช้มานาน
ในสังคมล้านนาโบราณ นิทานมักไม่ได้มีไว้เพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว แต่ยังใช้เป็นเครื่องมือสอนลูกหลานถึงคุณธรรม ปัญญา และการอยู่ร่วมกันในชุมชน นิทานเรื่องนี้สะท้อนแนวคิดแบบล้านนาได้อย่างชัดเจน การช่วยเหลือกัน การไม่ทอดทิ้งเพื่อนในยามยาก และการใช้ไหวพริบมากกว่ากำลัง
นอกจากนี้ ยังมีกลิ่นอายของนิทานอีสปแบบตะวันตก ที่ใช้สัตว์เป็นตัวละครเพื่อสื่อสารพฤติกรรมของมนุษย์ ผ่านการพลิกสถานการณ์อย่างชาญฉลาด โดยในเรื่องนี้ กระต่ายตัวเล็ก กลับกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้นากรอดพ้นจากกับดักของมนุษย์
จึงกล่าวได้ว่า “สองสัตว์” เป็นนิทานที่หลอมรวมทั้งภูมิปัญญาพื้นบ้านของชาวล้านนา และแนวคิดเชิงเปรียบเทียบแบบอีสปไว้อย่างงดงาม ทั้งยังเป็นนิทานที่ไม่เคยล้าสมัย เพราะคำว่า “เพื่อนแท้” ยังคงมีคุณค่าไม่ว่าในยุคใด
“ในโลกที่เต็มไปด้วยกับดัก คนที่รอดไม่ใช่ผู้แข็งแรงที่สุด แต่คือผู้ที่มีเพื่อนแท้ และใช้ปัญญานำทาง”