นิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับขลุ่ยของเขา

ในหมู่บ้านริมแม่น้ำ มีชาวประมงผู้หนึ่งที่รักในเสียงเพลงพอ ๆ กับการจับปลา เขามักเป่าขลุ่ยในยามว่างและเชื่อมั่นว่าดนตรีมีพลังพิเศษที่สามารถดึงดูดสิ่งมีชีวิตได้

วันหนึ่ง เขาตัดสินใจลองใช้ความไพเราะของเสียงขลุ่ยแทนตาข่ายในการจับปลา แต่สิ่งที่เขาค้นพบกลับเป็นบทเรียนสำคัญที่เขาไม่มีวันลืม… กับนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับขลุ่ยของเขา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับขลุ่ยของเขา

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับขลุ่ยของเขา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวประมงผู้หนึ่งรักดนตรีและการเป่าขลุ่ยเป็นชีวิตจิตใจ นอกจากการจับปลาเพื่อเลี้ยงชีพแล้ว เขายังใช้เวลาว่างเล่นดนตรีให้ตัวเองฟังเสมอ ด้วยความหลงใหลในเสียงเพลง เขาเชื่อว่าดนตรีมีพลังพิเศษ สามารถดึงดูดและสร้างความสุขได้แม้แต่กับสัตว์น้ำในแม่น้ำ

วันหนึ่ง เขานำขลุ่ยติดตัวไปด้วยขณะเดินไปที่ริมแม่น้ำ เขาวางตาข่ายลงข้าง ๆ และพูดกับตัวเองว่า “วันนี้ข้าจะลองทำสิ่งใหม่ ๆ ถ้าดนตรีสามารถทำให้ผู้คนหลงใหล ทำไมมันจะไม่สามารถดึงดูดปลาได้ล่ะ?”

ชาวประมงยืนบนก้อนหินใหญ่ที่ยื่นออกไปในแม่น้ำ เขาหยิบขลุ่ยขึ้นมาและเริ่มเป่าเพลง ท่วงทำนองที่เขาเล่นนั้นทั้งนุ่มนวลและไพเราะ เสียงขลุ่ยก้องกังวานไปทั่วผืนน้ำ “เจ้าปลาทั้งหลาย ได้โปรดฟังเสียงขลุ่ยของข้าและขึ้นมาจากน้ำเถิด” เขาร้องเรียกในขณะเป่าเพลง แต่ไม่ว่าดนตรีของเขาจะไพเราะเพียงใด น้ำในแม่น้ำยังคงนิ่งสนิท ไม่มีปลาตัวใดตอบสนองต่อเสียงเพลงของเขา

หลังจากเป่าขลุ่ยอยู่นาน เขาหยุดพักและบ่นกับตัวเองว่า “บางทีเพลงนี้อาจไม่ถูกใจพวกมัน ข้าคงต้องเป่าให้ไพเราะกว่านี้” เขาหยิบขลุ่ยขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เขาเป่าด้วยท่วงทำนองที่สนุกสนานและเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา “เจ้าปลาทั้งหลาย นี่คือเพลงที่ดีที่สุดของข้า เจ้าไม่อยากขึ้นมาชมข้างบนนี้หน่อยหรือ?” เขาเรียกอย่างกระตือรือร้น

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับขลุ่ยของเขา 2

แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนจังหวะและความพยายามแค่ไหน ปลาในแม่น้ำก็ยังคงอยู่ใต้ผืนน้ำ ไม่มีตัวไหนโผล่ขึ้นมาแม้แต่น้อย เขายืนมองน้ำด้วยความผิดหวัง และพูดขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าเสียงเพลงจะไม่ใช่สิ่งที่ปลาอยากได้ ข้าหวังดีแท้ ๆ แต่เจ้ากลับเมินเฉยต่อความพยายามของข้า”

ด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาวางขลุ่ยลงและหยิบตาข่ายของเขาขึ้นมาแทน “ถ้าดนตรีใช้ไม่ได้ผล งั้นข้าก็ต้องใช้วิธีเก่าที่ไม่ต้องการเสียงเพลงอะไรแล้ว” เขาพูดพลางหัวเราะเบา ๆ จากนั้นเขาก็เริ่มทอดแหลงไปในแม่น้ำ เพียงไม่นาน เขาจับปลาได้มากมายจนตาข่ายของเขาแทบจะเต็ม ปลาถูกดึงขึ้นมาบนบกและดิ้นพล่านไปมาเพื่อพยายามหลุดออก

ชาวประมงมองดูปลาเหล่านั้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งขำขันและเสียดาย “เจ้าเต้นกันเก่งจริง ๆ ตอนนี้ แต่ตอนที่ข้าเล่นเพลงให้ฟังอย่างไพเราะ เจ้ากลับเมินเฉยเสียสิ้น มันสายไปแล้ว การเต้นตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”

หลังจากนั้น ชาวประมงนำปลากลับบ้านพร้อมกับบทเรียนสำคัญที่เขาได้เรียนรู้ในวันนั้น เขามองขลุ่ยของเขาแล้วพูดเบา ๆ กับตัวเอง “ดนตรีอาจมีพลังในบางสถานการณ์ แต่บางครั้งสิ่งที่ต้องใช้คือวิธีที่ตรงจุด ไม่ใช่แค่ความงดงามเพียงอย่างเดียว”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับขลุ่ยของเขา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การคาดหวังผลสำเร็จจากวิธีที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ อาจนำไปสู่ความล้มเหลว และโอกาสที่ดีมักมาถึงในช่วงเวลาที่เหมาะสม คนที่ไม่ตอบสนองในเวลานั้นอาจพลาดสิ่งสำคัญในชีวิตไป นอกจากนี้ยังเตือนว่า ความพยายามที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติหรือความต้องการของผู้อื่น ย่อมไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดหวัง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับขลุ่ยของเขา (อังกฤษ: The Fisherman and his Flute) ปรากฏอยู่ในนิทานอีสป ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 11 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

นิทานเรื่องนี้มีรูปแบบต่าง ๆ มากมายตลอดหลายศตวรรษ ในสมัยคลาสสิก นิทานเรื่องนี้ปรากฏเฉพาะในแหล่งข้อมูลของกรีกเท่านั้น โดยเฉพาะใน Histories of Herodotus ซึ่งไซรัสผู้เยาว์ได้นำไปใช้กับทูตกรีกที่ยอมจำนนต่อเขาช้าเกินไป จึงเล่ามาเป็นนิทานเรื่องนี้เล่าถึงชาวประมงที่ส่งเสียงร้องไปที่ปลาเพื่อให้มันเต้นรำ เมื่อปลาไม่ยอมทำตาม เขาก็จับปลาด้วยตาข่ายและล้อเลียนความทุกข์ทรมานของพวกมันว่า “สิ่งมีชีวิตที่โง่เขลา เจ้าไม่ยอมเต้นรำให้ข้าดูก่อน และตอนนี้ข้าไม่เล่นแล้ว เจ้าก็เต้นรำให้ข้าดู” ในบริบทนี้ นิทานเรื่องนี้ได้รับความหมายทางการเมืองว่า ผู้ที่ปฏิเสธผลประโยชน์เมื่อได้รับครั้งแรกจะไม่ได้รับอะไรเลยหากทำในสิ่งที่ขอเมื่อถูกบังคับ

“ผู้ที่ปฏิเสธโอกาสในเวลาที่เหมาะสม อาจต้องเผชิญชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในภายหลัง”

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องต้นสนกับพุ่มไม้หนาม

ในป่าใหญ่ที่เงียบสงบ ต้นไม้หลากหลายชนิดเติบโตเคียงข้างกัน ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม ต้นสนสูงตระหง่านยืนสง่างามเป็นที่ชื่นชมของผู้คนที่เดินผ่านไปมา ข้าง ๆ กันนั้นคือพุ่มไม้หนามเล็ก ๆ ที่ดูต่ำต้อยและไม่มีใครสนใจ

ต้นสนผู้ภาคภูมิใจในคุณค่าของตัวเองมักมองพุ่มไม้หนามด้วยความดูแคลน แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจะทำให้ต้นสนได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญ… กับนิทานอีสปเรื่องต้นสนกับพุ่มไม้หนาม

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นสนกับพุ่มไม้หนาม

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องต้นสนกับพุ่มไม้หนาม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าใหญ่ ต้นสนสูงตระหง่านยืนอยู่ข้างพุ่มไม้หนามต่ำเตี้ยที่ดูไม่สะดุดตา ต้นสนมักโอ้อวดในความงามและคุณค่าของตนอยู่เสมอ วันหนึ่งมันหันไปหาพุ่มไม้หนามและพูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองว่า “ดูเจ้าเสียสิ เจ้าพุ่มไม้หนามเตี้ยต่ำ! เจ้าช่างน่าเวทนาเสียจริง ไม่มีใครมองเจ้า ไม่มีใครสนใจเจ้าแม้แต่น้อย”

พุ่มไม้หนามตอบกลับอย่างสงบ “ข้าอาจเตี้ยและไม่งดงาม แต่ข้าก็อยู่อย่างสงบสุข ไม่มีใครมาแตะต้องข้า เจ้าล่ะต้นสน เจ้าสูงใหญ่ก็จริง แต่ข้าเห็นว่ามีคนเข้ามาดูเจ้าบ่อย ๆ เจ้าคิดว่าพวกเขามาทำอะไร?”

ต้นสนหัวเราะเสียงดัง “พวกเขามาชื่นชมข้าอย่างไรเล่า! ข้าเป็นต้นไม้ที่สูงสง่า ข้าเป็นเพื่อนบ้านของเมฆ ข้ามีค่าเพราะข้าให้ไม้ที่แข็งแรงสำหรับสร้างบ้านและเรือ เจ้านั่นแหละที่ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากมีหนามแหลม ๆ ไว้เกะกะ”

พุ่มไม้หนามแย้ง “แต่เจ้าความมีค่าของเจ้านั่นแหละที่จะนำภัยมาหาเจ้า เจ้าสังเกตไหมว่าคนเหล่านั้นไม่ได้มาเพียงแค่ชื่นชม พวกเขาถือขวานและเลื่อยมาด้วย เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าปลอดภัย?”

ต้นสนโต้กลับ “ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น! ข้ามีค่าเกินกว่าที่พวกเขาจะทำลายข้า!” มันพูดอย่างมั่นใจ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นสนกับพุ่มไม้หนาม 2

ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มคนตัดไม้ก็มาถึง พวกเขามองต้นสนและเริ่มพูดคุยกัน “ต้นสนต้นนี้สูงใหญ่และตรงมาก มันจะเหมาะสำหรับทำกระดูกงูเรือหรือคานของบ้าน เราต้องโค่นมัน”

ต้นสนได้ยินก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ มันหันไปหาพุ่มไม้หนาม “พวกเขาคงแค่พูดเล่นน่ะ พวกเขาไม่โค่นข้าหรอก”

พุ่มไม้หนามพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าบอกแล้ว เจ้าความยิ่งใหญ่ของเจ้านั่นแหละที่ทำให้เจ้าตกเป็นเป้าหมาย ข้าไม่มีใครต้องการ แต่เจ้าน่ะเป็นที่หมายตาเสมอ”

เสียงขวานเริ่มดังขึ้น ต้นสนร้องด้วยความกลัว “ไม่นะ! ข้าไม่อยากถูกโค่น! ข้าอยากยืนอยู่ตรงนี้ต่อไป!” แต่ก็สายไปแล้ว ขวานกระทบลำต้นของมันทีละครั้งจนต้นสนล้มลง

เมื่อเสียงสงบลง พุ่มไม้หนามมองซากของต้นสนแล้วพูดเบา ๆ “บางครั้ง การอยู่อย่างเรียบง่ายและถ่อมตนก็ปลอดภัยกว่า แม้จะดูไม่มีค่า แต่ข้าก็ไม่ต้องเผชิญกับสิ่งที่เจ้าต้องเจอ”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นสนกับพุ่มไม้หนาม 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้ที่มีชื่อเสียงและคุณค่าอาจได้รับการยกย่องเหนือคนธรรมดา แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับอันตรายและแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่กว่าเช่นกัน และการอยู่อย่างเรียบง่ายและถ่อมตน แม้อาจดูไม่มีคุณค่าในสายตาใคร แต่อาจเป็นหนทางที่ปลอดภัยและสงบสุขกว่าในชีวิต

และผู้ที่มีชื่อเสียงและคุณค่าย่อมได้รับการยกย่อง แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญอันตรายและแรงกดดันมากกว่าคนธรรมดา และการอยู่อย่างถ่อมตนอาจนำไปสู่ความสงบสุขและปลอดภัยในชีวิต

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องต้นสนกับพุ่มไม้หนาม (อังกฤษ: The Fir and the Bramble) เป็นนิทานอีสปเรื่องหนึ่ง ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 304 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนิทานที่ต้นไม้และพืชถกเถียงกัน ซึ่งรวมถึงนิทานอีสปเรื่องต้นไม้กับพุ่มไม้หนาม (The Trees and the Bramble) และนิทานอีสปเรื่องต้นโอ๊กกับต้นอ้อ (The Oak and the Reed) นิทานเรื่องนี้เป็นคู่ต่อสู้ของเรื่อง ปรากฏครั้งแรกในบทกวีโต้วาทีของชาวสุเมเรียนที่มีความยาวประมาณ 250 บรรทัด ซึ่งมีอายุตั้งแต่ประมาณ 2100 ปีก่อนคริสตศักราช โดยเป็นประเภทที่แพร่หลายไปทั่วตะวันออกใกล้ในที่สุด

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องชาวนากับงูเห่า

ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ ทุกชีวิตต่างต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากความโหดร้ายของธรรมชาติ ชาวนาผู้หนึ่งเดินทางกลับบ้านหลังจากทำงานในไร่ของเขา ท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว เขาได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะตายเพราะความหนาวเหน็บ

ด้วยความเมตตาในใจของเขาทำให้เขาตัดสินใจช่วยชีวิต แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นกลับกลายเป็นบทเรียนอันขมขื่นที่เขาไม่มีวันลืม… กับนิทานอีสปเรื่องชาวนากับงูเห่า

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวนากับงูเห่า

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องชาวนากับงูเห่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ ทุ่งหิมะถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งหนา และลมเย็นพัดผ่านอย่างไม่ปรานี ชาวนาผู้หนึ่งกำลังเดินกลับบ้านหลังจากทำงานในไร่ เขาห่มผ้าหนาเพื่อกันลมหนาวและพยายามก้าวเดินอย่างช้า ๆ ขณะเดินผ่านทาง เขาเหลือบไปเห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ในกองหิมะ เมื่อมองเข้าไปใกล้ เขาก็พบว่าสิ่งนั้นคืองูเห่าตัวหนึ่ง งูดูเหมือนจะใกล้ตายจากความหนาวเย็น ร่างของมันแข็งทื่อและแทบไม่ขยับ

“โอ้ สัตว์น้อยน่าสงสาร” ชาวนาพูดขึ้น “เจ้าคงจะตายแน่ถ้าต้องอยู่ตรงนี้ต่อไป ความหนาวเย็นไม่ปรานีใครเลย” เขายืนลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดกับตัวเองว่า “ข้าจะช่วยชีวิตมัน แม้เจ้าจะเป็นงูเห่า แต่ทุกชีวิตก็ควรมีโอกาสอยู่รอด”

ชาวนาจึงหยิบงูเห่าขึ้นมาจากพื้นด้วยความระมัดระวัง เขาห่อมันด้วยผ้าคลุมของเขาเพื่อให้ความอบอุ่น “อย่ากลัวไปเลย เจ้าจะปลอดภัยในมือข้า” เขาพูดเบา ๆ กับงูที่ยังไม่ตอบสนองใด ๆ

เมื่อมาถึงบ้าน ชาวนาจุดไฟในเตาผิงให้ความอบอุ่นแก่ตัวเองและงู เขาวางงูไว้ใกล้เตาผิงเพื่อให้มันคลายหนาว และพูดกับงูว่า “เจ้าโชคดีที่ข้าเดินผ่านมา ไม่เช่นนั้นเจ้าคงแข็งตายไปแล้ว รอให้เจ้าอุ่นขึ้นก่อน แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”

ผ่านไปไม่นาน ความอบอุ่นจากไฟทำให้งูเห่าเริ่มเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง มันฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและเริ่มเลื้อยไปรอบ ๆ ชาวนาเห็นดังนั้นก็ดีใจ “ดูสิ เจ้าดูมีชีวิตชีวาขึ้นแล้ว! ข้ายินดีที่ได้ช่วยเจ้าไว้”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวนากับงูเห่า 2

แต่แทนที่งูเห่าจะสำนึกในบุญคุณ งูกลับพุ่งเข้าไปกัดมือของชาวนาอย่างรวดเร็ว ชาวนาร้องด้วยความเจ็บปวด “เจ้าทำอะไรน่ะ! ข้าช่วยชีวิตเจ้าแท้ ๆ แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าด้วยการทำร้าย!”

งูเลื้อยกลับไปมองชาวนาด้วยสายตาเยือกเย็นและกล่าวว่า “อย่าโทษข้าเลยมนุษย์ เจ้าย่อมรู้ตั้งแต่แรกว่าข้าคืองูเห่า เจ้าช่วยข้าโดยรู้ว่าอันตรายอาจเกิดขึ้น แต่เจ้ายังเลือกที่จะทำเอง”

ชาวนาทรุดลงกับพื้น เขาจับแขนตัวเองที่ถูกกัดและรู้ว่าเห่ากำลังแพร่กระจายไปทั่วร่าง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเสียใจ “ข้าได้รับสิ่งที่สมควรได้รับแล้ว สำหรับการแสดงความเมตตาต่อสิ่งชั่วร้าย!”

ไม่นานนัก ชาวนาก็สิ้นลมหายใจ งูเห่าเลื้อยออกไปจากบ้านอย่างไม่รู้สึกผิด ทิ้งเพียงบทเรียนอันขมขื่นไว้เบื้องหลัง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวนากับงูเห่า 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าแสดงความเมตตาต่อผู้ที่ไม่สมควรได้รับ เพราะพวกเขาอาจตอบแทนด้วยการทำร้ายแทนที่จะสำนึกบุญคุณ และจงระวังในการตัดสินใจช่วยเหลือผู้อื่น ควรพิจารณาให้รอบคอบถึงธรรมชาติและเจตนาของพวกเขา มิฉะนั้น ความเมตตาอาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเอง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องชาวนากับงูเห่า (อังกฤษ: The Farmer and the Viper) เป็นนิทานอีสปที่ได้รับความนิยมอย่างมากรวมถึงในไทยด้วยถูกเล่าขานเป็นเรื่องเล่าและเพลงอีกด้วย ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 176 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้มีคติสอนใจว่าความดีต่อความชั่วจะนำมาซึ่งการทรยศหักหลัง และเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า “เลี้ยงงูพิษไว้ในอก”

“ชาวนาได้รับสิ่งที่สมควรแล้ว สำหรับความเมตตาที่มอบให้กับคนชั่ว!”

โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับชาวนาที่พบว่างูพิษตัวหนึ่งกำลังแข็งตัวอยู่ในหิมะ เขาสงสารงูพิษ จึงหยิบมันขึ้นมาแล้วใส่ไว้ในเสื้อคลุม งูพิษซึ่งฟื้นขึ้นมาด้วยความอบอุ่นจึงกัดผู้ช่วยชีวิตของเขา ซึ่งเสียชีวิตโดยรู้ตัวว่าเป็นความผิดของเขาเอง เรื่องนี้บันทึกไว้ในทั้งภาษากรีกและละติน ในภาษากรีก ชาวนาเสียชีวิตโดยตำหนิตัวเองว่า “สงสารคนชั่วร้าย” ในขณะที่ในเวอร์ชันของ Phaedrus งูพิษกล่าวว่าเขากัดผู้มีพระคุณของตน “เพื่อสอนบทเรียนว่าอย่าคาดหวังผลตอบแทนจากคนชั่ว” และกลายเป็นบทเรียนสอนใจในนิทานยุคกลาง ยังมีนิทานอีสปอีกเรื่องที่ชื่อคล้ายกันแต่เนื้อเรื่องไม่เหมือนกันกับนิทานอีสปเรื่องงูกับชาวนา

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องชาวนากับนกกระสา

ณ ทุ่งนาที่อุดมสมบูรณ์ ชาวนาผู้หนึ่งทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งปี เพื่อปลูกข้าวและดูแลพืชผลของเขา แต่เมื่อฤดูเก็บเกี่ยวมาถึง ฝูงนกที่ไม่มีวันพอใจก็พากันมาจิกกินเมล็ดข้าวจนเสียหาย ชาวนาจึงวางแผนจัดการกับนกเหล่านั้นอย่างเด็ดขาด

แต่ในเหตุการณ์นี้กลับมีนกผู้เคราะห์ร้ายที่ไม่เกี่ยวข้องติดร่างแหไปด้วย เรื่องราวนี้คือบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการเลือกที่อยู่และคบหาผู้อื่น… กับนิทานอีสปเรื่องชาวนากับนกกระสา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวนากับนกกระสา

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องชาวนากับนกกระสา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ทุ่งนากว้างใหญ่ที่มีข้าวเขียวชอุ่มกำลังเติบโต ชาวนาผู้หนึ่งทำงานอย่างขยันขันแข็งมาตลอดทั้งปี เขาดูแลไร่ข้าวของเขาอย่างดีที่สุด หวังว่าจะได้ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว แต่ความหวังของเขากลับต้องสะดุด เมื่อฝูงนกจำนวนมากบินลงมาจิกกินเมล็ดข้าวในทุ่งนาเสียหายเกือบหมด

“ข้าทำงานอย่างหนัก แต่พวกนกเหล่านี้กลับทำลายทุกอย่าง!” ชาวนากล่าวด้วยความโกรธ เขาตัดสินใจที่จะจัดการกับปัญหานี้อย่างจริงจัง เขานำตาข่ายขนาดใหญ่มากางไว้ในทุ่งนา เพื่อดักจับนกที่มาจิกกินพืชผลของเขา

เช้าวันรุ่งขึ้น ชาวนาเดินมาดูตาข่ายของเขาด้วยความหวังว่าจะจับนกได้บ้าง และเขาก็พบว่านกหลายตัวติดอยู่ในตาข่าย รวมถึงนกกระสาตัวหนึ่งที่ดูสง่างาม แต่น่าสงสาร เพราะมันพยายามดิ้นรนเพื่อหลุดจากตาข่าย นกกระสาไม่ได้มากินข้าว แต่มันบังเอิญเดินผ่านมาท่ามกลางฝูงนกที่ทำผิด

เมื่อชาวนาเดินเข้ามาใกล้ นกกระสาร้องขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “ได้โปรดเถอะท่านชาวนา ได้โปรดฟังข้าก่อน! ข้าไม่ได้มาจิกกินข้าวของท่าน ข้าเป็นเพียงนักเดินทางที่ผ่านมาทางนี้โดยบังเอิญ และโชคร้ายที่ติดตาข่ายไปกับพวกนกเหล่านี้ ได้โปรดปล่อยข้าไป ข้าไม่มีเจตนาร้ายเลย”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวนากับนกกระสา 2

ชาวนายืนมองนกกระสาด้วยสายตาเย็นชา เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าพูดว่าเจ้าไม่ได้มากินข้าวของข้า แต่เจ้ากลับเลือกที่จะอยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกนกที่ทำผิด เจ้าอาจไม่ได้ทำผิดเอง แต่การที่เจ้าอยู่ร่วมกับพวกมัน เจ้าก็สมควรได้รับโทษไม่ต่างจากพวกมัน”

“แต่ข้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกมันเลย!” นกกระสาร้องเสียงดัง พยายามอธิบาย “ท่านชาวนา ข้าเป็นเพียงผู้เคราะห์ร้ายที่ติดตาข่ายพร้อมกับพวกมัน ข้าขอร้องให้ท่านปล่อยข้าไปเถิด!”

ชาวนาไม่ยอมใจอ่อน เขาส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าต้องทำในสิ่งที่สมควร แม้เจ้าอาจจะบริสุทธิ์ แต่เมื่อเจ้าเลือกที่จะอยู่ใกล้พวกนกที่ทำผิด เจ้าก็ต้องยอมรับผลของการกระทำนั้น ข้าไม่สามารถปล่อยเจ้าไปได้ ข้าวของข้ากำลังจะสูญเสียหมดเพราะพวกมัน ข้าจึงไม่มีทางเลือก”

นกกระสาถูกจับพร้อมกับนกตัวอื่น ๆ มันรู้สึกเสียใจอย่างมากที่ต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ ทั้งที่มันไม่ได้ตั้งใจจะทำผิด แต่การที่มันอยู่ในกลุ่มผิดที่ผิดเวลา ก็ทำให้มันต้องรับโทษเช่นเดียวกับพวกที่ทำผิด

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวนากับนกกระสา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเลือกคบคนหรืออยู่ร่วมกับกลุ่มที่ทำผิด อาจทำให้เราต้องรับผลกระทบหรือถูกลงโทษไปด้วย แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำผิดเองก็ตาม และ การอยู่ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมในเวลาที่ผิด อาจนำมาซึ่งชะตากรรมที่เลวร้ายได้ นิทานนี้เตือนให้เรารอบคอบในการเลือกสภาพแวดล้อมและผู้คนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องชาวนากับนกกระสา (อังกฤษ: The Farmer and the Stork) เป็นนิทานอีสปเรื่องหนึ่งซึ่งปรากฏเป็นภาษากรีกในคอลเล็กชันของทั้งบาบรีอุสและอัฟโธนีอุส ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 194 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) และมีการเล่าเรื่องที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยตลอดหลายศตวรรษ

นิทานเรื่องนี้เล่าถึงชาวนาที่สร้างกับดักในทุ่งนาของตนเพื่อดักนกกระเรียนและห่านที่กำลังขโมยเมล็ดพืชที่เขาหว่านลงไป เมื่อเขาตรวจกับดัก เขาก็พบนกกระสาตัวหนึ่งอยู่ท่ามกลางนกตัวอื่น ๆ ซึ่งขอร้องให้ช่วย เนื่องจากนกกระสาไม่มีอันตรายและไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขโมย ชาวนาตอบว่าเนื่องจากนกกระสาถูกจับได้พร้อมกับพวกโจร มันจึงต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน คติสอนใจของเรื่องนี้ซึ่งประกาศไว้ล่วงหน้าในตำราเก่าแก่ที่สุดก็คือ การคบหาสมาคมกับเพื่อนที่ไม่ดีจะนำไปสู่ผลที่เลวร้าย

อย่าคบหาสมาคมกับคนชั่ว เพราะหากคุณคบหากับคนพาล คุณก็จะได้รับโทษเช่นเดียวกับพวกเขา

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องชาวนากับทะเล

ณ หมู่บ้านริมทะเลที่เงียบสงบ มีชาวนาผู้ขยันขันแข็งทำงานในไร่นาของเขาอย่างเหน็ดเหนื่อยทุกวัน แต่ลึก ๆ ในใจ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายกับความยากลำบากและความไม่แน่นอนของอาชีพเกษตรกร วันหนึ่ง ขณะที่เขาเดินไปที่ชายฝั่งทะเลและมองเห็นผืนน้ำกว้างใหญ่ ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในใจ เขาคิดว่าอาจมีชีวิตที่ดีกว่า ชีวิตที่ไม่ต้องเหนื่อยกับการทำไร่และเผชิญกับดินที่ไม่เคยปรานีเขาเลย

แต่เมื่อความงดงามของทะเลถูกแทนที่ด้วยพายุที่โหมกระหน่ำ เรื่องราวที่เขาได้เรียนรู้ในวันนั้นกลับกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่เปลี่ยนมุมมองของเขาไปตลอดกาล… กับนิทานอีสปเรื่องชาวนากับทะเล

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวนากับทะเล

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องชาวนากับทะเล

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านริมทะเลที่เงียบสงบ มีชาวนาผู้หนึ่งใช้ชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานในไร่ของเขา ฤดูร้อนมักร้อนเกินไป ฤดูฝนก็ชุ่มจนดินกลายเป็นโคลนที่ยากจะเพาะปลูก เขาต้องต่อสู้กับธรรมชาติที่ไม่แน่นอนในทุกวัน แม้เขาจะได้รับผลผลิตพอเลี้ยงชีพ แต่เขามักมองว่านี่ไม่ใช่ชีวิตที่ดีอย่างที่หวังไว้

วันหนึ่ง ชาวนารู้สึกเบื่อหน่ายกับการทำงาน จึงตัดสินใจเดินไปที่ชายฝั่งเพื่อพักผ่อน เขายืนมองทะเลอันกว้างใหญ่ เกลียวคลื่นระยิบระยับในแสงแดดดูชวนให้หลงใหล “ดูสิ ทะเลนี่ช่างกว้างใหญ่และงดงามจริง ๆ” เขาพึมพำกับตัวเอง “ข้าเคยได้ยินว่าพ่อค้าทางทะเลร่ำรวยจากการเดินทาง พวกเขาคงไม่ต้องลำบากเหมือนข้าในไร่ดินเหนียวเช่นนี้”

ขณะที่เขายืนคิด ชาวนาเห็นเรือลำหนึ่งแล่นผ่านออกไป แต่ไม่ทันไร พายุโหมกระหน่ำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ลมพัดแรงจนเรือเริ่มโคลงเคลง ลูกเรือพยายามควบคุมเรือแต่ไม่สำเร็จ เกลียวคลื่นสูงท่วมทับเรือจนหัวเรือหายลงไปในน้ำ ชาวนายืนมองภาพนั้นด้วยความตกใจ เสียงลูกเรือตะโกนร้องขอความช่วยเหลือดังก้องกลางสายลม แต่ชาวนาไม่อาจช่วยอะไรได้

ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ชาวนาโพล่งขึ้นมาเสียงดัง “โอ้ ทะเล! เจ้าน่ากลัวเหลือเกิน ข้าคิดผิดที่ชื่นชมเจ้า! เจ้าเป็นธาตุธรรมชาติที่ไร้ความปรานีและเป็นศัตรูของมนุษย์! ข้าคงไม่มีวันใช้ชีวิตบนตัวเจ้าได้”

ทันใดนั้น เสียงอันสงบและลึกลับดังขึ้นมาจากทะเล “เจ้าช่างรีบด่วนกล่าวโทษข้าเสียเหลือเกินนะ มนุษย์” ทะเลตอบกลับ “ข้ามิใช่ผู้ที่ทำให้เรือลำนั้นล่ม ลมต่างหากที่พัดผ่านข้า และทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะโทษข้าทำไม?”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวนากับทะเล 2

ชาวนาตกใจที่ได้ยินทะเลพูดได้ เขาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามกลับ “แต่ข้าเห็นว่าเรือที่ล่มนั้นจมหายไปในตัวเจ้า หากไม่ใช่เพราะเจ้า พวกเขาคงไม่สูญเสียทุกอย่างเช่นนี้”

ทะเลหัวเราะเบา ๆ “เจ้ามองเพียงเปลือกนอก หากเจ้ามองข้าในยามสงบ เมื่อไม่มีลมพัดหรือพายุโหมกระหน่ำ เจ้าจะเห็นว่าข้าอ่อนโยนและนิ่งสงบเพียงใด ข้ารองรับเรือทุกลำที่แล่นผ่าน และช่วยให้ผู้คนเดินทางไกลได้สำเร็จมากมายนับไม่ถ้วน”

ชาวนานิ่งคิดตามคำพูดนั้น และตอบด้วยเสียงที่อ่อนลง “อืม บางทีข้าอาจตัดสินเจ้าเร็วเกินไป แต่เจ้ายังคงอันตราย ข้ารู้ว่าข้าคงไม่มีวันอยู่บนตัวเจ้าได้ ข้าชอบชีวิตบนดินมากกว่า แม้มันจะเหนื่อยยาก แต่อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าดินจะไม่โหมกระหน่ำทำลายสิ่งที่ข้ามี”

ทะเลยิ้มและตอบ “ดินของเจ้าก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียเช่นเดียวกับข้า เจ้าไม่อาจปลูกพืชได้ทุกฤดู เจ้าต้องพึ่งพาธรรมชาติ แต่เจ้าก็ยังอยู่ได้เพราะความพยายามของเจ้าเอง ข้าก็เป็นเช่นนั้น หากมนุษย์รู้จักเลือกเวลาเดินเรือและเข้าใจธรรมชาติของข้า พวกเขาก็จะได้รับสิ่งที่พวกเขาหวังไว้เช่นกัน”

ชาวนายิ้มและพยักหน้า “เจ้าพูดถูก ทะเล ทุกสิ่งในธรรมชาติล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เราควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน และมองหาหนทางที่เหมาะสมที่สุด”

จากนั้นชาวนาก็เดินกลับบ้าน เขาตระหนักว่า แม้ชีวิตในไร่นาจะเหน็ดเหนื่อยและต้องเผชิญกับปัญหา แต่ทุกสิ่งก็มีข้อดีของมัน และเขาควรยินดีกับสิ่งที่เขามีอยู่

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวนากับทะเล 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าด่วนตัดสินสิ่งใดโดยมองเพียงข้อเสียในช่วงเวลาหนึ่ง ทุกสิ่งในธรรมชาติล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง และจงพอใจในสิ่งที่เรามี พร้อมทั้งเรียนรู้ที่จะเข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ และปรับตัวให้เหมาะสม นอกจากนี้ยังเตือนให้เราเห็นว่า ชีวิตทุกแบบล้วนมีความท้าทาย และความสำเร็จมักมาจากการปรับตัวและทำความเข้าใจกับข้อจำกัดที่เรามี

ที่มาของนิทานเรืองนี้

นิทานอีสปเรื่องชาวนากับทะเล (อังกฤษ: The Farmer and the Sea) เป็นนิทานอีสปโบราณ ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 168 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

เรื่องราวชาวนาเห็นเรือและลูกเรือกำลังจะจมลงสู่ทะเลขณะที่หัวเรือหายไปใต้เกลียวคลื่น ชาวนากล่าวว่า “โอ้ ทะเล มันคงจะดีกว่าถ้าไม่มีใครเคยแล่นเรือบนเจ้า! เจ้าเป็นธาตุธรรมชาติที่ไร้ความปรานีและเป็นศัตรูกับมนุษย์” เมื่อทะเลได้ยินเช่นนั้น ทะเลจึงกลายเป็นรูปหญิงสาวและตอบกลับว่า “อย่าได้แพร่ข่าวร้ายเช่นนั้นเกี่ยวกับข้าเลย! ข้ามิใช่สาเหตุของเหตุการณ์เหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับเจ้า ลมต่างหากที่พัดผ่านข้าเป็นสาเหตุ หากเจ้ามองดูข้าเมื่อไร้ลมพัด และแล่นเรือบนข้าในเวลานั้น เจ้าจะยอมรับว่าข้านั้นอ่อนโยนยิ่งกว่าผืนแผ่นดินแห้งแล้งของเจ้าเสียอีก”

นิทานเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงผู้คนที่วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นอย่างไม่เหมาะสม ทั้งที่แท้จริงแล้วคนผู้นั้นกำลังช่วยเหลือพวกเขาอยู่

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องชาวนากับลูกชายของเขา

ในชนบทที่เงียบสงบ มีชาวนาผู้หนึ่งที่ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการทำงานในไร่นา เขาสร้างทุกสิ่งขึ้นมาด้วยสองมือ และหวังว่าสิ่งที่เขาทำจะคงอยู่เพื่อเลี้ยงดูครอบครัวต่อไป แต่เมื่อเขาแก่ชราและใกล้ถึงวาระสุดท้าย

เขากลับกังวลว่าลูกชายทั้งหลายที่ขี้เกียจและไม่เข้าใจคุณค่าของการทำงานหนักจะละเลยสิ่งที่เขาสร้างขึ้น ด้วยเหตุนี้ เขาจึงวางแผนที่จะสอนบทเรียนสุดท้ายที่เปลี่ยนชีวิตลูกชายของเขาไปตลอดกาล… กับนิทานอีสปเรื่องชาวนากับลูกชายของเขา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวนากับลูกชายของเขา

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องชาวนากับลูกชายของเขา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในชนบทที่ห่างไกล มีชาวนาผู้ขยันขันแข็งคนหนึ่งที่อุทิศชีวิตให้กับการทำไร่เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เขาใช้เวลาทั้งหมดดูแลแปลงนาและปลูกพืชผล แม้จะเหนื่อยยาก แต่เขาก็ภูมิใจในไร่นาอันอุดมสมบูรณ์ของเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวนาเริ่มแก่ชราและรู้ว่าตัวเองใกล้จะจากโลกนี้ไป เขากลับกังวลถึงลูกชายของเขา

ลูกชายทั้งสามคนของเขาเป็นคนที่ขี้เกียจและไม่เคยเข้าใจถึงคุณค่าของการทำงานหนัก พวกเขามักทะเลาะกันเรื่องเล็กน้อยและไม่เคยช่วยกันดูแลไร่ ชาวนาเกรงว่าหลังจากเขาเสียชีวิต ไร่ที่เขาทำงานหนักมาตลอดชีวิตอาจถูกละเลยและกลายเป็นที่ดินรกร้าง

วันหนึ่ง ขณะที่เขานอนอยู่บนเตียงด้วยอาการป่วยหนัก ชาวนาเรียกลูกชายทั้งสามคนมาหา และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลูกเอ๋ย พ่อมีความลับสำคัญจะบอกกับพวกเจ้า ฟังให้ดีนะ ในไร่นาของเรา มีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ ถ้าพวกเจ้าค้นพบมัน มันจะทำให้เจ้ามีชีวิตที่มั่งคั่งและสุขสบายไปตลอดชีวิต”

ลูกชายทั้งสามมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น “สมบัติเช่นนั้นอยู่ที่ไหนล่ะพ่อ?” ลูกชายคนโตถาม

ชาวนายิ้มอ่อนแรงและตอบ “พ่อไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่ามันอยู่ที่ไหน แต่สมบัตินั้นฝังอยู่ในไร่นาแห่งนี้ เจ้าต้องทำงานเพื่อขุดค้นหามันด้วยตัวเอง”

ไม่นานหลังจากนั้น ชาวนาก็จากไปด้วยความสงบ ทิ้งลูกชายทั้งสามไว้กับคำพูดปริศนา หลังจากงานศพสิ้นสุดลง ลูกชายทั้งสามก็เริ่มลงมือขุดไร่ตามคำบอกของพ่อ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวนากับลูกชายของเขา 2

“เราเริ่มตรงนี้ก่อนดีไหม?” ลูกชายคนกลางเสนอ

“ไม่ เราควรเริ่มจากมุมไร่ฝั่งนั้นก่อน” ลูกชายคนโตแย้ง

“พอเถอะ! ไม่ว่าเราจะเริ่มตรงไหนก็ต้องขุดทุกที่อยู่ดี” ลูกชายคนสุดท้องพูดอย่างหงุดหงิด

ทั้งสามคนเริ่มลงมือขุดด้วยแรงที่มี พวกเขาขุดดินทุกตารางนิ้วในไร่ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ วันแล้ววันเล่า ไร่ที่เคยรกร้างค่อย ๆ ถูกพลิกดินจนทั่ว แต่พวกเขาไม่พบสมบัติใด ๆ เลย

“ข้าเริ่มคิดแล้วว่าพ่อคงแค่ล้อเราเล่น” ลูกชายคนกลางพูดพลางเช็ดเหงื่อ “ไม่มีสมบัติอะไรเลย!”

“บางทีพ่ออาจอยากให้เราทำงานหนักก็เท่านั้น” ลูกชายคนโตพูดเสริมด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

ลูกชายคนสุดท้องถอนหายใจ “ถ้าไม่มีสมบัติจริง อย่างน้อยเราก็ได้ขุดดินจนทั่วแล้ว เราควรปลูกพืชเสียที จะได้ไม่เสียแรงเปล่า”

ด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขาตัดสินใจปลูกพืชในไร่นาที่ขุดไว้ และในฤดูกาลต่อมา พืชผลก็เติบโตขึ้นอย่างงดงามกว่าที่เคยเป็นมา ดินที่ถูกพลิกไถทั่วทั้งไร่ทำให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ พวกเขาขายผลผลิตได้ในราคาดี และเงินที่ได้ก็เพียงพอสำหรับเลี้ยงดูครอบครัวอย่างสบาย

ลูกชายทั้งสามนั่งคุยกันใต้ต้นไม้ใหญ่ มองไร่นาอันอุดมสมบูรณ์ด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าเข้าใจแล้ว” ลูกชายคนโตพูดขึ้น “สมบัติล้ำค่าที่พ่อพูดถึง ไม่ใช่ทองคำหรือเงินตรา แต่คือผลผลิตจากการทำงานหนักของเราเอง”

ลูกชายคนกลางพยักหน้า “ใช่ พ่อไม่ได้โกหกเรา แต่พ่ออยากให้เราเรียนรู้ว่าความขยันและความร่วมมือคือสมบัติที่แท้จริง”

ลูกชายคนสุดท้องยิ้มและกล่าว “พ่อช่างฉลาดนัก พ่อสอนให้เราเข้าใจว่าผลตอบแทนจากการทำงานหนักคือความมั่งคั่งที่ยั่งยืนที่สุด”

ตั้งแต่นั้นมา ลูกชายทั้งสามก็ดูแลไร่ของพ่อด้วยความขยันขันแข็ง พวกเขาร่วมมือกันสร้างชีวิตที่มั่นคงและไม่เคยลืมบทเรียนล้ำค่าที่พ่อได้มอบให้พวกเขา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวนากับลูกชายของเขา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความขยันหมั่นเพียรและการทำงานหนักคือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริง แม้จะไม่มีรางวัลในรูปของทองคำหรือเงินตรา แต่ผลลัพธ์จากความพยายามจะสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงในชีวิต ความร่วมมือและความอดทนสามารถนำพาไปสู่ความสำเร็จ และสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีค่าหรือไม่แน่นอนในตอนแรก อาจกลับกลายเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดหากเรารู้จักพยายามและมองให้ลึกซึ้ง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องชาวนากับลูกชายของเขา (อังกฤษ: The Farmer and his Sons)เป็นเรื่องราวที่มีต้นกำเนิดมาจากกรีก ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 42 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของการทำงานหนัก และสอนผู้ปกครองในสมัยก่อนให้รู้คุณค่ากับการปฏิบัติงานจริง

ชาวนาซึ่งใกล้จะเสียชีวิตได้เรียกลูกชายมาหาในความลับและบอกพวกเขาว่าอยากแบ่งที่ดินของครอบครัว เนื่องจากมีสมบัติซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งบนที่ดินนั้น แต่หลังจากนั้น แม้ว่าจะขุดค้นอย่างหนักและระมัดระวัง แต่ก็ไม่พบอะไรเลย อย่างไรก็ตาม เมื่อพืชผลเจริญเติบโตอย่างมีกำไร พวกเขาก็ตระหนักว่าความหมายที่ซ่อนเร้นของคำแนะนำของชาวนานั้นหมายถึงการทำงานหนัก

ทรัพย์สมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์คือการทำงาน

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับลูกธนู

ในโลกแห่งท้องฟ้ากว้างใหญ่ นกอินทรีผู้สง่างามครองอำนาจในฐานะเจ้าแห่งนภา ด้วยปีกที่แข็งแรงและสายตาอันเฉียบคม มันเป็นนักล่าที่ไม่มีใครเทียบได้ ทุกชีวิตในป่าต่างยำเกรงมัน ทำให้มันกลายเป็นผู้อยู่จุดสูงสุดบนห่วงโซ่อาหาร

แต่วันหนึ่ง ความแข็งแกร่งที่มันภาคภูมิใจกลับไม่สามารถปกป้องมันจากอันตรายได้ และสิ่งที่ทำให้มันล้มลง กลับเป็นสิ่งที่มาจากตัวเอง โดยมันเคยคิดว่าไร้ค่า เรื่องราวนี้คือบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความประมาทและผลลัพธ์ที่ไม่อาจย้อนคืน… กับนิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับลูกธนู

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับลูกธนู

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับลูกธนู

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่ากว้างใหญ่ นกอินทรีผู้สง่างามบินโฉบอยู่เหนือยอดไม้สูง ด้วยกรงเล็บแหลมคมและพละกำลังอันมหาศาล มันถูกขนานนามว่าเจ้าแห่งนภา สัตว์ทุกตัวต่างยำเกรงในพลังของมัน ไม่มีสิ่งใดดูเหมือนจะทำอันตรายมันได้

วันหนึ่ง ท้องฟ้าสีครามสดใส นกอินทรีกำลังบินวนอยู่เหนือทุ่งหญ้า มันมองหาสัตว์ตัวเล็ก ๆ เพื่อเป็นอาหารสำหรับวันนั้น ขณะนั้นเอง มันเห็นกระต่ายตัวหนึ่งกำลังกินหญ้าอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ นกอินทรีพุ่งลงมาอย่างรวดเร็วด้วยความแม่นยำ หวังจะคว้าเหยื่อด้วยกรงเล็บอันทรงพลัง

แต่ในเสี้ยววินาที ขณะที่มันกำลังโฉบลงมาหากระต่าย เสียงสายธนูดังขึ้น “ฟิ้ว!” ลูกธนูจากนักล่าที่ซ่อนตัวอยู่พุ่งตรงมาหานกอินทรี มันพยายามเบี่ยงตัวหนี แต่ลูกธนูก็เร็วเกินไป ปักเข้าที่ปีกซ้ายของมันอย่างแรง ความเจ็บปวดแล่นผ่านทั้งร่างกาย นกอินทรีส่งเสียงร้องดังลั่นก่อนจะเสียการทรงตัวและร่วงลงมากระแทกพื้นดิน

“เกิดอะไรขึ้น… ข้าถูกทำร้ายอย่างนั้นหรือ?” นกอินทรีพึมพำกับตัวเอง มันพยายามดิ้นรน ลากร่างของตัวเองไปใต้ร่มไม้เพื่อหลบภัย ก่อนจะใช้จะงอยปากดึงลูกธนูออกจากปีกของมันอย่างยากลำบาก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับลูกธนู 2

เมื่อมันดึงลูกธนูออกมาและมองใกล้ ๆ มันต้องตกใจอย่างมาก ลูกธนูนั้นทำจากไม้ธรรมดา แต่ที่ปลายลูกธนูกลับประดับด้วยขนนกที่งดงาม ซึ่งเป็นขนนกของมันเอง!

“โอ้… ขนนกนี้… นี่มันเป็นขนของข้าเอง!” นกอินทรีร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดทั้งกายและใจ มันจ้องมองขนนกด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าเคยคิดว่าขนเหล่านี้ไม่มีค่า ข้าเคยปล่อยให้มันร่วงหล่นไปโดยไม่สนใจ แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาวุธที่ทำร้ายข้าเอง”

มันพยายามลุกขึ้นยืน แม้จะเจ็บปวด แต่มันก็อดพูดต่อด้วยเสียงที่สั่นเครือไม่ได้ “โอ้! ข้าคือเจ้าแห่งนภา ผู้เคยแข็งแกร่งและไม่มีใครทำร้ายได้ แต่วันนี้ข้าต้องมาถูกทำร้ายโดยลูกธนูที่สร้างขึ้นจากขนนกของตัวข้าเอง ข้าไม่อาจโทษใครได้ นอกจากตัวข้าที่เคยคิดว่าขนนกของข้านั้นไร้ค่า”

นกอินทรีนอนสงบนิ่งอยู่ใต้ร่มไม้ มันรับรู้ได้ว่าความประมาทของมันเองเป็นต้นเหตุของการล้มเหลวครั้งนี้ และแม้จะมีพลังมากเพียงใด แต่ความประมาทสามารถทำให้ทุกสิ่งพังทลายได้ในพริบตา

“บางที… ความแข็งแกร่งที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ที่พละกำลัง แต่อยู่ที่การรู้จักปกป้องตัวเองจากสิ่งเล็กน้อยที่เรามองข้าม” นกอินทรีพึมพำก่อนจะหลับตาลงด้วยความเสียใจ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับลูกธนู 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความประมาทและการมองข้ามสิ่งเล็กน้อยที่ดูเหมือนไม่สำคัญ อาจนำมาซึ่งผลเสียร้ายแรงในอนาคต และบางครั้ง ความเสียหายที่เราเผชิญ อาจเกิดจากสิ่งที่เราเองเป็นผู้มอบหรือปล่อยให้ผู้อื่นนำไปใช้โดยไม่ทันระวัง นอกจากนี้ยังเตือนว่า พลังและความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากปราศจากความรอบคอบและการปกป้องสิ่งที่สำคัญที่สุดของเรา

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับลูกธนู (อังกฤษ: The Eagle Wounded by an Arrow) สถานการณ์ของอินทรีที่บาดเจ็บจากลูกศรที่นำขนมาเองนั้นถูกกล่าวถึงในแหล่งข้อมูลกรีกโบราณหลายแห่ง ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 276 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) โดยทั่วไปแล้วจะใช้กล่าวถึงความทุกข์ใจจากการตระหนักว่าตนเองได้มีส่วนทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บ แต่ยังใช้เป็นคำเตือนถึงความเย่อหยิ่งของการพึ่งพาตนเองได้อีกด้วย

การถูกหักหลังจากสิ่งที่เป็นของตนเองนั้นช่างขมขื่นยิ่งนัก

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องอินทรีกับจิ้งจอก

ในป่ากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา นกอินทรีผู้สง่างามครองท้องฟ้า ส่วนจิ้งจอกผู้ฉลาดดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นดิน แม้ทั้งสองจะต่างสายพันธุ์ แต่พวกมันกลับมีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นและเคยให้คำมั่นสัญญาต่อกันว่าจะไม่ทำร้ายกัน

แต่เมื่อความหิวโหยและความเห็นแก่ตัวเข้าครอบงำ คำมั่นนั้นกลับถูกทำลาย และเรื่องราวที่เกิดขึ้นจะเผยให้เห็นถึงผลลัพธ์ของการหักหลังและบทเรียนที่ยากจะลืมเลือน… กับนิทานอีสปเรื่องอินทรีกับจิ้งจอก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องอินทรีกับจิ้งจอก

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องอินทรีกับจิ้งจอก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าใหญ่ นกอินทรีผู้สง่างามและจิ้งจอกผู้ฉลาดเป็นเพื่อนกัน พวกมันต่างเคารพซึ่งกันและกัน แม้ว่าจะมีชีวิตที่แตกต่างกันก็ตาม

ทั้งสองตกลงกันว่า “เราจะไม่ทำร้ายกัน และจะช่วยเหลือกันหากอีกฝ่ายต้องการ” ด้วยคำมั่นสัญญานี้ มิตรภาพของพวกมันจึงดูมั่นคงและสงบสุข

วันหนึ่ง นกอินทรีกำลังบินวนอยู่เหนือป่า มันกำลังมองหาอาหารสำหรับลูกของมันที่อยู่ในรังบนต้นไม้สูง ขณะนั้นเอง มันเหลือบไปเห็นรังของจิ้งจอกที่อยู่ใกล้ ๆ และเห็นลูกจิ้งจอกตัวน้อย ๆ นอนอยู่อย่างไร้ทางสู้ ด้วยความหิวและความคิดที่ว่าไม่มีใครทำอะไรตนได้ นกอินทรีจึงฉวยโอกาสบินโฉบลงมาและจับลูกจิ้งจอกไปที่รังของตน

จิ้งจอกกลับมาที่รังและพบว่าลูกของมันหายไป มันสังเกตเห็นรอยกรงเล็บของนกอินทรีและได้ยินเสียงร้องของลูกมันจากบนต้นไม้สูง

จิ้งจอกจึงรีบไปยังโคนต้นไม้และร้องตะโกนขึ้นไป “นกอินทรี เพื่อนรักของข้า เจ้าได้ลืมคำมั่นสัญญาของเราหรืออย่างไร? ทำไมเจ้าจึงทำร้ายลูกของข้าได้ถึงเพียงนี้? ขอร้องล่ะ ได้โปรดคืนลูกของข้าให้ข้าเถิด”

แต่แทนที่นกอินทรีจะรับฟัง มันกลับตอบด้วยเสียงเรียบเย็น “ข้าขอโทษนะเพื่อน ข้าจำเป็นต้องเลี้ยงลูกของข้า และลูกของเจ้าก็เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับพวกมันมาก”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องอินทรีกับจิ้งจอก 2

จิ้งจอกทั้งเศร้าและโกรธ มันรู้ตัวว่าตนไม่สามารถปีนขึ้นไปถึงรังของนกอินทรีได้ แต่มันก็ไม่ยอมแพ้ ด้วยความเฉลียวฉลาด มันเริ่มคิดแผนการแก้แค้น จิ้งจอกรีบออกเดินทางไปที่หมู่บ้านของมนุษย์ มันแอบเข้าไปใกล้กองไฟของชาวบ้านและคาบคบเพลิงที่มีไฟลุกโชน จากนั้นมันกลับมาที่โคนต้นไม้และใช้คบเพลิงนั้นจุดไฟเผากองใบไม้และกิ่งไม้แห้งที่อยู่รอบต้น

เมื่อนกอินทรีเห็นว่าไฟกำลังเผารังของมันและไข่ของลูก ๆ มันตกใจและพยายามจะดับไฟ แต่มันทำอะไรไม่ทัน นกอินทรีจึงต้องทิ้งไข่ของมันเพื่อหนีเอาชีวิตรอด

เมื่อไฟดับลง จิ้งจอกพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าเห็นหรือยังว่าสิ่งที่เจ้าได้ทำกับข้า มันย้อนกลับมาหาเจ้าอย่างไร? ข้าต้องเสียลูกของข้าไปเพราะความโลภของเจ้า และตอนนี้เจ้าเองก็ต้องรู้สึกเช่นเดียวกับข้า”

นกอินทรีเงียบไปด้วยความสำนึกผิด มันรู้แล้วว่าการหักหลังเพื่อนและการทำร้ายโดยไม่คำนึงถึงคำมั่นสัญญาได้นำมาซึ่งความสูญเสียที่ไม่อาจแก้ไขได้

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องอินทรีกับจิ้งจอก 3

นิทานเรื่องนี้สอนห้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การหักหลังคำมั่นสัญญาและมิตรภาพ อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เลวร้ายเกินกว่าที่เราคาดคิด และการกระทำที่โหดร้ายหรือไร้ความเห็นใจต่อผู้อื่น มักจะย้อนกลับมาสร้างความเสียหายให้กับตัวเราเอง นอกจากนี้ยังเตือนให้เราระลึกเสมอว่า มิตรภาพและความไว้วางใจเป็นสิ่งที่ต้องรักษา เพราะเมื่อสูญเสียไปแล้วอาจไม่สามารถฟื้นคืนมาได้

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องอินทรีกับจิ้งจอก (อังกฤษ: The Eagle and the Fox) เป็นนิทานเกี่ยวกับมิตรภาพที่ถูกทรยศและล้างแค้น ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 1 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) มีหลายเวอร์ชั่น แต่ต้นฉบับคือ อินทรีผูกมิตรกับจิ้งจอกแต่ต่อมามันได้กินลูกจิ้งจอกไป เนื่องจากอินทรีไม่มีอำนาจเหนืออินทรี จิ้งจอกจึงได้อธิษฐานขอความยุติธรรมจากเทพเจ้า วันหนึ่งขณะที่เนื้อบนเครื่องบูชากำลังถูกเผาบนแท่นบูชา อินทรีก็บินลงมาและคว้าเนื้อที่กำลังร้อนจัดนั้นไปส่งให้ลูกนก เนื้อนั้นร้อนมากจนทันทีที่ลูกนกกินเข้าไป พวกมันก็ตาย

นิทานเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า แม้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของคนชั่วและทรงอำนาจจะไม่สามารถล้างแค้นได้โดยตรง แต่เหล่าเทพเจ้าจะลงโทษคนเหล่านั้นตามคำวิงวอนของเหยื่ออย่างแน่นอน ตามความเชื่อคนโบราณ

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับด้วง

ในป่ากว้างใหญ่ที่นกอินทรีผู้สง่างามครองท้องฟ้าอย่างภาคภูมิใจ มันเป็นเจ้าแห่งนภาที่สัตว์ทุกตัวเกรงกลัว กรงเล็บอันแหลมคมและพละกำลังของมันเป็นที่ยำเกรงไปทั่ว มันเป็นผู้ล่าที่โหดเหี้ยมพร้อมพุ่งเข้าใส่อย่างไม่เลือกหน้า

แต่ท่ามกลางสัตว์ที่ดูเล็กและอ่อนแอกว่า ด้วงตัวน้อยกลับมีหัวใจที่กล้าหาญ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันหนึ่งจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความยุติธรรมและผลของการกระทำ… กับนิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับด้วง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับด้วง

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับด้วง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าใหญ่ที่สงบสุข มีนกอินทรีผู้สง่างามครองท้องฟ้าในฐานะราชาแห่งนภา นกอินทรีใช้ชีวิตอย่างมั่นใจในพละกำลังและอำนาจของตนเอง โดยมองว่าสัตว์อื่น ๆ ล้วนแต่ด้อยกว่า วันหนึ่ง นกอินทรีบินวนอยู่เหนือทุ่งหญ้าเพื่อหาอาหาร มันมองเห็นกระต่ายตัวหนึ่งกำลังเล่นอย่างไร้กังวล นกอินทรีพุ่งลงไปด้วยความรวดเร็วและจับกระต่ายไว้ในกรงเล็บอันแข็งแกร่ง

กระต่ายร้องขอชีวิต “ได้โปรด ปล่อยข้าไปเถอะ ข้ามีเพื่อนและครอบครัวที่รอข้าอยู่ อย่าทำร้ายข้าเลย” แต่นกอินทรีหัวเราะและตอบด้วยความเย้ยหยัน “เจ้ามันอ่อนแอเกินไปที่จะต่อกรกับข้า ข้าไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยเจ้าไป!” จากนั้นมันก็บินกลับไปที่รังพร้อมกับกระต่ายและกินกระต่ายจนหมดเกลี้ยง

ด้วงตัวเล็ก ๆ ที่เป็นเพื่อนสนิทของกระต่ายเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด มันโกรธและเศร้าอย่างมาก ด้วงคิดในใจว่า “เจ้ากระต่ายที่แสนดีของข้าถูกฆ่าอย่างไร้ความปรานี ข้าจะไม่ปล่อยให้นกอินทรีลอยนวลไปกับสิ่งที่มันทำ ข้าจะล้างแค้นให้เพื่อนของข้า แม้ว่าข้าจะตัวเล็กเพียงใดก็ตาม!”

ด้วงเริ่มวางแผนแก้แค้น มันแอบบินไปที่รังของนกอินทรีและซ่อนตัว เมื่อเวลาผ่านไป นกอินทรีวางไข่ในรัง ด้วงจึงปีนขึ้นไปบนรังและผลักไข่ของนกอินทรีตกลงมาจนแตกหมด นกอินทรีกลับมาเห็นรังของตัวเองว่างเปล่าก็โกรธและตกใจ มันคิดว่าอาจเป็นลมพัดแรงหรือเหตุบังเอิญ แต่มันไม่ยอมแพ้ มันย้ายรังไปที่หน้าผาที่สูงกว่าเดิม เพื่อให้ไข่อยู่ในที่ปลอดภัย

แต่ด้วงตัวเล็ก ๆ ก็ยังคงตามไป มันใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่อปีนขึ้นไปถึงรังอีกครั้ง และผลักไข่ของนกอินทรีตกลงมาอีก นกอินทรีเริ่มหวาดหวั่นและสงสัยว่ามีบางสิ่งกำลังลอบทำลายไข่ของมันอยู่ มันจึงตัดสินใจย้ายรังไปที่ต้นไม้สูงใกล้ท้องฟ้า เพื่อให้เป็นที่ปลอดภัยที่สุด

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับด้วง 2

แต่ด้วงที่ไม่ลดละยังคงหาวิธีไปถึงรังนั้นอีกจนได้ มันผลักไข่ตกลงมาเหมือนเดิม นกอินทรีจึงหมดความอดทนและตะโกนขึ้น “ใครกันที่กล้าทำลายไข่ของข้า! เจ้าเป็นใครกันแน่!”

ด้วงบินออกจากที่ซ่อนและกล่าวด้วยเสียงเล็ก ๆ แต่หนักแน่น “ข้าเอง เจ้าจำไม่ได้หรือว่าเจ้าฆ่าเพื่อนของข้า เจ้ากระต่ายผู้แสนดีที่เคยมีชีวิตอย่างสงบสุข? เจ้าทำลายชีวิตมันโดยไม่ฟังคำวิงวอน และนี่คือผลที่เจ้าสมควรได้รับ!”

นกอินทรีตกใจและตอบ “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าตัวเล็กเช่นนี้จะทำอะไรข้าได้”

ด้วงยิ้มและกล่าว “แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็อาจพบวิธีแก้แค้นสิ่งที่ผิดได้ ข้าตัวเล็กก็จริง แต่ความยุติธรรมไม่ขึ้นอยู่กับขนาดหรือพลังของผู้ใด หากเจ้าทำสิ่งที่ผิด เจ้าก็ต้องรับผลของมัน” พูดเสร็จด้วงก็มุดดินหายไปต่อหน้าต่อตานกอินทรี

นกอินทรีที่เคยหยิ่งผยองตระหนักถึงความผิดพลาดของตน มันก้มหน้าด้วยความละอายและยอมรับว่าแม้จะมีพลังและอำนาจมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ควรใช้สิ่งนั้นทำร้ายผู้อื่นโดยไร้เหตุผล

ตั้งแต่นั้นมา นกอินทรีก็ไม่กล้าทำร้ายสัตว์ตัวเล็กอีก และด้วงก็กลับไปใช้ชีวิตของมันอย่างสงบสุข พร้อมกับความภาคภูมิใจที่ได้ล้างแค้นให้เพื่อนรักของมัน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับด้วง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าประมาทในความสามารถของผู้ที่ดูเหมือนจะอ่อนแอหรือด้อยกว่าตนเอง เพราะพวกเขาอาจมีปัญญาและความพยายามมากพอที่จะตอบโต้ความอยุติธรรมได้ และ ความโหดร้ายหรือการใช้อำนาจในทางที่ผิด อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เจ็บปวดกลับมาหาตัวเราเองในที่สุด นอกจากนี้ยังสอนว่า แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็สามารถแก้ไขสิ่งที่ผิดและเรียกร้องความยุติธรรมได้ หากมีความมุ่งมั่นและความกล้าหาญ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับด้วง (อังกฤษ: The Eagle and the Beetle) เป็นเรื่องราวการทะเลาะวิวาทกันระหว่างนกอินทรีกับด้วงเป็นนิทานอีสปเรื่องหนึ่งที่มักถูกกล่าวถึงในสมัยคลาสสิก ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 3 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) และกลายเป็นเรื่องที่เล่าขานกันทั่วไป แม้ว่าจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ในทั้งสองกรณี นกอินทรีเชื่อว่าตนเองอยู่จุดสูงสุดและปลอดภัยจากการถูกลงโทษจากการกระทำรุนแรง และถูกลงโทษด้วยการทำลายไข่แทน

แม้แต่ผู้ที่ดูอ่อนแอและไร้พลังที่สุด หากหมดหนทางและมีความมุ่งมั่น ก็สามารถโค่นล้มผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องนกพิราบกับมด

ณ ริมลำธารที่สงบเงียบในป่าใหญ่ สรรพสัตว์ต่างอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข บางตัวออกหาน้ำดื่ม บ้างก็หากินตามปกติ หนึ่งในนั้นคือลูกมดตัวน้อยที่เพิ่งออกจากรังมาหาน้ำ มันตั้งใจจะดื่มน้ำเพียงเล็กน้อยเพื่อคลายความกระหาย

แต่ไม่คาดคิดเลยว่าความเล็กของมันจะทำให้เกิดเหตุการณ์ที่นำไปสู่มิตรภาพและความช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ เรื่องราวของการช่วยเหลือกันระหว่างมดน้อยและนกพิราบจะทำให้เราเห็นถึงคุณค่าของความเมตตา… กับนิทานอีสปเรื่องนกพิราบกับหมด

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องนกพิราบกับมด

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องนกพิราบกับมด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ริมลำธารสายหนึ่งในป่าที่เต็มไปด้วยความสงบและความเขียวขจี มดตัวหนึ่งเดินออกจากรังมาหาน้ำดื่มเพื่อคลายความกระหาย มันเดินมาถึงริมลำธารที่น้ำใสไหลเย็นและก้มลงดื่มน้ำอย่างไม่ระวัง ขณะนั้นเอง มันเสียหลักพลาดตกลงไปในน้ำ ทันทีที่ตกลงไป กระแสน้ำเริ่มพัดพามันออกไปไกลเรื่อย ๆ มดพยายามดิ้นรนและกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!”

นกพิราบตัวหนึ่งที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้เหนือริมลำธารบังเอิญเห็นเหตุการณ์เข้า มันมองลงไปเห็นมดตัวเล็ก ๆ กำลังลอยไปตามกระแสน้ำ นกพิราบรู้สึกสงสารและคิดอยากช่วยมดให้รอดชีวิต “มดตัวน้อยน่าสงสาร ข้าจะช่วยเจ้าด้วยความเต็มใจ” นกพิราบพึมพำกับตัวเอง

นกพิราบรีบบินไปคาบใบไม้ใบหนึ่งจากต้นไม้ใกล้ ๆ และค่อย ๆ ปล่อยใบไม้นั้นลงไปในน้ำตรงหน้ามด “เจ้ามดน้อย เกาะใบไม้ใบนี้ไว้! มันจะพาเจ้าไปถึงฝั่ง” นกพิราบตะโกนลงมา

มดที่ลอยตามกระแสน้ำรีบคว้าใบไม้ไว้แน่นและค่อย ๆ ปีนขึ้นไปบนใบไม้ด้วยความดีใจ “ขอบใจเจ้ามาก! ข้าไม่รู้เลยว่าข้าจะทำอย่างไรถ้าไม่มีเจ้า ข้าคงจมน้ำไปแล้ว” มดกล่าวด้วยความซาบซึ้ง มันเกาะใบไม้แน่นจนกระทั่งกระแสน้ำพัดใบไม้ไปถึงริมฝั่ง มดปีนขึ้นจากใบไม้อย่างปลอดภัย มันมองนกพิราบและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าคือนกที่ใจดีที่สุด ข้าสัญญาว่าจะจดจำบุญคุณของเจ้าไปตลอดชีวิต ข้าจะไม่ลืมความเมตตาของเจ้าเลย”

นกพิราบยิ้มและตอบ “เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก ข้าช่วยเจ้าเพราะข้าเห็นว่าเจ้ากำลังลำบาก”

จากนั้น นกพิราบก็บินจากไป ทั้งสองต่างกลับไปใช้ชีวิตตามวิถีของตนเอง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องนกพิราบกับมด 2

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ขณะที่นกพิราบกำลังบินอยู่บนฟ้า มันไม่รู้ตัวเลยว่ามีนายพรานคนหนึ่งแอบซุ่มอยู่ใกล้ ๆ นายพรานเฝ้ามองนกพิราบที่เกาะบนกิ่งไม้ด้วยความตั้งใจ เขาค่อย ๆ เล็งธนูไปที่นกพิราบเพื่อหวังจะจับมันเป็นอาหาร

ขณะนั้นเอง มดที่นกพิราบเคยช่วยไว้บังเอิญผ่านมาเห็นเหตุการณ์ มดตกใจมากเมื่อเห็นนกพิราบตกอยู่ในอันตราย มันคิดว่า “นี่เป็นโอกาสที่ข้าจะได้ตอบแทนบุญคุณของนกพิราบ ข้าจะไม่ยอมให้นกพิราบต้องมาถูกทำร้ายเพียงเพราะข้าทำเป็นไม่เห็น”

มดรีบคลานไปกัดขาของนายพรานด้วยแรงทั้งหมดที่มันมี ขณะที่นายพรานกำลังเล็งธนู นายพรานสะดุ้งด้วยความเจ็บปวดจนเขาปล่อยธนูผิดเป้า ลูกธนูพุ่งไปทางอื่น ทำให้นกพิราบรอดจากอันตรายและบินหนีไปได้ทันที

นกพิราบที่บินหนีไปอย่างปลอดภัย หันกลับมามองมดและรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก มันบินลงมาหามดและพูดขึ้นด้วยความขอบคุณ “ขอบใจเจ้ามาก มดน้อย! ข้าไม่รู้เลยว่าถ้าไม่มีเจ้าข้าอาจจะไม่รอดในวันนี้ ข้าต้องขอบคุณเจ้าอย่างแท้จริง”

มดยิ้มและกล่าวตอบด้วยความจริงใจ “ข้าเพียงทำในสิ่งที่ควรทำ ข้าจดจำความเมตตาของเจ้าที่ช่วยข้าในยามลำบาก ตอนนี้ข้าเพียงแค่ตอบแทนบุญคุณของเจ้าเอง”

นกพิราบยิ้มด้วยความอบอุ่น “เจ้าน่าชื่นชมจริง ๆ ขอบใจมาก มดน้อย เจ้าสอนข้าให้รู้ว่าความเมตตาและการช่วยเหลือกันนั้นมีค่า และไม่ว่าจะตัวเล็กหรือตัวใหญ่ เราต่างก็สามารถช่วยเหลือกันได้เสมอ”

จากนั้น ทั้งมดและนกพิราบก็แยกย้ายกันไป พร้อมกับความรู้สึกที่อบอุ่นและคำมั่นสัญญาในมิตรภาพของพวกเขา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องนกพิราบกับมด 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความจริงใจโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณค่า และบางครั้งการกระทำที่ดีนั้นอาจกลับมาช่วยเหลือเราในยามที่เราต้องการ นอกจากนี้ ยังสอนให้เห็นว่า ไม่ว่าผู้ใดจะเล็กหรือใหญ่ การช่วยเหลือกันเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องนกพิราบกับมด (อังกฤษ: The Dove and the Ant)เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผลตอบแทนของพฤติกรรมอันมีเมตตากรุณา ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 235 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้มีเนื้อหาแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยตั้งแต่มีการบันทึกเป็นครั้งแรกในแหล่งข้อมูลภาษากรีก มดตัวหนึ่งตกลงไปในลำธารและนกพิราบก็เข้ามาช่วยโดยยื่นใบหญ้าให้นกพิราบไต่ขึ้นมา จากนั้นเมื่อมดสังเกตเห็นว่านักล่ากำลังจะจับนกพิราบ มดก็กัดเท้าของนักล่าทำให้นกพิราบบินหนีไปได้ คนโบราณใช้เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่าแม้กระทั่งสัตว์ที่โง่เขลาก็ยังมีความรู้สึกเหมือนเพื่อนมนุษย์และเข้ามาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

นิทานเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังมีความเห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือกัน

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com