บางครั้ง ความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ไม่ได้อยู่ในเสียงพูด หรือฤทธิ์อำนาจ แต่อยู่ในใจที่กล้าเงียบ เพื่อฟังเสียงของผู้อื่นให้ชัด มีเรื่องเล่านิทานชาดกเรื่องหนึ่งที่บอกเราว่า ความเสียสละนั้นสร้างได้มากกว่าสิ่งที่ฟ้าประทาน
เพราะเมื่อใจตั้งมั่นด้วยเมตตา ผลที่เกิดขึ้น อาจไกลเกินกว่าที่มือจะเอื้อมถึง และแม้ในวันที่ทุกสิ่งแล้งลงหมด ความอ่อนโยนก็ยังสามารถหลั่งไหลออกมาดั่งสายน้ำ จากคนเพียงหนึ่งคน ที่ไม่เคยหวังสิ่งใดเลย กับนิทานชาดกเรื่องฤาษีผู้สร้างแม่น้ำ

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องฤาษีผู้สร้างแม่น้ำ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในนครใหญ่แห่งหนึ่ง มีเศรษฐีผู้มั่งคั่งจนผู้คนต่างยกย่องว่าทรัพย์ของเขาเหมือนแม่น้ำที่ไม่เหือดแห้ง แต่ถึงจะมีทุกสิ่ง เขากลับมีบุตรชายเพียงคนเดียว
บุตรนั้นเติบโตท่ามกลางความสะดวกสบาย ได้เรียนรู้ทุกศาสตร์ตามที่บิดาจัดหา และได้เห็นโลกในแง่มุมที่หลากหลาย
แต่เมื่อเติบใหญ่ เขากลับมิได้หลงใหลในทรัพย์สมบัติ กลับรู้สึกว่าความอิ่มจากภายนอกนั้นไร้ความหมายเมื่อใจยังว่างเปล่า “ข้าควรแสวงหาสิ่งที่ไม่ดับไปพร้อมร่างนี้” เขาคิด และในคืนหนึ่ง ก็เข้าไปกราบลาบิดาอย่างสงบ
“ข้าขอสละทุกสิ่ง เพื่อแสวงหาความจริงที่อยู่เหนือความร่ำรวย”
บิดานิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ไม่มีน้ำตา ไม่มีถ้อยคำห้ามปราม มีเพียงแววตาที่รู้ว่าการปล่อยครั้งนี้…ยิ่งใหญ่กว่าการให้ทรัพย์ใดทั้งสิ้น
เมื่อเข้าสู่ป่า บุตรเศรษฐีกลายเป็นฤาษีผู้ถือพรตอย่างเคร่งครัด สละคำพูด สละอำนาจทางโลก และฝึกตนในอาศรมกลางป่าห่างไกล ท่านปฏิบัติตนด้วยเมตตา ไม่เอ่ยคำรุนแรงแม้แต่กับใบไม้ และไม่บริโภคสิ่งใดโดยไร้สติ
วันเวลาผ่านไป ศิษย์ผู้แสวงหาธรรมเริ่มเข้ามาใกล้ ก่อกระท่อมล้อมอาศรม ฤาษีไม่ได้ห้าม เพราะท่านมิได้สั่งสอนด้วยคำพูด หากแต่ด้วยการกระทำ
ท่านยอมลำบากแทนผู้อื่น ยอมแบกภาระแทนผู้เจ็บป่วย แม้แต่จะเดินลงเขาหลายวันเพื่อนำสมุนไพ่มาให้คนแปลกหน้า ท่านก็ยอมโดยไม่ลังเล
“หากร่างนี้ยังพอมีแรง ก็จักยอมให้ผู้อื่นได้มีลมหายใจต่อ” คือสิ่งที่ฤาษีกล่าวไว้เพียงครั้งเดียว เมื่อถูกถามว่าเหตุใดจึงยอมเหนื่อยนัก
และแล้ว วันหนึ่ง ทุพภิกขภัยก็บังเกิดขึ้น ฝนไม่ตก สัตว์ล้มตาย ผู้คนไร้น้ำไร้อาหาร เสียงร้องแห่งความอดอยากดังก้องรอบอาศรม ในขณะที่แม่น้ำทั้งหลายแห้งเหือดลงไปทีละสาย
ฤาษีนั่งหลับตา ไม่หลับใหล ไม่หนี แต่ตั้งใจนิ่งอยู่นั้นหลายวัน ราวกับกำลังเตรียมเปลี่ยนสิ่งที่โลกให้ไม่ได้ ด้วยสิ่งที่ใจให้ได้

ในยามที่ท้องฟ้ายังร้างเมฆ และแผ่นดินแตกระแหง ฤาษีก็นั่งนิ่งไม่ขยับอยู่ใต้ต้นไม้ต้นเดิมหลายวัน เส้นผมขาวปลิวไหวเล็กน้อยตามลมอ่อน
ดวงตาหลับสนิทแต่ภายในกลับตื่นรู้อย่างลึกซึ้ง จิตของท่านผสานกับธรรมชาติรอบตัว และแรงปรารถนาอันบริสุทธิ์ก็แผ่กระจายออกไปไม่สิ้นสุด
ในวันที่ห้า ท่ามกลางแสงอ่อนของรุ่งเช้า เสียงน้ำหยดแรกก็เกิดขึ้นกลางพื้นดินหน้ากระท่อม แล้วไหลเป็นสายเล็ก ๆ จากที่ใครมองไม่เห็น
กลับกลายเป็นลำธารใสไหลเอื่อย และในไม่ช้า ลำธารนั้นก็กลายเป็นแม่น้ำกว้างที่แหวกผืนดินแห้งแล้งให้กลายเป็นแหล่งชีวิตอีกครั้ง
ผู้คนที่อดอยากแห้งเหี่ยว ต่างวิ่งกรูมายังต้นน้ำ บางคนเพียงร้องไห้โดยไม่เอื้อนเอ่ย บางคนคุกเข่าก้มกราบลงกับพื้น และเมื่อเห็นฤาษีนั่งนิ่งอยู่กลางดินที่เปียกด้วยความอุดม พวกเขารู้ทันทีว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมิใช่เวทมนตร์ หากคือผลแห่งเมตตาและจิตอันมั่นคง
ชื่อเสียงของฤาษีแผ่ไกลดั่งกระแสน้ำ ผู้คนหลั่งไหลมาเพื่อกราบฟังธรรม ท่านไม่กล่าวสอนด้วยถ้อยคำยาวเหยียด แต่เลือกกล่าวเพียงว่า “จิตที่ให้แก่ผู้อื่นโดยไม่หวังกลับ ย่อมสร้างได้แม้สิ่งที่ฟ้าไม่ให้”
วันหนึ่ง ร่างของฤาษีเริ่มอ่อนแรงกว่าทุกวัน ใบหน้าซูบซีดลงเล็กน้อย เสียงที่เคยมั่นคงกลายเป็นเพียงแผ่วเบา ศิษย์หลายคนเริ่มวิตก บางคนเตรียมสมุนไพร บางคนก่อไฟ บางคนไม่อาจกลั้นน้ำตา เพราะเชื่อว่าเวลาของท่านใกล้เข้ามาแล้ว
แต่ในคืนหนึ่ง ขณะที่ทุกคนหลับใหล มีแสงสว่างหนึ่งปรากฏขึ้นเหนืออาศรม เป็นแสงไม่ร้อน ไม่แสบตา แต่นุ่มลึกเหมือนความอ่อนโยนที่มองเห็นได้ในรูป ดวงแสงนั้นค่อย ๆ กลายเป็นบุรุษในชุดขาว
มีออร่าเรืองรอง มิได้พูด มิได้อวดฤทธิ์ เพียงยื่นมือวางบนหน้าผากฤาษีเบา ๆ แล้วกล่าวเพียงประโยคเดียว “ท่านผู้สร้างแม่น้ำให้โลก…ข้าย่อมไม่ปล่อยให้ท่านแห้งเหือด”
รุ่งเช้า ศิษย์ทั้งหลายพบว่า ฤาษีลืมตาด้วยสีหน้าสดชื่น ดวงตากลับมามีแสง มือนิ่งแต่มีพลัง ทุกคนต่างกราบลงโดยมิได้นัดหมาย และรู้ในทันทีว่า…ความดีอันแท้จริง แม้แต่ฟ้ายังมิอาจละเลย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… จิตที่ตั้งมั่นเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ย่อมเปลี่ยนความแห้งแล้งให้กลายเป็นแหล่งชีวิตได้ แม้จะไร้อาวุธ ไร้ทรัพย์ และไร้เสียง แต่หากใจเต็มไปด้วยเมตตา ผลที่เกิดขึ้นย่อมไกลกว่าสิ่งใดในโลก
ฤาษีผู้ไม่เอ่ยคำขอ ไม่โกรธต่อฟ้า ไม่เร่งรัดโชคชะตา เพียงนั่งนิ่งและภาวนาให้สรรพชีวิตรอดพ้น ท้ายที่สุดก็สร้างแม่น้ำขึ้นจากจิตที่คิดเพื่อผู้อื่น และด้วยจิตนั้น แม้แต่เทพก็ยังต้องโน้มลงมา
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องฤาษีผู้สร้างแม่น้ำ (อังกฤษ: The Ascetic Who Brought a River) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุสสชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ โดยมีแก่นหลักคือการบำเพ็ญตนด้วยเมตตาและเสียสละเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์หรือศาสตรา แต่ด้วยพลังแห่งจิตที่เปี่ยมด้วยธรรม
เรื่องนี้พระพุทธองค์ตรัสเล่าเมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งรู้สึกสิ้นหวังต่อการสั่งสอนผู้คน พระองค์จึงเล่าย้อนถึงอดีตชาติหนึ่ง ที่พระองค์เคยเสวยชาติเป็นฤาษีบุตรเศรษฐี ผู้ยอมสละชีวิตแห่งความสบาย เพื่อแสวงหาธรรมแท้ และยอมทุกข์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น แม้ในยามที่ตนเองก็ไม่มีสิ่งใดจะให้
ความตั้งมั่นของพระโพธิสัตว์ในเรื่องนี้จึงมิใช่เพื่อแสดงอภินิหาร แต่เพื่อชี้ให้เห็นว่าเมื่อจิตบริสุทธิ์เพื่อผู้อื่นโดยแท้ แม้แผ่นดินแห้งแล้งก็ย่อมมีทางให้แม่น้ำไหลได้
“ผู้ที่อุทิศตนเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้มือจะว่างเปล่า แต่ใจก็อาจสร้างแม่น้ำขึ้นกลางความแห้งแล้งได้”