ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมแห่งเมตตา

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมแห่งเมตตา

ในโลกนี้ หลายคนมักมองหาความสุขและความมั่นคงจากสิ่งที่เห็นชัดและจับต้องได้ แต่คำสอนของเต๋ากลับบอกว่า ความสงบและการเกื้อกูลที่แท้จริงอยู่ในสิ่งที่เรียบง่าย เงียบงัน และยั่งยืน

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊ออธิบายถึงความเมตตาและการหล่อเลี้ยงชีวิตโดยไม่โอ้อวด ผ่านภาพของธรรมชาติที่เงียบสงบ เรื่องราวนี้สอนให้ผู้คนได้สังเกตคุณค่าของสิ่งที่อยู่รอบตัว โดยไม่ต้องเร่งรัดหรือบังคับอะไร กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมแห่งเมตตา

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมแห่งเมตตา

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมแห่งเมตตา

กาลหนึ่ง ข้าเล่าจื๊อออกเดินทางผ่านหุบเขา ลมเช้าพัดอ่อน ๆ คล้ายจะเชื้อเชิญให้ข้าหยุดยืนฟังความเงียบ ข้าสูดลมหายใจลึก รู้สึกถึงความเย็นที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย นั่นมิใช่เพียงสายลมที่พัดผ่าน แต่คืออากาศที่ทำให้ชีวิตทั้งหลายได้หายใจ

ข้าคิดขึ้นมาในใจว่าสิ่งนี้อยู่รอบกายเสมอ แม้มองไม่เห็น แต่มนุษย์ สัตว์ นกในฟ้า หรือแม้แต่ต้นไม้ใหญ่ ล้วนพึ่งพามันเพื่อมีชีวิตต่อไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของมัน ไม่มีใครผูกขาดมันได้ สายลมและอากาศให้แก่ทุกสิ่งโดยไม่แบ่งแยก

“เสียงดนตรีอาจฟังเพียงครู่ก็จบลง อาหารอร่อยอาจลิ้มได้ไม่นานแล้วหมดไป แต่ลมหายใจนี้…ไม่เคยขาดจากเราเลย แม้จะดูไร้รส ไร้กลิ่น ไร้เสียง ทว่ามันคือขุมทรัพย์แห่งเต๋าที่ค้ำจุนโลกทั้งใบ”

ข้าจึงเอ่ยกับตนเองว่า “สายลมและอากาศนี้ คือผู้ถือภาพใหญ่แห่งเต๋า ทำประโยชน์โดยไม่โอ้อวด เกื้อกูลโดยไม่เลือกหน้า มอบชีวิตโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน”

ข้าเดินทางต่อไปจนถึงที่ราบกว้างใหญ่ใต้ตีนเขา ที่นั่นคือผืนแผ่นดินซึ่งทอดยาวสุดสายตา มันอยู่ใต้ฝ่าเท้าของข้า เงียบงัน ไม่กล่าวคำใด แต่คอยรองรับทุกย่างก้าวอย่างมั่นคง

ข้ามองเห็นร่องรอยของผู้คนที่ผ่านไปมา ทั้งรอยเกวียนหนัก รอยเท้าสัตว์ใหญ่ และร่องดินจากน้ำฝนที่ชะลงมา แผ่นดินไม่เคยบ่น ไม่เคยปฏิเสธ มันรับทุกสิ่งไว้หมด ไม่ว่าของดีหรือของเสีย หากมีดอกไม้ร่วง แผ่นดินก็โอบอุ้มไว้ หากมีเศษซากเน่าเปื่อย แผ่นดินก็กอดเก็บจนกลายเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงชีวิตใหม่

ข้าจึงนั่งลง ลูบผืนดินที่เย็นชื้นแล้วกล่าวเบา ๆ ว่า “แผ่นดินนี้มิได้สูงส่งหรือประณีตต่อสายตา แต่มันคือแม่ผู้เลี้ยงโลกทั้งใบ ทุกชีวิตกินจากมัน อาศัยมัน และพักพิงอยู่บนมัน นี่คือความเมตตาอันไม่สิ้นสุดของเต๋า”

เมื่อข้าลุกขึ้นอีกครั้ง ใจของข้าก็สงบลงราวกับกลับบ้าน เพราะข้าเห็นชัดแล้วว่าสิ่งที่แท้จริงยิ่งใหญ่นั้น มักปรากฏในรูปแบบที่เงียบงันที่สุด

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมแห่งเมตตา 2

เมื่อข้าเดินทางต่อไป ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยและกลองดังมาจากลานกลางหมู่บ้าน ข้าจึงเดินเข้าไปดู เห็นผู้คนมากมายกำลังรุมล้อมวงดนตรี บ้างโบกมือหัวเราะ บ้างปรบมือย่ำเท้า เสียงหัวเราะดังประสานไปกับเสียงขลุ่ยไพเราะราวกับจะไม่สิ้นสุด ข้าง ๆ กันนั้นยังมีพ่อค้าตั้งแผงขายอาหารหอมกรุ่น ควันลอยอบอวล ผู้คนต่างแย่งกันซื้อมาลิ้มรส

ภาพที่ข้าเห็นทำให้ใจข้าฉุกคิด มนุษย์นั้นถูกเสียงไพเราะและรสหวานลวงตาได้ง่ายนัก ข้ายืนพึมพำกับตนเองว่า “เสียงเพลงนี้ แม้จะดึงดูดผู้คน แต่เมื่อจบลงก็ไม่เหลือสิ่งใด อาหารนี้ แม้จะหอมหวาน แต่เมื่อหมดไปก็ไม่อิ่มนาน”

ไม่นานนัก กลองหยุด ขลุ่ยเงียบ ควันไฟค่อย ๆ จางลง ผู้คนที่เมื่อครู่ยิ้มแย้มกลับเริ่มบ่นหิว บ้างนั่งลงอย่างเหน็ดเหนื่อย บ้างโต้เถียงกันด้วยความหงุดหงิด

ข้ามองเหตุการณ์นั้นแล้วเงยหน้ารับสายลมที่ยังพัดผ่าน ใบไม้ยังไหว เสียงอ่อนโยนยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ข้าจึงเอ่ยราวกับพูดกับสายลมว่า “เจ้ามิได้บรรเลงบทเพลง แต่เจ้าคงอยู่เสมอ เจ้าคือดนตรีที่ไม่สิ้นสุด มิได้ต้องการคำสรรเสริญ”

แล้วข้าก้มลงแตะแผ่นดินที่มั่นคงใต้ฝ่าเท้า พลางกล่าวเบา ๆ ว่า “เจ้ามิได้มอบรสอร่อย แต่เจ้าหล่อเลี้ยงให้ทุกสิ่งเติบโต เจ้าคืออาหารที่ไม่มีวันหมด”

เมื่อผู้คนทยอยกลับบ้าน ความครึกครื้นเมื่อครู่ก็กลายเป็นความเงียบ ข้าเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางดิน เห็นชาวนาหอบกลับด้วยมือที่เปื้อนดิน เห็นแม่อุ้มลูกน้อยกลับเรือน เห็นผู้เฒ่าก้าวช้า ๆ กลับสู่กระท่อม ทุกชีวิตล้วนหอบความเหนื่อย แต่สิ่งที่ยังคงโอบล้อมพวกเขาคือ สายลมและแผ่นดิน

ข้าจึงเอ่ยกับตนเองว่า “ดนตรีทำให้ใจสดชื่นชั่วคราว อาหารทำให้กายอิ่มชั่วครู่ แต่สายลมและแผ่นดินหล่อเลี้ยงชีวิตทั้งปวงตลอดกาล นี่แหละคือคุณธรรมแห่งเต๋า มอบโดยไม่หวังผล เงียบงันแต่ยิ่งใหญ่”

สิ่งที่ดูไร้รส ไร้กลิ่น ไร้เสียง กลับเป็นพลังไม่รู้จบ ผู้ใดเข้าใจสิ่งนี้ ผู้นั้นก็จะดำเนินตามเต๋า เป็นหนึ่งเดียวกับความเมตตาของฟ้าและดิน

ข้าจึงยิ้มออกมา แล้วก้าวเดินต่อไปท่ามกลางความเงียบสงบของโลก รู้แน่ว่า เมตตาที่แท้จริง มิได้เร้าใจเพียงชั่วครู่ แต่คือพลังที่โอบอุ้มทุกชีวิตตลอดกาล

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมแห่งเมตตา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… สิ่งที่ดูไร้รส ไร้เสียง ไร้กลิ่น อย่างสายลมและแผ่นดินนั้น กลับเป็นพลังแท้จริงที่หล่อเลี้ยงโลกอย่างไม่สิ้นสุด และนี่คือคุณธรรมของเต๋า ที่ให้โดยไม่โอ้อวด เกื้อกูลโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน สิ่งเหล่านี้คือคุณธรรมแห่งความเมตตา

ในเรื่อง เล่าจื๊อพบว่าเสียงดนตรีและอาหารอร่อยให้ความสุขเพียงชั่วครู่ แต่สายลมที่ทำให้หายใจ และแผ่นดินที่รองรับทุกก้าว กลับมอบความสงบและการดำรงอยู่ที่แท้จริง สอนเราว่าความดีอันยิ่งใหญ่มักซ่อนอยู่ในสิ่งเรียบง่ายและเงียบงันที่สุด

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอนปรัชญาสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าให้กับชีวิตโดยเล่าจื๊อ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมแห่งเมตตา (อังกฤษ: The Attribute of Benevolence) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 35 ซึ่งกล่าวถึงคุณลักษณะของผู้ที่ถือหลักเต๋าและความเมตตาที่แฝงอยู่ในธรรมชาติ ความเงียบสงบและความเรียบง่ายของสายลมและแผ่นดิน คือการแสดงออกของเต๋าที่มีต่อสรรพสิ่ง ทั้งสองมิได้โอ้อวดหรือเรียกร้อง แต่กลับหล่อเลี้ยงและรองรับชีวิตทุกชีวิตอย่างเสมอภาค เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

คุณธรรมแห่งความเมตตา

ผู้ใดโอบอุ้ม มหาภาพ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งเต๋าอันไร้รูป
ทั้งใต้หล้า ย่อมหลั่งไหลมาสู่เขา
ผู้คนมาหาแล้วมิได้รับอันตรายใด ๆ
หากแต่พบความสงบ ร่มเย็น และความผ่อนคลาย

เสียงดนตรีและอาหารโอชะ
เพียงยั่วใจแขกผู้ผ่านทางให้หยุดอยู่ชั่วคราว
แต่ เต๋า ซึ่งเปล่งออกจากปาก กลับไร้รส ไร้กลิ่น
ดูเสมือนจะไม่ควรค่าแก่การมองหรือการฟัง
ทว่าคุณค่าแห่งเต๋านั้น ใช้ได้ไม่สิ้นสุด

โดยเล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่เข้าใจถึงคุณธรรมนี้ ย่อมรู้จักการอยู่ร่วมกับโลกอย่างอ่อนโยน ไม่หลงไปกับความเพลิดเพลินชั่วครู่ของเสียงดนตรีหรือรสอาหาร แต่กลับเห็นคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งที่เงียบงันและเรียบง่าย เข้าใจว่าการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน และการเกื้อกูลชีวิตโดยไม่เลือกปฏิบัติ คือความสงบและความมั่นคงที่แท้จริง

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเปรียบสายลมที่ให้ลมหายใจและผืนดินที่รองรับทุกก้าวกับคุณธรรมอันเงียบงันของเต๋า แม้สิ่งเหล่านี้ดูธรรมดาและเรียบง่าย แต่กลับเป็นรากฐานและพลังที่ยั่งยืนของชีวิต และนี่คือหัวใจของ “คุณธรรมแห่งความเมตตา” ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้ตระหนักและเรียนรู้

คติธรรม: “ความเมตตาที่แท้จริง มิได้โอ้อวด แต่เงียบงันและยั่งยืนเหมือนลมและดิน”