ปกนิทานชาดกเรื่องฤาษีผู้กินเนื้อตุ๊กแก

นิทานชาดกเรื่องฤาษีผู้กินเนื้อตุ๊กแก

ในโลกของผู้แสวงหาความสงบ มีบางคนสงบเพียงเปลือกนอก แต่ภายในกลับยังวุ่นวายด้วยกิเลสซ่อนลึก มีเรื่องเล่านิทานชาดกที่เผยให้เห็นว่า คราบนักพรต…มิได้ขาวเสมอไป

เมื่อจิตยังไม่วาง ความดีที่แสดงก็ย่อมเป็นเพียงเงาบาง และเมื่อเงานั้นบางเกินไป แสงแห่งกรรมก็ย่อมส่องทะลุได้ทุกครั้ง แม้จะอยู่กลางป่า ในที่ไม่มีผู้คนเห็นก็ตาม กับนิทานชาดกเรื่องฤาษีผู้กินเนื้อตุ๊กแก

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องฤาษีผู้กินเนื้อตุ๊กแก

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องฤาษีผู้กินเนื้อตุ๊กแก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าลึกเงียบสงบซึ่งไร้รอยเท้ามนุษย์ มีสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งอาศัยอยู่มาเนิ่นนาน มันคือตุ๊กแก แต่ไม่ใช่ตุ๊กแกธรรมดา หากเป็นร่างภพหนึ่งของดวงจิตศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีฤทธิ์รู้ทันสรรพสิ่ง พักอยู่ใต้โพรงไม้ใหญ่ ร่มเย็น ปราศจากภัย

วันหนึ่ง มีฤาษีผู้หนึ่งเดินเข้ามาในบริเวณนั้น เขาสร้างกระท่อมหลังเล็กขึ้นข้างต้นไม้ ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ บำเพ็ญตนตามที่ตนเข้าใจ

เมื่อดวงจิตศักดิ์สิทธิ์ในร่างตุ๊กแกเห็นฤาษีเข้ามาอาศัยอยู่ใกล้ จึงเกิดความเคารพจากก้นบึ้งใจ ทุกวัน เมื่อตะวันคล้อยต่ำ มันจะเลื้อยออกจากโพรงเงียบ ๆ เข้าไปในกระท่อม ก้มศีรษะลงเบา ๆ แล้วก็เลื้อยกลับโดยไม่รบกวนสิ่งใด

ฤาษีเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ “สัตว์ตัวนี้ช่างแปลกนัก…ทุกวันมันมาแล้วก็ไป ไม่น่าจะใช่เพียงสัตว์ป่า” เขาคิด แต่มิได้เอ่ยวาจา

แม้ภายนอกฤาษีจะดูสำรวม แต่มโนภายในกลับยังเต็มไปด้วยราคะที่ยังไม่ขาด วันหนึ่ง เขานึกถึงรสของเนื้อตุ๊กแกซึ่งเคยลิ้มมาในอดีตชาติเป็นฆราวาส รสสัมผัสในปากยังไม่เลือนหายจากจิตใต้สำนึกนั้น

เขาเริ่มมองตุ๊กแกด้วยสายตาเปลี่ยนไป มิใช่ด้วยความเอ็นดู หากแต่เต็มไปด้วยความอยาก “สัตว์นี้อ้วนพี เนื้อน่าจะแน่นและหอมดีไม่น้อย”

เขานั่งนิ่งอยู่ในกระท่อม ใจคิดแผนการ “หากมันมาเยือนอีกในวันพรุ่งนี้ ข้าจะปิดประตูแล้วใช้ไม้ทุบให้ตาย ก่อนจะแล่เนื้อมาปรุง”

ความคิดชั่วกำลังเติบโตในคราบนักบวชผู้นิ่งขรึม และเขาไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ตนกำลังล่อลวงนั้น รู้เห็นทุกอย่างตั้งแต่ก้าวแรก

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องฤาษีผู้กินเนื้อตุ๊กแก 2

รุ่งเช้าแสงอ่อนพาดผ่านปลายไม้ เงาใบไม้โยกไหวตามลมที่ไม่แรงนัก ฤาษีนั่งอยู่ในกระท่อมเงียบงัน มือข้างหนึ่งกำไม้กระบองยาวที่ซ่อนไว้ใต้ผ้าห่ม ตาเขามองออกไปยังประตูที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อย ราวกับรอคอยใครบางคนมาเคาะ

ไม่นาน ตุ๊กแกก็เลื้อยออกมาจากโพรงใต้ต้นไม้เช่นเคย มันเคลื่อนไหวอย่างสงบ ไม่เร็วนัก ไม่ช้าเกิน ค่อย ๆ เข้าใกล้กระท่อมเหมือนทุกวัน

แต่ในวินาทีที่มันก้าวพ้นขอบประตู แววตาของมันกลับเปลี่ยนไป มันหยุดนิ่ง แล้วหันหัวกลับทันทีโดยไม่ลังเลแม้เสี้ยววินาที

ฤาษีที่ซุ่มอยู่พลันสะดุ้ง เขารู้ว่าถ้าไม่ลงมือในตอนนี้ โอกาสจะหลุดมือทันที “เจ้ารู้แล้ว…” เขาพึมพำในใจ ก่อนจะเงื้อกระบองขึ้นด้วยความลนลาน แล้วขว้างออกไปเต็มแรง

แต่ตุ๊กแกพุ่งหลบอย่างคล่องแคล่ว ร่างเล็กนั้นลื่นไถลออกไปนอกรั้วกระท่อมทันที ส่วนกระบองที่พุ่งออกไปอย่างแรง กลับกระแทกกับเสาหน้ากระท่อม แล้วสะท้อนกลับมาด้วยแรงไม่คาดคิด มันฟาดเข้ากลางหน้าฤาษีเสียงดัง “พลั่ก”

ฤาษีล้มลงในทันที เลือดไหลออกจากหน้าผากเป็นทาง เขานอนนิ่งกับพื้น ลมหายใจขาดห้วง ความเจ็บปวดแล่นทั่วร่าง ไม่ใช่เพียงบาดแผลจากกระบอง แต่คือความอัปยศในใจที่ตนสร้างขึ้นด้วยตนเอง

ตุ๊กแกเลื้อยหายไปในพุ่มไม้โดยไม่หันกลับมาอีกเลย ไม่มีเสียง ไม่มีรอยเท้า และไม่มีการมาเยือนอีกในวันถัดไป

ฤาษีนอนอยู่ท่ามกลางความเงียบ ไม่มียา ไม่มีใครช่วย เขารู้ดีว่าความเจ็บครั้งนี้ หาได้เกิดจากผู้อื่นไม่ แต่คือผลของความคิดที่เขาเก็บไว้ในใจมาตลอด และเมื่อมันถูกปลดปล่อยออกมา มันก็ย้อนกลับมาทำร้ายเขาเอง

บางครั้ง กรรมที่เราก่อ มิได้รอให้ถึงชาติหน้า มันแค่รอให้ใจของเราหลุดจากธรรม… เท่านั้นเอง

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องฤาษีผู้กินเนื้อตุ๊กแก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… จิตที่คิดคด แม้ซ่อนอยู่ภายใต้คราบแห่งความดี ก็ไม่อาจหลอกผลแห่งกรรมได้ เพราะกรรมย่อมรู้ทัน และมักตอบสนองรวดเร็วยิ่งกว่าเจตนาที่ซุกซ่อนนั้นเสียอีก

ฤาษีผู้แสร้งเป็นผู้ทรงศีล แต่ใจกลับหมกมุ่นในรสแห่งเนื้อสัตว์ พยายามล่อลวงสัตว์ผู้บริสุทธิ์ที่มาด้วยศรัทธา ท้ายที่สุด กลับถูกร่างของตนลงโทษด้วยมือของตนเอง โดยไม่ต้องมีใครเป็นผู้กระทำ นอกจากเจตนาที่ตนก่อไว้เองอย่างชัดเจน

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องฤาษีผู้กินเนื้อตุ๊กแก (อังกฤษ: The Ascetic Who Ate the Lizard’s Flesh) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุสสชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ โดยมีลักษณะเด่นคือ ตัวเอกดำเนินเรื่องในรูปของมนุษย์ในโลกมนุษย์ และเนื้อหาเน้นแสดงผลแห่งกรรม ความผิดในจิต และการเสแสร้งทางธรรม

เรื่องนี้ พระพุทธองค์ทรงเล่าขึ้นเมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งถูกเปิดโปงว่าแสร้งสำรวม แต่เบื้องหลังยังยึดติดในรสโลกีย์ พระองค์จึงตรัสเล่าย้อนถึงอดีตชาติ ที่พระองค์มิได้เสวยชาติในเรื่องนี้ หากแต่ทรงชี้ให้เห็นว่า ความอยากที่ซ่อนในใจ แม้ปกปิดด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ หรือวัตรอันงาม ก็ไม่อาจรอดพ้นผลแห่งกรรมได้

ฤาษีในเรื่องจึงเปรียบเสมือนผู้ที่ปล่อยให้ความอยากอันเร้นลึก นำพาตนออกจากทางธรรม โดยลืมไปว่า กรรมนั้นไม่ได้รอชาติหน้า แต่มักเกิดขึ้นทันที เมื่อจิตพ้นจากธรรมที่ตนแสร้งรักษา

“ใจที่คิดฆ่าในคราบผู้ทรงพรต… ย่อมตกตายด้วยเงื้อมมือตนเอง”


by