ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการไม่ดำเนินการใด ๆ

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการไม่ดำเนินการใด ๆ

ในโลกนี้ หลายคนเชื่อว่าความสำเร็จเกิดจากการบังคับควบคุมทุกสิ่ง แต่คำสอนของเต๋าบอกว่า การพยายามกุมทุกอย่างด้วยมือยิ่งนำไปสู่ความพินาศและความทุกข์

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่งที่เล่าผ่านการบันทึกของเล่าจื๊อ ซึ่งอธิบายถึงผู้นำที่พยายามครอบครองแผ่นดินด้วยอำนาจ และผู้นำอีกผู้หนึ่งที่เลือกดำเนินไปอย่างสงบและปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามวิถีธรรมชาติ กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการไม่ดำเนินการใด ๆ

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการไม่ดำเนินการใด ๆ

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการไม่ดำเนินการใด ๆ

ผู้ได้เห็นและครุ่นคิดต่อความเปลี่ยนแปลงแห่งแผ่นดิน วันหนึ่ง ข้าได้ยินเรื่องราวของเจ้าแคว้นผู้หนึ่ง นามของเขาแม้จะถูกลืมเลือนไปแล้ว แต่ความทะเยอทะยานของเขากลับยังคงเป็นอุทาหรณ์

ข้าเริ่มบันทึกลงบนแผ่นไม้ไผ่ว่า…

ครั้งหนึ่ง มีเจ้าแคว้นผู้หนึ่ง ผู้ทะเยอทะยานและเชื่อว่าตนสามารถควบคุมทุกสิ่งได้ เขาสวมฉลองพระองค์หรูหรา ประดับอัญมณีแพรวพราว และในสายตาของเขา แผ่นดินก็เป็นเพียงทรัพย์สมบัติที่ต้องกุมไว้ให้มั่น เขากล่าวแก่ขุนนางว่า

“ตราบใดที่กฎหมายเข้มงวด ประชาชนก็ต้องเชื่อฟัง ตราบใดที่เรามีกำแพงใหญ่ กองทัพ และอาวุธ พวกเขาจะไม่มีวันหันหลังให้เราได้”

เขาสร้างกฎใหม่แทบทุกวัน กฎที่หนักหน่วงเหมือนหินผูกคอ เขาบังคับชาวบ้านให้ทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างจนถึงยามค่ำ ทุ่งนาเต็มไปด้วยเสียงถอนหายใจของคนไถนา แทนที่จะเป็นเสียงหัวเราะของเด็กและครอบครัว

แม้จะสร้างวังทองโอ่อ่า กำแพงสูงเสียดฟ้า แต่กลับไม่เห็นความอบอุ่นในสายตาผู้คน ทุกคนเดินผ่านพระราชวังด้วยใบหน้าที่ก้มต่ำราวกับถูกกดทับด้วยหินหนัก ความเงียบงันนั้นไม่ใช่ความสงบ แต่คือความหวาดกลัว

“อาณาจักรเปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิตอันละเอียดอ่อน ยิ่งกุมแน่นก็ยิ่งแหลกสลาย”

ปีแล้วปีเล่า แผ่นดินภายใต้เขากลายเป็นแดนที่ไร้รอยยิ้ม ท้องตลาดเงียบเหงา บ้านเรือนปิดตาย ประชาชนไม่กล้าพูดความจริงแม้แต่กับเพื่อนบ้านของตนเอง เพราะทุกถ้อยคำอาจกลายเป็นดาบที่ย้อนทำร้ายตน

ขุนนางเริ่มเสแสร้ง แข่งขันกันประจบเอาตัวรอด ผู้คนภายในราชสำนักก็ไม่จริงใจต่อเจ้านายที่พวกเขารับใช้ ความหรูหราภายนอกค่อย ๆ กลายเป็นเปลือกกลวงที่ปิดบังความเปราะบางไว้

ไม่นานนัก ลมแห่งการเปลี่ยนแปลงก็พัดมา ชาวบ้านเริ่มรวมตัวกระซิบกันในยามค่ำ กองไฟเล็ก ๆ ในหมู่บ้านกลายเป็นที่ปรึกษาเงียบสำหรับความทุกข์ที่สุมอยู่ในอก เสียงบ่นพรึบพรับนั้นแผ่วเบาในตอนแรก แต่ก็ค่อย ๆ แปรเป็นกระแสที่ไหลเชี่ยว

จนวันหนึ่ง กำแพงใหญ่ที่เขาภูมิใจกลับเป็นกรงขังตัวเอง เมื่อผู้คนลุกฮือขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เขาพยายามใช้ทหารหยุดยั้ง แต่กองทัพซึ่งถูกบังคับมานานก็ไร้ใจสู้ ขุนนางที่เคยสรรเสริญกลับทอดทิ้งทีละคน

ท้องถนนที่เคยเงียบ กลับก้องด้วยเสียงโห่ร้องและก่นด่า พระราชวังที่เคยรุ่งโรจน์ กลายเป็นเถ้าธุลีของความเกลียดชัง

สุดท้าย เขาต้องสวมผ้าคลุมปิดหน้า หลบหนีออกจากเมืองในยามค่ำคืน ดุจโจรที่แอบซ่อนความผิด เสียงก้อนหินที่ถูกขว้างใส่ตามหลังนั้นไม่ใช่เพียงหิน แต่คือความแค้นของผู้คนทั้งแผ่นดิน

และนี่คือจุดจบอันน่าอดสูของเจ้าแคว้นผู้พยายามจะ “ยึดกุมแผ่นดินด้วยมือ”

ข้าเงยหน้าจากการเขียน มองไส้เทียนที่สั้นลง พลันหัวใจรู้สึกหนักอึ้ง แล้วจึงจารึกประโยคหนึ่งว่า “ผู้ที่คิดจะได้แผ่นดินด้วยการกระทำบีบบังคับ ย่อมสูญเสียมันไปด้วยการกระทำนั้นเอง”

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการไม่ดำเนินการใด ๆ 2

ข้าเลื่อนไม้ไผ่แผ่นใหม่ออกมา หมึกบนพู่กันยังชื้นดี ข้าจึงบันทึกต่อว่า

ตรงข้ามกับเจ้าแคว้นผู้ล่มสลายนั้น ยังมีผู้ปกครองอีกคนหนึ่ง เขามิได้มีปราสาททองโอ่อ่า ไม่มีกำแพงสูงตระหง่านดุจภูผา หากแต่มีหัวใจที่กว้างใหญ่ดุจหุบเขา

เขาไม่สั่งผู้คนด้วยถ้อยคำแข็งกระด้าง แต่ใช้ความสงบและความจริงใจเป็นผู้นำ ราษฎรจึงทำงานโดยสมัครใจ เพราะไม่ถูกบังคับ พวกเขามีอิสระในการเพาะปลูก เลี้ยงดูครอบครัว และแลกเปลี่ยนผลผลิตอย่างเสรี เสียงหัวเราะกลับมาอบอวลตามตลาดและท้องทุ่ง

เมื่อฝนตกหนักจนทุ่งนาท่วม เขาก็เดินลงไปกลางหมู่บ้าน ช่วยเหลือด้วยสองมือของตน มิได้เพียงสั่งจากเบื้องสูง เหล่าชาวบ้านจึงมองเขาไม่ต่างจากพ่อที่ห่วงใยบุตร

และเพราะเขามิได้พยายามกุมแผ่นดินไว้ แผ่นดินจึงกลับกุมเขาไว้แทน ราวกับต้นไม้ที่เติบโตอย่างมั่นคง ไม่ต้องอวดแผ่กิ่งก้าน แต่รากฝังลึกในผืนดิน

ข้าจรดพู่กันอีกครั้ง พลันเสียงลมกลางคืนพัดผ่านหน้าต่างดังหวิว ๆ ราวกับเตือนว่า ทุกคำสอนนี้มิได้มีไว้เพียงสำหรับกษัตริย์หรือเจ้าแคว้นเท่านั้น แต่สำหรับมนุษย์ทุกผู้คน

“ชีวิตของแต่ละคนก็ไม่ต่างจากการปกครองแผ่นดิน” ข้าเขียนช้า ๆ ตัวอักษรชัดเจน

หากเราเอาแต่กดข่มใจตัวเอง วิ่งตามอำนาจหรือความอยากไม่รู้จบ ใจเราจะเหนื่อยล้าและแตกสลายในที่สุด แต่ถ้าเรารู้จักปล่อยวาง ไม่บีบคั้น ไม่เร่งเร้า ให้ทุกสิ่งเป็นไปตามวิถีของมัน ความสงบก็จะบังเกิดขึ้นภายใน

ข้าสรุปลงในตำราไม้ไผ่แผ่นสุดท้ายว่า “ผู้รู้เต๋าจึงละทิ้งความพยายามเกินควร ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่หลงสบายเกินขอบเขต และไม่บีบคั้นตนเองหรือผู้อื่น เพราะแท้จริงแล้ว หนทางที่มั่นคงที่สุด คือการไม่ฝืน แต่ปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามธรรมชาติ”

แสงเทียนดับลงพร้อมกับถ้อยคำสุดท้ายของข้า แต่ความสว่างในหัวใจกลับแจ่มชัด เหมือนแผ่นดินที่สงบลงหลังพายุใหญ่

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการไม่ดำเนินการใด ๆ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานนี้สอนให้รู้ว่า… แท้จริงแล้ว “การไม่ลงมือกระทำหรีอดำเนินการใด ๆ” มิได้หมายถึงการเพิกเฉยหรือทอดทิ้ง แต่คือการไม่ฝืนบังคับสิ่งต่าง ๆ ให้ผิดไปจากวิถีธรรมชาติ ผู้ที่พยายามควบคุมทุกอย่างอย่างตึงแน่น ย่อมพบกับความสูญสลายในที่สุด ส่วนผู้ที่ปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เคลื่อนไปตามครรลอง ย่อมได้รับความมั่นคงที่แท้จริง

เหมือนดั่งผู้นำที่ไม่กดขี่ผู้คน เขาเพียงชี้แนะแนวทางและอยู่ร่วมกับราษฎรโดยสงบ ผลที่เกิดขึ้นคือประชาชนพร้อมจะร่วมแรงร่วมใจโดยไม่ต้องถูกบังคับ ความศรัทธาเกิดขึ้นจากความสมัครใจ ไม่ใช่จากความหวาดกลัว ในทำนองเดียวกัน ชีวิตของเราก็เป็นเช่นนั้น หากเรามัวแต่วิ่งตามอำนาจ เกียรติยศ หรือความอยากที่ไม่สิ้นสุด หัวใจเราจะอ่อนล้าและเต็มไปด้วยความทุกข์ แต่เมื่อเรารู้จักถอย รู้จักวางสิ่งที่เกินจำเป็น และใช้ความเรียบง่ายเป็นเครื่องนำทาง จิตใจจะค่อย ๆ กลับสู่ความสงบ เหมือนน้ำที่ไหลกลับไปหาต้นธาร ความสุขที่แท้จริงจึงบังเกิดจากการไม่ฝืนตนเองและไม่บีบคั้นผู้อื่น

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าของเล่าจื๊อ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการไม่ดำเนินการใด ๆ (อังกฤษ: Taking No Action) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 29 ซึ่งเล่าจื๊อกล่าวถึง “การไม่ดำเนินการใด ๆ” ว่าโลกและแผ่นดินนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนดุจวิญญาณ ไม่อาจยึดครองหรือบังคับด้วยกำลังหรือความทะเยอทะยานได้ ผู้ใดพยายามไขว่คว้าโลกด้วยอำนาจ ย่อมพังพินาศในที่สุด เพราะการแทรกแซงมากเกินไปเป็นการฝืนธรรมชาติ และสิ่งที่ฝืนย่อมแตกสลาย เล่้าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

การไม่ลงมือกระทำ

ผู้ใดปรารถนาครองราชย์เพื่อประโยชน์ตนเอง
และคิดจะสำเร็จด้วยการกระทำของตน
ข้าพเจ้าก็เห็นว่าเขาจะไม่สำเร็จ
ราชย์นั้นเป็นสิ่งราวจิตวิญญาณ
ไม่อาจได้มาด้วยการลงมือกระทำ
ผู้ใดพยายามชิงเอา ย่อมทำลายมัน
ผู้ใดพยายามถือไว้ในมือ ย่อมสูญเสียมัน

ธรรมชาติและวิถีของสรรพสิ่งเป็นดังนี้
สิ่งที่อยู่ข้างหน้า กลับกลายเป็นข้างหลัง
สิ่งที่อบอุ่น พอครู่เดียวก็เย็นเฉียบ
ความแข็งแรงมักเป็นของเหยื่อของความอ่อนแอ
ทรัพย์สมบัติที่พังพินาศ ช่างเยาะเย้ยความเพียรของเรา

ดังนั้น ปราชญ์จึงละทิ้งความเพียรเกินควร
ละทิ้งความฟุ่มเฟือย และละเว้นความยินดีในความสบายเกินไป

เล่าจื๊อสอนว่า เมื่อมองดูวิถีของฟ้าและดิน สิ่งที่ร้อนแรงย่อมเย็นลง สิ่งที่แข็งกร้าวย่อมแตกสลาย สิ่งที่มั่งคั่งล้นเกินย่อมเสื่อมโทรมไป ผู้ที่เป็นนักปราชญ์จึงไม่ดำเนินไปตามความโลภ ความเร่งรีบ หรือความมักง่าย แต่เลือกที่จะถอยออกจากความเกินพอดี ละทิ้งความฟุ่มเฟือยและการบังคับ เพื่อกลับมาสู่ความสมดุลอันเรียบง่าย

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนดังกล่าว โดยเปรียบผู้นำที่พยายามกุมทุกสิ่งด้วยมือของตนเองกับผู้ที่ในที่สุดกลับสูญเสียทั้งอำนาจและศักดิ์ศรี ขณะที่ผู้เลือกดำเนินตาม “การไม่ดำเนินการใด ๆ” กลับได้รับความมั่นคงยั่งยืนและความสงบสุขอันแท้จริง

คติธรรม: “ผู้ใดพยายามยึดครองโลก ย่อมสูญเสียโลก แต่ผู้วางใจให้โลกเป็นไปตามธรรมชาติ ย่อมอยู่ร่วมกับโลกได้อย่างสงบสุข”