นิทานพื้นบ้านจีนเรื่องมู่หลาน

สายลมพัดผ่านทุ่งหญ้ากว้าง ท้องฟ้าสีทองอาบแสงอาทิตย์ยามเย็น มีนิทานพื้นบ้านสากลจากจีนตำนานเล่าขานถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่อย่างสงบ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ และกลิ่นอาหารที่ลอยมาจากเรือนแต่ละหลัง ทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปเช่นเดิม

แต่ในความเงียบสงบนี้ เมฆดำแห่งสงครามกำลังก่อตัวขึ้น คำสั่งจากองค์จักรพรรดิจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนไปตลอดกาล และหญิงสาวนางหนึ่งกำลังจะตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด… กับนิทานพื้นบ้านจีนเรื่องมู่หลาน

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านจีนเรื่องมู่หลาน

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านจีนเรื่องมู่หลาน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว รุ่งอรุณมาเยือน หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งยังคงเงียบสงบ แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ส่องลอดผ่านหลังคาไม้ไผ่ของบ้านแต่ละหลัง เสียงไก่ขันดังขึ้นจากลานบ้าน กลิ่นข้าวต้มลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ

มู่หลานกำลังนั่งปอกผลไม้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ นางมองไปยังบิดาของตนฮัว ฮู ที่กำลังจิบชาเงียบ ๆ ดวงตาของเขาแม้จะอ่อนโยน แต่แฝงด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา

ทันใดนั้น เสียงแตรดังขึ้นจากทางเข้าหมู่บ้าน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าม้าหนักแน่น ชาวบ้านพากันชะเง้อมอง ทหารหลวงในชุดเกราะสีดำควบม้าผ่านถนนกลางหมู่บ้าน ก่อนหยุดลงหน้าแท่นประกาศ

หนึ่งในนั้นเปิดม้วนกระดาษขึ้น ก่อนเปล่งเสียงก้อง “ตามพระบัญชาขององค์จักรพรรดิ! แคว้นของเราถูกศัตรูจากแดนเหนือรุกราน! ชายฉกรรจ์ทุกบ้านต้องเข้าร่วมกองทัพ เพื่อนำชัยชนะกลับคืนมา!”

ชาวบ้านพากันซุบซิบ หลายคนมีใบหน้าตื่นตระหนก ในขณะที่บางคนกำหมัดแน่นด้วยความกังวล มู่หลานเองก็มองอย่างไม่วางตา จนกระทั่งได้ยินชื่อของครอบครัวตนเอง

“ตระกูลฮัว… ฮัว ฮู ต้องเข้าประจำการ!”

มู่หลานหันขวับไปมองบิดาของตนทันที นางเห็นมือของเขากำถ้วยชาแน่น แม้ใบหน้าจะยังสงบนิ่ง แต่ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน

เมื่อทหารจากไป ชาวบ้านค่อย ๆ แยกย้ายกลับบ้านของตนเอง บางคนร่ำไห้ บางคนโอบกอดกันแน่นราวกับนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน

มู่หลานเดินเข้าไปหาฮัว ฮู ที่กำลังหยิบดาบเล่มเก่าของเขาออกจากหีบไม้ นางเห็นว่าแม้เขาจะพยายามจับมันมั่นคง แต่มือที่เคยแข็งแกร่งกลับสั่นเล็กน้อย

“ท่านพ่อ ท่านยังไม่หายดีนัก ท่านจะไปรบได้อย่างไร?” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“นี่เป็นหน้าที่ของข้า” เขาตอบเสียงเรียบ พลางมองดาบในมือ

“แต่ท่านได้รับบาดเจ็บจากสงครามครั้งก่อน ข้าเกรงว่าท่านจะ…”

“พอเถอะ มู่หลาน” บิดากล่าวขัดขึ้น แม้เสียงของเขาจะอ่อนโยน แต่น้ำเสียงนั้นก็หนักแน่นจนมู่หลานต้องเม้มริมฝีปาก นางรู้ว่าเมื่อบิดาตัดสินใจแล้ว ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนใจเขาได้

ค่ำคืนนั้น เงาจันทร์ทอดลงบนลานหน้าบ้าน มู่หลานยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้ นางถือดาบของบิดาในมือก่อนตวัดมันลง เส้นผมยาวสลวยร่วงลงกับพื้น นางมองเงาตัวเองในกระจกน้ำ ร่างของหญิงสาวหายไป เหลือเพียงเงาของนักรบในชุดบุรุษ

“หากข้าจะปกป้องครอบครัว ข้าต้องเป็นใครก็ได้… แม้แต่บุรุษ”

นางหยิบชุดเกราะเก่าของบิดาขึ้นมาสวม แล้วค่อย ๆ ก้าวออกจากบ้าน ทิ้งเพียงจดหมายไว้บนโต๊ะ “ข้าจะทำหน้าที่แทนท่าน โปรดอย่าตามหา”

เมื่อนางก้าวขึ้นหลังม้า หัวใจของนางเต้นแรง แต่ดวงตากลับแน่วแน่ นางขี่มุ่งออกจากหมู่บ้านภายใต้เงาจันทร์อันเงียบงันเช้าตรู่ ณ ค่ายทหาร พลทหารหลายสิบคนเข้าแถวเรียงกันบนลานฝึก เสียงตะโกนของนายทหารดังก้องขณะที่พวกเขาสั่งการเหล่าทหารใหม่ “เจ้า! ชื่ออะไร?”

มู่หลานยืนตรง สวมบทบาทใหม่ของตน นางสูดลมหายใจก่อนตอบ “แซ่ฮัว ข้าชื่อปิง!”

นายทหารกวาดตามองขึ้นลง ก่อนพยักหน้า “อย่าคิดว่าที่นี่จะเมตตาเจ้า เจ้าต้องฝึกหนัก ไม่เช่นนั้น เจ้าจะตายในสนามรบ”

นางกำหมัดแน่น นางรู้ดีว่าทุกย่างก้าวที่ผิดพลาดอาจหมายถึงการเปิดเผยตัวตน

การฝึกเริ่มต้นขึ้น และมันโหดกว่าที่มู่หลานคาดคิด นางต้องฝึกซ้อมตั้งแต่รุ่งสางจนพระอาทิตย์ตก ทั้งดาบ ธนู ขี่ม้า และการต่อสู้ตัวต่อตัว

มู่หลานล้มแล้วลุกขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน แขนขาถลอกจากการฝึกอย่างหนัก ทหารคนอื่น ๆ ต่างหัวเราะเยาะ “เจ้าจะรอดถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่ ฮัวปิง?”

“ดูเหมือนเจ้าอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นนักรบนะ!” นางเม้มริมฝีปากแน่น แต่ไม่โต้ตอบ

แต่ทุกครั้งที่ล้มลง นางจะกัดฟันลุกขึ้นมาใหม่ “ข้าจะไม่ยอมแพ้” นางพึมพำกับตัวเอง

ผ่านไปหลายเดือน มู่หลานเริ่มแข็งแกร่งขึ้น นางเรียนรู้ที่จะใช้ไหวพริบแทนกำลัง เมื่อมีการฝึกต่อสู้ นางใช้ความเร็วและความชาญฉลาดเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า

วันหนึ่ง ขณะฝึกขี่ม้า นายทหารสั่งให้เหล่าทหารต้องยิงธนูไปที่เป้าขณะควบม้า

มู่หลานจับธนูมั่น นางมองเป้าหมาย พลางสูดลมหายใจเข้าฟิ้ววว! ลูกธนูของนางพุ่งตรงสู่เป้าอย่างแม่นยำ

ทหารคนอื่น ๆ ที่เคยหัวเราะเยาะ เริ่มหันมามองด้วยสายตาแตกต่างไปจากเดิม “เจ้ามีฝีมือกว่าที่ข้าคิดนะ ฮัวปิง!” เพื่อนทหารคนหนึ่งกล่าว “ข้าต้องยอมรับว่าเจ้าทำได้ดีจริง ๆ”

มู่หลานยิ้มเล็กน้อย นางรู้ว่าความพยายามของนางเริ่มเห็นผล นางไม่ได้เป็นแค่ทหารอีกต่อไป นางกำลังกลายเป็นนักรบอย่างแท้จริง

เสียงกลองศึกดังระรัว ค่ายทหารถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงแตรของแม่ทัพ ขณะที่ธงรบสะบัดไหวในสายลม “พวกเราจะออกศึก!” นายทหารประกาศ เสียงเฮดังขึ้นจากเหล่าทหาร

มู่หลานจับดาบแน่น นางรู้ว่านี่คือช่วงเวลาที่แท้จริงที่นางต้องเผชิญ ขณะที่กองทัพเคลื่อนพล นางมองไปยังเส้นขอบฟ้า นี่ไม่ใช่การฝึกอีกต่อไป แต่เป็นสงครามที่แท้จริง และนาง… จะต้องรอด

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านจีนเรื่องมู่หลาน 2

ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆดำ กลิ่นควันไฟและเลือดตลบอบอวลทั่วสมรภูมิ กองทัพศัตรูจากแดนเหนือรวมตัวอยู่บนเนินเขา เตรียมเปิดฉากโจมตีครั้งสุดท้าย

มู่หลานอยู่แนวหน้า นางจับดาบแน่น พลทหารรอบตัวต่างมองนางด้วยสายตาแน่วแน่ ทุกคนรอเพียงคำสั่ง

“พวกเราสู้เคียงข้างกันมานาน ศัตรูอ่อนแรงแล้ว! วันนี้… คือวันแห่งชัยชนะ!”

เสียงของนางดังก้องไปทั่วกองทัพ ทหารจีนเปล่งเสียงร้องสนั่น “อ๊ากกก!!” พร้อมกระชับอาวุธ

ศัตรูเริ่มเคลื่อนพลลงจากเนิน ทหารม้ากระโจนลงมาพร้อมหอกแหลม กลองศึกดังระรัว แต่มู่หลานไม่หวั่นไหว นางยกดาบขึ้นสูงก่อนตะโกน “เตรียมยิงธนู!”

แนวธนูด้านหลังพร้อม พลธนูยกคันศรขึ้น เสียงลูกธนูพุ่งผ่านอากาศดัง ฟิ้ววววว! พุ่งเข้าปักเป้าหมาย ศัตรูเริ่มล้มลง แต่ยังคงทะลวงแนวรับเข้ามา

มู่หลานกระโดดขึ้นม้า ชักดาบออกจากฝัก ก่อนพุ่งทะยานเข้าไปกลางกองทัพ นางฟันลงอย่างแม่นยำ พุ่งหลบลูกธนูที่เฉียดใบหน้าไปเพียงคืบ

ศัตรูพยายามล้อมนางจากทุกทิศ แต่นางว่องไวเกินกว่าที่พวกมันจะตามทัน “จัดการแม่ทัพมันให้ได้!”

ทหารศัตรูคำราม พลทหารร่างยักษ์แกว่งขวานลงมา แต่มู่หลานพลิกตัวหลบ ฉัวะ! นางสะบัดดาบปาดแขนมันจนเลือดสาด ก่อนใช้เท้าถีบมันกระเด็นไป

สนามรบโกลาหล แต่ทัพจีนไม่ยอมถอย เสียงโลหะกระทบกันดังกึกก้อง

มู่หลานเห็นแม่ทัพศัตรูอยู่ไม่ไกล นางรู้ดีว่าหากสังหารเขาได้ กองทัพของมันจะแตกพ่าย นางบังคับม้าให้พุ่งตรงไป

“เจ้ากล้าดีอย่างไร!” แม่ทัพศัตรูตวาดก่อนเงื้อดาบใส่นาง

มู่หลานปัดป้อง เธอใช้จังหวะนั้นหมุนตัวไปด้านหลัง แล้วแทงดาบเข้าไปกลางลำตัว ฉึก! แม่ทัพศัตรูชะงัก ดวงตาเบิกกว้างก่อนร่างจะทรุดลง

เหล่าทหารของมันเห็นแม่ทัพถูกสังหาร ต่างพากันตื่นตระหนก บางคนเริ่มถอย บางคนทิ้งอาวุธแล้ววิ่งหนี

“ศัตรูถอยแล้ว! บุกเข้าไป!” มู่หลานตะโกน

ทัพจีนโห่ร้องกึกก้อง ก่อนไล่ตีศัตรูที่แตกกระเจิงไปจนหมดสิ้น

สนามรบเงียบสงัด ศัตรูถูกขับไล่จนหมด กองทัพจีนได้รับชัยชนะ เสียงกลองศึกสงบลง ทหารที่รอดชีวิตมองหน้ากันด้วยความโล่งใจ ก่อนเปล่งเสียงร้อง “ไชโย!” สนั่น

มู่หลานมองรอบตัว หัวใจของนางเต้นแรง แต่นางรู้ว่าสงครามนี้… จบลงแล้ว

ในวันรุ่งขึ้น ข่าวชัยชนะถูกส่งไปถึงเมืองหลวง มู่หลานและเหล่าทหารเดินทางกลับอย่างสมเกียรติ เมืองทั้งเมืองออกมาต้อนรับพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่

ภายในพระราชวังองค์จักรพรรดินั่งอยู่บนบัลลังก์ ทรงทอดพระเนตรแม่ทัพหนุ่มที่พากองทัพของพระองค์ไปสู่ชัยชนะ

“เจ้าคือผู้ที่นำกองทัพของข้าสู่ชัยชนะ” พระองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “บัดนี้ ข้าจะมอบเกียรติสูงสุดแก่เจ้า จงรับตำแหน่งขุนนางและทรัพย์สมบัติตามที่เจ้าสมควรได้รับ”

มู่หลานคุกเข่าลง นางรู้ดีว่านี่คือเกียรติสูงสุดที่ทหารทุกคนปรารถนา

แต่ในใจของนาง นางมีเพียงความคิดเดียว “ขอบพระทัยองค์จักรพรรดิ แต่หม่อมฉันมีเพียงหนึ่งความปรารถนา…”

จักรพรรดิทรงขมวดพระขนงเล็กน้อย

“หม่อมฉันขอคืนสู่บ้านและอยู่กับครอบครัว” ทั่วทั้งท้องพระโรงเงียบสนิท ไม่มีใครคาดคิดว่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่จะปฏิเสธตำแหน่งสูงสุด

จักรพรรดิมองนางนิ่ง ก่อนตรัสขึ้นด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์

“หากนั่นคือสิ่งที่เจ้าปรารถนา ข้าก็จะให้เจ้าไป… จงกลับบ้านไปในฐานะวีรบุรุษแห่งแผ่นดินนี้เถิด”

มู่หลานก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม ก่อนลุกขึ้นแล้วเดินออกจากท้องพระโรง

หัวใจของนางโล่งสบาย นางรู้ว่าสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า อาจเป็นรางวัลที่มีค่ากว่าทุกสิ่งที่ได้รับมา

หลังจากปฏิเสธตำแหน่งขุนนางและทรัพย์สมบัติจากจักรพรรดิ มู่หลานออกเดินทางกลับบ้าน นางมองทิวทัศน์รอบตัวที่เปลี่ยนจากสนามรบและเมืองหลวงอันโอ่อ่า กลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีและหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ

“ข้ากลับมาแล้ว…” นางพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ก้าวเข้าใกล้ประตูเรือนที่คุ้นเคย

ทันทีที่มู่หลานเดินเข้าไปในบ้าน บิดาของนาง ฮัว ฮู ซึ่งนั่งอยู่หน้าบ้านก็มองขึ้นมา เมื่อสายตาของเขาสบกับบุตรสาวที่จากไปนานหลายปี หัวใจของเขาเต้นแรง

“มู่หลาน…” เสียงของเขาสั่นเครือ

นางยิ้มให้บิดา ก่อนคุกเข่าลงตรงหน้าเขา นางไม่ได้สวมชุดเกราะ ไม่ได้ถือดาบเหมือนแม่ทัพอีกต่อไป แต่กลับมาเป็นบุตรสาวของเขาอีกครั้ง “ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว”

ฮัว ฮูมองดูบุตรสาวนิ่ง ก่อนที่น้ำตาจะเอ่อขึ้นในดวงตา เขาค่อย ๆ ยื่นมือมาสัมผัสไหล่ของนาง “เจ้า… เจ้าโตขึ้นมากนัก”

หลังจากนั้น มู่หลานกลับเข้าห้องของตนเอง นางเปิดหีบไม้เก่า หยิบเสื้อผ้าของสตรีออกมา และเปลี่ยนจากชุดเกราะเป็นอาภรณ์อ่อนช้อยที่นางไม่ได้สวมใส่มานาน

เมื่อมู่หลานก้าวออกจากห้อง นางไม่ใช่แม่ทัพผู้แข็งแกร่งอีกต่อไป แต่กลับมาเป็นหญิงสาวผู้สง่างามในชุดสตรี

ไม่นานนัก เสียงม้าก็หยุดลงหน้าบ้าน สหายร่วมรบของนางหลายคนเดินเข้ามาหา พวกเขาเดินทางมาเพื่อพบกับแม่ทัพผู้เกรียงไกรอีกครั้ง

แต่เมื่อพวกเขาเห็นมู่หลานในชุดสตรี พวกเขาก็ชะงักไปทันที

“มู่หลาน?!” ชายคนหนึ่งอุทานออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

“เจ้าเป็น… หญิงงั้นหรือ?” อีกคนถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

มู่หลานยิ้มบาง ๆ นางมองเหล่าผองเพื่อนที่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าคือมู่หลานคนเดิม… เพียงแต่ตอนนี้ ข้าได้กลับมาเป็นตัวของข้าเอง”

เหล่าสหายต่างมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครกล่าวอะไร ก่อนที่ในที่สุด พวกเขาจะหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆ ๆ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นชายหรือหญิง เจ้าก็คือสหายของเราเสมอ!”

“จริงอย่างที่ว่า! ไม่ว่าเพศใด เจ้าก็คือผู้กล้า!” มู่หลานหัวเราะไปกับพวกเขา หัวใจของนางเต็มไปด้วยความสุข

นางไม่ต้องปลอมตัว ไม่ต้องสวมเกราะ ไม่ต้องแบกภาระของกองทัพอีกต่อไป นางได้กลับบ้านในฐานะของตัวเอง และได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านจีนเรื่องมู่หลาน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าความกล้าหาญไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ แต่ขึ้นอยู่กับหัวใจ มู่หลานพิสูจน์ให้เห็นว่า ความมุ่งมั่น ความฉลาด และความเสียสละ สามารถทำให้เธอยืนหยัดในที่ที่ไม่มีใครคาดคิด

มันยังสอนว่าหน้าที่และเกียรติยศที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่โลกมอบให้ แต่เป็นสิ่งที่เรามอบให้ตัวเอง มู่หลานไม่ต้องการตำแหน่งหรือรางวัล เธอเพียงต้องการทำในสิ่งที่ถูกต้องและปกป้องครอบครัว

และสุดท้าย นิทานเรื่องนี้ย้ำเตือนว่าการเป็นตัวของตัวเองคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มู่หลานสามารถสวมบทบาทเป็นนักรบ แต่ในท้ายที่สุด เธอเลือกกลับมาเป็นตัวเอง โดยไม่ต้องการให้โลกรับรองคุณค่าของเธอ เพราะเธอรู้แล้วว่าเธอคู่ควรกับมันตั้งแต่แรก

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านจีนเรื่องมู่หลาน (อังกฤษ: Hua Mulan) มีต้นกำเนิดจากบทกวีจีนโบราณชื่อ “เพลงลำนำมู่หลาน” (Ballad of Mulan, 木兰辞) ซึ่งปรากฏขึ้นครั้งแรกในช่วง ราชวงศ์เหนือ-ใต้ (ค.ศ. 386–589) เป็นเรื่องราวของหญิงสาวที่ปลอมตัวเป็นชายเพื่อเข้าร่วมกองทัพแทนบิดา และกลายเป็นนักรบผู้เก่งกาจ นิทานเรื่องนี้ได้รับการเล่าขานและดัดแปลงในวรรณกรรมจีนหลายยุคสมัย และกลายเป็นตำนานที่ฝังลึกในวัฒนธรรมจีน

ในสังคมจีนโบราณ ซึ่งเน้นบทบาทของชายเป็นหลัก มู่หลานเป็นตัวละครที่โดดเด่นเพราะเธอแสดงให้เห็นว่าความสามารถและความกล้าหาญไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเพศ เธอไม่ได้ออกรบเพื่อชื่อเสียงหรือเกียรติยศ แต่เพื่อความกตัญญูและความรับผิดชอบต่อครอบครัว ซึ่งเป็นคุณค่าที่สำคัญในปรัชญาขงจื๊อ

เรื่องราวของมู่หลานได้รับการบันทึกซ้ำในยุคราชวงศ์ถังและซ่ง และถูกนำมาสร้างใหม่หลายครั้งในรูปแบบของบทกวี บทละคร นิยาย รวมถึงการเล่าต่อ ๆ กันมาในแบบนิทานพื้นบ้านในบางเวอร์ชัน มู่หลานเลือกจบชีวิตตนเองเมื่อถูกบังคับให้เข้ารับราชการในฐานะสตรีหลังจากถูกเปิดเผยตัวตน แต่ในเวอร์ชันที่แพร่หลายที่สุด เธอกลับบ้านและใช้ชีวิตอย่างสงบ

เรื่องราวของเธอถูกนำมาสร้างเป็นวรรณกรรม ภาพยนตร์ และแอนิเมชัน มากมาย รวมถึง “มู่หลาน” ของดิสนีย์ ที่ดัดแปลงเรื่องราวให้มีความเป็นตะวันตกมากขึ้น แต่ยังคงแก่นแท้ของ ความกล้าหาญ การเสียสละ และการค้นหาตัวตน ไว้อย่างครบถ้วน

แม้ว่ามู่หลานจะเป็นเพียงตัวละครในตำนาน ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเธอมีตัวตนจริงหรือไม่ แต่เธอได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งของสตรี และเป็นตัวแทนของความเสมอภาคทางเพศในวรรณคดีจีน และนิทานพื้นบ้านจีนเรื่องมู่หลานจะยังเป็นที่เล่าขานต่อไปตราบอีกนานเท่านาน

“เกียรติยศไม่ได้มาจากตำแหน่งที่ได้รับ แต่มาจากการเลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้ไม่มีใครเห็น”

นิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องโมโมทาโร่เด็กชายลูกท้อ

ท่ามกลางหุบเขาและแม่น้ำใสเย็น มีเรื่องเล่าขานตำนานนิทานพื้นบ้านสากลชื่อดังจากญี่ปุ่น โดยเรื่องราวเริ่มจากหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่ ผู้คนในหมู่บ้านใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ดำรงชีพด้วยการทำไร่ทำนาและช่วยเหลือกันอย่างมีน้ำใจ แม้ว่าที่นี่จะเงียบสงบ แต่ก็มีเรื่องเล่าที่ทำให้ทุกคนหวาดหวั่นเสมอ ยักษ์ที่อาศัยอยู่บนเกาะอันไกลโพ้น พวกมันดุร้าย แข็งแกร่ง และออกปล้นสะดมหมู่บ้านอยู่เป็นประจำ ไม่มีใครกล้าต่อกรกับพวกมัน และไม่มีผู้ใดรู้วิธีจะหยุดยั้งหายนะครั้งนี้

แต่แล้ว วันหนึ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อมีเด็กชายผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา เด็กชายที่ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ แต่ยังเต็มไปด้วยจิตใจกล้าหาญและความมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่มีใครกล้าเผชิญ… กับนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องโมโมทาโร่เด็กชายลูกท้อ

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องโมโมทาโร่เด็กชายลูกท้อ

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องโมโมทาโร่เด็กชายลูกท้อ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางหุบเขา มีชายชรากับหญิงชราสองสามีภรรยาอาศัยอยู่ พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตัดฟืน ทำสวน ปลูกข้าว และช่วยเหลือเพื่อนบ้านอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าจะมีชีวิตสงบสุข แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทั้งสองรู้สึกเศร้าอยู่ลึก ๆ ก็คือพวกเขาไม่มีลูก

วันหนึ่ง ขณะที่คุณยายหอบตะกร้าผ้าไปซักที่แม่น้ำ เธอก็ฮัมเพลงไปพลาง น้ำในลำธารใสแจ๋วจนเห็นปลาตัวเล็กว่ายวนไปมา ขณะที่เธอกำลังขยี้เสื้อผ้าอยู่นั้น ทันใดนั้น!

ซ่าาา! กระแสน้ำไหลเชี่ยวขึ้น และเธอเห็นอะไรบางอย่างกำลังลอยมาตามน้ำ

“ลูกท้อเหรอ?” มันเป็นลูกท้อขนาดมหึมา! เปลือกของมันสีชมพูระเรื่อเป็นประกายราวกับทอง เธอไม่เคยเห็นผลไม้อะไรใหญ่เท่านี้มาก่อน

“ถ้าข้านำไปให้คุณตากินล่ะก็ คงทำเป็นขนมได้ทั้งอาทิตย์แน่ ๆ!” เธอจึงใช้ไม้เขี่ยลูกท้อเข้าหาฝั่ง แล้วแบกมันกลับบ้านไปด้วยความยากลำบาก

เมื่อคุณยายกลับถึงบ้าน คุณตาซึ่งกำลังหั่นฟืนอยู่ถึงกับยกขวานขึ้นอย่างตกใจ “เจ้าหามันมาได้ยังไง!? ใหญ่ขนาดนี้ ข้ากินได้ทั้งปีแน่ ๆ!”

ทั้งสองหัวเราะชอบใจ คุณยายจึงเตรียมมีดเพื่อผ่าลูกท้อออก แต่แล้ว… เป๊าะ! ลูกท้อแตกออกจากกัน!แสงสีทองพวยพุ่งออกมา พร้อมกับเสียงร้องของเด็กทารก! “อุแว๊! อุแว๊!”

คุณตาคุณยายตกตะลึง มองดูเด็กชายตัวน้อยที่นั่งอยู่กลางเปลือกท้อ ใบหน้าของเขากลมเกลี้ยง ดวงตาสุกใสเปล่งประกาย เขามีพลังเหลือล้นตั้งแต่ยังเป็นทารก!

“โอ้! ต้องเป็นของขวัญจากสวรรค์แน่ ๆ!” คุณยายอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา น้ำตาเอ่อคลอด้วยความปลื้มปิติ

“เราจะตั้งชื่อเขาว่า ‘โมโมทาโร่’ คุณตากล่าว ซึ่งหมายถึง “เด็กชายลูกท้อ”

ทั้งสองจึงเลี้ยงดูโมโมทาโร่ด้วยความรัก และเด็กชายก็เติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่มน้อยที่มีเรี่ยวแรงมหาศาล แข็งแกร่งกว่าผู้ใหญ่ทั่วไป และมีจิตใจกล้าหาญเหนือใคร

หลายปีผ่านไป โมโมทาโร่เติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ แข็งแรงราวกับนักรบ เขาสามารถยกก้อนหินหนัก ๆ ได้เพียงมือเดียว วิ่งไล่ลมได้เร็วกว่าใคร และจิตใจของเขาก็เต็มไปด้วยความกล้าหาญและคุณธรรม

หลายปีผ่านไป โมโมทาโร่เติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ แข็งแรงราวกับนักรบ เขาสามารถยกก้อนหินหนัก ๆ ได้เพียงมือเดียว วิ่งไล่ลมได้เร็วกว่าใคร และจิตใจของเขาก็เต็มไปด้วยความกล้าหาญและคุณธรรม

วันหนึ่ง โมโมทาโร่ได้ยินข่าวจากชาวบ้านว่า “ยักษ์โอนิ” บนเกาะอสูร ออกอาละวาด ปล้นสะดมหมู่บ้าน และจับตัวผู้คนไปเป็นทาส

“ข้าจะไปปราบมัน!” โมโมทาโร่ประกาศ

คุณยายตกใจมาก “ลูกจะไปคนเดียวไม่ได้! อันตรายเกินไป!”

คุณตาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมก่อนพูดว่า “หากเจ้าตั้งใจจะไป ข้าจะไม่ห้าม… แต่เจ้าต้องเตรียมตัวให้ดี”

คุณยายจึงทำ “คิบิดังโกะ” (ขนมดังโงะแบบพิเศษ) ให้เป็นเสบียง คำร่ำลือบอกว่าขนมนี้ช่วยเพิ่มพลังให้กับผู้ที่กินมัน

“นี่เป็นขนมที่ดีที่สุดของข้า กินแล้วเจ้าจะมีเรี่ยวแรงมากขึ้น” คุณยายยื่นให้ โมโมทาโร่รับมันมาแล้วยิ้ม

“ข้าจะกลับมาพร้อมชัยชนะ!” แล้วเขาก็ออกเดินทาง

ระหว่างทาง โมโมทาโร่เดินผ่านป่าทึบ ลมพัดแรงจนกิ่งไม้สั่นไหว และทันใดนั้นเอง… “โฮ่ง! โฮ่ง!” เสียงเห่าดังขึ้น สุนัขตัวหนึ่งกระโจนออกจากพุ่มไม้ ขนของมันดำสนิท ดวงตาคมกริบราวกับนักล่า “เจ้าคือใคร!? ทำไมมาที่ป่าของข้า?”

โมโมทาโร่ไม่ตอบ เขาหยิบคิบิดังโกะออกจากถุงแล้วโยนให้สุนัข “นี่คือขนมวิเศษจากคุณยายของข้า หากเจ้ากินมัน เจ้าจะมีพลังมากขึ้น”

สุนัขรับไปกัดคำหนึ่ง แล้วจู่ ๆ มันก็ตาเป็นประกาย “อร่อยมาก! ข้าจะติดตามเจ้าไป! ให้ข้าช่วยสู้กับยักษ์เถอะ!”

โมโมทาโร่พยักหน้าอย่างพอใจ แล้วออกเดินทางต่อพร้อมกับสุนัข

เดินไปได้ไม่นาน พวกเขาได้ยินเสียง “แฮ่กๆๆๆ” เหมือนเสียงหอบเหนื่อย ทันใดนั้น ลิงตัวหนึ่งกระโดดลงจากต้นไม้ มันจ้องโมโมทาโร่แล้วพูดว่า “ข้าได้ยินว่าเจ้ามีขนมวิเศษ! ถ้าให้ข้ากิน ข้าจะช่วยเจ้า!”

โมโมทาโร่โยนคิบิดังโกะให้ ลิงรับไปแล้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ยอดเยี่ยม! ข้าจะไปกับเจ้า!”

ทั้งสามออกเดินทางต่อ จนมาถึงชายป่า ขณะนั้นเอง… ฟึ่บ! ไก่ฟ้าตัวหนึ่งบินโฉบลงมาขวางหน้า มันมองโมโมทาโร่อย่างสงสัย “ข้าเห็นพวกเจ้ากำลังเดินทางไปที่ไหนกัน?”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องโมโมทาโร่เด็กชายลูกท้อ 2

ทะเลสีครามทอดยาวสุดสายตา คลื่นกระทบฝั่งเป็นระลอก เสียงนกทะเลร้องก้องไปทั่ว

โมโมทาโร่ สุนัข ลิง และไก่ฟ้า เดินทางมาถึงชายฝั่ง ที่ซึ่งพวกเขาจะต้องลงเรือไปยัง “เกาะอสูร” สถานที่ที่เหล่ายักษ์โอนิอาศัยอยู่

“ดูนั่น! ข้าเห็นเกาะแล้ว!” ไก่ฟ้าร้องขณะบินวนอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา

เกาะอสูรตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเล ปราสาทสีดำของพวกยักษ์สูงตระหง่าน เมฆครึ้มปกคลุมรอบ ๆ ทำให้ที่นั่นดูน่าหวาดหวั่น บนกำแพงสูงมีพวกยักษ์ตัวใหญ่เดินลาดตระเวนไปมา

โมโมทาโร่กำหมัดแน่น “ถึงเวลาแล้ว เราจะไปช่วยเหลือทุกคน!”

เมื่อเรือของพวกเขาเทียบท่าที่เกาะอสูร โมโมทาโร่และพรรคพวกหลบอยู่หลังโขดหิน มองไปยังประตูปราสาทที่ถูกเฝ้าโดยยักษ์สองตัว พวกมันตัวสูงใหญ่ ดวงตาแดงก่ำ มีเขาแหลมบนศีรษะ และถือกระบองเหล็ก

“เราจะเข้าไปได้ยังไง?” ลิงกระซิบ

“ให้ข้าจัดการเอง!” ไก่ฟ้าพูดก่อนจะบินพุ่งขึ้นไปด้วยความเร็ว

มันร่อนลงตรงหน้ายักษ์ ใช้ปีกฟาดใส่ดวงตาของพวกมันจนยักษ์ร้องลั่น “โอ๊ยยย! อะไรเนี่ย!?”

ทันใดนั้น ลิงก็โหนเถาวัลย์จากต้นไม้ กระโดดข้ามกำแพงไปแล้วปลดกลอนประตู “เข้ามาเร็ว!”

โมโมทาโร่กับสุนัขพุ่งเข้าไปข้างในทันที

ข้างในปราสาทเต็มไปด้วยยักษ์ที่กำลังกินเหล้าและหัวเราะเสียงดัง พวกมันไม่ทันสังเกตว่า โมโมทาโร่และพรรคพวกได้เข้ามาแล้ว “พวกเราจะทำยังไงต่อ?” สุนัขถาม

“โจมตีเลย!” โมโมทาโร่ประกาศ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่พวกยักษ์ทันที!

เขาใช้ดาบไม้ไผ่ที่คุณตาให้มา ฟาดเข้าที่ขาของยักษ์ตัวหนึ่งจนมันล้มลง ส่วนสุนัขก็กระโดดงับแขนของอีกตัว ลิงกระโดดไปขโมยอาวุธของพวกมัน และไก่ฟ้าก็ใช้กรงเล็บจิกตาของยักษ์ไม่ให้มันสู้ได้

“พวกมันเก่งเกินไป!” ยักษ์บางตัวเริ่มถอยหนี

แต่แล้ว… “โครมมม!!” เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้น หัวหน้ายักษ์เดินออกมาจากห้องของมัน มันตัวใหญ่กว่ายักษ์ตัวอื่น ผิวสีแดงเข้ม เขาแหลมยาว และถือกระบองใหญ่ “เจ้ากล้าบุกมาที่นี่งั้นรึ!? ข้าจะบดขยี้พวกเจ้าเอง!”

มันเงื้อกระบองขึ้นแล้วฟาดลงมา โมโมทาโร่กระโดดหลบหวุดหวิด ก่อนจะพุ่งเข้าไปโจมตี แต่ร่างของมันแข็งแกร่งมาก

“แบบนี้ไม่ไหวแน่!” ลิงร้อง

“ต้องร่วมมือกัน!” โมโมทาโร่ตะโกน

ไก่ฟ้าบินขึ้นไปจิกตาของหัวหน้ายักษ์ ทำให้มันเสียการควบคุม สุนัขพุ่งเข้าไปกัดขาของมัน ขณะที่ลิงใช้ความว่องไวขโมยกระบองไป “ตอนนี้แหละ!”

โมโมทาโร่กระโดดขึ้นไปฟาดเข้าที่หัวของมันเต็มแรง “ตุ้บ!!!”

หัวหน้ายักษ์ล้มลงกับพื้น “ข้ายอมแล้ว! อย่าฆ่าข้าเลย!”

โมโมทาโร่ชี้ดาบไปที่มัน “ถ้าเจ้าให้คำมั่นว่าจะเลิกทำชั่ว และคืนสมบัติที่ขโมยไป ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!” พวกยักษ์ที่เหลือต่างพยักหน้ารัว ๆ ด้วยความกลัว

“ข้าจะไม่ทำชั่วอีกแล้ว!” หัวหน้ายักษ์พูดเสียงสั่น ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องนำสมบัติทั้งหมดมาคืน

หลังจากปราบยักษ์ลงได้ โมโมทาโร่และพรรคพวกก็นำสมบัติทั้งหมดลงเรือ ขณะแล่นกลับบ้าน พวกเขามองไปที่เกาะอสูรที่ตอนนี้สงบลง ไม่มีเสียงคำรามของยักษ์อีกต่อไป

“พวกเราทำได้แล้ว!” ลิงกระโดดด้วยความดีใจ

“ใช่! ชาวบ้านจะต้องดีใจแน่ ๆ!” ไก่ฟ้ากล่าว

เมื่อพวกเขากลับมาถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างออกมาต้อนรับ พวกเขาดีใจที่โมโมทาโร่ปราบยักษ์ได้และนำสมบัติกลับมา ทุกคนพากันร้องไชโย

คุณตาคุณยายรีบวิ่งเข้ามากอดโมโมทาโร่ด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ “เจ้ากลับมาแล้ว! เราภูมิใจในตัวเจ้ามาก!”

โมโมทาโร่ยิ้ม ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าทำสำเร็จแล้ว!

นับแต่นั้นมา หมู่บ้านก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง และชื่อของ “โมโมทาโร่” ก็กลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องโมโมทาโร่เด็กชายลูกท้อ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความกล้าหาญและความมุ่งมั่นจะนำพาเราไปสู่ชัยชนะ แม้ว่าหนทางจะเต็มไปด้วยอุปสรรค หากเราไม่ยอมแพ้ ก็จะสามารถก้าวข้ามมันไปได้เหมือนกับโมโมทาโร่ที่ไม่กลัวพวกยักษ์และยืนหยัดเพื่อต่อสู้

นอกจากนี้ ความสามัคคีคือพลังที่ยิ่งใหญ่ โมโมทาโร่ไม่สามารถเอาชนะยักษ์ได้เพียงลำพัง แต่ด้วยความร่วมมือของเพื่อน ๆ ที่แต่ละตัวมีความสามารถแตกต่างกัน ทำให้พวกเขาสามารถช่วยเหลือกันและประสบความสำเร็จ

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ การใช้สติปัญญาสำคัญกว่ากำลังเพียงอย่างเดียว แม้ยักษ์จะตัวใหญ่และแข็งแกร่ง แต่โมโมทาโร่และพรรคพวกก็ใช้ไหวพริบ วางแผน และใช้จุดแข็งของตนเองให้เป็นประโยชน์

ท้ายที่สุดนิทานเรื่องนี้ยังสอนให้เราเห็นว่าการให้อภัยและการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้เสมอ แม้แต่ยักษ์ที่เคยชั่วร้าย เมื่อได้รับโอกาสและบทเรียน ก็สามารถกลับตัวได้ เหมือนที่โมโมทาโร่เลือกที่จะไม่แก้แค้น แต่ให้พวกมันสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายใครอีก

ดังนั้นเรื่องราวของ “โมโมทาโร่ เด็กชายลูกท้อ” จึงเป็นมากกว่านิทานผจญภัย แต่ยังเป็นบทเรียนแห่งความกล้าหาญ ความสามัคคี ปัญญา และเมตตา ที่เราสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องโมโมทาโร่เด็กชายลูกท้อ (อังกฤษ: Momotaro) เป็นหนึ่งในนิทานพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่นและถูกเล่าขานมาหลายร้อยปี ต้นกำเนิดที่แท้จริงของเรื่องนี้ไม่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่าเริ่มแพร่หลายตั้งแต่สมัยเอโดะ (ค.ศ. 1603 – 1868) และมีรากฐานจากนิทานพื้นบ้านที่เก่ากว่านั้น นิทานเรื่องนี้มีการเล่าในหลากหลายรูปแบบ บางฉบับเล่าว่าโมโมทาโร่ไม่ได้ออกมาจากลูกท้อ แต่เป็นเด็กที่พ่อแม่ชราขอพรจากเทพเจ้าและได้รับพรให้เกิดจากลูกท้อที่พวกเขากินเข้าไป

ลูกท้อมีความหมายพิเศษในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ถือเป็นผลไม้วิเศษที่สามารถปัดเป่าความชั่วร้ายและมอบพลังให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงไม่น่าแปลกใจที่โมโมทาโร่ ซึ่งเกิดจากลูกท้อ จะเป็นเด็กชายที่มีพลังเหนือมนุษย์และถูกกำหนดให้ทำภารกิจสำคัญ นอกจากนี้ คำว่า “ทาโร่” มักถูกใช้เป็นชื่อของลูกชายคนโตในครอบครัวญี่ปุ่น จึงทำให้ชื่อ “โมโมทาโร่” มีความหมายว่า “เด็กชายลูกท้อ”

นักวิชาการบางคนมองว่า “ยักษ์โอนิ” ที่โมโมทาโร่ต่อสู้เป็นสัญลักษณ์ของศัตรูภายนอกที่คุกคามญี่ปุ่น ขณะที่ตัวของโมโมทาโร่อาจเป็นตัวแทนของนักรบผู้กล้าที่ต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเมือง เรื่องราวนี้จึงสะท้อนค่านิยมของญี่ปุ่นเกี่ยวกับความกล้าหาญ ความกตัญญู และการเสียสละเพื่อส่วนรวม

นอกจากการเล่าปากต่อปากแล้ว นิทานเรื่องนี้ได้รับการบันทึกลงในหนังสือสมัยโบราณหลายเล่ม และถูกนำไปดัดแปลงเป็นสื่อหลากหลายรูปแบบ เช่น หนังสือภาพ ละครคาบูกิ อนิเมะ และภาพยนตร์ โมโมทาโร่ยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลญี่ปุ่นได้นำเรื่องราวของเขามาใช้ในโฆษณาชวนเชื่อเพื่อส่งเสริมความรักชาติ

แม้จะผ่านไปหลายร้อยปี นิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องโมโมทาโร่เด็กชายลูกท้อก็ยังคงเป็นที่รู้จักและถูกเล่าขานต่อไป เด็กญี่ปุ่นหลายคนเติบโตมาพร้อมกับเรื่องราวของโมโมทาโร่ และยังคงเป็นตัวละครที่สื่อถึงความกล้าหาญและจิตวิญญาณแห่งนักสู้ของชาวญี่ปุ่น

“พลังที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่กำลัง แต่คือหัวใจที่ไม่ยอมแพ้”

นิทานพื้นบ้านอิตาลีเรื่องพินอคคิโอ

ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของอิตาลี มีชายชราผู้โดดเดี่ยวอาศัยอยู่กับความฝันอันเรียบง่าย เขาต้องการมีลูกสักคนไว้เป็นเพื่อนและเติมเต็มหัวใจ วันหนึ่ง โชคชะตานำพาไม้ท่อนหนึ่งมาสู่มือของเขา ไม้ที่ดูเหมือนไม่ธรรมดาและเต็มไปด้วยชีวิตบางอย่างที่ซ่อนอยู่ มีเรื่องเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากอิตาลี

สิ่งที่เริ่มต้นจากเพียงหุ่นไม้ตัวหนึ่ง กลับกลายเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยบทเรียนอันล้ำค่า เด็กชายตัวน้อยที่ถือกำเนิดขึ้นต้องเผชิญกับโลกกว้างที่เต็มไปด้วยสิ่งล่อใจและอันตราย ระหว่างทาง เขาจะต้องเรียนรู้ถึงคุณค่าของความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ และความหมายที่แท้จริงของการเป็นมนุษย์ กับนิทานพื้นบ้านอิตาลีเรื่องพินอคคิโอ

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอิตาลีเรื่องพินอคคิโอ

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านอิตาลีเรื่องพินอคคิโอ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเจปเปตโต ช่างไม้ผู้ยากจน ได้รับไม้ท่อนหนึ่งจากเพื่อน แต่ไม้ท่อนนี้ไม่ธรรมดามันขยับได้เองราวกับมีชีวิต!

“ไม้แปลกจริง…” เจปเปตโตพึมพำขณะใช้สิ่วสลักมันเป็นหุ่นกระบอก

เมื่อเขาแกะสลักปาก หุ่นไม้ก็กะพริบตาและหัวเราะ! เมื่อทำขาเสร็จหุ่นกระบอกตัวน้อยก็วิ่งหนีทันที

“จับมันไว้! มันขโมยของหรือเปล่า?” ชาวบ้านร้องลั่น

สุดท้าย ตำรวจจับตัวเจปเปตโตไปเพราะเข้าใจผิด ส่วนพินอคคิโอหนีรอดและกลับถึงบ้าน ที่นั่นเอง เขาได้พบกับจิ้งหรีดพูดได้

“เด็กดีต้องเชื่อฟังพ่อแม่และตั้งใจเรียน” จิ้งหรีดเตือน

“ข้าจะทำอะไรก็เรื่องของข้า!” พินอคคิโอเถียงก่อนขว้างค้อนใส่จิ้งหรีดจนมันหนีไป

วันรุ่งขึ้น เจปเปตโตกลับมาบ้านและให้อภัยพินอคคิโอ แม้เขาจะดื้อแค่ไหน เจปเปตโตก็ยังรักเขา

“พรุ่งนี้เจ้าต้องไปโรงเรียนนะ” เจปเปตโตมอบหนังสือเรียนให้ แม้ต้องขายเสื้อคลุมตัวเองเพื่อซื้อ

แต่ระหว่างทางไปโรงเรียนพินอคคิโอได้ยินเสียงดนตรี จากโรงละครหุ่นกระบอก

“ต้องสนุกแน่ ๆ!” เขาตื่นเต้น และขายหนังสือเรียนเพื่อซื้อตั๋วเข้าชม

ที่นั่น เขาพบกับมังญาฟูโอโกเจ้าของคณะละคร ผู้ซึ่งตอนแรกขู่ว่าจะโยนเขาเข้ากองไฟ!

“โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!” พินอคคิโอร้องไห้

แต่มังญาฟูโอโกกลับสงสารเขา และมอบเหรียญทองห้าเหรียญ ให้พากลับไปให้พ่อ

ระหว่างทางกลับบ้าน พินอคคิโอถูกจิ้งจอกกับแมวหลอก

“ฝังเหรียญที่ ทุ่งมหัศจรรย์ แล้วมันจะงอกเป็นต้นไม้เงิน!” จิ้งจอกพูดเสียงเย้ายวน

“จริงเหรอ? งั้นข้าจะรวยแน่!” พินอคคิโอเชื่ออย่างสนิทใจ

แต่เมื่อเขาหลับ พวกมันก็ ขุดเอาเหรียญทั้งหมดไปและหนีไปทันที

เช้าวันต่อมา พินอคคิโอตื่นขึ้นมาพบแต่ดินเปล่า ๆ และทันใดนั้นโจรสองคน (ที่จริงคือจิ้งจอกกับแมวปลอมตัวมา) ก็กระโจนเข้าใส่เขา! “ส่งเงินมา!” พวกมันขู่

พินอคคิโอพยายามหนี แต่สุดท้ายถูกจับแขวนคอไว้บนต้นไม้… ทุกอย่างมืดลง

พินอคคิโอหมดสติจากการถูกแขวนคอ แต่ก่อนที่เขาจะสิ้นใจนางฟ้าผมสีฟ้า ปรากฏตัวขึ้นพร้อมบริวารเวทมนตร์ “รีบช่วยเด็กคนนี้เร็วเข้า!” นางฟ้าสั่ง

พินอคคิโอฟื้นขึ้นมาในบ้านของนางฟ้า รู้สึกมึนงง “ข้าอยู่ที่ไหน?” เขาถาม

“เจ้าปลอดภัยแล้ว พินอคคิโอ แต่บอกข้าสิ… ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?” นางฟ้าถามเสียงอ่อนโยน

พินอคคิโออายเกินกว่าจะยอมรับว่าถูกจิ้งจอกกับแมวหลอก จึงโกหกว่า “ข้าโดนโจรปล้นกลางทาง!”

ทันใดนั้น จมูกของเขายาวขึ้น! “เอ่อ… ข้าทำเหรียญตกหายไปเอง!”

จมูกของเขายาวขึ้นอีก! นางฟ้าส่ายหน้า “พินอคคิโอ เจ้ากำลังโกหกใช่ไหม?”

พินอคคิโอพยายามปิดจมูกตัวเอง แต่ยิ่งพูดโกหก จมูกก็ยาวขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบชนเพดาน! “พอแล้ว! ข้าสารภาพ ข้าถูกหลอกจริง ๆ!”

เมื่อเขาพูดความจริงจมูกก็กลับเป็นปกติ นางฟ้าลูบศีรษะเขาเบา ๆ “เด็กดีต้องไม่โกหก จำไว้นะ”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอิตาลีเรื่องพินอคคิโอ 2

นางฟ้าช่วยพินอคคิโอให้เดินทางกลับบ้าน แต่ระหว่างทาง เขากลับพบกับสิ่งเย้ายวนอีกครั้ง…

ระหว่างทางกลับบ้าน พินอคคิโอพบกับเด็กชายชื่อแลมป์วิค “ทำไมเจ้าดูเคร่งเครียดนัก?” แลมป์วิคถาม

“ข้ากำลังกลับบ้านไปหาเจปเปตโต” พินอคคิโอตอบ

แลมป์วิคหัวเราะ “น่าเบื่อจะตาย! ไปกับข้าสิ! ข้าจะพาเจ้าไป ดินแดนแห่งความสุข!”

“ดินแดนแห่งความสุข?” พินอคคิโอขมวดคิ้ว

“ใช่! ที่นั่นไม่มีโรงเรียน ไม่มีการบ้าน! มีแต่ของเล่น ขนมหวาน และสวนสนุก!” พินอคคิโอลังเล แต่สุดท้ายก็ตามไป

ที่ดินแดนแห่งความสุข เด็ก ๆ วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ไม่มีใครคอยสั่งสอน ไม่มีการบ้าน ไม่มีระเบียบวินัย ทุกวันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ “นี่มันสวรรค์ชัด ๆ!” พินอคคิโอหัวเราะ

แต่ไม่กี่วันต่อมาเขาเริ่มรู้สึกแปลก ๆ

“เอ๊ะ? ทำไมข้ารู้สึกคันหู…” พินอคคิโอเกาหู แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าหูของเขากลายเป็นหูลา! “นี่มันอะไร!?” เขาร้อง

เมื่อเขามองไปที่แลมป์วิค เพื่อนของเขากำลังกลายเป็นลาเต็มตัว และพินอคคิโอก็ไม่สามารถหนีชะตากรรมนี้ได้! เขากลายเป็นลาสมบูรณ์แบบ!

พินอคคิโอถูกขายให้โรงละครสัตว์ ถูกบังคับให้แสดงโชว์ วันหนึ่งเมื่อเขาบาดเจ็บและเดินไม่ได้อีก เขาถูกเจ้าของละครสัตว์โยนลงทะเล! ตูม!

ร่างของพินอคคิโอจมลงไปใต้ผืนน้ำ และทันใดนั้นร่างลาของเขาก็ค่อย ๆ สลายไป เผยให้เห็นร่างหุ่นไม้เดิมของเขา

แต่ก่อนที่เขาจะดีใจ เงาดำขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว…! มันคือปลาวาฬยักษ์!

“ไม่!!!” พินอคคิโอร้องลั่น ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลงอีกครั้ง…

พินอคคิโอถูกกลืนเข้าไปในท้องของปลาวาฬยักษ์ ท่ามกลางความมืดและกลิ่นอับ เขาเห็นแสงไฟริบหรี่ และเมื่อเดินเข้าไปใกล้ เขาก็พบชายชราผมขาวที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ “พ่อ!” พินอคคิโอร้องลั่น

เจปเปตโตหันมาและแทบไม่เชื่อสายตา “พินอคคิโอ! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

พินอคคิโอวิ่งเข้าไปกอดพ่อ น้ำตาคลอ “ข้าคิดถึงพ่อ! ข้าเสียใจที่หนีไป ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้พ่อเป็นห่วงอีก!”

เจปเปตโตน้ำตาไหล “พ่อก็คิดถึงเจ้า… พ่อออกตามหาเจ้าจนเรือล่ม และถูกปลาวาฬกลืนเข้ามาที่นี่”

พินอคคิโอรู้สึกผิดที่ทำให้พ่อเดือดร้อน แต่คราวนี้เขาตัดสินใจว่าจะพาพ่อออกไปให้ได้

พินอคคิโอคิดแผนจุดไฟให้เกิดควัน ปลาวาฬไอแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง จามพวกเขาออกมาจากปาก!

กลางทะเลที่มืดมิด พินอคคิโอว่ายน้ำพาเจปเปตโตไปที่ฝั่ง แม้ตัวเองจะเหนื่อยล้าและแทบหมดแรง แต่เขาก็ไม่หยุด จนสุดท้าย พวกเขาก็ถึงชายฝั่งได้สำเร็จ แต่เจปเปตโตหมดสติ!

“พ่อ! ตื่นสิ!” พินอคคิโอโน้มตัวลงฟังเสียงหายใจของพ่อ พินอคคิโอรีบออกไปหาน้ำและอาหาร เขาทำงานหนักเพื่อดูแลพ่ออย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย

คืนหนึ่งนางฟ้าผมสีฟ้าปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง “พินอคคิโอ เจ้าพิสูจน์แล้วว่าเจ้าเป็นเด็กที่แท้จริงแล้ว”

คืนนั้น พินอคคิโอเข้านอนอย่างสงบ เช้าวันต่อมา… เขาตื่นขึ้นมาและพบว่า… ตัวเองกลายเป็นเด็กมนุษย์จริง ๆ!

“ข้ากลายเป็นเด็กจริง ๆ แล้ว!” พินอคคิโอร้องดีใจ เจปเปตโตลืมตาขึ้นมาและยิ้มอย่างมีความสุข

“ลูกของพ่อ… ในที่สุด ความฝันของพ่อก็เป็นจริงแล้ว!”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอิตาลีเรื่องพินอคคิโอ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการโกหกแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ พินอคคิโอเรียนรู้ว่าทุกครั้งที่เขาโกหก เขาต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่เลวร้าย และในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าความจริงใจคือสิ่งที่มีค่า

ความรับผิดชอบทำให้เราเติบโต พินอคคิโอเริ่มต้นจากเด็กที่ดื้อรั้น เอาแต่ใจ และไม่สนใจผลที่ตามมา แต่เมื่อเขาเลือกที่จะดูแลเจปเปตโต และทำงานหนักเพื่อช่วยพ่อ เขาก็เปลี่ยนเป็นคนใหม่

ความเสียสละคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ที่แท้จริง พินอคคิโอไม่ได้กลายเป็นเด็กจริง ๆ เพียงเพราะได้รับพรจากนางฟ้า แต่เพราะเขาได้แสดงให้เห็นถึงความรัก ความเมตตา และความกล้าหาญที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง ความเป็นมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับร่างกาย แต่อยู่ที่จิตใจของเราเอง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านอิตาลีเรื่องพินอคคิโอ (อังกฤษ: The Adventures of Pinocchio) เป็นนิทานพื้นบ้านอิตาลีที่เขียนโดย คาร์โล คอลโลดี (Carlo Collodi) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1883 เรื่องราวต้นฉบับมีเนื้อหาที่มืดมนและเต็มไปด้วยบทเรียนสอนใจเกี่ยวกับศีลธรรม ความซื่อสัตย์ และความรับผิดชอบ

คอลโลดีเขียนนิทานเรื่องนี้เพื่อสอนเด็ก ๆ เกี่ยวกับผลลัพธ์ของการกระทำ โดยใช้พินอคคิโอเป็นตัวแทนของเด็กที่ดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ และต้องเผชิญกับผลของการตัดสินใจที่ผิดพลาด ตัวละครและเหตุการณ์ในเรื่องมีลักษณะเป็นอุปมาอุปไมย ที่สะท้อนถึงชีวิตจริง เช่น การโกหกทำให้จมูกยาวเป็นสัญลักษณ์ของการที่คนโกหกมักถูกจับได้ หรือการที่พินอคคิโอถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เป็นเครื่องเตือนใจว่าโลกภายนอกเต็มไปด้วยคนที่ไม่หวังดี

เวอร์ชันดั้งเดิมของ The Adventures of Pinocchio นั้นแตกต่างจากเวอร์ชันที่หลายคนรู้จักกันดี โดยเฉพาะฉบับแอนิเมชันของดิสนีย์ที่ออกฉายในปี 1940 เดิมที พินอคคิโอเป็นเด็กที่ดื้อรั้นและเรียนรู้บทเรียนของเขาอย่างยากลำบาก ในตอนแรกที่ตีพิมพ์แบบเป็นตอน ๆ คอลโลดีวางแผนให้เรื่องจบลงอย่างโหดร้าย โดยให้พินอคคิโอถูกแขวนคอและจบชีวิตลงเพราะความดื้อของเขา แต่เมื่อผู้อ่านร้องขอให้เขียนต่อ เขาจึงเพิ่มบทบาทของนางฟ้าผมสีฟ้า และเปลี่ยนให้เรื่องราวจบลงอย่างมีความหวัง โดยพินอคคิโอเรียนรู้จากความผิดพลาด และได้รับรางวัลเป็นการกลายเป็นเด็กจริง ๆ

นิทานเรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในวรรณกรรมเด็กที่มีอิทธิพลมากที่สุดของโลก และถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ละครเวที และแอนิเมชันหลายครั้ง แต่ละเวอร์ชันมักจะมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทของยุคสมัยและกลุ่มผู้ชม แต่แก่นแท้ของเรื่องการเรียนรู้จากความผิดพลาดและการเติบโตเป็นคนที่ดีขึ้นยังคงเป็นหัวใจสำคัญของพินอคคิโอ มาจนถึงทุกวันนี้

นิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องทัมเบลิน่า

สายลมพัดแผ่วผ่านท้องทุ่ง ดอกไม้เล็กๆ เอนอ่อนรับแสงแดดยามเช้า ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ มีเรื่องเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากเดนมาร์ก หญิงชรานั่งอยู่ริมหน้าต่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความปรารถนาอันลึกซึ้ง นางเฝ้ามองโลกภายนอกด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า สิ่งเดียวที่นางต้องการ คือใครสักคนที่จะเติมเต็มความเงียบงันในชีวิตของนาง

ในคืนหนึ่งที่ดวงจันทร์ส่องสว่าง นางได้รับของขวัญล้ำค่าจากพลังแห่งปาฏิหาริย์ สิ่งเล็กๆ ที่ดูเปราะบาง แต่กลับมีชีวิตชีวาเกินกว่าสิ่งใดที่นางเคยพบ การเดินทางอันยิ่งใหญ่ของโลกใบเล็กได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว… กับนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องทัมเบลิน่า

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องทัมเบลิน่า

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องทัมเบลิน่า

นานมาแล้ว มีหญิงชราผู้โดดเดี่ยวและปรารถนาจะมีลูก นางไม่มีสามี ไม่มีลูกหลาน และต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงาในกระท่อมเล็กๆ วันหนึ่ง นางเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากแม่มดผู้ใจดี

“ข้าปรารถนาจะมีลูกสักคน แม้ตัวจะเล็กเพียงใด ข้าก็ไม่สนใจ”

แม่มดพยักหน้า ก่อนหยิบเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ออกมาจากถุงผ้า “จงนำสิ่งนี้ไปปลูกในกระถาง รดน้ำและดูแลมันดีๆ แล้วเจ้าจะได้สิ่งที่เจ้าปรารถนา”

หญิงชราทำตามคำแนะนำของแม่มด นางปลูกเมล็ดวิเศษลงในดินและดูแลมันอย่างทะนุถนอม ไม่นานนัก ดอกไม้สวยงามดอกหนึ่งก็บานออก เมื่อกลีบดอกค่อยๆ แย้มออกภายในนั้นมีเด็กหญิงตัวเล็กจิ๋ว นางงดงามราวกับแสงอรุณ และมีขนาดเพียงแค่หัวแม่มือ

หญิงชราตั้งชื่อนางว่า “ทัมเบลิน่า”

ทัมเบลินาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข นางนั่งบนกลีบดอกไม้ตอนกลางวัน และนอนหลับอยู่ในเปลเปลือกวอลนัทตอนกลางคืน หญิงชราดูแลนางราวกับเป็นลูกแท้ๆ

แต่คืนหนึ่งเคราะห์กรรมก็มาเยือน

ขณะที่ทัมเบลิน่านอนหลับอยู่ในเปลของนาง คางคกตัวใหญ่ปีนขึ้นมาทางหน้าต่าง มันมองทัมเบลิน่าด้วยความพึงพอใจ

“ลูกชายของข้าต้องชอบเจ้ามากแน่ๆ!” คางคกพูดพลางคว้าทัมเบลิน่าออกไป พานางไปยังบึงที่มันอาศัยอยู่

เช้าวันรุ่งขึ้น ทัมเบลิน่าตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่กลางใบบัวลอยอยู่เหนือน้ำ คางคกชี้ไปยังลูกชายของมัน ซึ่งเป็นคางคกหนุ่มที่ดูซุ่มซ่ามและน่ากลัว “เจ้านี่แหละจะเป็นภรรยาของลูกข้า!”

ทัมเบลิน่าหวาดกลัว นางไม่ต้องการแต่งงานกับคางคกแต่ไม่มีทางหนีไปไหนได้

เหล่าปลาเล็ก ๆ ในบึงเห็นเหตุการณ์และรู้สึกสงสาร พวกมันจึงแทะก้านใบบัวให้ขาด ทำให้ทัมเบลิน่า

ทัมเบลิน่าลอยไปตามลำธารสัมผัสกับโลกกว้างเป็นครั้งแรก นางมองเห็นต้นไม้สูงตระหง่าน นกตัวใหญ่บินผ่านไปมา ทุกสิ่งดูสวยงาม แต่ในขณะเดียวกัน โลกนี้ก็ดูใหญ่โตและอันตรายเกินไปสำหรับนาง

ขณะที่นางกำลังชื่นชมธรรมชาติ เงาดำวูบหนึ่งพุ่งเข้ามาจับตัวนางขึ้นจากใบบัว!

เป็นแมลงเต่าทองตัวใหญ่ มันจับทัมเบลิน่าบินไปยังต้นไม้สูงและวางนางลงบนใบไม้

“เจ้าน่ารักดี ข้าจะพาเจ้าไปอยู่กับข้า!” แมลงเต่าทองกล่าว

แต่เมื่อแมลงเต่าทองพาทัมเบลิน่าไปหาเพื่อน ๆ ของมัน เหล่าแมลงตัวอื่นกลับหัวเราะเยาะ

“ดูนางสิ! นางไม่มีปีก ไม่เหมือนพวกเราเลย!”

“ใช่! ขาของนางก็ดูแปลกๆ!”

แมลงเต่าทองเริ่มลังเล มันไม่อยากถูกล้อไปด้วย จึงปล่อยทัมเบลิน่าให้อยู่ตามลำพังบนกิ่งไม้

ทัมเบลิน่าเสียใจ นางไม่ได้ขอให้เกิดมาแตกต่างจากสิ่งอื่น แต่นางก็ต้องทนรับชะตากรรม นางใช้ชีวิตเพียงลำพัง อาศัยอยู่ใต้ใบไม้ขนาดใหญ่ในป่า หาอาหารจากเกสรดอกไม้ และดื่มน้ำค้างจากใบหญ้า

แต่ไม่นานนักฤดูหนาวก็มาถึง ใบไม้ร่วงโรย หิมะเริ่มตกลงมา อากาศเย็นยะเยือกจนทัมเบลิน่าแทบเอาตัวไม่รอด นางพยายามหาที่หลบภัย และในที่สุด นางก็พบโพรงใต้ดินเล็กๆ ของหนูนาตัวหนึ่ง

หนูนามองทัมเบลิน่าด้วยความสงสาร “เจ้าเป็นใครกัน มาทำอะไรอยู่ในป่าท่ามกลางความหนาวเย็นเช่นนี้?”

ทัมเบลิน่าเล่าถึงโชคชะตาของตนเอง หนูนาใจดีจึงอนุญาตให้นางอาศัยอยู่ด้วย โดยแลกกับการช่วยทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ

แต่ทัมเบลิน่าไม่รู้เลยว่าโชคชะตากำลังจะเล่นตลกกับนางอีกครั้ง

วันหนึ่ง หนูนาพาทัมเบลิน่าไปพบตุ่นผู้ร่ำรวย ที่อาศัยอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน ตุ่นเป็นสัตว์ที่เกลียดแสงแดดและใช้ชีวิตอยู่ในความมืด แต่มันสนใจทัมเบลิน่าเพราะนางงดงามและมีเสียงที่ไพเราะ

“เจ้าควรแต่งงานกับตุ่นผู้มั่งคั่งนี้ นางจะได้ไม่ต้องลำบากอีกต่อไป” หนูนาพูดกับทัมเบลิน่า

แต่ทัมเบลิน่าไม่ต้องการอยู่ในความมืด นางรักแสงอาทิตย์ รักสายลม และไม่อาจใช้ชีวิตใต้ดินเช่นเดียวกับตุ่นได้

อย่างไรก็ตาม หนูนาพยายามบังคับให้นางแต่งงาน และทัมเบลิน่าก็ไม่มีทางเลือก

คืนหนึ่ง ขณะที่ทัมเบลิน่าเดินอยู่ในอุโมงค์ของตุ่น นางพบนกนางแอ่นตัวหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนพื้น มันดูเหมือนตายไปแล้ว แต่มือเล็กๆ ของทัมเบลิน่าสัมผัสร่างของมัน และรู้ว่ามันยังมีลมหายใจ “มันยังมีชีวิตอยู่!”

ทัมเบลิน่าไม่ลังเล นางดูแลนกนางแอ่นอย่างอ่อนโยน ป้อนอาหาร และให้ความอบอุ่นแก่มัน แม้หนูนาจะตำหนินางว่าเสียเวลาช่วยเหลือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ แต่นางไม่สนใจ

ฤดูใบไม้ผลิหวนคืน นกนางแอ่นแข็งแรงขึ้น มันต้องจากไปเพื่อกลับสู่ท้องฟ้า แต่ก่อนจะบินจากไป มันกล่าวกับทัมเบลิน่า

“เจ้าไม่อยากไปกับข้าหรือ? ไปสู่โลกที่เต็มไปด้วยดอกไม้และแสงแดด”

ทัมเบลิน่ามองไปรอบ ๆ อุโมงค์อันมืดมนของตุ่น กับท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

“ข้าอยากไป…” และแล้ว ทัมเบลิน่าก็เกาะหลังของนกนางแอ่น โบยบินออกจากความมืด มุ่งสู่เส้นทางใหม่ที่นางไม่เคยคาดฝัน

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องทัมเบลิน่า 2

สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านผืนป่า นกนางแอ่นกางปีกกว้าง พาทัมเบลิน่าบินพ้นจากอุโมงค์อันมืดมนของตุ่น สู่โลกที่เต็มไปด้วยแสงแดดและท้องฟ้ากว้างใหญ่

ทัมเบลิน่าไม่เคยรู้สึกอิสระเช่นนี้มาก่อนลมเย็นปะทะใบหน้า เสียงนกร้องขับขานจากทุกทิศทาง นางกอดขนนุ่มของนกนางแอ่นไว้แน่น มองลงไปยังทุ่งดอกไม้ที่เบ่งบานไกลสุดสายตา

“เจ้าจะไปที่ไหนหรือ?” ทัมเบลิน่าถาม

“ข้าจะพาเจ้าไปยังดินแดนที่อบอุ่นเสมอ ดินแดนแห่งดอกไม้ ที่ที่เจ้าจะเป็นอิสระ” นกนางแอ่นตอบ

เมื่อพวกเขาบินข้ามหุบเขาและแม่น้ำ นกนางแอ่นค่อยๆ ลดระดับลงไปยังสวนดอกไม้ที่งดงามที่สุดที่ทัมเบลิน่าเคยเห็น ดอกไม้ทุกดอกบานสะพรั่ง หลากสีสัน ราวกับพรมแห่งฤดูใบไม้ผลิ

นกนางแอ่นพาทัมเบลิน่าลงบนดอกไม้ขนาดใหญ่ดอกหนึ่ง กลีบดอกค่อย ๆ เปิดออก และสิ่งที่ทัมเบลิน่าเห็นทำให้นางตกตะลึง

กลางดอกไม้นั้น มีชายหนุ่มตัวเล็กเท่านาง เขาสวมเสื้อคลุมสีทอง ศีรษะสวมมงกุฎทำจากกลีบดอกไม้ ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน

“ยินดีต้อนรับ เจ้าคือใครกัน?” เจ้าชายดอกไม้ตรัสขึ้น

“ข้าชื่อทัมเบลิน่า” นางตอบเบา ๆ

เจ้าชายมองนางด้วยดวงตาเป็นประกาย “เจ้าไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน เจ้ามาจากที่ใดหรือ?”

ทัมเบลิน่าเล่าเรื่องราวการเดินทางของนาง ตั้งแต่ถูกลักพาตัว ถูกทอดทิ้ง และต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด แต่บัดนี้ นางรู้สึกเหมือนได้มาถึงที่ที่ควรจะเป็น

เจ้าชายดอกไม้รับฟังด้วยความเห็นใจ แล้วเอื้อมมือไปจับมือของทัมเบลิน่า “เจ้าจะอยู่ที่นี่กับพวกเราไหม?”

ทัมเบลิน่ากวาดตามองไปรอบ ๆ นางเห็นเหล่าภูติบุปผาออกมาทักทาย พวกเขาล้วนตัวเล็กเหมือนนาง มีปีกโปร่งใสราวกับหยาดน้ำค้าง

“ข้าจะได้อยู่ที่นี่จริงๆ หรือ?” ทัมเบลิน่าถาม พลางรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง

“แน่นอน ที่นี่คือดินแดนของเจ้า ที่ที่เจ้าเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องหวาดกลัว”

ทัมเบลิน่าน้ำตาคลอ นางเคยรู้สึกโดดเดี่ยว ถูกปฏิเสธจากโลกที่กว้างใหญ่ แต่ที่นี่ นางไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดอีกต่อไป นางได้พบผู้คนที่เหมือนกับนาง

จากนั้น เจ้าชายดอกไม้หยิบมงกุฎกลีบดอกไม้ ขึ้นมา และกล่าวว่า “หากเจ้ายอมรับ ข้าอยากให้เจ้าเป็นราชินีแห่งดอกไม้ และครองอาณาจักรนี้เคียงข้างข้า”

ทัมเบลิน่ายิ้มทั้งน้ำตา นางรู้ว่านี่คือบ้านของนาง บ้านที่แท้จริง

หลังจากนั้น นางและเจ้าชายจัดงานเฉลิมฉลอง เหล่าภูติบุปผาร่ายรำรอบตัวพวกเขา ทัมเบลิน่าไม่ใช่เด็กหญิงตัวจิ๋วที่ไร้ที่อยู่ หรือผู้ที่ถูกทอดทิ้งอีกต่อไป และแล้ว ทัมเบลิน่าก็ได้พบกับความสุขที่แท้จริงในที่สุด

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องทัมเบลิน่า 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… แม้โลกจะกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่สุดท้ายเราจะพบที่ที่เหมาะสมกับเรา ทัมเบลิน่าต้องผ่านการเดินทางอันยากลำบาก ถูกปฏิเสธและหลงทาง แต่สุดท้าย นางก็ได้พบกับสถานที่ที่เป็นของนางจริงๆ

อย่าฝืนตัวเองเพื่อทำให้ใครพอใจ นางถูกบังคับให้แต่งงานกับคางคก ตุ่น และสิ่งที่นางไม่ได้เลือก แต่สุดท้าย นางก็เลือกชีวิตของตัวเอง และพบกับความสุขที่แท้จริง

ความเมตตาจะนำพาสิ่งดีๆ กลับมาเสมอ ทัมเบลิน่าช่วยเหลือนกนางแอ่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และในที่สุด นกนางแอ่นก็ช่วยพานางไปสู่โลกที่นางควรอยู่

ความแตกต่างไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่มันคือสิ่งที่ทำให้เรามีค่า ทัมเบลิน่าถูกหัวเราะเยาะเพราะแตกต่างจากสิ่งรอบตัว แต่สุดท้าย นางก็พบว่าตนเองมีคุณค่า และได้เป็นราชินีในดินแดนที่เหมาะกับนางอย่างแท้จริง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องทัมเบลิน่า (อังกฤษ: Thumbelina) เป็นนิทานที่แต่งขึ้นโดย ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1835 ในคอลเลกชัน Fairy Tales Told for Children พร้อมกับนิทานชื่อดังอื่นๆ เช่น “The Princess and the Pea (เจ้าหญิงเมล็ดถั่ว)” และ “The Tinderbox (กล่องไม้ขีดไฟวิเศษ)”

แอนเดอร์เซนได้รับแรงบันดาลใจจาก นิทานพื้นบ้านของยุโรป ซึ่งมักมีเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ตัวจิ๋ว เช่น “Tom Thumb (ทอมตัวจิ๋ว)” จากอังกฤษ หรือ “Le Petit Poucet (เปอตีต์ ปูเซต์ แปลว่า นื้วโป้งน้อย)” จากฝรั่งเศส

เรื่องราวของทัมเบลิน่าสะท้อนแนวคิดเรื่องการเดินทางของตัวละครที่ถูกผลักไสจากโลกที่ไม่เข้าใจตนเอง และต้องเผชิญอุปสรรคมากมายก่อนจะพบสถานที่ที่เหมาะสมกับตน ซึ่งเป็นธีมที่ปรากฏในนิทานของแอนเดอร์เซนหลายเรื่อง เช่น “ลูกเป็ดขี้เหร่”

ทัมเบลิน่าเป็นนิทานที่ได้รับความนิยมและถูกดัดแปลงเป็นหนังสือเด็ก แอนิเมชัน และละครเวที มากมาย เช่น แอนิเมชันเรื่อง Thumbelina (1994) ที่เพิ่มรายละเอียดใหม่ให้เรื่องราวกลายเป็นแนวโรแมนติกผจญภัย

แม้นิทานเรื่องนี้จะมีบรรยากาศที่อบอุ่นและแฟนตาซี แต่แก่นเรื่องจริง ๆ คือการค้นหาตัวเองและการยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ซึ่งทำให้ “ทันเบลิน่า” เป็นนิทานที่ยังคงมีเสน่ห์และเป็นที่จดจำมาจนถึงปัจจุบัน

“ความเล็กไม่ได้กำหนดคุณค่า มีแต่หัวใจเท่านั้นที่บอกได้ว่าเจ้าคู่ควรอยู่ที่ใด”

นิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเจ้าชายหงส์ป่า

สายลมพัดผ่านป่าลึก ดวงอาทิตย์ทอแสงสุดท้ายก่อนลับขอบฟ้า เงาของต้นไม้ทอดยาวลงบนพื้นดินราวกับม่านแห่งความลึกลับที่โอบล้อมทุกสรรพสิ่ง ใต้ท้องฟ้ากว้างใหญ่ นกหงส์ฝูงหนึ่งบินร่อนเหนือยอดไม้ ขนสีขาวของพวกมันสะท้อนประกายทองของดวงอาทิตย์ ก่อนจะหายลับไปในเงามืดแห่งราตรี

มีเรื่องเล่าขานถึงนิทานพื้นบ้านสากลจากเดนมาร์ก ในอาณาจักรหนึ่ง มีเจ้าหญิงผู้เปี่ยมเมตตาและพี่ชายทั้งสิบเอ็ดที่รักใคร่กลมเกลียวกัน แต่แล้ววันหนึ่ง เคราะห์กรรมได้พัดพาพวกเขาให้พลัดพราก ค่ำคืนที่เงียบงันนำมาซึ่งเวทมนตร์อันโหดร้าย และเมื่อรุ่งเช้ามาถึง ทุกสิ่งก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป… กับนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเจ้าชายหงส์ป่า

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเจ้าชายหงส์ป่า

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเจ้าชายหงส์ป่า

ณ อาณาจักรอันรุ่งเรือง พระราชามีพระโอรสสิบเอ็ดพระองค์ และพระธิดาผู้งดงามนามว่าเอลิซ่า พวกเขาเติบโตขึ้นมาในความรักของพระบิดา พระโอรสทั้งสิบเอ็ดชาญฉลาดและกล้าหาญ ส่วนเอลิซ่าอ่อนโยนและจิตใจงาม พี่น้องทั้งสิบสองรักใคร่กลมเกลียว ไม่มีสิ่งใดดูเหมือนจะพรากพวกเขาออกจากกันได้

แต่เมื่อพระราชาอภิเษกใหม่ ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป

พระราชินีองค์ใหม่หาใช่สตรีผู้เปี่ยมเมตตา นางเป็นหญิงใจร้ายที่เกลียดชังพระโอรสและพระธิดาในสายเลือดของพระสวามี พระนางไม่ต้องการให้พวกเขาขวางทาง นางจึงเริ่มวางแผนชั่วร้าย

ไม่นานหลังจากที่นางขึ้นครองตำแหน่ง พระราชินีใช้วาจาหว่านล้อมให้พระราชาส่งเอลิซ่าไปอยู่กับชาวนาในชนบท ด้วยข้ออ้างว่านางควรได้รับการอบรมในที่เงียบสงบ พระราชาผู้ไม่สงสัยใดๆ จึงยอมทำตาม

เอลิซ่าถูกพรากจากวังโดยไม่เข้าใจเหตุผล แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเคราะห์กรรม

คืนหนึ่ง พระราชินีร่ายเวทมนตร์สาปเจ้าชายทั้งสิบเอ็ดให้กลายเป็นหงส์ป่า จากนั้นนางขับไล่พวกเขาออกจากอาณาจักร

“จงโบยบินออกไป และไม่มีวันกลับมาอีก!” นางหัวเราะเยาะ ขณะที่ร่างของพวกเขาคลุมไปด้วยขนสีขาว หงส์ทั้งสิบเอ็ดบินขึ้นสู่ฟ้า ถูกขับไล่จากบ้านเกิดของตนเอง

เช้าวันรุ่งขึ้นไม่มีเจ้าชายเหลืออยู่ในวังอีกต่อไป ผู้คนพากันซุบซิบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พระราชินีแสร้งทำเป็นเศร้าโศก และไม่มีใครกล้าถามหาพระโอรสอีกเลย

เวลาผ่านไป เอลิซ่าเติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่งดงาม แต่ชีวิตในชนบทไม่ได้ลบเลือนความทรงจำเกี่ยวกับพี่ชายของนาง นางเฝ้าฝันถึงพวกเขา และปรารถนาจะได้กลับบ้าน

เมื่อเอลิซ่าถึงวัยสิบหกปี พระราชาทรงระลึกถึงธิดาของพระองค์ และมีรับสั่งให้นางกลับคืนสู่วัง พระราชินีไม่อาจขัดขวาง แต่ก่อนที่เอลิซ่าจะได้เข้าเฝ้าพระราชา นางใช้เวทมนตร์ชั่วร้ายแอบใส่ยาพิษลงในน้ำอาบของเอลิซ่า

ทันทีที่นางจุ่มตัวลงในน้ำความงามของนางจางหายไป ผิวพรรณหมองคล้ำ ผมสีทองกลายเป็นกระดำกระด่าง แม้แต่พระราชาเองก็แทบจำบุตรสาวไม่ได้ และเอลิซ่าก็ถูกขับไล่ออกจากวัง ไร้บ้าน ไร้ครอบครัว ไร้จุดหมาย

เอลิซ่าออกเดินทางเพียงลำพัง นางเดินผ่านป่าลึก ผ่านทุ่งกว้าง และข้ามแม่น้ำที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ท่ามกลางความเงียบสงัดของธรรมชาติ นางครุ่นคิดถึงพี่ชายของนาง “พวกเขาอยู่ที่ไหน? พวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”

คืนหนึ่ง ขณะที่เอลิซ่านอนอยู่ใต้ต้นไม้ นางฝันเห็นพระเจ้าและเหล่านางฟ้า พวกเขากระซิบกับนางว่า “หากเจ้าเดินต่อไปจนถึงแม่น้ำใหญ่ และลอยตัวไปตามกระแสน้ำ เจ้าจะได้พบพี่ชายของเจ้า”

เอลิซ่าตื่นขึ้นด้วยความมุ่งมั่น นางทำตามเสียงเรียกในความฝัน เดินทางไปจนถึงแม่น้ำใหญ่ นางมองลงไปในสายน้ำที่ไหลเชี่ยว

“หากนี่คือเส้นทางที่จะพาข้าไปหาพี่ชาย ข้าจะไม่ลังเล” นางกระโดดลงไปในกระแสน้ำที่เย็นเยียบ และปล่อยให้มันพานางไปยังจุดหมายปลายทางที่ไม่รู้จัก

หลายวันผ่านไปเอลิซ่าลอยมาถึงดินแดนอันห่างไกล ที่นั่น นางพบว่าร่างของนางกลับคืนสู่ความงามดุจเดิมน้ำบริสุทธิ์ได้ชำระล้างมนตร์ดำของพระราชินี

ขณะที่นางกำลังพักเหนื่อยริมฝั่งน้ำ เงาของปีกสีขาวสะท้อนบนผืนน้ำ นางเงยหน้าขึ้น และพบกับฝูงหงส์สิบเอ็ดตัวบินอยู่เหนือศีรษะ

หัวใจของเอลิซ่าเต้นแรง “พวกเขาจะใช่พี่ชายของข้าหรือไม่?”

นางมองดูหงส์ร่อนลงสู่พื้นดิน เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ร่างของพวกเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนกลับเป็นชายหนุ่มพี่ชายของนาง!

เอลิซ่ากรีดร้องด้วยความดีใจ นางโผเข้ากอดพวกเขาทั้งน้ำตา พี่ชายของนางเองก็ไม่อยากเชื่อสายตา พวกเขาคิดว่านางตายไปแล้ว แต่บัดนี้ นางยืนอยู่ตรงหน้า

“เอลิซ่า! เจ้ายังมีชีวิตอยู่!” เจ้าชายองค์โตกล่าวพลางโอบกอดน้องสาวของเขาแน่น

พวกเขาเล่าให้เอลิซ่าฟังถึงคำสาปของพระราชินี ในเวลากลางวัน พวกเขาจะกลายเป็นหงส์ และในเวลากลางคืน พวกเขาจะกลับเป็นมนุษย์ พวกเขาต้องหลบซ่อนจากผู้คน เพราะไม่มีใครสามารถช่วยพวกเขาได้

เอลิซ่ามองพี่ชายทั้งสิบเอ็ดด้วยหัวใจที่หนักอึ้งนางสาบานกับตนเองว่านางจะทำทุกวิถีทางเพื่อถอนคำสาปนี้

ทว่านางไม่รู้เลยว่าเส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอันตราย ความทุกข์ทรมาน และบททดสอบที่อาจพรากชีวิตของนางไป

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเจ้าชายหงส์ป่า 2

หลังจากพบพี่ชายทั้งสิบเอ็ด เอลิซ่าตั้งมั่นว่านางต้องถอนคำสาปนี้ให้ได้ แต่จะทำอย่างไร? คืนนั้น นางฝันเห็นนางฟ้าองค์หนึ่ง นางฟ้ากระซิบคำแนะนำอย่างแผ่วเบา

“หากเจ้าต้องการช่วยพี่ชาย เจ้าต้องถักทอเสื้อจากต้นตำแยป่า และต้องเงียบสนิท ไม่พูดแม้แต่คำเดียวจนกว่าทุกสิ่งจะเสร็จสิ้น หากเจ้าพูด คำสาปจะอยู่ตลอดไป และพี่ชายของเจ้าจะไม่มีวันกลับคืนสู่ร่างมนุษย์”

เมื่อเอลิซ่าตื่นขึ้นนางไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย นางรีบเข้าไปในป่าถอนต้นตำแยด้วยมือเปล่า แม้ลำต้นของมันจะมีหนามคมตำมือจนปวดแสบปวดร้อน แต่นางกัดฟันทนไม่เปล่งเสียงแม้แต่คำเดียว

พี่ชายของนางมองดูด้วยความเป็นห่วง แต่เอลิซ่าไม่อาจอธิบายอะไรได้ นางได้แต่ทอเสื้อต่อไป ราวกับว่าชีวิตของนางขึ้นอยู่กับมัน

แต่แล้วเคราะห์กรรมก็มาเยือน

วันหนึ่ง ขณะที่เอลิซ่ากำลังเก็บต้นตำแยอยู่ในป่า เหล่าทหารของพระราชาเดินผ่านมา พวกเขาเห็นหญิงสาวแต่งกายมอซอ กำลังเก็บพืชมีหนามในป่าด้วยมือเปล่า นางไม่พูด ไม่ปริปากแม้แต่น้อย

“แม่มดแน่ๆ!” ทหารคนหนึ่งกระซิบ

“ใช่ ดูสิ นางกำลังทำพิธีอะไรบางอย่าง!”

เหล่าทหารพาตัวเอลิซ่ากลับไปยังพระราชวังของกษัตริย์ พวกเขาเชื่อว่านางเป็นแม่มดที่กำลังร่ายเวทมนตร์ และหากไม่มีคำอธิบายใด ๆ นางจะต้องถูกลงโทษ

พระราชาแห่งอาณาจักรนั้นเป็นชายหนุ่มผู้มีเมตตา เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเอลิซ่า พระองค์รู้สึกหลงใหลในความงามและความสงบเสงี่ยมของนาง พระองค์ตรัสถาม

“เจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงอยู่ในป่าและทำสิ่งประหลาดเช่นนั้น?”

เอลิซ่าก้มศีรษะ นางไม่อาจพูดได้ ไม่อาจอธิบายอะไรได้ นางได้แต่เงียบงัน ทอดสายตาลงต่ำ

ความเงียบของนางทำให้ทุกคนยิ่งมั่นใจว่านางเป็นแม่มด

“ถ้านางไม่ใช่แม่มด เหตุใดนางจึงไม่พูดอะไรเลย?” เสียงซุบซิบดังไปทั่วโถงวัง

แต่พระราชากลับไม่เชื่อเช่นนั้น พระองค์ตกหลุมรักเอลิซ่า และตัดสินใจพานางกลับไปยังวังของพระองค์เอง

แม้จะถูกพาตัวมายังพระราชวัง เอลิซ่าก็ยังคงตั้งมั่นนางตื่นแต่เช้า และทอเสื้อจากต้นตำแยต่อไปทุกวัน แม้มือของนางจะเต็มไปด้วยแผลพุพอง แต่ดวงตาของนางยังคงเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น

แต่ไม่นานนักความเงียบของนางก็ทำให้เหล่าขุนนางและชาวเมืองสงสัยมากขึ้น

“นางเป็นแม่มดจริงๆ!” ชาวเมืองคนหนึ่งกล่าว

“นางกำลังใช้มนตร์ดำเพื่อควบคุมพระราชา!” ชาวเมืองอีกคนกล่าว

สุดท้ายเอลิซ่าถูกตัดสินให้ถูกเผาทั้งเป็น

ค่ำคืนก่อนวันประหารนางเร่งเย็บเสื้อตัวสุดท้าย มือของนางสั่นสะท้าน แต่หัวใจยังคงมุ่งมั่น หากนางเย็บเสื้อตัวนี้เสร็จก่อนรุ่งสาง นางอาจช่วยพี่ชายของนางได้

เมื่อรุ่งอรุณมาถึง เอลิซ่าถูกนำตัวไปยังลานประหาร นางถูกมัดไว้บนกองฟืน ท่ามกลางฝูงชนที่ตะโกนด่าทอ

แต่แล้วเสียงปีกกระพือก็ดังก้องจากท้องฟ้า หงส์สิบเอ็ดตัวบินโฉบลงมาอย่างงดงาม พวกเขาคือพี่ชายของเอลิซ่า!

นางรีบโยนเสื้อที่ถักเสร็จไปคลุมตัวพวกเขาทันใดนั้น ร่างของพวกเขาก็กลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง! คำสาปถูกทำลายแล้ว!

ทว่าเสื้อตัวสุดท้ายยังไม่สมบูรณ์ แขนข้างหนึ่งยังไม่เสร็จ เจ้าชายองค์สุดท้องจึงยังคงมีปีกหงส์ข้างหนึ่งติดอยู่ แต่นั่นไม่สำคัญอีกต่อไปพี่น้องทั้งสิบสองได้กลับมาอยู่ร่วมกันแล้ว!

เอลิซ่าทรุดลงกับพื้น น้ำตาไหลพรากไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด แต่มันคือน้ำตาแห่งความสุข

เมื่อความจริงถูกเปิดเผย พระราชาทรงโอบกอดเอลิซ่าด้วยความยินดี พระองค์ตรัสขอให้นางเป็นราชินีเคียงข้างพระองค์แต่เอลิซ่าขอเพียงสิ่งเดียวการได้กลับบ้านกับพี่ชายของนาง

พระราชาไม่ได้ขัดขวาง พระองค์ส่งนางและพี่ชายกลับสู่อาณาจักรเดิม ข่าวการปลดปล่อยเจ้าชายทั้งสิบเอ็ดกระจายไปทั่วแผ่นดิน

เมื่อพวกเขากลับมาถึง พระราชาผู้เป็นบิดาทรงสำนึกผิดที่เคยปล่อยให้พระราชินีชั่วร้ายเข้ามาแทรกแซง พระองค์สั่งเผานางทั้งเป็นข้อหาเป็นแม่มด

ในที่สุดพี่น้องทั้งสิบสองก็ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง เอลิซ่าเป็นที่รักของประชาชน ส่วนพี่ชายทั้งสิบเอ็ดได้รับเกียรติในฐานะราชวงศ์แห่งอาณาจักร

และแม้ว่าเจ้าชายองค์สุดท้องจะยังคงมีปีกหงส์ติดตัวอยู่ แต่นั่นไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด คือพวกเขาได้กลับมาเป็นครอบครัวอีกครั้ง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเจ้าชายหงส์ป่า 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความรักและความเสียสละสามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่าง เอลิซ่าต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน ถูกเข้าใจผิดและเกือบเสียชีวิต แต่เพราะรักพี่ชาย นางจึงยอมอดทนโดยไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว

ความอดทนคือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เอลิซ่าไม่ได้ใช้เวทมนตร์หรือต่อสู้ด้วยอาวุธ นางใช้เพียงความมุ่งมั่นและหัวใจที่แน่วแน่ จนสามารถทำลายคำสาปได้

ความจริงและความบริสุทธิ์ใจจะปรากฏในที่สุด แม้เอลิซ่าจะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด แต่นางไม่เคยพยายามแก้ตัวด้วยคำพูด นางเลือกพิสูจน์ตัวเองด้วยการกระทำ และสุดท้าย ความจริงก็ได้รับการเปิดเผย

บางครั้ง การช่วยเหลือผู้อื่นอาจต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ผลลัพธ์ที่ได้รับนั้นงดงามเสมอ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเจ้าชายหงส์ป่า (อังกฤษ: The Wild Swans) เป็นนิทานที่เขียนโดยฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน เป็นนักเขียนชาวเดนมาร์ก ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1838 และกลายเป็นหนึ่งในนิทานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของเขา เรื่องราวนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากนิทานพื้นบ้านยุโรปหลายเรื่อง เช่น “The Six Swans” ของพี่น้องกริมม์และ “The Twelve Wild Ducks” จากนอร์เวย์ ซึ่งมีโครงเรื่องเกี่ยวกับพี่ชายที่ถูกสาปเป็นนก และน้องสาวต้องทำภารกิจอันยากลำบากเพื่อช่วยพวกเขากลับคืนสู่ร่างมนุษย์

แอนเดอร์เซนดัดแปลงเรื่องราวให้อบอุ่น ลึกซึ้ง และสะท้อนถึงความเสียสละ ความอดทน และพลังแห่งความรักในครอบครัว เอลิซ่า นางเอกของเรื่อง ไม่ใช่เจ้าหญิงผู้รอคอยความช่วยเหลือ แต่เป็นหญิงสาวที่ต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง นางถูกพรากจากครอบครัว ถูกเข้าใจผิด และต้องทนทุกข์กับการทำเสื้อจากต้นตำแย ซึ่งเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่นางไม่เคยยอมแพ้ เพราะรู้ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไม่ใช่ความสะดวกสบาย แต่คือการได้อยู่กับคนที่รัก

นิทานเรื่องนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่สะท้อนการเปลี่ยนผ่านของชีวิต หงส์แทนความบริสุทธิ์และอิสรภาพ ต้นตำแยแทนความทุกข์ที่ต้องอดทน และความเงียบของเอลิซ่าแทนพลังของความอดทนที่ยิ่งใหญ่ แม้นางจะไม่สามารถพูดหรืออธิบายตัวเองได้ แต่นางเลือกพิสูจน์ความจริงผ่านการกระทำ ซึ่งเป็นบทเรียนที่ลึกซึ้งและทรงพลัง

นิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเจ้าชายหงส์ป่าได้รับการดัดแปลงเป็นหนังสือเด็ก ละครเวที แอนิเมชัน และบัลเลต์มากมาย เพราะเป็นเรื่องราวที่สื่อถึงพลังของความรัก ความกล้าหาญ และความจริงที่ไม่มีวันถูกกลบซ่อนได้ตลอดกาล นิทานเรื่องนี้ยังคงถูกเล่าขานมาจนถึงปัจจุบัน เพราะเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด แสงสว่างจะกลับคืนมาเสมอ หากหัวใจของเรายังคงยึดมั่นในความดี

“ความรักแท้และความอดทน ย่อมเอาชนะคำสาปและอุปสรรคทั้งปวง”

นิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องราชินีหิมะ

สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านผืนโลก เกล็ดหิมะโปรยปรายดั่งเศษแก้วที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ในค่ำคืนอันเงียบงัน มีตำนานเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากเดนมาร์ก และไม่มีใครรู้ว่าแรงลมที่พัดกรรโชกนั้นเป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือเป็นลมหายใจของผู้ปกครองแห่งแดนเหนือราชินีหิมะ

ท่ามกลางเมืองเล็ก ๆ อันอบอุ่น เด็กสองคนเติบโตมาด้วยกัน ดั่งดอกไม้ที่ผลิบานท่ามกลางฤดูหนาว แต่แล้ววันหนึ่ง พายุที่ไร้ปรานีก็พัดพรากพวกเขาออกจากกัน เปลี่ยนมิตรภาพให้กลายเป็นความเย็นชา และพาหัวใจดวงหนึ่งเข้าสู่เงื้อมมือของความหนาวเหน็บ… กับนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องราชินีหิมะ

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องราชินีหิมะ

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องราชินีหิมะ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีปีศาจตนหนึ่งสร้างกระจกมหัศจรรย์ มันไม่ได้สะท้อนโลกตามความเป็นจริง แต่กลับทำให้ทุกสิ่งดูบิดเบี้ยวสิ่งสวยงามจะดูน่าเกลียด ส่วนสิ่งชั่วร้ายจะยิ่งทวีความอัปลักษณ์ เหล่าปีศาจพยายามนำกระจกขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อเย้ยหยันพระเจ้า แต่ระหว่างทาง กระจกแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย กระจัดกระจายไปทั่วโลก

หากเศษกระจกชิ้นใดปลิวเข้าตา เจ้าของดวงตาจะเห็นแต่สิ่งเลวร้ายในทุกสิ่ง หากตกเข้าสู่หัวใจ หัวใจนั้นจะกลายเป็นน้ำแข็ง ไร้ความรักและความอบอุ่น

ณ เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เด็กชายชื่อเคย์ และเด็กหญิงชื่อเกอร์ดา อาศัยอยู่เป็นเพื่อนบ้านกัน พวกเขาเติบโตมาด้วยกันเหมือนพี่น้อง แบ่งปันทุกช่วงเวลา ทั้งสองชอบนั่งฟังนิทานข้างหน้าต่าง ปลูกดอกกุหลาบด้วยกัน และหัวเราะไปกับเรื่องเล่าของคุณยายเกี่ยวกับราชินีหิมะ

“นางเป็นใครกันหรือ?” เกอร์ดาถามตาเป็นประกาย

“นางคือผู้ปกครองแดนเหนือ นางเดินทางไปทั่วโลกด้วยรถเลื่อนที่ลากโดยหิมะและสายลมเยือกแข็ง” คุณยายตอบ “ว่ากันว่า ถ้านางจ้องมองใครตรง ๆ หัวใจของคนนั้นจะเย็นเฉียบราวกับก้อนน้ำแข็ง”

เคย์หัวเราะเยาะ “ถ้าข้าพบนาง ข้าจะไม่กลัวแน่นอน” แต่เขาหารู้ไม่ว่าโชคชะตากำลังเล่นตลกกับเขา

วันหนึ่งเศษกระจกปีศาจ ปลิวมาตามสายลม หนึ่งในนั้นตกเข้าตาของเคย์ และอีกชิ้นเสียบลึกเข้าไปในหัวใจของเขา เคย์สะดุ้ง กะพริบตาหลายครั้ง แต่แล้วทุกอย่างรอบตัวก็เปลี่ยนไป

ดอกกุหลาบที่เคยงดงามกลับดูหม่นหมอง เกอร์ดาผู้ใจดีดูน่ารำคาญ ทุกสิ่งรอบตัวเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง

จากเด็กชายที่อ่อนโยน เคย์กลายเป็นคนเย็นชา เขาเริ่มหัวเราะเยาะเกอร์ดาเขาไม่สนใจความรักและความอ่อนโยนอีกต่อไป

แล้ววันหนึ่ง หิมะตกหนักผิดปกติ เมืองทั้งเมืองปกคลุมไปด้วยสีขาว ท่ามกลางพายุหิมะ รถเลื่อนสีเงินคันหนึ่งเคลื่อนตัวผ่านถนน ราชินีหิมะมาถึงแล้ว

เคย์มองนางอย่างหลงใหล นางช่างงดงาม สูงศักดิ์ และเยือกเย็นราวกับเทพธิดาแห่งน้ำแข็ง

“เจ้าหนาวหรือไม่?” นางถามเสียงแผ่วเบา แต่แฝงด้วยพลังลึกลับ

“ไม่เลย ข้าชอบความหนาวเย็น” เคย์ตอบ

ราชินีหิมะก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของเขา เขาสั่นสะท้าน แต่ไม่รู้สึกหนาวอีกเลย “ขึ้นมาเถิด เด็กน้อย ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครทำให้เจ้าหวั่นไหวได้อีก”

เคย์ปีนขึ้นไปบนรถเลื่อนโดยไม่หันกลับไปมองบ้านของเขาอีกเลย เกอร์ดาเฝ้ารอ… แต่เคย์ไม่เคยกลับมา

ฤดูใบไม้ผลิมาถึง หิมะละลาย แต่เคย์ยังไม่กลับมา เกอร์ดาถามผู้คนทุกแห่ง ทุกคนเพียงแต่ส่ายหน้า นางเศร้าเสียใจ และในที่สุดตัดสินใจออกเดินทางเพื่อตามหาเพื่อนรักของตนเอง

นางเดินทางไปตามแม่น้ำที่พัดพาน้ำแข็งไหลออกจากเมือง นางโยนรองเท้าของตัวเองลงไป พลางกระซิบ “หากเจ้าพาเคย์กลับมา ข้าจะให้รองเท้าคู่นี้เป็นของกำนัล” แต่แม่น้ำไม่ได้คืนรองเท้าให้ นางรู้ทันทีว่าต้องเดินทางต่อไป

นางเดินทางจนไปถึงกระท่อมหลังหนึ่งหญิงชราผู้ใจดีรับนางไว้ นางป้อนอาหาร ให้เสื้อผ้าใหม่ และชวนให้อยู่ที่นี่

“เจ้าไม่อยากพักก่อนหรือ? ที่นี่อบอุ่นและปลอดภัย” หญิงชรากล่าว พลางหว่านเวทมนตร์ลงในดอกไม้ที่ปลูกไว้รอบบ้าน

ดอกไม้ค่อย ๆ ผลิบาน และมีกลิ่นหอมอบอวล แต่ในสวนไม่มีดอกกุหลาบ สักดอกเดียว เพราะหญิงชราไม่ต้องการให้เกอร์ดาระลึกถึงอดีต นางอยากให้เด็กหญิงลืมเรื่องราวทั้งหมดและอยู่ที่นี่ตลอดไป

เวทมนตร์เริ่มทำงาน เกอร์ดาเกือบลืมทุกสิ่ง แต่วันหนึ่ง นางเห็นรูปกุหลาบบนหมวกของตนเอง ทันใดนั้น ความทรงจำเกี่ยวกับเคย์ก็กลับคืนมา

“ข้าเสียเวลามากเกินไปแล้ว!” เกอร์ดาวิ่งออกจากสวน ทิ้งบ้านอันแสนอบอุ่นไว้เบื้องหลัง

ดอกไม้ในสวนพยายามช่วยนาง พวกมันกระซิบเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง แต่ไม่มีดอกไม้ใดเคยเห็นเคย์

จนกระทั่งกุหลาบดอกหนึ่ง กล่าวขึ้น “เคย์ยังไม่ตาย เขาไม่ได้ถูกฝังใต้ผืนดิน เราไม่เห็นเขาอยู่ที่นี่ ซึ่งหมายความว่าเขาต้องอยู่ที่อื่น จงไปตามหาเขาเถิด”

เกอร์ดาไม่ลังเลอีกต่อไป นางออกเดินทางต่อด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวัง

เกอร์ดาเดินทางต่อไปด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวัง นางเดินผ่านป่าเขาและทุ่งกว้าง จนไปถึงปราสาทใหญ่แห่งหนึ่ง ที่นั่น พระราชาและพระราชินีผู้ใจดีรับนางไว้ พวกเขาฟังเรื่องราวของนางอย่างตั้งใจ และรู้สึกสงสาร

“เด็กน้อย เจ้าตามหาเพื่อนรักถึงเพียงนี้หรือ?” พระราชินีตรัส “พวกเราจะช่วยเจ้าเอง”

พระราชาสั่งให้ค้นทั่วทั้งอาณาจักร แต่ไม่มีร่องรอยของเคย์ ในความเมตตาของพระองค์ พระราชินีมอบเสื้อผ้าใหม่และม้าสำหรับเดินทาง เพื่อช่วยให้เกอร์ดาเดินทางต่อไปได้ง่ายขึ้น

คืนหนึ่ง ขณะที่เกอร์ดากำลังพักผ่อน มีกลุ่มโจรบุกเข้ามาพวกมันจับตัวนางและพาไปยังถ้ำของพวกโจร นางถูกล้อมไว้ด้วยใบหน้าโหดเหี้ยม มีเพียงหญิงโจรป่าตัวน้อยที่ดูมีท่าทางแตกต่างจากคนอื่น นางมองเกอร์ดาด้วยความสนใจ

“เจ้ากล้าหาญดีนี่ ข้าชอบเจ้า!” หญิงโจรป่าหัวเราะ “ข้าจะช่วยเจ้า หนีไปซะก่อนที่พวกเขาจะเปลี่ยนใจ”

นางแอบพาเกอร์ดาออกมา พร้อมทั้งมอบกวางเรนเดียร์ของตนให้พานางไปสู่ดินแดนทางเหนือ

“จงไปยังปราสาทของราชินีหิมะ หากเคย์ยังมีชีวิตอยู่ นั่นคือที่ที่เขาอยู่!” หญิงโจรป่ากระซิบบอกก่อนที่เกอร์ดาจะออกเดินทาง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องราชินีหิมะ 2

กวางเรนเดียร์พาเกอร์ดาฝ่าพายุหิมะไปยังแดนเหนือสุดของโลก ทุกสิ่งปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและความเงียบงัน ในที่สุด นางก็มาถึงหน้าปราสาทของราชินีหิมะ

ที่นั่นเคย์นั่งอยู่กลางห้องโถงใหญ่ รอบตัวเต็มไปด้วยแผ่นน้ำแข็งที่เขาพยายามต่อให้เป็นคำปริศนา ดวงตาของเขาว่างเปล่า ไม่มีแววความอบอุ่นเหลืออยู่

เกอร์ดาเรียกชื่อเขา “เคย์! ข้ามาตามหาเจ้า!”

แต่เขาไม่ขยับ ไม่ตอบสนอง นางเข้าไปใกล้และเห็นว่า ริมฝีปากของเขาซีดเผือด ผิวหนังเย็นเฉียบ หัวใจของเขาเป็นน้ำแข็งโดยสมบูรณ์

เกอร์ดากุมมือเขาไว้ นางไม่ได้คิดถึงสิ่งใดอีกแล้ว นอกจากความรักที่นางมีต่อเพื่อนรักของตน

น้ำตาของนางหยดลงบนใบหน้าของเคย์ และสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นน้ำแข็งที่ปกคลุมหัวใจของเขาค่อย ๆ ละลาย

เคย์กระพริบตา ดวงตาของเขากลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง เขามองเกอร์ดาด้วยความตกใจ “เกอร์ดา… เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

“ข้ามาเพื่อนำเจ้ากลับบ้าน” นางยิ้มทั้งน้ำตา แผ่นน้ำแข็งรอบตัวเคย์เริ่มพังทลาย เวทมนตร์ของราชินีหิมะเสื่อมพลังลง เพราะไม่มีสิ่งใดสามารถต้านทานพลังแห่งความรักและความเสียสละได้

เกอร์ดาจูงมือเคย์ออกจากปราสาท ฝ่าหิมะและลมหนาว กลับไปสู่แสงตะวันอันอบอุ่น

เคย์ยังคงนั่งนิ่ง ดวงตาของเขามีแววสับสน ราวกับกำลังตื่นจากความฝันอันยาวนาน “เกอร์ดา… ข้ารู้สึกแปลกเหลือเกิน” เขากระซิบ

เกอร์ดาเพียงยิ้มและจับมือเขาแน่น “เจ้าปลอดภัยแล้ว เราจะกลับบ้านด้วยกัน”

ทันใดนั้น พายุหิมะรุนแรงก็พัดมาจากปลายปราสาท เสียงของราชินีหิมะดังก้องไปทั่วโถงน้ำแข็ง แต่ไม่มีตัวตนของนางอยู่ที่นั่นอีกแล้ว

“เจ้าอาจชนะข้า แต่เจ้าจะไม่มีวันทิ้งดินแดนแห่งนี้ได้!” หิมะก่อตัวขึ้นรอบพวกเขา ราวกับจะขังไว้ตลอดกาล แต่เคย์ไม่รู้สึกถึงความหนาวอีกต่อไปหัวใจของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว

“เกอร์ดา เราต้องไปเดี๋ยวนี้!” มือของทั้งสองประสานกัน พวกเขาวิ่งฝ่าหิมะออกจากปราสาท กวางเรนเดียร์ที่รออยู่ด้านนอกพาพวกเขาออกจากแดนน้ำแข็ง มุ่งหน้ากลับบ้านที่พวกเขาจากมาแสนนาน

ระหว่างทาง ฤดูหนาวเริ่มจางหายเกล็ดหิมะกลายเป็นหยดน้ำ ค่อย ๆ ละลายลงใต้แสงอาทิตย์แรกของฤดูใบไม้ผลิ

เมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้าน เมืองเล็ก ๆ ที่เคยถูกปกคลุมด้วยความหนาวเย็น กลับเต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้ที่เริ่มเบ่งบาน เคย์และเกอร์ดาหัวเราะออกมา น้ำตาแห่งความสุขเอ่อคลอ พวกเขาไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว

พวกเขาได้เรียนรู้ว่าความรักและความกล้าหาญคือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และไม่มีอำนาจใดแม้แต่ความเย็นเยียบของราชินีหิมะสามารถเอาชนะมันได้

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องราชินีหิมะ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความรักแท้จริงสามารถละลายน้ำแข็งในหัวใจได้ เคย์ถูกความเย็นชาครอบงำจนลืมความผูกพันที่เคยมี แต่ความรักอันบริสุทธิ์ของเกอร์ดาเป็นสิ่งเดียวที่สามารถนำเขากลับมาได้

ความกล้าหาญและความมุ่งมั่นสามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่าง เกอร์ดาเดินทางข้ามดินแดนอันโหดร้าย ไม่ยอมแพ้แม้ต้องเผชิญกับเวทมนตร์และอันตราย เพราะหัวใจของนางเต็มไปด้วยศรัทธาในสิ่งที่ถูกต้อง

บางครั้ง การเติบโตหมายถึงการผ่านบททดสอบอันยากลำบาก การเดินทางของเคย์และเกอร์ดาไม่ใช่แค่การต่อสู้กับราชินีหิมะ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ พร้อมกับบทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับความรักและความเสียสละ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องราชินีหิมะ (อังกฤษ: The Snow Queen) เป็นนิทานที่เขียนขึ้นโดยฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) นักเขียนชาวเดนมาร์ก ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1844 เป็นหนึ่งในนิทานที่ยาวและซับซ้อนที่สุดของเขา แบ่งออกเป็น 7 ตอนย่อย ซึ่งแตกต่างจากนิทานพื้นบ้านทั่วไปที่มักเล่าผ่านรุ่นสู่รุ่นก่อนถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร

แอนเดอร์เซนได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติอันหนาวเย็นของยุโรปเหนือ และ แนวคิดเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับความดีและความชั่ว หลายคนเชื่อว่า “ราชินีหิมะ” เป็นสัญลักษณ์ของ ความเย็นชา ไร้อารมณ์ และเหตุผลที่ขาดหัวใจ ในขณะที่ เกอร์ดา ตัวเอกของเรื่อง เป็นตัวแทนของ ความรักบริสุทธิ์ ความเมตตา และความกล้าหาญ

บางนักวิชาการเชื่อว่า แอนเดอร์เซนได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตส่วนตัวของเขาเอง โดยเฉพาะ ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับเพื่อนสนิทในวัยเด็ก และความรู้สึกถูกปฏิเสธ ที่เขามักเผชิญในชีวิต

“ราชินีหิมะ” กลายเป็นหนึ่งในนิทานที่ทรงอิทธิพลที่สุดของแอนเดอร์เซน และได้รับการดัดแปลงเป็นละคร ภาพยนตร์ และแอนิเมชันมากมาย หนึ่งในผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องนี้คือ “Frozen” (2013) ของดิสนีย์ แม้ว่าจะตีความใหม่จนแตกต่างจากต้นฉบับมากก็ตาม

นิทานเรื่องนี้ยังคงเป็นที่จดจำและถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนิทานที่งดงาม ลึกซึ้ง และเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ ที่สะท้อนถึงพลังของความรัก ความกล้าหาญ และการเติบโตทางจิตใจ

“ความหนาวเย็นไม่เคยอยู่ภายนอก แต่มันแฝงอยู่ในหัวใจที่ไร้รัก”

นิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องอีกาทั้งเจ็ด

ในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดทรงพลังไปกว่าคำพูด คำอวยพรสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ แต่คำสาปเพียงคำเดียวก็อาจเปลี่ยนโชคชะตาทั้งชีวิต ในครอบครัวหนึ่ง มีตำนานนิทานพื้นบ้านสากลจากเยอรมนีโดยเล่าว่ามีเด็กหญิงเติบโตขึ้นมาโดยไม่เคยรู้ว่ามีบางสิ่งขาดหายไปจากชีวิตของนาง จนวันหนึ่ง ความจริงที่ถูกปิดซ่อนไว้ได้เปิดเผย

นำพานางสู่เส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ นางต้องเดินทางข้ามพ้นขอบเขตของโลกมนุษย์ ท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่แผดเผา พระจันทร์ที่เย็นเยียบ และดวงดาวที่กระซิบคำสัญญา เพียงเพื่อไถ่ถอนบางสิ่งที่สูญหายไปนานแสนนาน กับนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องอีกาทั้งเจ็ด

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องอีกาทั้งเจ็ด

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องอีกาทั้งเจ็ด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่งที่เฝ้ารอคอยลูกสาวมานาน พวกเขามีลูกชายอยู่แล้วเจ็ดคน แต่หัวใจยังโหยหาลูกหญิงที่จะมาเติมเต็มครอบครัว ในที่สุด ภรรยาก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง และเมื่อถึงวันคลอด นางให้กำเนิดบุตรสาวตัวน้อย

แต่เด็กหญิงเกิดมาอ่อนแอและตัวเล็กจนน่ากลัว บิดามารดาหวาดหวั่นว่านางอาจจะไม่รอด จึงรีบเตรียมพิธีล้างบาปให้โดยเร็วที่สุด

บิดาหันไปหาลูกชายคนโตสุด พลางเร่งรัด “รีบไปตักน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์มาเร็วเข้า อย่าให้ชักช้า”

เด็กชายรีบคว้าเหยือกและออกวิ่งไปยังบ่อ พี่น้องอีกหกคนวิ่งตามมาด้วย ต่างก็อยากเป็นคนแรกที่ทำหน้าที่สำคัญนี้ให้กับน้องสาว

แต่ความรีบร้อนกลับกลายเป็นหายนะ เมื่อพวกเขาเบียดเสียดกันจน เหยือกหลุดมือและตกลงไปในบ่อน้ำ

เด็กชายทั้งเจ็ดยืนตัวแข็ง พวกเขาพยายามเอื้อมมือลงไปควานหา แต่ไม่สามารถดึงเหยือกขึ้นมาได้ ไม่มีใครกล้ากลับบ้านไปบอกพ่อแม่

เวลาผ่านไป พ่อรอแล้วรอเล่า เมื่อไม่เห็นลูกชายกลับมา เขาขมวดคิ้วแน่นและเริ่มเดือดดาล

“เจ้าพวกเด็กเหลือขอ มัวแต่เล่นกันจนลืมหน้าที่!” เขาสบถเสียงดัง

ด้วยความร้อนใจที่ลูกสาวอาจสิ้นลมหายใจก่อนจะได้รับศีลบัพติศมา เขาตะโกนออกไปด้วยความโกรธ

“อยากให้พวกเจ้ากลายเป็นอีกาเสียทั้งหมด!”

แทบจะในทันทีเสียงกระพือปีกดังก้องเหนือศีรษะ เขาเงยหน้าขึ้น และต้องตกตะลึงลูกชายทั้งเจ็ดของเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว มีเพียงฝูงอีกาสีดำสนิทเจ็ดตัว บินวนเหนือบ้าน ก่อนจะหายลับไปกับขอบฟ้า

มารดากรีดร้องล้มลงทั้งน้ำตา บิดาหน้าซีดเผือด พวกเขาพยายามถอนคำพูด แต่ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว

และแม้ความเศร้าโศกจะกัดกินหัวใจของทั้งคู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรักที่มีต่อลูกสาวก็ช่วยเยียวยาความเจ็บปวด เด็กหญิงเติบโตขึ้นโดยที่พ่อแม่ไม่เคยเอ่ยถึงพี่ชายของนางเลยสักครั้ง

เด็กหญิงเติบโตขึ้นมาเป็นสาวงาม ใบหน้าของนางสดใส แต่ดวงตากลับมีแววเศร้าเสมอ วันหนึ่ง ขณะที่นางกำลังเล่นอยู่ในลานบ้าน เสียงกระซิบของหญิงชราในตลาดทำให้เท้าของนางชะงัก

“นางสวยก็จริง แต่รู้หรือไม่ว่านางคือต้นเหตุที่ทำให้พี่ชายทั้งเจ็ดต้องหายไป?”

หัวใจของเด็กสาวหล่นวูบ นางไม่เคยรู้เลยว่าตนเคยมีพี่ชาย นางวิ่งกลับไปที่บ้าน น้ำตาคลอขณะเผชิญหน้ากับพ่อแม่

“เป็นความจริงหรือไม่ ว่าข้ามีพี่ชาย?” นางถามเสียงสั่น

พ่อแม่มองหน้ากัน ก่อนที่มารดาจะถอนหายใจและดึงนางเข้ามากอด

“ลูกไม่ได้เป็นต้นเหตุ มันเป็นชะตาของสวรรค์” นางพูดเสียงเบา

แต่นั่นไม่ได้ทำให้หัวใจของเด็กสาวรู้สึกดีขึ้นเลย ความคิดเดียวที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจคือข้าต้องช่วยพี่ชายให้ได้

นางตัดสินใจออกเดินทางเพียงลำพัง พ่อแม่พยายามห้าม แต่นางไม่ยอมเปลี่ยนใจ

เมื่อตะวันรุ่งขึ้น นางออกเดินทางไปยังสุดขอบโลก พร้อมของเพียงเล็กน้อยแหวนของพ่อแม่ ขนมปังก้อนหนึ่ง ไหใส่น้ำ และเก้าอี้ตัวเล็กสำหรับพักเมื่อล้า

นางเดินทางผ่านป่าเขา ผ่านทุ่งรกร้าง จนไปถึงสถานที่ที่ไม่มีมนุษย์คนใดเคยไปถึง

นางพบกับพระอาทิตย์แต่กลับต้องวิ่งหนี เพราะมันร้อนแรงเกินกว่าที่มนุษย์จะทนได้

นางเผชิญกับพระจันทร์ แต่ต้องรีบถอยห่าง เพราะมันทั้งหนาวเย็นและน่าหวาดกลัว แถมยังกระซิบเสียงเย็นเยียบว่า“ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดมนุษย์”

สุดท้ายนางไปถึงดวงดาว พวกมันใจดีและอบอุ่น พวกมันนั่งเรียงรายบนเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ ดุจราชาแต่ละดวงบนบัลลังก์ของตน

เมื่อดาวรุ่งขึ้น พวกมันมอบกระดูกไก่ ให้นาง พร้อมกระซิบว่า

“หากเจ้าต้องการช่วยพี่ชาย จงนำสิ่งนี้ไปเปิดประตูแห่งภูเขาแก้ว ที่นั่นคือที่คุมขังของพวกเขา”

เด็กหญิงรับของขวัญนั้นไว้ กำมันแน่นราวกับชีวิตขึ้นอยู่กับมัน แล้วมุ่งหน้าสู่ภูเขาแก้วด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวัง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องอีกาทั้งเจ็ด 2

เด็กหญิงเดินทางจนมาถึงภูเขาแก้ว ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า มันทั้งสูงชันและเรียบลื่นราวกับกระจก ไม่มีบันได ไม่มีช่องทางให้ปีนขึ้นไป ประตูเดียวที่มีคือประตูขนาดมหึมาไร้รูกุญแจ

นางสูดลมหายใจลึก พลางเปิดผ้าห่อของขวัญจากดวงดาว มือของนางควานหากระดูกไก่ที่พวกเขามอบให้

แต่มันหายไป

เด็กหญิงเบิกตากว้าง นางเปิดผ้าดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่มีอะไรอยู่ข้างใน หัวใจของนางเต้นรัว พลังเดียวที่สามารถไขประตูได้… ได้หล่นหายไปตามทาง

มือของนางสั่น หัวใจบีบรัดด้วยความสิ้นหวัง แต่นางรู้ดีว่าตนมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ

นางกำมีดในมือแน่น สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะยกมันขึ้น ตัดปลายนิ้วของตนเองออก เลือดไหลหยดลงบนพื้นหินเย็นเยียบ

นิ้วของนางถูกวางลงแทนกระดูกไก่ นางสั่นสะท้านขณะดันมันเข้าไปในร่องประตู

ทันใดนั้นประตูเปิดออก เบื้องหน้าของนางคือปราสาทของอีกาทั้งเจ็ด

ภายในปราสาทมืดสลัว โต๊ะอาหารเรียงรายอยู่กลางห้อง แต่ละที่นั่งมีจานใบเล็กและถ้วยเงินเจ็ดใบ เด็กหญิงเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง นางหิวเหลือเกิน จึงหยิบอาหารจากจานทุกใบขึ้นมากินเพียงเล็กน้อย ก่อนจะยกถ้วยขึ้นจิบ

จากนั้น นางดึงแหวนของพ่อแม่ ออกมาและทิ้งมันลงไปในถ้วยของพี่ชายคนสุดท้อง

เสียงกระพือปีกดังขึ้นในอากาศ

เสียงลมพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่เสียง ฟุ่บ! จะดังขึ้นเหนือศีรษะของเด็กหญิง

ฝูงอีกาสีดำสนิทเจ็ดตัวร่อนลงสู่พื้น พวกมันเดินเข้าไปที่โต๊ะ นกตัวแรกขยับจาน นกตัวที่สองเหลือบมองน้ำในถ้วย

“ใครกินจากจานของข้า?”

“ใครดื่มจากถ้วยของข้า?”

“เป็นปากมนุษย์แน่ ๆ!”

เมื่อพี่ชายคนสุดท้องยกถ้วยของตนขึ้นมา แหวนวงเล็กกลิ้งลงสู่พื้น

นกทั้งเจ็ดจ้องมองมันตาไม่กะพริบ ก่อนที่นกตัวสุดท้ายจะกระซิบแผ่วเบา

“ขอให้พระเจ้าประทานน้องสาวของเราคืนมา… เราจึงจะเป็นอิสระ”

เด็กหญิงที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตู สูดหายใจลึกแล้วก้าวออกมา

“พี่ชายของข้า… ข้าอยู่ที่นี่!”

ทันใดนั้นร่างของอีกาทั้งเจ็ดเปล่งแสงสีทอง ก่อนที่ขนนกสีดำสนิทจะค่อย ๆ จางหาย กลายเป็นชายหนุ่มเจ็ดคนในเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่เมื่อวันจากกัน

ไม่มีคำพูดใด ทุกคนวิ่งเข้ากอดกันแน่น เสียงสะอื้นดังระงมในปราสาทที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นกรงขังของพวกเขา

เด็กหญิงพาพี่ชายทั้งเจ็ดกลับบ้าน บิดามารดาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง พวกเขากอดลูกทุกคนแน่นด้วยหัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความสุข

และนับแต่นั้นมา ครอบครัวของพวกเขาก็ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องอีกาทั้งเจ็ด 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความรักและความเสียสละสามารถเอาชนะคำสาปได้ เด็กหญิงไม่ได้เป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมในครอบครัว แต่เมื่อนางรู้ความจริง นางเลือกที่จะต่อสู้เพื่อแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือเจ็บปวดเพียงใด

โชคชะตาอาจโหดร้าย แต่หัวใจที่แน่วแน่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ พี่ชายทั้งเจ็ดอาจถูกสาปเพราะความผิดพลาดเพียงเสี้ยววินาที แต่เพราะความมุ่งมั่นของน้องสาว คำสาปที่ดูเหมือนไม่มีวันแก้ไขได้ก็ถูกทำลาย

บางครั้งการเสียสละคือหนทางสู่ปาฏิหาริย์ เด็กหญิงต้องสูญเสียบางสิ่งไปเพื่อช่วยพี่ชาย แต่สุดท้ายเธอได้รับสิ่งที่ล้ำค่ากว่าคืนมาครอบครัวที่สมบูรณ์อีกครั้ง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องอีกาทั้งเจ็ด (อังกฤษ: The Seven Ravens) เป็นนิทานพื้นบ้านของเยอรมนีที่ได้รับการบันทึกโดยพี่น้องกริมม์ (Jacob and Wilhelm Grimm) ในศตวรรษที่ 19 และปรากฏอยู่ใน Children’s and Household Tales หรือที่รู้จักกันในชื่อ “นิทานกริมม์” ฉบับปี 1812 เรื่องราวนี้มีรากฐานมาจากนิทานพื้นบ้านเก่าแก่ของยุโรป และมีโครงเรื่องคล้ายคลึงกับนิทานประเภท “พี่น้องที่ถูกสาป” ซึ่งพบได้ในหลายวัฒนธรรม เช่น “The Six Swans” และ “Brother and Sister”

แม้ว่านิทานเรื่องนี้จะมีลักษณะของนิทานเทพนิยายแฟนตาซี แต่เรื่องราวนี้สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับโชคชะตา คำสาป และการไถ่บาป ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของนิทานในยุคกลาง นิทานลักษณะนี้มักเน้นบทบาทของตัวละครหญิงที่ต้องเดินทางเพื่อช่วยพี่ชาย ซึ่งสะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับ ความเสียสละ ความรักในครอบครัว และความกล้าหาญของหญิงสาวผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา

นิทานเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์และเล่าขานมาหลายศตวรรษ และยังคงเป็นหนึ่งในนิทานกริมม์ที่ได้รับความนิยม ด้วยบรรยากาศที่ลึกลับ การเดินทางอันแสนยากลำบากของตัวเอก และบทสรุปที่สะท้อนถึงพลังของความรักและการเสียสละ

“โชคชะตาอาจพรากทุกสิ่งไปจากเรา แต่หัวใจที่ไม่ยอมแพ้จะนำพาทุกสิ่งกลับคืนมา”

นิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องตุ๊กตานัทแคร็กเกอร์กับราชาหนู

มีตำนานนิทานพื้นบ้านสากล ณ อาณาจักรปรัสเซีย เล่าถึงตุ๊กตามงคลตามความเชื่อของชาวปรัสเซีย โดยค่ำคืนคริสต์มาสคือช่วงเวลาแห่งความอบอุ่น ของขวัญ และปาฏิหาริย์ แต่บางครั้ง ภายใต้แสงเทียนที่ระยิบระยับ อาจมีเรื่องราวมหัศจรรย์ซ่อนอยู่ ที่ไม่มีใครคาดคิด

เมื่อเสียงระฆังสุดท้ายดังขึ้นและบ้านทั้งหลังตกอยู่ในความเงียบ เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งพบว่าของขวัญที่เธอได้รับไม่ใช่เพียงแค่ตุ๊กตาธรรมดา แต่เป็นกุญแจสู่การผจญภัยที่ชวนน่าตื่นเต้นนำพาไปในที่เธอไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อนน กับนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องตุ๊กตานัทแคร็กเกอร์กับราชาหนู

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องตุ๊กตานัทแคร็กเกอร์กับราชาหนู

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องตุ๊กตานัทแคร็กเกอร์กับราชาหนู

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ค่ำคืนคริสต์มาสมาถึง บ้านของครอบครัวชตอลล์บาวม์อบอวลไปด้วยความอบอุ่น มารีและฟริตซ์ สองพี่น้องเฝ้ารอของขวัญอย่างตื่นเต้น

ของขวัญที่พวกเขาได้รับจากพ่อทูนหัวดรอสเซลไมเยอร์ นั้นพิเศษกว่าทุกปีมันคือตุ๊กตาไม้รูปทหารในชุดสีแดงสดและหมวกสูง “นัทแคร็กเกอร์” มารีชอบมันมาก แต่ฟริตซ์กลับลองเล่นแรงเกินไปจนแขนของมันหลวม

“ฟริตซ์! เจ้าทำมันพังแล้ว!” มารีอุทาน เธอรีบอุ้มตุ๊กตากลับมาและพันผ้ารอบแขนของมันราวกับดูแลสิ่งมีชีวิตจริง ๆ

คืนนั้น มารีกลับมาดูนัทแคร็กเกอร์อีกครั้ง และเธอสาบานได้ว่า… ดวงตาของมันดูมีชีวิตขึ้นมา!

ขณะที่มารีจ้องมองตุ๊กตา เสียงแปลก ๆ ก็ดังขึ้นจากพื้น

กรึก… กรึก…

ทันใดนั้นหนูนับสิบตัวก็พุ่งออกมาจากใต้ตู้! พวกมันสวมชุดเกราะเล็ก ๆ และถือดาบเล็ก ๆ ที่แวววาว และที่น่ากลัวที่สุดคือราชาหนูเจ็ดเศียร ดวงตาของมันเป็นสีแดงก่ำ เปล่งประกายอยู่ในความมืด

ทันใดนั้น เสียงกลองดังขึ้น!

ทหารของเล่นทุกตัวเริ่มขยับ และที่สำคัญที่สุดนัทแคร็กเกอร์มีชีวิตขึ้นมา!

“จงล่าถอยไปซะ ราชาหนู!” นัทแคร็กเกอร์ประกาศ พร้อมนำกองทัพของเล่นเข้าสู้

การต่อสู้ดุเดือด นัทแคร็กเกอร์พยายามปกป้องมารี แต่ราชาหนูแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ มันพุ่งเข้าใส่เขาและทำให้เขาเสียหลัก!

มารีไม่อาจทนดูได้ เธอคว้ารองเท้าแตะของตัวเองแล้วขว้างใส่ราชาหนูสุดแรง ปั่ก!

รองเท้ากระแทกเข้าที่หัวของราชาหนู มันส่งเสียงกรีดร้องก่อนจะล่าถอยไปพร้อมกับกองทัพของมัน

ทุกอย่างเงียบลง นัทแคร็กเกอร์ยืนอย่างอ่อนแรงก่อนจะหันมามองมารีด้วยแววตาขอบคุณ แล้วเธอก็รู้สึกเวียนหัว… และหมดสติไป

มารีตื่นขึ้นมาในห้องของเธอ แต่เธอมั่นใจว่าเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ใช่แค่ความฝัน! เมื่อเธอมองไปที่นัทแคร็กเกอร์ รอยบาดแผลของเขายังอยู่ที่เดิม

ดรอสเซลไมเยอร์มาเยี่ยมและเล่าเรื่องราวลึกลับให้เธอฟังว่า

กาลครั้งหนึ่ง อาณาจักรหนึ่งถูกสาปโดยราชินีหนูมอสเซอลิงค์ พระธิดาของกษัตริย์กลายเป็นคนอัปลักษณ์ โดยชายหนุ่มผู้กล้าหาญเท่านั้นที่จะช่วยเธอได้

เจ้าชายแห่งอาณาจักรสามารถถอนคำสาปของเจ้าหญิงได้ แต่ก่อนที่เขาจะได้รับรางวัล ราชินีหนูก็สาปเขากลับให้กลายเป็นตุ๊กตานัทแคร็กเกอร์แทน และสาบานว่าลูกชายของนางราชาหนูเจ็ดเศียร จะมาทำลายเขา

“มีเพียงผู้ที่รักเขาด้วยใจจริงเท่านั้น ที่จะทำลายคำสาปได้” ตุ๊กตานัทแคร็กเกอร์กล่าว

มารีมองนัทแคร็กเกอร์อย่างเข้าใจ… เธอจะปล่อยให้เขาอยู่ในร่างนี้ตลอดไปไม่ได้!

คืนนั้น มารีกระซิบกับนัทแคร็กเกอร์ “ฉันเชื่อว่าเจ้ามีชีวิตจริงๆ”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องตุ๊กตานัทแคร็กเกอร์กับราชาหนู 2

ทันใดนั้น แสงวิเศษก็ห่อหุ้มเธอไว้ และเมื่อเธอลืมตาอีกครั้ง เธอพบว่าตัวเองอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ ที่เต็มไปด้วยปราสาทขนมหวานและป่าลูกกวาด

นัทแคร็กเกอร์ซึ่งสามารถพูดและเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระพามารีเข้าสู่พระราชวังขนมหวานสร้างขึ้นจากน้ำตาล ซึ่งนางฟ้าลูกกวาดรออยู่

“มารี เจ้าคือผู้กล้าที่ช่วยขับไล่ราชาหนู” นางฟ้ากล่าว “เราจะจัดงานเฉลิมฉลองให้เจ้า!”

การแสดงระบำจากทั่วอาณาจักรเริ่มขึ้นมีนักเต้นจากดินแดนต่าง ๆ ทั้งช็อกโกแลตสเปน ชาเขียวจากจีน และดอกไม้ที่หมุนวนในสายลม มารีรู้สึกตื่นตาตื่นใจ แต่เธอรู้ดีว่านี่ไม่ใช่จุดจบของเรื่องราว

เธอต้องทำให้คำสาปของนัทแคร็กเกอร์หายไปให้ได้!

ทันใดนั้น! เสียงหัวเราะเย็นเยียบดังขึ้น

ราชาหนูเจ็ดเศียร ปรากฏตัวอีกครั้ง! มันไม่ยอมให้คำสาปของนัทแคร็กเกอร์ถูกทำลาย และมันพร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า!

“ไม่! เจ้าจะไม่มีวันชนะ!” มารีตะโกน เธอคว้าริบบิ้นจากเสื้อคลุมของตัวเอง พันเข้ากับดาบของนัทแคร็กเกอร์

ดาบเริ่มเปล่งแสงสีทอง!

ฉึก! ดาบของนัทแคร็กเกอร์ฟันกลางร่างของราชาหนู มันกรีดร้องก่อนจะสลายไปเป็นเถ้าธุลี

แสงสีทองปกคลุมร่างของนัทแคร็กเกอร์ และเมื่อลำแสงจางลง… เขากลายเป็นเจ้าชายรูปงาม

“มารี เจ้าปลดปล่อยข้าแล้ว” เจ้าชายกล่าวพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น

จากนั้นเขาเอื้อมมือมาหาเธอ “เจ้ายินดีจะอยู่ที่นี่กับข้าหรือไม่?”

มารีลังเลดินแดนนี้วิเศษมาก แต่เธอคิดถึงครอบครัว เธอส่ายหน้าเบาๆ “ข้ามีบ้านที่ต้องกลับไป”

เจ้าชายพยักหน้า “ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้า”

มารีตื่นขึ้นบนเตียง ทุกอย่างดูปกติราวกับเป็นเพียงความฝัน แต่เมื่อลุกขึ้น เธอเห็นนัทแคร็กเกอร์ในตู้ของเล่น และเธอรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง

หลายปีผ่านไป เธอเติบโตขึ้น และวันหนึ่ง ชายหนุ่มรูปงามก็มาขอพบครอบครัวของเธอ

ดวงตาของเขาเป็นดวงตาที่เธอไม่มีวันลืม

“มารี ข้ากลับมาแล้ว”

มารีมองชายหนุ่มตรงหน้า ดวงตาของเขาอบอุ่นและคุ้นเคยราวกับเธอเคยจ้องมองมันมาก่อน

“เจ้า…” มารีพูดอย่างตกตะลึง

ชายหนุ่มยิ้มพลางยื่นมือออกมา “ข้าคือเจ้าชายนัทแคร็กเกอร์ เจ้าจำข้าได้หรือไม่?”

หัวใจของมารีเต้นแรง ใช่… เธอจำเขาได้เสมอ! ไม่ใช่แค่จากความฝันในวัยเด็ก แต่เป็นความผูกพันที่ฝังลึกในหัวใจของเธอ

เธอยิ้มก่อนจะวางมือบนมือของเขา “ข้ารอคอยท่านเสมอ”

แล้วทั้งสองก็หัวเราะอย่างมีความสุข ขณะที่หิมะโปรยปรายจากฟากฟ้า ดุจเวทมนตร์ที่บรรจงปิดม่านนิทานแห่งความรักและปาฏิหาริย์

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องตุ๊กตานัทแคร็กเกอร์กับราชาหนู 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความกล้าหาญและความเมตตาสามารถเอาชนะความชั่วร้ายได้ แม้มารีจะเป็นเพียงเด็กหญิงธรรมดา แต่เธอกล้าที่จะเผชิญหน้ากับราชาหนูและช่วยตุ๊กตานัทแคร็กเกอร์ โดยไม่ลังเล ความดีของเธอเป็นพลังที่สามารถเอาชนะอำนาจมืดได้

ความรักแท้คือพลังที่ยิ่งใหญ่ คำสาปของเจ้าชายถูกทำลายได้เพราะมารีไม่ได้มองแค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่เธอรักและเชื่อมั่นในตัวเขาจริงๆ ความรักที่บริสุทธิ์สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้

ความฝันและจินตนาการมีค่า ดินแดนมหัศจรรย์ของนัทแคร็กเกอร์อาจดูเหมือนเพียงความฝัน แต่บางครั้งความเชื่อและจินตนาการ ก็มีพลังมากพอที่จะทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นความจริง

ความดีงามจะได้รับผลตอบแทน มารีเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และสุดท้าย เธอได้รับรางวัลเป็นความสุขและการกลับมาของเจ้าชาย นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้เราเชื่อใน ปาฏิหาริย์ของความรัก ความกล้าหาญ และจิตใจที่ดีงาม

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องตุ๊กตานัทแคร็กเกอร์กับราชาหนู (อังกฤษ: The Nutcracker and the Mouse King) เป็นผลงานของเออร์นส์ ทิโอดอร์ อมาเดอุส ฮอฟฟมันน์ (E.T.A. Hoffmann) นักเขียนชาวเยอรมัน(ปรัสเซียในสมัยนั้น)ในยุคโรแมนติก ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1816 นิทานเรื่องนี้เป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่โดดเด่นของเยอรมัน เต็มไปด้วยจินตนาการ เวทมนตร์ และสัญลักษณ์เชิงลึก

ภายหลัง นิทานของฮอฟฟมันน์ถูกดัดแปลงโดย อเล็กซองเดร ดูมาส์ (Alexandre Dumas père) นักเขียนชาวฝรั่งเศสในปี 1844 ซึ่งทำให้เนื้อเรื่องอ่อนโยนและเหมาะกับเด็กมากขึ้น

การดัดแปลงที่มีชื่อเสียงที่สุด คือบัลเลต์เรื่อง “The Nutcracker” ประพันธ์โดย ปิโอเตอร์ อิลิช ไชคอฟสกี (Pyotr Ilyich Tchaikovsky) ในปี 1892 ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในบัลเลต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาส

นิทานเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากตุ๊กตานัทแคร็กเกอร์ ซึ่งเป็นของประดับและของเล่นแบบดั้งเดิมของเยอรมัน ตุ๊กตาเหล่านี้มักทำเป็นรูปทหารและเชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของ โชคลาภและการปกป้องจากสิ่งชั่วร้าย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนัทแคร็กเกอร์จึงกลายเป็นตัวเอกของนิทานเรื่องนี้

จากนิทานพื้นบ้านสู่วรรณกรรมและบัลเลต์ นิทานเรื่องนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวแฟนตาซีที่ทรงอิทธิพลและเป็นที่รักของผู้คนทั่วโลก

“ความกล้าหาญไม่ได้อยู่ที่แรงกาย แต่อยู่ที่หัวใจที่พร้อมจะต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง”

นิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเงือกน้อยผจญภัย

ใต้ผืนน้ำอันกว้างใหญ่ ตามตำนานนิทานพื้นบ้านสากลจากเดนมาร์กเล่าว่ามีอาณาจักรลึกลับซ่อนอยู่ ดินแดนที่ไร้เสียงของคลื่นซัดสาด แต่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และเรื่องราวที่มนุษย์ไม่เคยล่วงรู้ ที่นั่น เหล่าเงือกอาศัยอยู่ท่ามกลางปะการังและแสงเรืองรองของมหาสมุทร โลกที่เงียบสงบ ทว่ามีบางสิ่งกำลังรอคอยการเปลี่ยนแปลง

ในบรรดาเงือกทั้งหมด มีเงือกน้อยผู้หนึ่งที่แตกต่าง เธอมองทะเลด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความฝัน เฝ้ามองผิวน้ำราวกับมีบางสิ่งดึงดูดใจ แม้เธอจะมีทุกอย่างที่อาณาจักรแห่งท้องทะเลสามารถมอบให้ แต่หัวใจของเธอกลับโหยหาสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม และวันหนึ่ง โชคชะตาก็พาเธอไปพบกับสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล… กับนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเงือกน้อยผจญภัย

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเงือกน้อยผจญภัย

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเงือกน้อยผจญภัย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ใต้มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ มีอาณาจักรเงือกอันงดงาม ที่นั่น เจ้าหญิงเงือกน้อย อาศัยอยู่กับราชาแห่งท้องทะเลและพี่สาวของเธอ เธอเป็นเงือกที่งดงามและมีเสียงร้องที่ไพเราะที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้เธอแตกต่างจากพี่สาวคือ เธอหลงใหลโลกมนุษย์อย่างลึกซึ้ง

“พวกมนุษย์ใช้ชีวิตกันอย่างไรนะ?” เธอถามพี่สาวบ่อยครั้ง

“พวกเขามีขาสองข้าง เดินบนบก และสร้างปราสาทที่สูงเสียดฟ้า” พี่สาวตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่มีใครเข้าใจความหลงใหลของเธอได้อย่างแท้จริง

ตามธรรมเนียมของอาณาจักรใต้สมุทร เมื่อเงือกมีอายุครบ 15 ปี พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ว่ายขึ้นไปบนผิวน้ำ เพื่อมองดูโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก เงือกน้อยเฝ้ารอวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ และเมื่อถึงวันสำคัญ เธอรีบว่ายขึ้นไปอย่างตื่นเต้น

เบื้องบนผิวน้ำเป็นคืนที่เงียบสงบ แต่แล้วเธอก็เห็นเรือลำใหญ่แล่นผ่าน ด้านบนมีเจ้าชายหนุ่มรูปงาม ยืนอยู่ใต้แสงโคมไฟ เงือกน้อยจ้องมองเขาด้วยหัวใจเต้นแรง เธอไม่เคยเห็นมนุษย์มาก่อน และเธอไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลย

แต่แล้วพายุรุนแรงก็โหมกระหน่ำ คลื่นซัดกระแทกเรือจนมันแตกเป็นเสี่ยง ๆ เจ้าชายตกลงไปในทะเล เงือกน้อยรีบว่ายไปช่วยเขา เธอประคองร่างเขาไว้เหนือผิวน้ำและพาเขาไปยังชายฝั่ง

เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มส่อง เธอเห็นดวงหน้าของเขาใกล้ ๆ เป็นครั้งแรก เธออยากอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป แต่เสียงฝีเท้าของมนุษย์ทำให้เธอสะดุ้ง หญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาเจ้าชาย เงือกน้อยรีบว่ายหนีลงทะเลไป ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาเห็นเธอ

เธอเฝ้ามองจากผิวน้ำ เห็นเจ้าชายฟื้นขึ้นมาและยิ้มให้หญิงสาวผู้นั้น หัวใจของเงือกน้อยปวดร้าว เธออยากจะเป็นมนุษย์ อยากให้เจ้าชายรู้ว่าเธอเป็นผู้ช่วยชีวิตเขา และเธออยากเดินเคียงข้างเขาเหมือนหญิงสาวคนนั้น

“ข้าจะทำอย่างไรได้บ้าง… ข้าต้องเป็นมนุษย์ให้ได้!”

เงือกน้อยจมอยู่กับความคิดถึงเจ้าชาย เธอไม่กินอาหาร ไม่ร้องเพลง และไม่เล่นสนุกเหมือนก่อนอีกต่อไป พี่สาวของเธอพยายามปลอบใจ แต่ไม่มีสิ่งใดทำให้เธอเลิกคิดถึงโลกมนุษย์ได้

สุดท้าย เธอตัดสินใจไปหาแม่มดแห่งท้องทะเล แม้จะถูกเตือนว่าแม่มดชั่วร้าย แต่เธอก็ไม่ลังเล เธอว่ายผ่านป่าปะการังอันมืดมิด ผ่านซากเรืออับปาง และไปถึงถ้ำลึกลับของแม่มด

“ข้ารู้ว่าทำไมเจ้ามาหาข้า เงือกน้อย” แม่มดกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “เจ้าต้องการขา ต้องการเป็นมนุษย์… และต้องการหัวใจของเจ้าชาย”

เงือกน้อยพยักหน้าทันที ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

“ข้าสามารถให้ขาเจ้าได้ แต่มีข้อแลกเปลี่ยน…” แม่มดหัวเราะเบา ๆ “ข้าต้องการเสียงของเจ้า”

เงือกน้อยนิ่งไป เสียงของเธอคือสิ่งที่เธอรักที่สุด เธอร้องเพลงไพเราะกว่าผู้ใดในท้องทะเล แต่ถ้าการสูญเสียเสียงคือสิ่งที่ต้องแลกเพื่อได้อยู่เคียงข้างเจ้าชาย… เธอก็ยอม

“เอาไปสิ!” เธอกล่าวอย่างแน่วแน่

แม่มดยิ้มกว้างและร่ายเวทมนตร์ ควันสีดำลอยวนรอบตัวเงือกน้อย และทันใดนั้น เธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างถูกดึงออกจากลำคอ เธอพยายามร้องออกมา แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกไปอีกแล้ว

“ข้อตกลงสำเร็จแล้ว” แม่มดกล่าว “แต่จงจำไว้ หากเจ้าชายไม่รักเจ้าและแต่งงานกับหญิงอื่น ในรุ่งเช้าเจ้าจะสลายกลายเป็นฟองคลื่น”

ก่อนที่เงือกน้อยจะทันตอบ แม่มดขว้างขวดยาให้เธอ เธอรับไว้และรีบว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ เธอไม่มีเสียงอีกแล้ว แต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความหวัง

เมื่อขึ้นสู่ฝั่ง เธอดื่มยาตามที่แม่มดบอก และความเจ็บปวดราวมีดหลายพันเล่มทิ่มแทงก็แล่นไปทั่วร่าง ครีบของเธอค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นขา เธอพยายามลืมความเจ็บปวด และหลับไปบนชายหาด

รุ่งเช้า เจ้าชายพบเธอนอนอยู่ตรงนั้น เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา เธอได้เห็นรอยยิ้มของเขา… แต่เธอไม่อาจเอ่ยคำพูดใดได้เลย

เมื่อเงือกน้อยลืมตาตื่นขึ้นมา เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่บนชายหาด ใกล้ ๆ กันนั้น เจ้าชายหนุ่มรูปงามกำลังมองเธอด้วยความสงสัย

“เจ้ามาจากไหนกัน?” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เงือกน้อยพยายามพูด แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากของเธอ เจ้าชายช่วยพยุงเธอลุกขึ้น แต่เธอแทบจะยืนไม่ไหว ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วขา ราวกับมีดนับพันเล่มทิ่มแทง แต่นั่นคือราคาที่เธอยอมแลกเพื่อได้มาอยู่เคียงข้างเขา

เจ้าชายมองเธออย่างอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องพูดหรอก ข้าจะดูแลเจ้าเอง”

เขาพาเธอไปยังพระราชวัง ที่นั่นเธอได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แต่ถึงแม้เธอจะอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าชาย เธอก็ไม่อาจบอกความจริงให้เขารู้ได้ เธออยากบอกว่าเธอคือผู้ช่วยชีวิตเขาในคืนนั้น แต่เธอทำได้เพียงยิ้มและฟังเขาพูด

เวลาผ่านไป เจ้าชายเริ่มรู้สึกผูกพันกับเงือกน้อย เขาชอบอยู่ใกล้เธอ และมักจะพาเธอไปเดินเล่นริมชายหาด เขาบอกว่าเธอทำให้เขานึกถึงหญิงสาวปริศนาที่ช่วยชีวิตเขา แต่เขาเชื่อว่าหญิงสาวคนนั้นคือเจ้าหญิงจากอาณาจักรใกล้เคียง ไม่ใช่เงือกน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ข้าคงไม่มีวันลืมหญิงคนนั้นได้” เจ้าชายพูดพร้อมรอยยิ้มเศร้า “แต่เจ้าก็น่ารักเหลือเกิน ข้าดีใจที่เจ้าอยู่ที่นี่”

เงือกน้อยยิ้มให้เขา แต่หัวใจของเธอปวดร้าว เธออยากจะกุมมือเขาและบอกความจริง ทว่าเธอไม่มีเสียง และความเงียบของเธอก็กลายเป็นกำแพงที่ขวางกั้น

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเงือกน้อยผจญภัย 2

วันหนึ่ง พระราชาส่งข่าวมาแจ้งว่าเจ้าชายต้องอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงจากอาณาจักรใกล้เคียง หญิงสาวที่เจ้าชายเชื่อว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตเขา

“ข้าดีใจเหลือเกิน ในที่สุดข้าก็ได้พบกับนางอีกครั้ง” เจ้าชายพูดด้วยแววตาเปี่ยมสุข

เงือกน้อยรู้ทันทีว่าคำทำนายของแม่มดกำลังจะเป็นจริง หากเจ้าชายแต่งงานกับหญิงอื่น เมื่อรุ่งเช้ามาถึง เธอจะสลายกลายเป็นฟองคลื่น

คืนก่อนวันแต่งงานของเจ้าชาย พี่สาวเงือกของเธอปรากฏตัวขึ้นจากทะเล พวกเธอรู้ชะตากรรมของน้องสาวและไม่อาจปล่อยให้เธอหายไป พวกเธอจึงไปเจรจากับแม่มดและนำ มีดวิเศษ มาให้เธอ

“ฆ่าเจ้าชายเสีย ก่อนรุ่งสาง แล้วเจ้าจะได้กลับมาเป็นเงือกอีกครั้ง!” พี่สาวของเธอกระซิบ “รีบตัดสินใจก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป!”

เงือกน้อยรับมีดไว้ด้วยมือที่สั่นเทา เธอเดินเข้าไปในห้องของเจ้าชาย ซึ่งกำลังหลับใหลอยู่ข้างเจ้าหญิง ร่างของเขาสะท้อนแสงจันทร์ ดูสงบและมีความสุข

เธอค่อย ๆ ยกมีดขึ้น น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงบนมือของเธอ

แต่แล้วเธอก็สะบัดหัวและลดมีดลง เธอไม่อาจทำร้ายเขาได้ เธอรักเขามากเกินไป รักมากจนเธอยอมสูญเสียทุกสิ่ง แม้แต่ชีวิตของตัวเอง

เมื่อแสงแรกของรุ่งอรุณแตะขอบฟ้า เธอเดินออกไปที่ชายหาด เธอทอดสายตามองเจ้าชายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะก้าวลงสู่ทะเล

ร่างของเธอค่อย ๆ จมหายไป และเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นเต็มดวง เธอสลายกลายเป็นฟองคลื่น

แต่เธอไม่ได้หายไปตลอดกาล วิญญาณของเธอแปรเปลี่ยนเป็นบุตรแห่งสายลม ซึ่งมีโอกาสทำความดีเพื่อให้ได้ขึ้นสู่สวรรค์

เงือกน้อยหลับตาลง และปล่อยให้สายลมพัดพาเธอไปสู่โลกใหม่ ที่ซึ่งเธอจะได้เริ่มต้นอีกครั้ง…

เมื่อลำแสงแรกของอรุณรุ่งแตะขอบฟ้า ร่างของเงือกน้อยค่อย ๆ สลายกลายเป็นฟองคลื่น เธอรู้สึกตัวเบาไร้น้ำหนัก และไม่มีความเจ็บปวดอีกต่อไป เธอหลับตาลง ปล่อยให้กระแสน้ำพัดพาไปอย่างช้า ๆ

แต่แทนที่เธอจะหายไปตลอดกาล เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยขึ้นเหนือท้องทะเล เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นรอบตัว เธอลืมตาขึ้นและพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลา เหล่าบุตรแห่งสายลม (Daughters of the Air) วิญญาณของเธอไม่ได้ดับสูญ แต่กลับได้รับโอกาสใหม่

“เจ้ามิได้เป็นฟองคลื่น แต่เจ้าจะกลายเป็นบุตรแห่งสายลม หากเจ้าทำความดี ช่วยเหลือมนุษย์ และมอบความรักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน สักวันหนึ่งเจ้าจะได้ขึ้นสู่สวรรค์” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น

เงือกน้อยมองลงไปยังโลกเบื้องล่าง เห็นเจ้าชายและเจ้าหญิงยืนอยู่บนระเบียงของปราสาท มองออกไปยังท้องทะเล เขาไม่เคยรู้เลยว่าเธอคือผู้ช่วยชีวิตเขา และไม่เคยรู้ว่าเธอยอมสละทุกอย่างเพียงเพื่อได้อยู่เคียงข้างเขา

แต่ในขณะเดียวกัน เธอรู้สึกถึงบางสิ่งที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน นั่นคือความสงบในหัวใจ

เธอไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะได้ขึ้นสู่สวรรค์ แต่เธอไม่เสียใจเลยที่ได้รักอย่างแท้จริง เธอจะเดินทางไปทั่วโลก ช่วยเหลือมนุษย์ มอบความเมตตา และรอคอยวันที่เธอจะได้พบจุดหมายปลายทางของเธอ

สายลมพัดพาเธอไปไกลออกไป พร้อมกับเสียงกระซิบอ่อนโยนของท้องทะเล และเรื่องราวของเงือกน้อยก็กลายเป็นตำนาน ที่เล่าขานสืบต่อไปตราบนานเท่านาน…

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเงือกน้อยผจญภัย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความรักที่แท้จริงคือการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เงือกน้อยยอมสละทุกสิ่ง แม้กระทั่งเสียงและชีวิตของตนเอง เพื่อโอกาสได้อยู่เคียงข้างเจ้าชาย แม้สุดท้ายแล้วเธอจะไม่ได้รับรักตอบ แต่เธอก็ไม่เลือกทำร้ายเขา เธอเลือกที่จะรักเขาด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์

เรื่องนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า การเสียสละและการตัดสินใจมีผลต่อชีวิตของเรา เงือกน้อยทำตามหัวใจโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา และแม้ว่าเธอจะต้องเผชิญกับชะตากรรมที่โหดร้าย แต่สุดท้ายเธอก็ได้รับโอกาสใหม่ในการทำความดี

นอกจากนี้ยังเตือนให้เราเข้าใจว่า ความฝันและความปรารถนาอาจมีราคาที่ต้องจ่าย เงือกน้อยต้องสูญเสียเสียงของเธอและทนทุกข์ทรมานเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความฝันทุกอย่างจะนำไปสู่ความสุขเสมอ

และสุดท้าย เรื่องราวนี้บอกเราว่า แม้ความรักจะไม่สมหวัง แต่ชีวิตก็ยังมีคุณค่า เงือกน้อยไม่ได้หายไปตลอดกาล เธอกลายเป็นบุตรแห่งสายลม ซึ่งมีโอกาสทำความดีเพื่อไปสู่จุดหมายที่สูงกว่า ความรักและความเสียสละของเธอจึงไม่สูญเปล่า

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านเดนมาร์กเรื่องเงือกน้อยผจญภัย (อังกฤษ: The Little Mermaid) เป็นผลงานของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) นักเขียนชาวเดนมาร์ก ซึ่งเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี 1837 ในนิทานชุด Eventyr, fortalte for Børn (Fairy Tales, Told for Children)

แอนเดอร์เซนไม่ได้อิงเรื่องนี้จากนิทานพื้นบ้านโดยตรง แต่เขียนขึ้นจากแรงบันดาลใจและประสบการณ์ส่วนตัว โดยเฉพาะความรู้สึกของเขาที่เคยมีต่อเพื่อนชายคนสนิทซึ่งไม่สามารถรักเขาตอบได้ นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าเงือกน้อยเป็นตัวแทนของความรักที่ไม่สมหวัง และการยอมเสียสละแม้รู้ว่าความรักนั้นจะไม่มีวันเป็นจริง

นอกจากนี้แนวคิดเรื่องการเสียสละและการแปรเปลี่ยนเป็นบุตรแห่งสายลมในตอนจบ อาจได้รับอิทธิพลจากคติทางศาสนาคริสต์ ที่เน้นเรื่องการทำความดีเพื่อให้ได้ขึ้นสู่สวรรค์ ซึ่งแตกต่างจากนิทานพื้นบ้านทั่วไปที่มักจบลงแบบมีความสุข (happily ever after)

นิทานเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมากและถูกดัดแปลงหลายครั้ง โดยเวอร์ชันที่โด่งดังที่สุดคือภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง “The Little Mermaid (เงือกน้อยผจิญภัย)” ของดิสนีย์ (1989) ซึ่งเปลี่ยนตอนจบให้เงือกน้อยสมหวังกับเจ้าชาย ต่างจากฉบับดั้งเดิมที่มีตอนจบเศร้าและเน้นแนวคิดเชิงปรัชญามากกว่า

“ความรักที่ต้องแลกด้วยตัวตนของตัวเอง อาจไม่ใช่ความรัก แต่เป็นกับดักที่เราสร้างขึ้นเพื่อหลอกหัวใจตัวเอง”

นิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องสโนว์ไวท์

นานมาแล้ว ในอาณาจักรอันห่างไกล ตำนานเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากเยอมนี ว่ามีพระราชวังงดงามตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาและป่าลึก ดอกไม้ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ แม่น้ำใสไหลรินผ่านท้องทุ่งกว้าง และหิมะขาวโพลนปกคลุมยอดเขาในฤดูหนาว ทว่า ภายในวังที่สวยงามนั้น กลับมีเรื่องราวที่มิได้งดงามเหมือนภาพภายนอก

ภายใต้หลังคาอันวิจิตรและกำแพงสูงตระหง่าน มีเสียงกระซิบของความริษยา ความงามที่ควรเป็นพรกลับกลายเป็นเหตุแห่งภัยอันตราย และโชคชะตาของหญิงสาวผู้หนึ่งก็กำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล… กับนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องสโนว์ไวท์

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องสโนว์ไวท์

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องสโนว์ไวท์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในอาณาจักรอันห่างไกล พระราชินีองค์หนึ่งประทับอยู่ริมหน้าต่าง พระนางกำลังปักผ้าด้วยไหมสีแดง ทันใดนั้น พระนางเผลอทำเข็มทิ่มนิ้ว หยดเลือดสีแดงสดร่วงลงบนหิมะขาวนอกหน้าต่าง

“หากข้ามีลูกสาว ข้าปรารถนาให้เด็กน้อยมีผิวขาวดังหิมะ ริมฝีปากแดงดั่งเลือด และเส้นผมดำขลับราวไม้มะเกลือ” พระนางกระซิบกับสายลม

ไม่นาน พระนางให้กำเนิดเจ้าหญิงน้อย ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาดั่งที่พระนางเคยอธิษฐาน พระราชาตั้งพระนามให้ว่า “สโนว์ไวท์” แต่ไม่นานหลังจากนั้น พระราชินีสิ้นพระชนม์ พระราชาผู้เศร้าโศกได้อภิเษกใหม่กับหญิงงามผู้หนึ่ง นางงามสง่าแต่ใจหยิ่งทระนง

ราชินีองค์ใหม่นี้มีกระจกวิเศษ ที่สามารถบอกความจริงทุกประการ นางถามกระจกทุกวัน “กระจกวิเศษเอ๋ย จงบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี?” กระจกตอบเสมอว่า “โอ้ พระราชินี พระองค์งามที่สุดในปฐพี”

จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อสโนว์ไวท์เติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวที่งามสง่า ราชินีถามกระจกตามปกติ แต่ครั้งนี้ คำตอบกลับเปลี่ยนไป “โอ้ พระราชินี พระองค์งามที่สุด… แต่เจ้าหญิงสโนว์ไวท์งามกว่าพระองค์”

ราชินีโกรธเกรี้ยว นางอิจฉาความงามของสโนว์ไวท์จนคิดจะกำจัดนาง นางสั่งให้นายพรานพาสโนว์ไวท์ไปที่ป่าลึกและฆ่านางเสีย “พาเด็กคนนี้ไปให้พ้นตา แล้วจงนำหัวใจของนางกลับมาให้ข้าเป็นหลักฐาน!” ราชินีสั่งเสียงเย็นเยียบ

นายพรานพาสโนว์ไวท์ออกไปยังป่าทึบ เขาชักมีดขึ้นมา แต่เมื่อสบตาเด็กหญิง เขาก็รู้สึกสงสารเกินกว่าจะทำตามคำสั่ง “หนีไปเถิด เจ้าหญิง! ไปให้ไกลที่สุด อย่ากลับมาอีก!”

สโนว์ไวท์หวาดกลัว เธอรีบวิ่งเข้าไปในป่า ฝ่ากิ่งไม้หนามและความมืดมิด เบื้องหลังของเธอ นายพรานสังหารกวางตัวหนึ่งแทน และนำหัวใจของมันกลับไปให้ราชินี

สโนว์ไวท์วิ่งอย่างไร้จุดหมาย ขาของเธอสั่น แต่เธอไม่กล้าหยุด หัวใจเต้นแรงด้วยความกลัว จนกระทั่งเธอพบกระท่อมเล็ก ๆ หลังหนึ่งกลางป่า

เธอเคาะประตูเบา ๆ แต่ไม่มีเสียงตอบ สโนว์ไวท์ผลักประตูเข้าไป ภายในมีข้าวของเล็ก ๆ น่ารัก โต๊ะเล็ก ๆ จัดเรียงจานไว้เจ็ดใบ เตียงนอนเล็ก ๆ เจ็ดเตียง “ดูเหมือนที่นี่จะไม่มีใครอยู่” เธอพึมพำ ก่อนจะเดินไปหาอาหาร

บนโต๊ะมีขนมปังและน้ำผึ้ง สโนว์ไวท์หิวจนทนไม่ไหว เธอชิมขนมปังชิ้นหนึ่ง ดื่มน้ำจากแก้วใบเล็ก ๆ และเอนตัวลงนอนบนเตียงที่พอดีกับขนาดตัวเธอ

คืนนั้นเองเจ้าของกระท่อมกลับมา พวกเขาคือคนแคระทั้งเจ็ด พวกเขาเป็นคนขุดเหมืองแร่ในภูเขา และต่างแปลกใจที่พบเด็กสาวอยู่ในบ้านของตน

“ใครมากินขนมปังของพวกเรา?” คนแคระคนหนึ่งถาม

“ใครมานั่งเก้าอี้ของพวกเรา?” อีกคนเอ่ยขึ้น

“ใครนอนอยู่บนเตียงของเรา?” คนสุดท้ายพูดขึ้นพร้อมชี้ไปที่สโนว์ไวท์

สโนว์ไวท์สะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอตกใจที่เห็นชายตัวเล็ก ๆ ยืนล้อมเธออยู่ แต่พวกเขาดูใจดี สโนว์ไวท์จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกเขาฟัง “โอ้ เจ้าช่างโชคร้ายนัก” คนแคระคนหนึ่งถอนหายใจ

“เจ้าจะอยู่กับพวกเราได้นะ” คนแคระอีกคนกล่าว “แต่มีข้อแม้ เจ้าต้องช่วยเราทำงานบ้าน และที่สำคัญที่สุด…ห้ามเปิดประตูรับคนแปลกหน้าเด็ดขาด!”

สโนว์ไวท์ยิ้มและพยักหน้า เธอรู้สึกปลอดภัยเป็นครั้งแรกหลังจากหนีจากวัง

แต่ในขณะเดียวกัน ที่พระราชวัง ราชินีได้ถามกระจกวิเศษอีกครั้ง “กระจกวิเศษเอ๋ย จงบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี?” และคำตอบที่ได้รับ ทำให้ราชินีตัวสั่นด้วยความโกรธ

“โอ้ พระราชินี พระองค์งามที่สุด… แต่เจ้าหญิงสโนว์ไวท์ ซึ่งอาศัยอยู่กับคนแคระทั้งเจ็ด ยังคงงามกว่าพระองค์”

“นังเด็กนั่นยังไม่ตายหรือ?” ราชินีคำรามด้วยเสียงเย็นเยียบ ในแววตาของนาง ส่องประกายไปด้วยแผนร้าย…

หลังจากกระจกวิเศษบอกความจริง ราชินีโกรธจนแทบขาดใจ นางไม่อาจยอมให้สโนว์ไวท์มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ นางตัดสินใจปลอมตัวเป็นหญิงชรา และเดินทางไปยังกระท่อมของคนแคระ

วันรุ่งขึ้น ขณะที่คนแคระออกไปทำงาน สโนว์ไวท์อยู่บ้านตามลำพัง จู่ ๆ ก็มีหญิงชราเดินมาที่หน้าประตู นางถือริบบิ้นลูกไม้สีสวยในมือ

“เด็กน้อย เจ้าสวยจริง ๆ แต่จะงามกว่านี้ถ้าได้รัดเอวให้แน่นด้วยริบบิ้นนี้ เจ้าจะลองดูไหม?” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

สโนว์ไวท์ไม่เอะใจ เธอเปิดประตูรับหญิงชราเข้ามาและยอมให้มัดริบบิ้นรอบเอว แต่ทันทีที่หญิงชรารัดแน่นขึ้น ร่างของสโนว์ไวท์ก็แน่นิ่งไป “ฮ่า ๆ ๆ! คราวนี้เจ้าไม่รอดแน่!” ราชินีหัวเราะสะใจ ก่อนจะรีบจากไป

ไม่นาน คนแคระกลับมาและพบร่างของสโนว์ไวท์ พวกเขาตกใจและรีบแกะริบบิ้นออก สโนว์ไวท์กลับมาหายใจอีกครั้ง “เจ้าต้องระวังตัวให้มากขึ้นนะ! อย่าเปิดประตูให้ใครอีก!” คนแคระเตือน

แต่ราชินีไม่ยอมแพ้ นางกลับไปที่วังและถามกระจกอีกครั้ง “โอ้ พระราชินี พระองค์งามที่สุด… แต่เจ้าหญิงสโนว์ไวท์ ซึ่งอาศัยอยู่กับคนแคระทั้งเจ็ด ยังคงงามกว่าพระองค์”

ราชินีโกรธจนแทบคลั่ง นางคิดแผนใหม่ นางปลอมตัวเป็นหญิงขายของและนำหวีอาบยาพิษ ไปที่กระท่อมของคนแคระ “ดูสิ หวีอันนี้สวยมาก! มันจะทำให้เส้นผมของเจ้าดูเงางามขึ้น” หญิงชรากล่าวพลางยื่นหวีให้

สโนว์ไวท์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเธอก็เผลอเปิดประตูรับหวี หญิงชราวางหวีลงบนศีรษะของเธอ และทันใดนั้น พิษจากหวีซึมเข้าไปในหนังศีรษะ สโนว์ไวท์ล้มลงทันที ราชินียิ้มอย่างพอใจแล้วเดินจากไป

โชคดีที่คนแคระกลับมาทันเวลา พวกเขานำหวีออกจากศีรษะของสโนว์ไวท์ และเธอก็ฟื้นคืนสติ “ครั้งนี้ข้าจะไม่เปิดประตูให้ใครอีกแล้ว!” สโนว์ไวท์สาบาน

แต่ราชินียังไม่ยอมแพ้! นางกลับไปที่วัง ถามกระจกอีกครั้ง และได้รับคำตอบเดิม “นังเด็กนั่นยังไม่ตายอีกหรือ?! คราวนี้มันต้องจบ!” ราชินีคำราม

นางจัดเตรียมแผนสุดท้ายแอปเปิลอาบยาพิษ ครึ่งหนึ่งเป็นแอปเปิลแดงสดใส อีกครึ่งหนึ่งเป็นแอปเปิลธรรมดา พิษมีผลเฉพาะส่วนสีแดง

นางปลอมตัวเป็นหญิงแก่ใจดีและเดินไปที่กระท่อมอีกครั้ง “เจ้าคงเบื่ออาหารเดิม ๆ ลองแอปเปิลลูกนี้สิ หวานอร่อยมาก!”

สโนว์ไวท์ลังเล แต่เมื่อเห็นหญิงชรากัดฝั่งที่ไม่มีพิษ เธอจึงไม่สงสัย และกัดแอปเปิลเข้าปาก ทันใดนั้น เธอล้มลงกับพื้น ดวงตาปิดสนิท

ครั้งนี้ คนแคระกลับมาแล้วช่วยเธอไม่ได้อีกต่อไป พวกเขาเสียใจอย่างสุดซึ้งและตัดสินใจสร้างโลงแก้วให้เธอ วางร่างของเธอไว้ในป่า

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องสโนว์ไวท์ 2

หลายวันผ่านไปเจ้าชายจากอาณาจักรใกล้เคียง เดินทางผ่านป่า และพบโลงแก้วที่มีหญิงสาวงดงามนอนอยู่ภายใน “หญิงสาวคนนี้เป็นใครกัน? เหตุใดนางจึงงดงามถึงเพียงนี้?” เจ้าชายเอ่ยขึ้น

คนแคระเล่าเรื่องของสโนว์ไวท์ให้ฟัง เจ้าชายหลงรักเธอทันทีและกล่าวกับคนแคระ “ข้าขอพานางไปที่วังของข้า ข้าจะดูแลนางอย่างดีที่สุด”

คนแคระลังเลแต่สุดท้ายก็ยอมตกลง พวกเขายกโลงแก้วขึ้นเพื่อเคลื่อนย้ายไปที่วังของเจ้าชาย แต่ขณะที่เคลื่อนย้ายไปบนถนนขรุขระโลงสะเทือน และทำให้ชิ้นแอปเปิลพิษหลุดออกจากลำคอของสโนว์ไวท์

ทันใดนั้น สโนว์ไวท์ลืมตาขึ้น! เธอไอออกมาและหายใจอีกครั้ง “เกิดอะไรขึ้น? ข้าอยู่ที่ไหน?” สโนว์ไวท์ถามด้วยความสับสน

“เจ้าปลอดภัยแล้ว เจ้าหญิง ข้าคือเจ้าชาย ข้าพบเจ้าหลับใหลอยู่ในโลงแก้ว และข้าดีใจเหลือเกินที่เจ้าได้ฟื้นคืนมา”

สโนว์ไวท์รู้สึกซาบซึ้ง เธอยิ้มให้เจ้าชาย และในที่สุด เจ้าชายก็ขอเธอแต่งงาน “เจ้าจะไปอยู่กับข้าที่วังได้หรือไม่?”

สโนว์ไวท์ยิ้มและตอบอย่างยินดี “ข้าตกลง!”

ข่าวการแต่งงานของสโนว์ไวท์และเจ้าชายแพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักร รวมถึงไปถึงหูของราชินีใจร้าย

นางถามกระจกวิเศษอีกครั้ง “กระจกวิเศษเอ๋ย จงบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี?” และคำตอบของกระจก ทำให้นางแทบหยุดหายใจ “โอ้ พระราชินี พระองค์งามที่สุด… แต่ราชินีองค์ใหม่ งามกว่าพระองค์”

ราชินีตกใจ เมื่อรู้ว่าสโนว์ไวท์ยังมีชีวิตอยู่ และกำลังจะเป็นราชินีของอาณาจักรข้างเคียง นางรีบไปที่พระราชวังของเจ้าชาย

แต่สิ่งที่รอคอยนางอยู่ ไม่ใช่การต้อนรับอย่างดี… แต่เป็นบทลงโทษที่นางสมควรได้รับ

ราชินีใจร้ายเดินทางไปยังพระราชวังของเจ้าชาย นางคิดว่านางยังสามารถใช้เล่ห์กลกำจัดสโนว์ไวท์ได้ แต่เมื่อไปถึง นางกลับพบว่าสโนว์ไวท์ยังมีชีวิต และงดงามกว่าที่เคย

ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าชายได้รู้ความจริงว่าราชินีเป็นผู้พยายามสังหารสโนว์ไวท์หลายครั้ง เขาสั่งให้ทหารจับกุมตัวนางทันที

“เจ้าทำเรื่องเลวร้ายมากมาย เจ้าจะได้รับโทษตามที่เจ้าสมควรได้รับ!” เจ้าชายประกาศต่อหน้าผู้คน

โทษของราชินีคือการถูกบังคับให้สวมรองเท้าเหล็กที่เผาไฟจนร้อนแดง แล้วเต้นรำจนล้มลงสิ้นใจ นางถูกลงโทษในงานแต่งงานของสโนว์ไวท์และเจ้าชายเอง

เมื่อทุกอย่างจบลง สโนว์ไวท์และเจ้าชายก็ครองรักกันอย่างมีความสุข พวกเขาเชิญคนแคระทั้งเจ็ดมาอาศัยอยู่ในวังด้วยกัน

“ข้าคงไม่มีวันนี้ หากไม่ได้พวกเจ้าคอยช่วยเหลือ ข้าขอบคุณจากใจจริง” สโนว์ไวท์กล่าวกับคนแคระ

พวกเขาต่างยิ้มให้กัน และตั้งแต่นั้นมา สโนว์ไวท์ก็กลายเป็นราชินีผู้งดงามและใจดี ปกครองอาณาจักรด้วยความรักและความเมตตา และพวกเขาก็อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องสโนว์ไวท์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความอิจฉาริษยาเป็นสิ่งที่ทำลายตัวเอง ราชินีผู้หมกมุ่นอยู่กับความงามของตนเอง ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง และพยายามกำจัดผู้ที่งามกว่าตน สุดท้ายก็ต้องพบกับจุดจบที่เลวร้าย ตรงกันข้ามกับสโนว์ไวท์ที่มีจิตใจดีและบริสุทธิ์ แม้เธอจะเผชิญอันตรายหลายครั้ง แต่เพราะเธอมีน้ำใจและความเมตตา สุดท้ายเธอก็ได้รับความช่วยเหลือและมีชีวิตที่มีความสุข

เรื่องนี้ยังเตือนให้เราอย่าหลงเชื่อคนแปลกหน้าหรือสิ่งที่ดูดีเกินจริง เพราะอาจซ่อนอันตรายไว้ เช่นเดียวกับแอปเปิลพิษที่ดูน่ากินแต่กลับเป็นกับดัก นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าความดีมักได้รับผลตอบแทน ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เหมือนที่สโนว์ไวท์ได้รับความรักจากทั้งคนแคระและเจ้าชายในที่สุด

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องสโนว์ไวท์ (อังกฤษ: Snow White) มีต้นกำเนิดจากนิทานพื้นบ้านประเทศเยอรมณี ก่อนจะถูกบันทึกและเผยแพร่โดย พี่น้องกริมม์ (Grimm Brothers) ในปี 1812 ในนิทานชุด Children’s and Household Tales หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กริมม์ส แฟร์รี่เทลส์” ซึ่งเป็นการรวบรวมนิทานพื้นบ้านจากแหล่งต่าง ๆ ในเยอรมนีและยุโรปกลาง

แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเรื่องนี้มีต้นแบบจากเหตุการณ์จริงหรือไม่ แต่มีข้อสันนิษฐานว่าสโนว์ไวท์อาจได้รับแรงบันดาลใจจากมาเรีย โซเฟีย ฟอน เออร์ธาล (Maria Sophia von Erthal) หญิงสาวชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 18 ซึ่งมีเรื่องราวคล้ายคลึงกับนิทาน โดยเธอมีแม่เลี้ยงที่เข้มงวดและอาศัยอยู่ใกล้กับเหมืองแร่ที่คนงานมีรูปร่างเตี้ยคล้ายคนแคระ อย่างไรก็ตาม นิทานฉบับพี่น้องกริมม์มีการแต่งเติมจินตนาการเพิ่มเข้าไป เช่น กระจกวิเศษ แอปเปิลพิษ และจุดจบของราชินีใจร้าย

นิทานเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมากและถูกนำไปดัดแปลงหลายครั้ง โดยเวอร์ชันที่มีชื่อเสียงที่สุดคือภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Snow White and the Seven Dwarfs (สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด) ของดิสนีย์ที่ออกฉายในปี 1937 ซึ่งทำให้เรื่องราวของสโนว์ไวท์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

“ความเมตตาและความอดทนย่อมนำพาสิ่งดีงามมาให้ ในขณะที่ความอิจฉาริษยานำมาซึ่งหายนะ”