ปกนิทานชาดกเรื่องความกลัวของนักธนู

นิทานชาดกเรื่องความกลัวของนักธนู

บางครั้ง คนที่ไม่ยกดาบ กลับทำให้ศัตรูหวั่นกลัวยิ่งกว่ากองทัพ บางคำพูดที่ไม่ดัง ก็ทำให้ใจคนสั่นมากกว่าคำขู่ใด ๆ มีเรื่องเล่านิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ที่เกิดจากศรเพียงดอกเดียว…ซึ่งไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

แต่กลับเปลี่ยนใจเจ็ดกษัตริย์ให้ล่าถอยโดยไม่เสียเลือดสักหยด มิใช่เพราะอำนาจ หากเพราะคนถือศรนั้น…รู้ดีว่าอะไรควรยิง และอะไรควรนิ่ง และการนิ่งบางครั้ง ก็แม่นยำยิ่งกว่าศรใดในโลก กับนิทานชาดกเรื่องความกลัวของนักธนู

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องความกลัวของนักธนู

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องความกลัวของนักธนู

ในกาลครั้งหนึ่ง มีกษัตริย์เจ็ดพระองค์จากเจ็ดแคว้น ร่วมมือกันวางแผนรุกรานนครเล็กแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดน นครนั้นมีเจ้าชายหนุ่มเป็นผู้ครองนครแทนพระบิดาที่สละราชสมบัติแล้ว

แม้เขาจะมีตำแหน่ง แต่ยังอ่อนวัย ขาดทั้งประสบการณ์และใจมั่นคง ยิ่งเมื่อรู้ว่าเจ็ดกษัตริย์กำลังจะยกทัพมา เขาก็ถึงกับตัวสั่น หวาดหวั่นจนไม่อาจคิดสิ่งใดได้ถนัด

“เราจะต้านได้อย่างไร…” เขาพึมพำขณะยืนบนหอคอย มองเห็นทหารศัตรูเริ่มเคลื่อนไหวอยู่ลิบ ๆ ที่ชายป่า

แม้ทหารของนครจะยังอยู่ แต่หัวใจของผู้เป็นผู้นำกลับไม่ยืนหยัดพอจะจุดประกายแก่ใครได้ เขาจึงรีบร่างสาส์นส่งไปถึงผู้เดียวที่เขาไว้ใจที่สุด

นั่นคือพี่ชายแท้ ๆ ของเขา ผู้เคยปกครองนครนี้ก่อนสละราชสมบัติเพื่อหลีกทางให้น้อง และออกเดินทางไปแสวงหาสัจธรรมในดินแดนห่างไกล

ข่าวถูกส่งไปด้วยความเร่งร้อน และไม่นานนัก เจ้าชายพี่ก็มาถึง เขาขี่ม้าเพียงตัวเดียว ไม่มีกองทหาร ไม่มียศศักดิ์ติดตัว แต่เมื่อก้าวลงจากหลังม้า เสียงสนทนาในวังกลับเงียบลงราวกับสายลมหยุดพัด

เขาเข้าไปหาน้องชายที่กำลังนั่งหน้าซีดอยู่ในห้องโถง แล้ววางมือเบา ๆ บนบ่าของน้อง

“อย่ากลัวเลยน้องรัก” เขากล่าวอย่างมั่นคง “ตราบใดที่พี่ยังมีลมหายใจ จะไม่มีอันตรายใดแตะต้องแผ่นดินนี้ได้”

เจ้าชายน้องมองพี่ชายแล้วน้ำตาคลอ ความกลัวในใจคล้ายถูกกดลงโดยมือเปล่าของผู้ที่ไม่ได้ถือดาบหรือโล่ แต่กลับหนักแน่นยิ่งกว่านั้นหลายเท่า เขารู้ทันทีว่า เพียงการปรากฏตัวของพี่ ก็พอจะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งได้แล้ว

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องความกลัวของนักธนู 2

หลังจากพักเพียงครู่ เจ้าชายพี่ก็มิได้สั่งเตรียมทัพ มิได้เรียกเหล่าทหาร หรือเปิดคลังอาวุธ เขาเพียงหยิบลูกศรดอกหนึ่งขึ้นมา เป็นลูกศรเรียบง่าย ไม่ประดับพลอยหรือทองคำ เขาใช้ปลายแหลมของมัน ขูดลงบนลำตัวของลูกศรอย่างเงียบงัน มือมั่นคง สายตานิ่ง

ข้อความที่ถูกจารึกลงไปมีเพียงประโยคเดียว “ข้าคือเจ้าชายพี่ ข้าจะสังหารเจ้าทั้งเจ็ดด้วยลูกศรดอกเดียว”

เมื่อเขาเขียนเสร็จ ก็พยักหน้าเรียกองครักษ์ผู้หนึ่งให้ส่งลูกศรนี้ไปยังค่ายของเจ็ดกษัตริย์ ขณะนั้นทั้งเจ็ดกำลังร่วมวงเสวยอาหารจากจานทองใบใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางค่าย ท่ามกลางเสียงหัวเราะและความย่ามใจของผู้ที่คิดว่าศึกครั้งนี้คือชัยชนะง่ายดาย

ลูกศรถูกยิงขึ้นสู่ฟ้า และปักลงกลางจานทองนั้นพอดี ไม่เบี่ยงซ้าย ไม่เฉียงขวา แต่ปักแน่นตรงใจกลาง ท่ามกลางอาหารหรูหราและความเงียบงันกะทันหัน

ในห้วงวินาทีนั้น ความรู้สึกที่ตีกระทบใจของกษัตริย์ทั้งเจ็ด ไม่ใช่ความเจ็บจากศร แต่คือความกลัวจากชื่อเสียงของคนที่ส่งมันมา เขาเคยเป็นนักรบผู้มีตำนาน เคยชนะศึกใหญ่โดยไม่เสียทหารแม้คนเดียว และคำขู่ที่อยู่บนศรก็ไม่ใช่ถ้อยคำลอย ๆ หากเป็นคำมั่นจากคนที่มีฝีมือพอจะทำได้จริง

ไม่มีใครสั่ง ไม่มีใครรอการตัดสินใจ พวกเขาต่างลุกขึ้น รีบออกจากค่าย รวบรวมคนของตน และหายไปจากเขตแดนโดยไม่หันกลับมาแม้แต่ครั้งเดียว

เจ้าชายพี่ยืนอยู่บนหอคอย มองภาพทั้งหมดจากเบื้องบน เขาไม่ได้ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้เศร้า เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อย คล้ายยืนยันบางสิ่งกับตนเอง

ไม่นานหลังจากเหตุการณ์นั้น เจ้าชายพี่ก็สละทุกสิ่งอีกครั้ง ออกจากวัง เข้าป่า และบวชเป็นนักบวชโดยไม่หวนกลับ เขาพิสูจน์แล้วว่า ศรหนึ่งดอก เมื่อยิงด้วยสติและปัญญา ย่อมมีแรงมากกว่าทัพนับพัน

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องความกลัวของนักธนู 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… พลังที่แท้จริง มิได้อยู่ที่อาวุธในมือ หรือเสียงตะโกนโหวกเหวก หากอยู่ที่สติ ปัญญา และความหนักแน่นที่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกด้วยความรุนแรง

ความกลัวของศัตรู มิได้เกิดจากเสียงกลอง หรือจำนวนพล หากเกิดจากชื่อเสียงและปัญญาของผู้ที่แม้จะไม่ยกทัพ ก็สามารถหว่านความเกรงขามลงในใจอีกฝ่ายได้ด้วยเพียงคำหนึ่งดอกเดียว เหมือนเช่นเจ้าชายผู้ยิงศรไม่เพื่อฆ่า แต่เพื่อให้ศัตรูหยุดคิด แล้วถอยกลับไปด้วยตนเอง

เจ้าชายผู้กลับมาโดยปราศจากทัพ กลับทำให้กษัตริย์เจ็ดพระองค์ต้องถอย ด้วยเพียงลูกศรดอกเดียวและถ้อยคำมั่นคง ไม่ต้องสู้ ไม่ต้องฆ่า แต่ก็ชนะ เพราะเขารู้ว่า ความกลัวของผู้มีใจหวาด นั้นเสียงดังกว่าศาสตราใด

ที่มาของสำนวน

นิทานชาดกเรื่องความกลัวของนักธนู (อังกฤษ: The Archer’s Fear) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุสสชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ โดยเนื้อเรื่องสะท้อนปัญญาเฉียบคมและความกล้าหาญของผู้ปกครองผู้มีธรรมเป็นที่ตั้ง แทนที่จะใช้กำลังเข้าปะทะ พระโพธิสัตว์ในชาตินั้นกลับใช้เพียงสติและชื่อเสียงที่สั่งสมไว้ เป็นอาวุธที่ทำให้ศัตรูหวั่นเกรงจนยอมล่าถอย

เรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงเล่าขึ้นเมื่อมีภิกษุผู้หนึ่งเกิดความลังเลว่าจะใช้ขันติและเมตตาอย่างไรในยามถูกรุกราน พระองค์จึงทรงยกเรื่องในอดีตชาติ ที่พระองค์เคยเสวยพระชาติเป็นเจ้าชายผู้ละทางโลก ใช้ปัญญาแทนดาบ และแสดงให้เห็นว่าการชนะโดยไม่ต้องฆ่า ย่อมสูงกว่าชัยชนะด้วยเลือด

ชาดกเรื่องนี้จึงมิได้ยกย่องความกล้าในสนามรบ แต่ชี้ให้เห็นว่า ความนิ่ง ความเฉียบ และความรู้เวลา ต่างหากคือชัยชนะที่แท้จริง

“ศรที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่ศรที่ยิงมา แต่คือศรที่ไม่จำเป็นต้องยิง”


by