ในโลกที่ความเชื่อกลายเป็นรากของการกระทำ หลายคนเลือกเดินตามสิ่งที่ตนคิดว่าจริง บางความเชื่อทำให้คนหยุดทำชั่ว แต่บางความเชื่อก็เปิดทางให้ชั่วโดยไม่รู้สึกผิด มีเรื่องเล่านิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ที่เกิดขึ้นเพราะความคิดเพียงประโยคเดียว ว่าหลังความตาย… ไม่มีอะไร
แต่หากความจริงนั้นลึกกว่าที่ตาเห็น และยาวไกลกว่าชีวิตเดียว สิ่งที่คนทำไว้ในวันนี้ อาจไม่จางหายไปพร้อมลมหายใจสุดท้าย และผู้ที่รู้แจ้งในข้อนี้ ย่อมไม่กล้าใช้ชีวิตอย่างประมาท กับนิทานชาดกเรื่องชีวิตหลังความตาย

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องชีวิตหลังความตาย
ในกาลก่อน มีนักบวชผู้หนึ่งตั้งตนอยู่ในธรรม บำเพ็ญเพียรอย่างเคร่งครัด ไม่ย่อหย่อนในวัตรปฏิบัติ ด้วยผลแห่งความเพียรบริสุทธิ์นั้น เมื่อละสังขารจากโลกมนุษย์ เขาจึงได้ไปบังเกิดในเทวโลก มีวิมานอันงดงาม มีกลิ่นหอมทิพย์ และเสียงแห่งสวรรค์เป็นเพื่อนยามสงัด แม้จะเสวยสุขในแดนทิพย์อย่างเหลือล้น แต่มโนของเขายังไม่ละจากโลกมนุษย์ เขามักทอดสายตามองลงมายังปฐพีเบื้องล่าง ติดตามความเป็นไปของสรรพชีวิตด้วยจิตเมตตาและความห่วงใย
เทวดาองค์อื่นอาจเพลินอยู่กับทิพยสมบัติ แต่เขากลับพินิจอยู่ในความทุกข์ของสัตว์โลก ยามเห็นผู้คนหลงผิด ดำเนินไปในทางมืดโดยไม่รู้ตน เขาย่อมเศร้าใจ และปรารถนาอยากให้พวกเขาได้รู้เห็นความจริง เหมือนที่ตนเคยเห็น
“ชีวิตในโลกนี้ มิใช่ปลายทาง… หากเพียงเป็นบทหนึ่งในเรื่องยาวของวิญญาณ” เขาคิดอยู่เสมอ และคำคิดนั้น ก็เป็นเหตุแห่งเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น
วันหนึ่ง นักบวชมองลงมายังเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง เมืองนั้นมั่งคั่ง มีความเจริญรุ่งเรือง ทั้งวัง หอคอย และถนนหนทางล้วนแน่นหนา แต่ใจของผู้ปกครองกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า พระราชาผู้ครองนครนั้นทรงมีความเชื่อประหลาดว่า “ชีวิตมีเพียงหนึ่งเดียว เมื่อดับก็สิ้น ไม่มีภพหน้า ไม่มีผลแห่งกรรม”
เพราะความเชื่อนั้น พระองค์จึงกล้าทำในสิ่งที่ผิดโดยไม่เกรงกลัว ไม่ถือศีล ไม่รู้จักยับยั้งกิเลส หวังแต่จะกอบโกย ลุ่มหลงในอำนาจและสมบัติ ไม่เห็นค่าของเมตตาธรรมแม้เพียงน้อย
นักบวชทอดสายตามองลงมา เห็นภาพเหล่านั้นราวกับไฟที่กำลังลุกในใจมนุษย์ แม้จะอยู่ในสวรรค์อันห่างไกล แต่จิตของเขากลับร้อนระอุด้วยความห่วงใย
“หากเขาได้เห็นผลแห่งกรรมด้วยตน อาจละจากความหลงได้” เขารำพึงในใจ ก่อนตัดสินใจลงจากวิมานทิพย์ ด้วยหวังเพียงให้แสงธรรมแตะต้องใจของผู้ปกครองผู้มืดบอด

ในยามค่ำวันหนึ่ง ขณะพระราชากำลังประทับอยู่ลำพังในสวนหลวง ใจยังเต็มไปด้วยแผนการกอบโกยอำนาจ สายลมแผ่วก็พัดพาเสียงฝีเท้าแปลกปลอมเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้น และต้องตกตะลึงเมื่อเห็นชายผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า รูปกายงามสง่า แต่งกายเรียบง่าย มีรัศมีแห่งความสงบแผ่กระจายรอบตัว
“เจ้าเป็นใคร กล้ามาในเขตวังยามนี้” พระราชาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแข็ง
นักบวชยืนสงบนิ่ง ดวงตาเปี่ยมเมตตา “เราไม่ใช่โจร หรือผู้หลงทาง แต่เป็นผู้มาเตือนสติ”
พระราชาชะงักไปครู่หนึ่ง พลางจับจ้องใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความไม่แน่ใจ
“ข้าไม่เคยเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง ชีวิตก็จบแค่ความตายเท่านั้น”
นักบวชจึงเอ่ยอย่างแผ่วเบา แต่หนักแน่นว่า “โลกหลังความตายมีอยู่จริง กรรมเป็นผู้จัดสรรชะตา วิญญาณย่อมไม่ดับสูญ แต่เวียนว่ายในวัฏฏะแห่งผลแห่งการกระทำ”
เขานั่งลงใต้ต้นไม้ แล้วกล่าวธรรมอย่างสงบ พูดถึงผลของบาปและบุญ ความเป็นธรรมชาติของกรรม และชะตาที่มิได้สิ้นสุดเมื่อร่างกายแตกดับ พระราชานั่งนิ่งอยู่นาน ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวกลับค่อย ๆ แปรเป็นแววคิดใคร่ครวญ
“หากเป็นเช่นนั้น ชีวิตข้าก็ไม่เคยอยู่ถูกทางเลยแม้เพียงวันเดียว”
เช้าวันต่อมา เหล่าเสนาบดีและประชาชนต่างตกใจ เมื่อพระราชาทรงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด พระองค์พูดน้อยลง ใจเย็นขึ้น และเริ่มตรัสด้วยถ้อยคำที่เปี่ยมด้วยสติปัญญา พระองค์สั่งยุติการเก็บภาษีเกินควร คืนที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ยากไร้ และเริ่มเปิดวังให้ประชาชนเข้ามาขอความช่วยเหลือได้โดยตรง
“ข้าคือผู้เคยหลงผิด และกำลังกลับตัวให้เร็วที่สุด ก่อนความตายจะพรากโอกาสไป” พระองค์กล่าวต่อที่ประชุมอย่างตรงไปตรงมา
นักบวชยืนดูอยู่ห่าง ๆ มิได้เอ่ยคำใดอีก เขายิ้มบาง ๆ และค่อย ๆ จางหายไปในแสงเช้าราวกับไม่เคยมีอยู่จริง
และนับแต่นั้น พระราชาก็ทรงปกครองอย่างเป็นธรรม นำแสงแห่งเมตตาธรรมกลับคืนสู่เมืองอีกครั้ง ในใจของพระองค์มีธรรมะแทนอำนาจ มีความสำนึกแทนความโลภ และมีศรัทธาในสิ่งที่ไม่อาจมองเห็น ด้วยดวงตาที่ได้ถูกเปิดโดยแสงแห่งปัญญา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… เมื่อหลงคิดว่าโลกนี้คือที่สุดของทุกสิ่ง เราย่อมกล้าทำชั่วโดยไม่ยำเกรงผลกรรม แต่เมื่อรู้ว่าชีวิตมิได้จบลงเพียงความตาย และกรรมย่อมตามสนองแม้ร่างจะสูญ วิถีที่เคยมืดจึงกลับสว่างได้ในเพียงแสงของสติ แม้จะช้า แต่ไม่เคยสายเกินไปสำหรับผู้ที่กล้ายอมรับความจริง
เมื่อกษัตริย์ผู้ลุ่มหลงในอำนาจเชื่อว่าไม่มีชีวิตหลังความตาย เขาจึงกล้าทำชั่วโดยไม่กลัวผลใด แต่เมื่อได้รับฟังธรรมจากนักบวชผู้บำเพ็ญเพียรในสวรรค์ จึงตระหนักว่าความตายไม่ใช่จุดจบ และกรรมที่ทำไว้จะติดตามวิญญาณไปทุกภพทุกชาติ ผู้ใดเห็นความจริงข้อนี้ ย่อมหันกลับจากความมืดสู่ทางแห่งปัญญา
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องชีวิตหลังความตาย (อังกฤษ: The Afterlife) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวด “มนุสสชาดก” หรือ “มนุษย์ชาดก” ซึ่งเป็นชาดกประเภทที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ และเรื่องราวดำเนินอยู่ในบริบทของโลกมนุษย์โดยตรง เนื้อหาเน้นให้ข้อคิดเรื่องศีลธรรม การปกครอง การดำเนินชีวิต และผลแห่งกรรมในมิติมนุษย์ ทั้งยังมักเกี่ยวโยงกับผู้มีอำนาจ เช่น พระราชา นักบวช พราหมณ์ หรือผู้มีศรัทธาในธรรม
ในกาลครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี มีภิกษุรูปหนึ่งบังเกิดความลังเลสงสัยเกี่ยวกับเรื่องชีวิตหลังความตาย จึงเข้าเฝ้ากราบทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชีวิตสิ้นสุดลงเพียงความตายจริงหรือไม่?”
พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าย้อนอดีตชาติ เมื่อครั้งพระองค์ได้เสวยพระชาติเป็นนักบวชผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ผู้ทำความดีไว้มากและได้บังเกิดในเทวโลก แม้อยู่ในแดนทิพย์ เขาก็มิได้ลืมสัตว์โลกเบื้องล่าง และยังเฝ้ามองด้วยความห่วงใย
วันหนึ่ง เขาเห็นกษัตริย์พระองค์หนึ่งหลงผิดคิดว่า “ชีวิตดับแล้วสิ้น ไม่มีกรรม ไม่มีนรกสวรรค์” จึงดำเนินชีวิตด้วยความลุ่มหลง ละเมิดธรรมโดยไม่หวาดกลัวผลแห่งการกระทำ นักบวชจึงลงมาโปรด และด้วยธรรมอันลึกซึ้ง พระราชาก็ตื่นจากความมืดบอด หันคืนสู่ทางแห่งธรรม
ชาดกเรื่องนี้จึงเป็นเครื่องเตือนว่า ชีวิตไม่สิ้นสุดเพียงลมหายใจสุดท้าย กรรมที่ทำไว้จะติดตามไปในภพหน้า และผู้ที่รู้แจ้งในข้อนี้ ย่อมไม่ประมาทในทุกการกระทำ
“เมื่อไม่เชื่อว่ามีผลแห่งกรรม คนย่อมกล้าทำชั่วอย่างไม่ยั้งคิด แต่กรรมไม่เคยหายไปตามความเชื่อของใคร”