ปกนิทานชาดกเรื่องพราหมณ์กับฤาษีผู้ฉลาด

นิทานชาดกเรื่องพราหมณ์กับฤาษีผู้ฉลาด

บางครั้ง สิ่งที่เรากลัว…ไม่ใช่เพราะมันน่ากลัวจริง แต่เพราะเราไม่เคยหยุดดูมันให้ชัด
บางความเชื่อ…ไม่ใช่เพราะมันมีเหตุผล แต่เพราะเราถูกสอนให้เชื่อตั้งแต่ยังไม่รู้จักถาม มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง

เล่าถึงพราหมณ์ผู้จะเผาผ้าทั้งผืน เพียงเพราะหนูกัดขาด แต่กลับได้เรียนรู้ทั้งชีวิต จากคำถามง่าย ๆ ของฤาษีที่ไม่ถือคัมภีร์ใดในมือ… นอกจากถือเหตุผลไว้ในใจ กับนิทานชาดกเรื่องพราหมณ์กับฤาษีผู้ฉลาด

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องพราหมณ์กับฤาษีผู้ฉลาด

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องพราหมณ์กับฤาษีผู้ฉลาด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในนครใหญ่อันคึกคักแห่งหนึ่ง มีเสียงระฆังจากวัดดังประสานกับเสียงพ่อค้าเร่ริมถนน เสียงเกวียนดังเอี๊ยดอ๊าดคลอไปกับเสียงฝีเท้าของผู้คนที่เดินสวนกันไปมา ท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านั้น ฤาษีผู้หนึ่งกำลังเดินผ่านกลางเมืองอย่างสงบ

เขานุ่งห่มผ้าสีหม่น ถือไม้เท้าก้าวช้า ๆ ด้วยท่าทางสำรวม ดวงตาของเขาดูนิ่งเฉยต่อโลกภายนอก แต่กลับสังเกตทุกสิ่งรอบกายด้วยความเข้าใจ

ขณะกำลังเดินผ่านถนนสายหนึ่ง ฤาษีก็ต้องหยุดเท้า เมื่อเห็นเหตุการณ์ประหลาด ชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบสวนผู้คนออกมาจากซอยเล็ก มือข้างหนึ่งกำผ้าผืนใหญ่ที่ดูแพงระยับ

ฤาษีเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วถามขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ “สหายเอ๋ย…เหตุใดเจ้าจึงวิ่งเร็วนัก ทั้งยังถือผ้าเช่นนั้นไปไหนหรือ ?”

ชายผู้นั้นหยุดกะทันหัน หอบหายใจเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

“ท่านฤาษี ! ข้ามุ่งหน้าไปยังป่าช้า จะนำผ้านี้ไปเผาทิ้งให้หมดสิ้น”

ฤาษีเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “เผาผ้า ? ผืนนี้แลดูแพงยิ่งนัก เหตุใดจึงต้องเผา ?”

พราหมณ์ตอบโดยไม่ลังเล “เช้าวันนี้ ข้าเห็นหนูตัวหนึ่งกัดผ้านี้ ข้าจึงแน่ใจว่าเป็นลางร้าย หากเก็บไว้อีก ข้าอาจประสบเคราะห์หนัก”

ฤาษีฟังจบแล้วนิ่งไปเล็กน้อย เขามองชายผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น

“เจ้าพูดว่าเป็นลางร้าย…แต่เจ้าคิดหรือไม่ ว่าหนูกัดผ้าเพราะอะไร ?”

พราหมณ์ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “เพราะ…มันเป็นสัญญาณจากสิ่งลี้ลับ นั่นย่อมต้องเป็นคำเตือนแน่แท้”

ฤาษีส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ใช่หรอกสหาย…หนูตัวนั้นคงเพียงหิว อยากหาของกิน ผ้าผืนนั้นอาจมีกลิ่นอาหารติดอยู่ หรืออาจเป็นเพียงที่มันขบเคี้ยวเล่นเท่านั้น ไม่มีลาง ไม่มีคำทำนายใดจากสวรรค์ทั้งสิ้น”

พราหมณ์นิ่งงันไป สีหน้าเริ่มเปลี่ยนจากเคร่งเครียดเป็นฉุกคิด

“ข้า…ไม่เคยนึกถึงเช่นนั้นเลย” เขาพึมพำเบา ๆ

ฤาษียิ้มมุมปากเล็กน้อย “หลายครั้งที่คนเรายอมให้ความกลัวครอบงำ มากกว่าที่จะใช้ปัญญา”

พราหมณ์ก้มลงมองผ้าในมือ แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของเขาเบาลง ราวกับยกหินก้อนหนึ่งออกจากอก

“ท่านฤาษี…ข้าขอบคุณท่าน ข้าจะไม่เผาผ้านี้อีก และข้าจะไม่เชื่อคำลางใด ๆ โดยไม่คิดเองก่อนอีกต่อไป”

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องพราหมณ์กับฤาษีผู้ฉลาด 2

หลังจากพราหมณ์ได้สติ เขายืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนจากความเคร่งเครียดเป็นความสงบแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

ฤาษีจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ในคัมภีร์ที่เจ้าท่องจำมา เจ้าพบข้อความใดที่กล่าวว่า หนูกัดผ้าแล้วเป็นลางร้ายหรือไม่ ?”

พราหมณ์นิ่งไป ก่อนตอบ “ไม่มีเลย ข้าจำได้แต่พระสูตร ว่าด้วยการควบคุมอินทรีย์ ว่าด้วยศีล ว่าด้วยการภาวนา ไม่มีคำใดเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้”

ฤาษีพยักหน้า “นั่นคือสิ่งที่เจ้าเรียนรู้ด้วยการอ่าน…แต่สิ่งที่เจ้ากระทำเมื่อเช้านี้ คือสิ่งที่เจ้าทำตามความกลัวที่เจ้าไม่เคยตั้งคำถาม”

“ข้าเข้าใจแล้ว” พราหมณ์กล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “แท้จริง ความรู้ที่แท้ มิใช่เพียงการจำ แต่คือการรู้จักใช้ปัญญา เมื่อเผชิญสิ่งที่ยังไม่เคยมีคำตอบอยู่ในตำรา”

ฤาษียิ้ม “เมื่อเจ้าเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่เจ้ากลัว เจ้าก็เริ่มเข้าใกล้ปัญญาแล้ว”

จากวันนั้น พราหมณ์ผู้นั้นเปลี่ยนไป เขาไม่ใช่ผู้ที่หลับตาเชื่อตามสิ่งที่ใคร ๆ กล่าว ไม่ใช่ผู้ที่หวาดกลัวเสียงหนูหรือเงาของตัวเอง

เขายังห่มผ้าเดิมผืนนั้น และยังสอนธรรมะแก่ศิษย์ของตนเช่นเดิม แต่ครั้งนี้ เขาเพิ่มสิ่งหนึ่งเข้าไปในการสอน…นั่นคือ การตั้งคำถามอย่างกล้าหาญต่อความเชื่อที่ไม่มีเหตุผลรองรับ

“จงรู้จักกลัวในสิ่งที่ควรกลัว ไม่ใช่กลัวในสิ่งที่ไม่เข้าใจ” เขากล่าวกับศิษย์ “และหากเจ้าไม่แน่ใจว่าอะไรคือเหตุ…จงใช้ใจที่นิ่งและปัญญาที่แหลมคม แทนการเผาสิ่งใดทิ้งไปโดยไม่รู้จริง”

ส่วนฤาษีผู้ฉลาด ยังคงเดินทางไปตามที่ต่าง ๆ แบกเพียงไม้เท้า ผ้าห่ม และความรู้ที่ไม่เคยปิดกั้นตนเองจากสิ่งใหม่ เขาไม่ได้หวังเปลี่ยนโลกทั้งใบ เพียงแต่เปลี่ยนใจคนที่กล้าจะฟัง

และสำหรับพราหมณ์คนนั้น… วันหนึ่งเขาจะกลายเป็นผู้เปิดตาให้ผู้อื่นได้เช่นเดียวกัน

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องพราหมณ์กับฤาษีผู้ฉลาด 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ปัญญาแท้ไม่ได้เกิดจากความจำ หากเกิดจากการกล้าตั้งคำถามกับสิ่งที่ตนเชื่อตามโดยไม่ไตร่ตรอง

ฤาษีมิได้ดับไฟแห่งความกลัวด้วยคาถา หากแต่ใช้เหตุผลง่าย ๆ วางไว้ตรงหน้า แล้วปล่อยให้ใจของพราหมณ์เลือกเองว่าจะเชื่อลาง… หรือเชื่อแสงแห่งสติที่เพิ่งเริ่มลุกขึ้นในตน

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องพราหมณ์กับฤาษีผู้ฉลาด (อังกฤษ: The Brahmin and the Wise Ascetic) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุสสชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ โดยเนื้อหามุ่งอบรมความเข้าใจของมนุษย์ต่อความเชื่อที่ผิด ซึ่งมักแฝงตัวอยู่ในรูปของความกลัว ความงมงาย หรือการไม่ตั้งคำถาม

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งพูดถึงลางร้ายต่าง ๆ ที่ตนเผชิญ เช่น ความฝัน เสียงสัตว์ หรือสิ่งผิดปกติในร่างกาย แล้วคิดว่านั่นคือสัญญาณแห่งกรรม พระองค์จึงตรัสเล่าถึงอดีตชาติที่พระองค์เสวยชาติเป็นฤาษีผู้มีปัญญา ได้ช่วยเตือนสตพราหมณ์ผู้หวาดกลัวต่อสิ่งที่ไร้เหตุผล ด้วยเพียงคำอธิบายที่เรียบง่ายแต่หนักแน่น

ชาดกเรื่องนี้จึงเป็นบทสะท้อนว่า ความเชื่อไม่ควรอยู่เหนือปัญญา และสติควรเป็นแสงนำทางที่แท้จริง มากกว่าการปล่อยให้เงาของความกลัวชักพาใจไปในทางผิด

“ความกลัวที่ไร้เหตุผล… รุนแรงกว่าภัยที่แท้จริง เพราะมันบังคับให้เราทำร้ายตัวเอง โดยไม่ต้องมีศัตรูแม้แต่คนเดียว”


by