บางความอยาก… ไม่ได้ผิด แต่หากไม่รู้จักขอบเขตของความจริง มันก็อาจกลายเป็นเงาที่กลืนเราไปทีละน้อย และบางครั้ง สิ่งที่เรารักที่สุด ก็คือสิ่งเดียวกับที่ทำลายเราช้า ๆ มีเรื่องเล่านิทานชาดกเรื่องงหนึ่งที่เริ่มต้นจากใจของชายหนุ่มผู้ไม่ยอมถอยจากความปรารถนาของตนเอง
ในโลกที่วรรณะยังแบ่งผู้คน และความฝันไม่ใช่ของทุกคน ความรักที่ไม่เผื่อเหตุผล อาจไม่ใช่ความงดงาม แต่อาจคือการลืมตาในห้องที่ไม่มีทางออก และเมื่อดวงใจแน่วแน่ต่อสิ่งที่ไปไม่ถึง บางครั้ง… ร่างกายก็ไม่อาจอยู่รอให้ใจกลับมา กับนิทานชาดกเรื่องลูกชายช่างตัดผม

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องลูกชายช่างตัดผม
ครั้งหนึ่งในกรุงใหญ่ มีช่างตัดผมคนหนึ่งซึ่งรับราชการในพระราชวังมาเป็นเวลานาน ด้วยฝีมือและความเรียบร้อย เขาเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย มีหน้าที่ดูแลทรงผมของเจ้านายฝ่ายในและขุนนางชั้นสูงอยู่เสมอ
แม้เป็นเพียงผู้อยู่เบื้องหลัง แต่เขาก็ถือว่าตนมีชีวิตเรียบสุขแล้วในหน้าที่
วันหนึ่ง ขณะได้รับบัญชาให้เข้าวังใน เขาก็พาบุตรชายไปด้วย ด้วยหวังจะให้รู้เห็นโลกกว้าง และอาจได้เรียนรู้วิถีของคนในราชสำนัก
บุตรชายผู้ยังหนุ่มแน่น ไม่เคยย่างเท้าเข้าที่เช่นนี้มาก่อน จึงตื่นตาตื่นใจไปกับทุกสิ่ง
ระหว่างเดินผ่านสวนหลวง เขาเห็นสตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สวมผ้าผืนบางสีอ่อน ผิวพรรณผุดผ่อง ใบหน้าสงบงาม ประหนึ่งนางฟ้าในเทวสถาน
สายตาของเขาหยุดอยู่ที่นางครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับเดินตามบิดาไป แต่ใจนั้นหาได้กลับออกมาจากสวนหลวงนั้นไม่
เมื่อกลับถึงเรือน บุตรชายก็นั่งนิ่งไม่พูดกับผู้ใด คล้ายมีเรื่องครุ่นคิดอย่างลึก เมื่อบิดาเอ่ยถาม เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ท่านพ่อ ข้าอยากแต่งงานกับหญิงที่อยู่ในสวนนั้น”
ช่างตัดผมขมวดคิ้วทันที เขาเข้าใจในสิ่งที่ลูกเห็น แต่ก็เข้าใจความเป็นจริงของโลกเช่นกัน “ลูกเอ๋ย… เรานั้นเป็นคนชั้นช่างตัดผม ฝ่ายหญิงคนนั้นหากมิใช่เจ้าเมือง ก็คงเป็นคนในวรรณะสูง… เจ้าคิดว่าพวกเขาจะยอมให้ลูกของข้าเข้าไปแตะต้องได้หรือ?”
แต่บุตรชายส่ายหน้า พลางกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจเรื่องวรรณะ ข้ารู้เพียงว่าหัวใจข้าอยู่กับนาง ข้าจะไม่มีวันรักใครอื่นได้อีก”
บิดาพยายามพูดเตือนด้วยเหตุผล พูดด้วยความรักของผู้เป็นพ่อ แต่บุตรชายก็ไม่ฟัง ยิ่งพูดยิ่งปิดใจ ยิ่งห้ามยิ่งแน่วแน่ ความปรารถนานั้นแปรเปลี่ยนเป็นแรงยึดเหนี่ยว จนกลายเป็นพันธะในจิตใจที่ยิ่งรัดก็ยิ่งเจ็บ

นับจากวันนั้น บุตรชายไม่แตะต้องอาหารแม้เพียงน้อย ไม่ยอมพูด ไม่ยอมออกจากเรือน เขานั่งอยู่ที่เดิม จ้องมองที่ว่างตรงหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยเงาแห่งความดึงดัน อารมณ์ภายในลึกเกินกว่าใครจะหยั่งถึง
บิดาเห็นสภาพนั้นก็ทุกข์ใจยิ่ง พยายามพูด พยายามอธิบาย พยายามแม้กระทั่งแสดงความโกรธเพื่อให้ลูกลุกขึ้นจากที่ แต่บุตรชายยังคงนิ่ง ไม่ตอบ ไม่เปลี่ยน
ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน ครูอาจารย์ที่รู้ข่าว ต่างก็แวะเวียนมาเยี่ยมเยียน พูดเตือนด้วยเมตตา บ้างก็กล่าวด้วยเสียงแข็ง บ้างก็วอนด้วยน้ำตา แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจของชายหนุ่มผู้จมอยู่กับความอยากที่ไม่มีวันได้มา
ร่างกายของเขาค่อย ๆ ซูบผอม เสียงในลำคอแห้งกรัง สายตาเริ่มพร่าเลือน และในที่สุด เขาก็หมดลมหายใจในวันที่ไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ เพราะความหลงที่กลายเป็นพันธะจนลมหายใจสุดท้าย
หลายวันผ่านไป ความเศร้าของบิดายังไม่จาง เขารู้ว่าลูกของตนนั้นดื้อ แต่ไม่คิดว่าดื้อรั้นเพียงนี้ เขาเก็บใจเจ็บนั้นไว้ไม่ไหว จึงเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดที่ประทับอยู่ใกล้เมือง
เมื่อได้พบท่าน เขากราบลงและเล่าเรื่องทั้งหมดด้วยน้ำเสียงสั่น เศร้าและเต็มไปด้วยคำถาม “เหตุใดลูกข้าจึงเป็นเช่นนั้น เหตุใดคนคนหนึ่งจึงยอมตายเพื่อสิ่งที่ไม่เคยครอบครอง?”
พระพุทธองค์ตรัสตอบด้วยเสียงเรียบเย็นว่า “สิ่งนั้นเป็นธรรมดาแห่งโลก ผู้ที่ปรารถนาในสิ่งที่เกินวิสัย มักไม่รู้ว่าใจตนนั้นคือกรงขัง เมื่อยึดมั่นแน่นเข้า สิ่งที่ติดอยู่ไม่ใช่สิ่งของ แต่คือตัวเขาเอง”
บิดานิ่งงันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะก้มกราบลงอีกครั้ง ดวงตายังเต็มไปด้วยความเจ็บ แต่ในความเจ็บนั้นมีความเข้าใจแฝงอยู่เงียบ ๆ ราวกับธรรมที่พระพุทธองค์แสดงไว้ ไม่ใช่เพื่อปลอบใจ หากแต่เพื่อให้ปล่อย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความอยากไม่ได้ผิด แต่เมื่ออยากในสิ่งที่ไม่มีวันได้ มันจะค่อย ๆ กลายเป็นพันธะที่รัดหัวใจ จนไม่มีพื้นที่ให้เหตุผลหรือความจริงใดเข้าไปถึงได้เลย
ลูกชายของช่างตัดผมไม่ได้ตายเพราะหิว เขาตายเพราะหัวใจไม่ยอมวาง เขายอมให้ความปรารถนากลายเป็นความหลง และยึดมั่นในสิ่งที่เกินมือเกินใจ จนที่สุด… ก็ไม่เหลือแม้แต่ตัวตนของตนเอง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องลูกชายช่างตัดผม (อังกฤษ: The Barber Son) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุสสชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ โดยมีเนื้อหากล่าวถึงภัยของความยึดมั่นในความปรารถนาเกินวิสัย ซึ่งแม้จะไม่ได้ก่อกรรมใด แต่ก็สามารถนำพาตนเองไปสู่ความทุกข์ลึก และจบลงด้วยความพินาศได้
พระพุทธองค์ตรัสเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีชายคนหนึ่งสูญเสียบุตรเพราะบุตรหลงรักหญิงผู้สูงศักดิ์และไม่อาจทำใจได้ พระองค์จึงทรงยกเรื่องในอดีตชาติ ที่พระองค์ได้พบเห็นเหตุการณ์เดียวกันในสมัยที่ยังเป็นฤาษี
ชาดกเรื่องนี้จึงเป็นคำเตือนอย่างเงียบงัน ว่าความรักนั้นไม่ผิด แต่หากรักโดยไม่เห็นความจริง รักอาจกลายเป็นเครื่องพันธนาการที่รัดแน่นกว่าความตาย
“เมื่อใจยึดมั่นในสิ่งที่ไม่มีวันได้ ความปรารถนาจะกลายเป็นความทุกข์ และสุดท้าย…มันจะพรากแม้แต่ชีวิตที่ยังไม่ได้เริ่มต้น“