บางคำพูดไม่ต้องตะโกน ก็ทำให้ใครบางคนสั่นไหว บางความเงียบไม่ต้องอธิบาย ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนถึงใจคน เมื่อความสัตย์ถูกเอ่ยในที่ที่ไม่ต้อนรับมัน มันอาจกลายเป็นเหตุแห่งการแตกสลาย มากกว่าการเปลี่ยนแปลง มีเรื่องเล่านิทานชาดกเรื่องหนึ่งที่เสียงของนกตัวหนึ่งดังยิ่งกว่าเสียงใด และความเงียบของนกอีกตัว กลับก้องยิ่งกว่าคำพูดนับพัน
เพราะบางครั้ง…สิ่งที่สั่นหัวใจคน ไม่ใช่ความกล้าหาญของผู้พูด แต่อาจเป็นสายตาของผู้ที่เลือกไม่พูด เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป กับนิทานชาดกเรื่องพราหมณ์กับนกแก้ว

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องพราหมณ์กับนกแก้ว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านหนึ่งในแคว้นหิมวันต์ มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่า “โยคะนันทะ” เป็นผู้ทรงศีล รู้ในคัมภีร์ไตรเพทและชอบบำเพ็ญภาวนา เขาอาศัยอยู่ในเรือนหลังน้อยกับภรรยา และมีสัตว์เลี้ยงที่เขารักเสมือนบุตร คือนกแก้วสองตัว ตัวผู้ชื่อว่า “วาจิสสระ” ตัวเมียชื่อว่า “อริกา”
ทั้งสองเป็นนกแก้วฉลาด มีสีขนเขียวสดปีกน้ำเงิน ดวงตาคมเป็นประกาย พราหมณ์โยคะนันทะเลี้ยงดูมันด้วยผลไม้สด ๆ ทุกเช้า ให้พักอาศัยในกรงไม้ไผ่ที่อยู่ริมหน้าต่างซึ่งเปิดสู่สวนดอกไม้ในเรือนของเขา
เขามักพูดคุยและอบรมสั่งสอนนกทั้งสองราวกับเป็นศิษย์ของตน
“เจ้าทั้งสองจงดูแลเรือนให้ดี หากข้าไม่อยู่ ให้สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วบอกแก่ข้าเมื่อข้ากลับมา” นั่นคือถ้อยคำที่พราหมณ์โยคะนันทะมักฝากไว้แก่พวกมันเสมอ
แต่ในเรือนนั้น ยังมีอีกคนหนึ่งคือ ภรรยาของพราหมณ์ หญิงสาวผู้มีหน้าตางดงาม แต่จิตใจกลับไม่ซื่อตรง แม้นจะมีพราหมณ์ผู้เป็นสามีที่รักและดูแลอย่างดี นางกลับมิได้รู้สึกพอใจ ตรงกันข้าม นางกลับเบื่อหน่ายในความเงียบสงบของชีวิต และเริ่มไขว่คว้าสิ่งหฤหรรษ์อื่น ๆ โดยที่สามีของนางไม่เคยล่วงรู้
วันหนึ่ง พราหมณ์โยคะนันทะจำเป็นต้องเดินทางไปยังเมืองไกล เพื่อประกอบพิธีกรรมตามคำเชิญของเศรษฐีผู้หนึ่ง เขาจัดเตรียมสัมภาระเรียบร้อย และก่อนออกเดินทาง เขาก็เข้าไปหานกทั้งสองที่อยู่ในกรงริมหน้าต่าง
“อริกา วาจิสสระ… ข้าจะไม่อยู่หลายวัน ขอฝากเจ้าทั้งสองช่วยสังเกตทุกอย่างในเรือนนี้ หากสิ่งใดผิดไป จงจดจำไว้แล้วบอกข้าเมื่อข้ากลับมา”
“ขอรับนาย ข้าจะไม่ให้สิ่งใดผ่านสายตาไปโดยไม่บอกเจ้า” วาจิสสระตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เจ้าจงระวังคำพูด วาจิสสระ” อริกาเอ่ยเบา ๆ “บางครั้ง ความจริงก็เป็นดาบสองคม”
พราหมณ์ยิ้มและลูบหัวพวกมันอย่างเอ็นดู แล้วจึงออกเดินทางโดยทิ้งเรือนอันสงบไว้เบื้องหลัง
แต่เพียงไม่นานหลังจากพราหมณ์จากไป ความเปลี่ยนแปลงก็เริ่มก่อตัว เงาแห่งบาปเริ่มเลื้อยคลานเข้ามาในเรือน ภรรยาของพราหมณ์มิได้โศกเศร้าหรือเป็นห่วงสามีที่จากไป ตรงกันข้าม นางกลับแต่งกายงดงาม หวีผมให้เงางาม หยอดน้ำอบหอม แล้วเปิดประตูเรือนราวกับรอแขกสำคัญ
ไม่นานนัก ชายแปลกหน้าผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในเรือน วาจิสสระ เฝ้ามองอย่างประหลาดใจ มันเอียงคอมองชายคนนั้นเดินเข้าไปนั่งแนบชิดภรรยาพราหมณ์ แล้วพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนิทสนม
คืนวันผ่านไป ชายแปลกหน้าเปลี่ยนหน้าไปเรื่อย ๆ บางวันมากกว่าหนึ่งคน ทุกครั้งที่ประตูเรือนเปิด วาจิสสระ จะสอดสายตามองทุกความเคลื่อนไหว
ในคืนหนึ่ง หลังจากชายคนล่าสุดจากไป วาจิสสระ จึงกล่าวด้วยเสียงแข็งกร้าวว่า “เจ้าทำอันใดลงไป ภรรยาของพราหมณ์ ? เจ้าได้หักหลังผู้เป็นสามี เจ้าได้นำมลทินมาสู่เรือนอันบริสุทธิ์”
ภรรยาพราหมณ์หันขวับ ดวงตาของนางลุกวาบด้วยความโกรธ “เจ้านกปากมาก ! เจ้าเป็นเพียงสัตว์ต่ำ ยังกล้ามาตัดสินข้าอีกหรือ ?”
“ข้าเพียงกล่าวตามความจริง สิ่งที่ข้าเห็นมิใช่ภาพลวง ข้าจำเป็นต้องบอกนายของข้าเมื่อเขากลับมา”
คำพูดของวาจิสสระเหมือนมีดที่กรีดลงในหัวใจของหญิงผู้หลงผิด นางลุกขึ้น เดินไปยังกรงนก มือของนางสั่นด้วยความโกรธ นัยน์ตาเต็มไปด้วยแรงอาฆาต แล้วในวินาทีนั้น นางก็เปิดกรง… และสิ่งที่ตามมาคือเสียงขนนกกระจาย สะบัดพริ้วในอากาศอย่างเงียบงัน
อริกาเฝ้ามองทุกสิ่งด้วยดวงตาเบิกโพลง นางไม่เปล่งเสียงสักคำ เพียงนิ่งงันอยู่ในกรงเดียวกันกับที่เพิ่งมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ…

หลายวันผ่านไป นกแก้วอริกายังคงนั่งนิ่งอยู่ในกรงเดิม แม้ร่างของวาจิสสระจะหายไป แต่กลิ่นไอแห่งความตายยังอวลอยู่ในอากาศ เสียงกรงเงียบงันกว่าที่เคยเป็น ไม่มีเสียงถกเถียง ไม่มีเสียงสอนสั่ง มีเพียงสายลมที่พัดใบไม้ปลิวผ่านช่องหน้าต่าง และแววตาของอริกาที่ยังคงหม่นแสง
ทุกครั้งที่ภรรยาพราหมณ์เดินผ่านหน้ากรง นางจะเหลือบตามามองนกแก้วตัวเมียอย่างแหลมคม ราวกับเตือนเป็นนัย “อย่าคิดทำตามมัน” นั่นคือถ้อยคำที่ไม่เปล่งเสียง แต่อริกากลับได้ยินมันชัดเจนยิ่งกว่าเสียงใดในโลก
นางไม่พูด ไม่เอ่ยถึงอดีตของเพื่อนคู่ชีวิต ไม่แม้แต่ส่งเสียงเดียวเพื่อเตือนหรือตำหนิ นางเก็บทุกสิ่งไว้ในใจ โดยไร้ผู้ใดล่วงรู้ว่าภายในดวงจิตของนกตัวนั้นมีพายุแห่งความหวาดกลัวและความระแวงปั่นป่วนเพียงใด
จนในวันหนึ่ง พราหมณ์โยคะนันทะก็กลับมาถึงเรือน
เขาเดินตรงเข้าบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล แต่อารมณ์กลับแจ่มใสเพราะงานพิธีกรรมลุล่วงด้วยดี ทว่าเมื่อเข้าใกล้กรงนก สิ่งที่เขาเห็นกลับทำให้รอยยิ้มหายวับ
“อริกา… วาจิสสระไปไหน ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงกังวลขณะมองหา
นกตัวเมียยังคงนิ่งอยู่ในมุมกรง ดวงตาหลุบต่ำก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเบา
“นายผู้เป็นที่เคารพ… เจ้านกวาจิสสระมิอาจอยู่ร่วมกับข้าได้อีกแล้ว”
พราหมณ์ขมวดคิ้ว “เกิดสิ่งใดขึ้น ? เจ้าเล่ามาเถิด ข้าเห็นเจ้าเศร้าสร้อยนัก”
อริกาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวสายลม
“ข้าได้เรียนรู้แล้วว่า การกล่าวความจริงในสถานที่ที่มิอำนวยต่อการกล่าว ย่อมนำภัยมาสู่ตน เช่นเดียวกับวาจิสสระผู้พูดในสิ่งที่ควรเงียบ เขาพูดด้วยความสัตย์ แต่ความสัตย์นั้นมิได้ช่วยให้เขารอดชีวิต”
พราหมณ์นิ่งอึ้ง สายตามองกรงว่างเปล่าครึ่งหนึ่ง และแววตาของอริกาเต็มไปด้วยความหมายมากกว่าถ้อยคำใด
“ถ้าข้าพูดสิ่งที่ข้าเห็น ข้าก็จักพบจุดจบเช่นเดียวกับเขา” อริกากล่าวต่อ “เพราะบางครั้ง… ความเงียบก็เป็นเกราะของผู้ที่อ่อนแอ”
จากนั้น นางก็สยายปีก พลิ้วออกจากกรง ร่อนขึ้นฟ้าโดยไม่หันกลับมาอีก
พราหมณ์โยคะนันทะยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้ากรงที่ว่างเปล่า เสียงลมพัดผ่านใบไม้ เสียงนกอื่น ๆ ร้องขับขานในสวน แต่ในใจของเขากลับมีเพียงความเงียบ
ไม่มีใครเล่าเรื่อง ไม่มีใครชี้แจง แต่เขาเข้าใจแล้ว
ความหายไปของวาจิสสระ บทสนทนาระคนกลัวของอริกา และสายตาหลบเลี่ยงของภรรยา ล้วนประสานกันเป็นภาพชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใด
พราหมณ์จึงเรียกภรรยามาพบ ท่ามกลางเรือนที่เงียบเชียบ เขามองหน้านางอย่างไม่กล่าวคำ แล้วพูดเพียงประโยคเดียว
“เจ้ามิใช่คนที่ข้าฝากใจไว้เมื่อครั้งก่อน”
นางเบือนหน้าหนี มิกล้าสบตาเขา ความลับได้ถูกเปิดออกโดยไม่มีคำกล่าวหา ไม่มีพยาน ไม่มีศาล
ในค่ำนั้น พราหมณ์โยคะนันทะตัดสินใจแยกเรือนออกจากภรรยา เขาเลือกอยู่คนเดียว ท่ามกลางความสงบซึ่งอาจจะเงียบเหงา แต่ปราศจากเงาแห่งบาป
เขายังไม่ลืมนกแก้วทั้งสอง วาจิสสระผู้ยึดมั่นในความสัตย์ และอริกาผู้เลือกความอยู่รอดจากความเงียบ เขาเรียนรู้ว่า บางครั้ง ความจริงก็มีค่ามากกว่าชีวิต และบางครั้ง ชีวิตก็มีค่ามากกว่าความจริง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความสัตย์อาจมีน้ำหนักเท่าชีวิต และความเงียบอาจเป็นกรงขังของผู้ที่หวังเพียงอยู่รอดในโลกที่ไม่ฟังเหตุผล
ในเรือนหลังนั้น ไม่มีศาล ไม่มีคำตัดสิน มีเพียงนกตัวหนึ่งที่กล้าพูดและตาย กับอีกตัวที่รอดเพราะกลืนคำพูดไว้ ความจริงไม่เคยหายไป มันเพียงรอให้ผู้ฟังมีใจจะเข้าใจ วาจิสสระสอนด้วยเสียง ส่วนอริกาสอนด้วยความเงียบ และพราหมณ์…เรียนรู้จากการหายไปของทั้งคู่
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องพราหมณ์กับนกแก้ว (อังงกฤษ: The Brahmin and the Parrot) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน โดยเนื้อหามักสะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์ผ่านถ้อยคำของสัตว์ที่มีปัญญา เพื่อชี้นำให้เกิดความละอายแก่ผู้กระทำผิด โดยไม่จำเป็นต้องมีบทลงโทษใด
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งถูกขับออกจากสำนักเพียงเพราะบอกความจริงแก่ผู้อื่นด้วยเจตนาดี แต่กลับไม่เป็นที่พอใจของผู้ฟัง พระองค์จึงตรัสเล่าถึงอดีตชาติ ที่พระองค์เสวยชาติเป็นนกแก้วตัวหนึ่งผู้มีวาจาสัตย์ แต่กลับต้องจบชีวิตเพราะความจริงที่เอ่ยออกไปนั้นไปกระทบใจผู้มีอำนาจ
ชาดกเรื่องนี้จึงเป็นบทเตือนว่า ในโลกที่เต็มด้วยผู้ไม่เปิดใจรับฟัง ความเงียบอาจปลอดภัยกว่า แต่ความจริง… ย่อมส่งเสียงของมันในรูปแบบอื่นเสมอ
“ความสัตย์มิได้ฆ่าผู้พูด…แต่มักถูกฆ่าโดยใจของผู้ไม่อยากได้ยิน”