บางความกล้า…ไม่ได้แสดงออกด้วยเสียงตะโกนหรือคมดาบ แต่อยู่ในหัวใจที่ยอมลุกขึ้นเดิน แม้ไม่มีใครสั่ง และไม่มีใครรออยู่ที่ปลายทาง บางครั้ง ความปรารถนาดีไม่ได้ส่งเสียงดังเท่าความทะยานอยาก
แต่กลับแน่วแน่กว่า อดทนกว่า และยืนอยู่ได้นานกว่าในยามที่โลกเงียบงัน มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยเจ้าชายผู้ไม่รู้ว่าเส้นทางข้างหน้ามีอะไร แต่รู้เพียงอย่างเดียวว่า… หากเขาไม่ไป ก็อาจไม่มีใครไปเลยตลอดกาล. กับนิทานชาดกเรื่องเจ้าชายผู้กล้าหาญ

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องเจ้าชายผู้กล้าหาญ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ แคว้นหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ มีเจ้าชายพระองค์หนึ่งผู้เป็นที่รักของประชาชน พระองค์มีนิสัยอ่อนโยน ใจกว้าง และเปี่ยมด้วยเมตตา ทรงนำทองคำ ข้าวของ และเสื้อผ้าในคลังหลวงออกมาแจกจ่ายแก่ผู้ยากไร้เป็นประจำ
บ้านเมืองของพระองค์เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และคำสรรเสริญมากมาย แต่ในใจลึก ๆ เจ้าชายกลับคิดว่า “ถ้าเรามีทรัพย์มากกว่านี้ เราจะช่วยผู้คนได้มากกว่าที่เป็นอยู่”
วันหนึ่ง พระองค์ทรงได้ยินเรื่องเล่าจากพ่อค้าต่างแดน ว่ามีอัญมณีวิเศษซึ่งสามารถทำให้ทุกความปรารถนาเป็นจริงได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า หรือแม้แต่บ้านให้ผู้อยู่อาศัย
คำเล่านั้นจุดประกายในใจของเจ้าชาย พระองค์ตัดสินพระทัยจะออกเดินทางด้วยพระองค์เอง
โดยไม่รอพิธีใหญ่ ไม่ต้องกองทัพ ไม่ต้องราชรถมีเพียงดาบสั้นหนึ่งเล่ม ผ้าคลุมหนึ่งผืน และความหวังที่จะนำของวิเศษนั้นกลับมาเพื่อประชาชนของพระองค์
การเดินทางกินเวลาหลายเดือน เจ้าชายต้องเดินทางข้ามภูเขา ลุยป่าทึบ และฝ่าทะเลทรายที่ร้อนแรง
ในที่สุด พระองค์ก็เดินทางมาถึงดินแดนที่ร่ำลือกันว่าเก็บรักษาอัญมณีแห่งความปรารถนาไว้
ทว่า…ประชาชนที่นั่นกลับมิได้ต้อนรับพระองค์ด้วยรอยยิ้ม หรือสายตาชื่นชม พวกเขามองเจ้าชายด้วยความระแวง เย็นชา และหลบสายตาเหมือนไม่อยากยุ่งเกี่ยว
แต่เจ้าชายไม่ย่อท้อ พระองค์ตั้งใจแน่วแน่ที่จะได้พบกษัตริย์ของแคว้นนั้น เพื่อขอเจรจาด้วยพระองค์เอง
ในที่สุด พระองค์ก็ได้เข้าเฝ้า กษัตริย์มองเจ้าชายด้วยแววตาเหนื่อยล้า และกล่าวว่า “บ้านเมืองของเราตอนนี้ไม่สงบ…มียักษ์ร้ายตนหนึ่งอาละวาดอยู่ทุกค่ำคืน พวกเรายังรักษาสิ่งของวิเศษแทบไม่ไหว”
เจ้าชายไม่ลังเลแม้แต่น้อย พระองค์ยืดหลังตรง ตอบกลับทันทีว่า
“ถ้าข้าปราบยักษ์ตนนั้นให้ได้ ท่านต้องมอบอัญมณีให้ข้าตามสัญญา”

คืนถัดมา เจ้าชายขออนุญาตออกไปนอกกำแพงเมืองตามลำพัง โดยมีเพียงดาบสั้นและเปลวตะเกียงเป็นเพื่อนในความมืด
เสียงคำรามจากหุบเขาไม่ไกลนัก ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ต้นไม้ไหวแรงราวต้องพายุ แต่เจ้าชายกลับไม่ถอยแม้ก้าวเดียว
แล้วร่างของยักษ์ก็ปรากฏขึ้นจากเงา มันสูงใหญ่ ดวงตาแดงกล้า ฟันยาวเป็นซี่ มีหนามแหลมเต็มแขนและกลิ่นร่างเน่าเหม็นคลุ้ง
มันคำราม “มนุษย์ผู้กล้ามาที่นี่ เจ้าจะไม่มีวันกลับออกไปอีก !”
แต่เจ้าชายเพียงเอ่ยด้วยเสียงเรียบ “ข้ามาเพื่อหยุดเจ้า ไม่ใช่เพื่อถอยหนี”
การต่อสู้ดำเนินขึ้นอย่างดุเดือด ยักษ์ใช้กำลังมหาศาลเหวี่ยงหินขนาดใหญ่ เจ้าชายใช้ความว่องไว หลบหลีกและฟาดฟันอย่างแม่นยำ
เมื่อดาบของเจ้าชายปักลงที่หัวใจของยักษ์ มันก็กรีดร้องลั่นแล้วล้มลงกลางความเงียบของป่า ก่อนร่างจะสลายไปเหลือเพียงเถ้าควัน
ข่าวเจ้าชายปราบยักษ์แพร่ไปทั่วเมืองในชั่วคืน ทุกบ้านจุดตะเกียง ทุกคนตีกลองฉลองเหมือนฝันร้ายได้ผ่านพ้นไปเสียที
เช้าวันรุ่งขึ้น กษัตริย์แห่งแคว้นนั้นนำหีบไม้แกะสลักใบเล็กมาเปิดต่อหน้าเจ้าชาย
ภายในหีบ มีอัญมณีเม็ดเดียวกลมใส ส่องแสงระยิบระยับเหมือนมีเปลวเทียนพันดวงซ่อนอยู่ข้างใน
“อัญมณีนี้จะมอบสิ่งที่เจ้าปรารถนา หากเจ้าใช้มันด้วยเจตนาดี” กษัตริย์กล่าวด้วยความนับถือ
เจ้าชายรับมันไว้แนบอก ไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อผู้คนในแผ่นดินที่พระองค์จากมา
เมื่อกลับถึงแคว้นของพระองค์ อัญมณีนั้นก็เปล่งประกายคราแรก และเนรมิตสิ่งต่าง ๆ ตามคำร้องขอของประชาชน
ผู้หิวโหยได้อาหาร ผู้หนาวเหน็บได้เสื้อผ้า ผู้ไร้บ้านได้ที่พัก และไม่มีผู้ใดต้องยืนอยู่ในเงาแห่งความขาดแคลนอีกต่อไป
แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือหัวใจของผู้คนในแผ่นดิน เริ่มเปล่งแสงเหมือนอัญมณีนั้นเช่นกัน แสงแห่งการแบ่งปันและห่วงใยซึ่งไม่มีวันเสื่อม
และจากวันนั้นจนสิ้นแผ่นดิน เจ้าชายผู้นั้นก็ไม่ได้ถูกจดจำเพียงว่ากล้าหาญ แต่ถูกจดจำว่า กล้าพอที่จะหวังสิ่งดีงามเพื่อผู้อื่น… จนสุดทางเดินของตนเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความกล้าหาญที่แท้จริง มิได้อยู่ที่การต่อสู้กับศัตรู แต่คือการออกเดินทางเพื่อผู้อื่น แม้จะยังไม่รู้ว่าปลายทางจะต้องเผชิญสิ่งใด
เจ้าชายในเรื่องนี้ไม่ได้แสวงหาอัญมณีเพื่อร่ำรวย หากแต่เพื่อจะเปลี่ยนแปลงความทุกข์ยากของผู้คนให้กลายเป็นความสุขถาวร เพราะผู้ที่มุ่งหาพลังเพื่อตนเอง ย่อมเป็นเพียงผู้แข็งแกร่ง แต่ผู้ที่มุ่งหาพลังเพื่อตอบแทนโลกทั้งใบ… คือผู้ที่โลกไม่เคยลืม
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องเจ้าชายผู้กล้าหาญ (อังกฤษ: The Brave Prince) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุสสชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ โดยเนื้อหาเน้นการแสดงถึง “ความกล้าหาญที่มีเมตตา” ซึ่งไม่ใช่เพียงการต่อสู้กับอุปสรรค แต่คือความเสียสละเพื่อตอบแทนทุกข์สุขของผู้คน
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อภิกษุรูปหนึ่งกล่าวถึงความปรารถนาอยากมีฤทธิ์เพื่อเปลี่ยนแปลงโลก แต่กลับมุ่งใช้อำนาจเพื่อแก้ปัญหาส่วนตน พระองค์จึงตรัสถึงอดีตชาติที่พระองค์เสวยชาติเป็นเจ้าชาย ผู้เดินทางไกลเพื่อแสวงหาอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อให้ความทุกข์ของผู้อื่นหมดสิ้น
ชาดกเรื่องนี้จึงชี้ให้เห็นว่า พลังที่ยิ่งใหญ่ไม่เกิดจากการได้มาเพื่อตนเอง แต่เกิดจากการใช้มันเพื่อแบ่งปัน และความหวังอันบริสุทธิ์นั้น… ย่อมมีพลังยิ่งกว่าเวทมนตร์ใด ๆ ในโลก
ผู้ใดแสวงหาพลังด้วยใจอันบริสุทธิ์ เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น มิใช่เพื่อตนเอง ผู้นั้นย่อมเป็นแสงสว่างในโลกที่มืดทึบ แม้ต้องเดินทางไกลเพียงใด ก็ย่อมถึงเป้าหมาย เพราะความตั้งใจนั้น… มีธรรมะเป็นแรงนำทาง
“ผู้ใดใช้พลังเพื่อตอบแทนผู้อื่น พลังนั้นย่อมมีค่ากว่าสิ่งใดในโลก”