นิทานอีสปเรื่องกบเลือกนาย

ณ ในหนองบึงอันเงียบสงบ ฝูงกบอาศัยอยู่อย่างสงบสุข แต่ไม่นานพวกมันเริ่มเบื่อหน่ายกับชีวิตที่ไร้ผู้นำ พวกมันคิดว่าถ้ามีกษัตริย์มาปกครอง ชีวิตคงจะน่าสนใจและมีระเบียบมากขึ้น

ด้วยความคิดนี้ กบทั้งฝูงจึงรวมตัวกันร้องขอจากเทพเจ้า เรื่องราวของพวกมันจะนำไปสู่บทเรียนสำคัญที่ไม่มีใครคาดคิด… กับนิทานอีสปเรื่องกบเลือกนาย

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกบเลือกนาย

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องกบเลือกนาย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหนองบึงอันเงียบสงบ มีฝูงกบที่อาศัยอยู่อย่างสุขสบาย แม้จะไม่มีอะไรยุ่งยากในชีวิต แต่พวกมันเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย กบตัวหนึ่งที่เป็นหัวหน้าฝูงพูดขึ้นว่า “พวกเราต้องการผู้นำที่แท้จริง คนที่จะทำให้ชีวิตของพวกเราดีขึ้น มีระเบียบและน่าสนใจมากขึ้น”

กบทั้งหมดเห็นด้วย “ใช่แล้ว เราไม่มีผู้นำมานานเกินไป!” พวกมันร้องพร้อมกัน

ด้วยความเห็นพ้องต้องกัน ฝูงกบจึงอ้อนวอนต่อเทพเจ้าด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง “ข้าแต่เทพผู้ทรงเมตตา โปรดส่งกษัตริย์ลงมาปกครองพวกเราด้วยเถิด เราต้องการผู้นำที่จะทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่า!”

เทพเจ้าที่ได้ยินคำร้องนั้น ก็รู้ถึงความดื้อรั้นของกบแต่ยังอยากให้บทเรียนแก่พวกมัน จึงโยนท่อนไม้ใหญ่ลงไปในบึง “ปั๊ง!” ท่อนไม้กระแทกน้ำเสียงดัง ทำให้กบทั้งฝูงแตกตื่นด้วยความกลัว พวกมันกระโดดหนีไปคนละทิศละทาง

ไม่นานนัก เมื่อเห็นว่าท่อนไม้ไม่เคลื่อนไหว กบตัวหนึ่งกระโดดเข้าไปใกล้ ๆ “ดูสิ! ท่อนไม้ไม่ทำอะไรเลย” มันพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ “มันแค่ลอยอยู่เฉย ๆ เท่านั้น”

เมื่อพวกมันมั่นใจว่าท่อนไม้ไม่มีอันตราย พวกมันก็เริ่มกระโดดขึ้นไปบนท่อนไม้ บางตัวใช้มันเป็นที่พักผ่อน บางตัวกระโดดโลดเต้นบนมันด้วยความสนุกสนาน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกบเลือกนาย 2

“นี่หรือกษัตริย์ที่เราขอ?” กบตัวหนึ่งพูดขึ้นด้วยความผิดหวัง “มันไม่ทำอะไรเลย มันไม่มีชีวิต ไม่มีอำนาจ! เราต้องการกษัตริย์ที่แท้จริง!”

ด้วยความเบื่อหน่าย พวกมันจึงอ้อนวอนต่อเทพเจ้าอีกครั้ง “ข้าแต่เทพผู้ยิ่งใหญ่! โปรดส่งกษัตริย์ที่แท้จริงมาให้เราเถิด เราต้องการผู้นำที่มีอำนาจและสามารถปกครองพวกเราได้!”

เทพเจ้าที่เห็นถึงความไม่พอใจและดื้อรั้นของกบตัดสินใจให้บทเรียนที่สำคัญกว่าเดิม เขาจึงส่งนกกระสาลงมาในบึง “นี่คือกษัตริย์ที่เจ้าต้องการ” เทพเจ้ากล่าว

เมื่อกบเห็นนกกระสา มันดูสง่างามและทรงพลัง พวกกบดีใจอย่างมาก “ในที่สุด! กษัตริย์ที่มีชีวิตและสามารถปกครองพวกเราได้!” พวกมันร้องด้วยความยินดี

แต่ไม่นานนัก นกกระสาก็เริ่มแสดงอำนาจโดยจับกบในบึงกินเป็นอาหารทีละตัว กบที่รอดอยู่เริ่มตื่นตระหนก “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ!” กบตัวหนึ่งร้องขึ้น “นกกระสาไม่ได้ปกครองเรา แต่มันฆ่าเรา!”

ด้วยความกลัว พวกกบที่เหลือรีบอ้อนวอนต่อเทพเจ้าอีกครั้ง “โปรดเถิดท่านผู้ทรงเมตตา ช่วยนำกษัตริย์นี้ออกไปจากเรา! มันฆ่าพวกเรา!”

เทพเจ้าตอบด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “พวกเจ้าเลือกสิ่งนี้เอง เจ้าปฏิเสธสิ่งที่สงบสุขและปลอดภัยเพื่อเรียกร้องสิ่งที่เจ้าคิดว่าดีกว่า ตอนนี้จงยอมรับผลของคำขอของเจ้า เพราะหากข้าต้องเปลี่ยนให้เจ้าอีก สิ่งที่มาแทนอาจเลวร้ายยิ่งกว่านี้”

กบในบึงรู้สึกสิ้นหวัง พวกมันต้องอยู่ภายใต้การปกครองของนกกระสาที่จับพวกมันกินทุกวัน และไม่สามารถแก้ไขความผิดพลาดที่ตัวเองก่อขึ้นได้

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกบเลือกนาย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การไม่พอใจกับสิ่งที่เรามีและการเรียกร้องสิ่งที่คิดว่าดีกว่า โดยไม่ไตร่ตรองถึงผลลัพธ์ อาจนำมาซึ่งหายนะ การเปลี่ยนแปลงโดยปราศจากความรอบคอบไม่ได้รับประกันว่าจะนำสิ่งที่ดีกว่ามาให้ ดังนั้นเราควรพอใจในสิ่งที่มี และคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจเรียกร้องหรือเปลี่ยนแปลงอะไร

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องกบเลือกนาย (อังกฤษ: The Frogs Who Desired a King) เป็นหนึ่งในนิทานอีสปที่ได้รับความนิยม ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 44 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานนี้มักถูกใช้เป็นอุปลักษณ์ทางการเมืองตลอดประวัติศาสตร์

ตามแหล่งที่มาแรกสุดโดย Phaedrus นิทานเล่าถึงกลุ่มกบที่ร้องขอต่อเทพเจ้าซุสให้ส่งราชามาปกครองพวกมัน ซุสจึงโยนท่อนไม้ลงไปในบ่อ ซึ่งตกลงมาด้วยเสียงดังจนทำให้กบตกใจกลัว แต่ไม่นานนัก กบตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาดู และเมื่อเห็นว่าท่อนไม้นั้นไม่ขยับเขยื้อน กบทั้งหลายจึงกระโดดขึ้นไปเล่นและล้อเลียนท่อนไม้นั้น

จากนั้นกบได้ร้องขออีกครั้งให้ส่งราชาที่แท้จริงมา เทพซุสจึงส่งงูน้ำลงมาแทน งูน้ำเริ่มจับกินกบเป็นอาหาร กบจึงอ้อนวอนต่อเทพซุสอีกครั้ง แต่คราวนี้ซุสตอบว่าพวกมันต้องยอมรับผลจากสิ่งที่พวกมันร้องขอ ในเวอร์ชั่นอื่นที่สร้างภายหลัง งูน้ำมักถูกแทนที่ด้วยนกกระสาหรือนกกระเรียน

จงระวังความต้องการที่ไม่ไตร่ตรอง เพราะสิ่งที่ขอมาอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เลวร้ายกว่าเดิม

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องเหล่ากบกับดวงอาทิตย์

ในโลกที่ทุกชีวิตล้วนต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อมเพื่อความอยู่รอด การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในธรรมชาติอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตของสิ่งมีชีวิตมากมาย

เรื่องราวของฝูงกบในหนองบึงที่ต้องเผชิญกับข่าวใหญ่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์จะแต่งงาน จะพาเราไปสำรวจว่าความหวาดกลัวที่เกิดจากสิ่งที่ยังไม่รู้ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด และสอนบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการรอคอยเพื่อเรียนรู้ความจริง… กับนิทานอีสปเรื่องกบกับดวงอาทิตย์

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเหล่ากบกับดวงอาทิตย์

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องเหล่ากบกับดวงอาทิตย์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ดวงอาทิตย์ผู้ทรงพลัง ประกาศความตั้งใจที่จะแต่งงาน ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่ว และถึงหูของฝูงกบในหนองบึงแห่งหนึ่ง เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฝูงกบต่างตื่นตระหนกและเริ่มส่งเสียงร้องดังลั่นหนองน้ำ พวกมันประท้วงต่อท้องฟ้าด้วยเสียงอันกึกก้อง

“หยุดดวงอาทิตย์ไว้! อย่าให้มันแต่งงาน!” กบตัวหนึ่งตะโกนขึ้น และกบตัวอื่น ๆ ก็ร่วมร้องประท้วงจนเสียงดังระงมไปทั่ว

เสียงดังนั้นรบกวนความเงียบสงบของฟ้าสวรรค์จนดาวพฤหัสบดี ผู้เป็นเทพแห่งท้องฟ้าต้องลงมาดู เขายืนมองฝูงกบด้วยความไม่พอใจและตะโกนถามด้วยเสียงดังก้อง “พวกเจ้ากบทั้งหลาย! ทำไมถึงส่งเสียงดังรบกวนเช่นนี้? เจ้าคิดว่าการทำเช่นนี้จะเปลี่ยนแปลงฟ้าสวรรค์ได้หรือ?”

ฝูงกบนิ่งเงียบด้วยความกลัว แต่ไม่นาน กบตัวหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าฝูงก็ก้าวออกมาและกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ โปรดรับฟังพวกเรา! เราขอร้องท่านให้หยุดดวงอาทิตย์ไม่ให้แต่งงาน!”

ดาวพฤหัสบดีเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดพวกเจ้าถึงกังวลว่าดวงอาทิตย์จะแต่งงาน? นั่นเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าที่อาศัยอยู่ในหนองบึง?”

กบตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเราต้องลำบาก เมื่อฤดูร้อนมาถึง น้ำในบึงของพวกเราแห้งจนแทบไม่เหลือให้ใช้ หากดวงอาทิตย์แต่งงานและมีลูกหลานเพิ่มขึ้น ซึ่งร้อนแรงเหมือนบิดาของพวกมัน พวกเราจะอยู่กันอย่างไร? น้ำทั้งหมดในบึงจะเหือดแห้ง และพวกเราจะต้องตายอย่างน่าเวทนา!”

ฝูงกบที่ยืนฟังอยู่พยักหน้าหงึกหงักและส่งเสียงร้องสนับสนุนคำพูดของกบหัวหน้า ดาวพฤหัสบดีที่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว กบเอ๋ย ดวงอาทิตย์ไม่ได้จะแต่งงานกับดวงอาทิตย์ดวงอื่นหรือสร้างครอบครัวที่ร้อนแรงขึ้น แต่เขาจะแต่งงานกับดวงจันทร์”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเหล่ากบกับดวงอาทิตย์ 2

ฝูงกบต่างตกตะลึงและเริ่มกระซิบกระซาบกันด้วยความสับสน กบตัวหนึ่งถามขึ้น “ดวงจันทร์? ดวงจันทร์ไม่ร้อนเหมือนดวงอาทิตย์หรือ?”

“เจ้าจงรอให้ถึงเวลากลางคืน แล้วเจ้าจะได้เห็นเอง” ดาวพฤหัสบดีตอบด้วยน้ำเสียงสงบ

เมื่อค่ำคืนมาถึง ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า และดวงจันทร์กลมโตปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ดวงจันทร์ส่องแสงนวลตา สว่างสวยงาม แสงของมันเย็นสบาย ไม่ร้อนแรงหรือแผดเผาเหมือนดวงอาทิตย์ กบในหนองบึงเงยหน้ามองด้วยความทึ่งและพากันพูดคุย

“ดวงจันทร์ช่างงดงามนัก!” กบตัวหนึ่งพูดขึ้น

“ใช่แล้ว มันไม่ร้อนเหมือนดวงอาทิตย์เลย แสงของมันทำให้พวกเรารู้สึกสงบด้วยซ้ำ” กบอีกตัวกล่าวเสริม

ไม่นาน ดาวพฤหัสบดีก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงใจดี “พวกเจ้าเห็นแล้วใช่ไหม? ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เจ้าคิดว่าร้ายจะเป็นอันตรายต่อเจ้า ความกลัวของพวกเจ้ามาจากการไม่รู้และการจินตนาการเกินจริง ความหวาดวิตกนั้นทำให้เจ้าทำอะไรที่เกินกว่าเหตุ”

ฝูงกบพยักหน้าด้วยความเข้าใจ กบตัวหนึ่งพูดขึ้น “ขอบคุณท่านผู้ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้พวกเราเห็นความจริง พวกเราจะไม่ตัดสินหรือกลัวในสิ่งที่เราไม่เข้าใจอีกต่อไป”

หลังจากนั้น ฝูงกบก็กลับไปใช้ชีวิตตามปกติในหนองบึงอย่างสงบสุข โดยเรียนรู้ที่จะคิดและพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะตื่นตระหนกในครั้งต่อไป

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเหล่ากบกับดวงอาทิตย์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความกลัวและความกังวลที่เกิดจากการไม่เข้าใจหรือการจินตนาการเกินจริง อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด การเรียนรู้ที่จะรอคอย เปิดใจ และมองเห็นความจริงก่อนตัดสินใจ จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงความวิตกกังวลที่ไม่จำเป็น และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องเหล่ากบกับดวงอาทิตย์ (อังกฤษ: The Frogs and the Sun) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 314 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานนี้ถูกนำมาใช้เป็นอุปลักษณ์ทางการเมืองมาตั้งแต่สมัยคลาสสิก

นิทานนี้มีทั้งเวอร์ชันภาษากรีกและละติน อีสปเล่านิทานถึงกบที่เศร้าโศกเมื่อได้ยินข่าวงานแต่งงานของดวงอาทิตย์ เพราะกบกลัวว่าการแต่งงานจะนำไปสู่การเกิดของดวงอาทิตย์ดวงที่สอง ซึ่งจะทำให้บ่อและหนองน้ำที่กบอาศัยอยู่แห้งเร็วยิ่งขึ้น และกบตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในหนองบึงอธิบายว่า “ดวงอาทิตย์ดวงเดียวก็เพียงพอที่จะเผาบ่อน้ำทั้งหมดได้ และทำให้เราต้องตายอย่างน่าเวทนาในที่พักอาศัยอันแห้งแล้งของเรา จะเกิดอะไรขึ้นกับเราเมื่อดวงอาทิตย์มีลูกชายเป็นของตัวเองที่ร้อนแรงและแผดเผาเช่นเดียวกับบิดาของเขา” Babrius เล่าแบบไม่ได้ปรุงแต่งและปล่อยให้ผู้ฟังสรุปเอาเอง

นิทานนี้สะท้อนถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงที่อาจดูเหมือนดีสำหรับบางคน แต่กลับสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องกบกับวัว

ในโลกของธรรมชาติ สัตว์แต่ละตัวต่างก็มีรูปร่างและขนาดที่แตกต่างกัน แต่ความแตกต่างเหล่านี้ไม่เคยเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต จนกระทั่งบางครั้ง ความอิจฉาและความทะเยอทะยานที่ไร้เหตุผลอาจทำให้สัตว์บางตัวหลงลืมความจริงในสิ่งที่ตัวเองเป็น

เรื่องราวของกบและวัวที่เกิดขึ้นในทุ่งหญ้าจะสอนให้เราได้เห็นถึงผลของการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นอย่างไม่สมเหตุสมผล และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง กับนิทานอีสปเรื่องกบกับวัว

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกบกับวัว

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องกบกับวัว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในทุ่งหญ้าเขียวขจี มีบึงน้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่งซึ่งเป็นบ้านของฝูงกบที่อาศัยอยู่อย่างสงบสุข ท่ามกลางต้นหญ้าที่พริ้วไหวตามลม กบตัวแม่ตัวหนึ่งอาศัยอยู่กับลูก ๆ ของมัน มันเป็นกบที่ช่างพูดและมักจะเล่าถึงความสามารถและความภาคภูมิใจในตัวเองให้ลูก ๆ ฟังอยู่เสมอ

วันหนึ่ง ขณะที่พวกมันกำลังเล่นอยู่ในบึงน้ำ ลูกกบตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาที่ขอบบึงและชี้ไปที่ทุ่งหญ้า “แม่! ดูนั่นสิ!” มันร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้น

กบแม่หันไปมองตามสายตาของลูกและเห็นวัวตัวใหญ่กำลังก้มกินหญ้าอยู่กลางทุ่ง ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่และสง่างามของวัว ทำให้ลูก ๆ ของกบมองอย่างทึ่ง

“แม่ วัวตัวใหญ่จังเลย!” ลูกกบตัวหนึ่งพูด “แม่เคยเห็นตัวอะไรใหญ่ขนาดนี้ไหม?”

กบแม่มองวัวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา แต่ก็ยังรักษาความสง่างามของตัวเองไว้ มันพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เจ้าคิดว่าวัวตัวนั้นใหญ่กว่าข้าอย่างนั้นหรือ? ข้าก็สามารถตัวใหญ่ได้เหมือนกัน! ดูนี่สิ!”

พูดจบ กบแม่ก็สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด ร่างของมันเริ่มพองขึ้น ผิวหนังที่เหี่ยวย่นของมันค่อย ๆ ขยายออกจนดูใหญ่ขึ้นกว่าปกติ ลูก ๆ ของมันมองด้วยความประหลาดใจ

“ตอนนี้ล่ะ แม่ใหญ่กว่าวัวหรือยัง?” กบแม่ถามด้วยความภูมิใจ

ลูก ๆ มองดูร่างแม่ที่พองตัวแล้วส่ายหัว “ยังไม่เท่าวัวเลยแม่” พวกมันพูดพร้อมกัน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกบกับวัว 2

กบแม่เริ่มรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ไม่ยอมแพ้ มันสูดลมหายใจอีกครั้ง คราวนี้ใช้แรงมากขึ้นจนร่างของมันพองขึ้นกว่าเดิมมาก “ตอนนี้ล่ะ? ใครใหญ่กว่ากัน?”

ลูกกบยังคงมองวัวและตอบอย่างตรงไปตรงมา “วัวก็ยังใหญ่กว่าค่ะแม่/ครับแม่”

กบแม่โกรธและรู้สึกเสียหน้า มันไม่อาจยอมรับได้ว่าตัวเองไม่สามารถเทียบกับวัวได้ มันจึงพูดด้วยน้ำเสียงดื้อดึง “ข้าจะต้องใหญ่กว่าวัวให้ได้! เดี๋ยวเจ้าจะเห็น!”

คราวนี้มันสูดลมหายใจเข้าไปจนสุดปอด ร่างของมันพองขึ้นเรื่อย ๆ จนดูใหญ่กว่าปกติหลายเท่า แต่ผิวหนังของมันเริ่มตึงมากขึ้นจนเกือบจะระเบิด

“แม่! หยุดเถอะ! ผิวแม่ตึงมากแล้ว มันอันตรายนะ!” ลูกกบตัวหนึ่งร้องเตือนด้วยความกังวล

“ไม่! ข้าต้องใหญ่กว่าวัวให้ได้!” กบแม่ตะโกนด้วยความมุ่งมั่น มันสูดลมหายใจอีกครั้งด้วยแรงทั้งหมดที่มี ร่างของมันพองขึ้นจนถึงขีดจำกัด

ทันใดนั้นเอง เสียง “ปั๊ง!” ก็ดังขึ้น ร่างของกบแม่แตกกระจายกลางอากาศ มันไม่สามารถรับแรงดันที่มากเกินไปได้ และล้มลงเสียชีวิตทันที

ลูก ๆ ของมันมองดูเหตุการณ์ด้วยความตกใจและเศร้าใจ พวกมันไม่คิดว่าความทะเยอทะยานของแม่จะนำไปสู่จุดจบที่น่าเศร้าเช่นนี้

พวกมันมองร่างแม่ที่นอนแน่นิ่งและพูดกันเบา ๆ “แม่ไม่จำเป็นต้องเทียบกับวัวเลย แม่ก็เป็นแม่ที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราอยู่แล้ว”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกบกับวัว 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นและความทะเยอทะยานที่เกินขอบเขต อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย เราควรยอมรับในสิ่งที่เราเป็นและไม่พยายามทำสิ่งที่เกินขีดจำกัดของตัวเอง เพราะความพยายามที่จะเป็นเหมือนคนอื่นอาจทำให้เราสูญเสียสิ่งสำคัญที่เรามีอยู่แล้ว

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องกบกับวัว (อังกฤษ: The Frong and the Ox) เป็นหนึ่งในนิทานอีสปที่ได้รับความนิยม ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 376 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) เนื้อเรื่องเล่าถึงกบที่พยายามพองตัวให้ใหญ่เท่ากับวัว แต่สุดท้ายก็พองจนตัวแตก นิทานนี้มักถูกใช้เป็นอุปลักษณ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสังคมและเศรษฐกิจ

เรื่องราวมีเวอร์ชันคลาสสิกทั้งในภาษากรีกและละติน และยังถูกเล่าใหม่ในยุคกลาง เช่น ฉบับกลอนของวอลเตอร์แห่งอังกฤษ และในยุคเรเนซองส์ก็มีบทกวีภาษาละตินโดย Hieronymus Osius ในบางแหล่งเล่าไว้ว่า กบเห็นวัวและพยายามพองตัวให้ใหญ่เท่ากับมัน ส่วนในอีกแหล่งหนึ่ง กบได้ยินเรื่องราวของสัตว์ขนาดมหึมาจากกบตัวอื่น และพยายามพองตัวพลางถามเป็นระยะว่า “มันใหญ่เท่านี้หรือยัง?”

นิทานนี้เตือนใจเกี่ยวกับความทะเยอทะยานที่เกินตัว ซึ่งอาจนำไปสู่หายนะของตนเอง คนจนจะต้องตายเมื่อเขาพยายามเลียนแบบคนรวยและคนมีอำนาจ

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องกบกับหนู

ในป่าใหญ่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยชีวิตและการเคลื่อนไหว มีสัตว์หลายชนิดที่ต้องพึ่งพากันและกันเพื่อความอยู่รอด และบางครั้ง พวกมันก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง

แม้แต่การช่วยเหลือผู้อื่นก็อาจนำมาซึ่งความโชคร้ายที่พวกมันไม่ทันตั้งตัว เรื่องราวของกบและหนูจะทำให้เราเห็นว่า การช่วยเหลือในบางครั้งอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป ถ้าหากไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา… กับนิทานอีสปเรื่องกบกับหนู

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกบกับหนู

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องกบกับหนู

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หนูตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งกำลังเดินไปตามริมฝั่งลำธารที่ไหลเย็น มันรู้สึกหิวและอ่อนเพลียจากการเดินทางไกล หลายครั้งที่มันพยายามข้ามลำธารนี้ แต่ไม่สามารถทำได้เพราะน้ำลึกเกินไป จึงต้องหยุดอยู่ที่ฝั่งแล้วหวังว่าจะหาทางข้ามไปฝั่งตรงข้ามในวันถัดไป

ขณะที่มันนั่งอยู่ริมฝั่งนั้นเอง มันได้พบกับกบตัวหนึ่งที่กำลังกระโดดเล่นอยู่ใกล้ ๆ น้ำ กบตัวนั้นมีสีเขียวสดและเสียงกระโดดที่ดังไปทั่ว

“สวัสดีเจ้ากบ! ข้าคือหนูที่ต้องการข้ามแม่น้ำนี้ไปฝั่งตรงข้าม เพื่อไปหาพื้นที่ที่มีอาหารมากมาย แต่ข้าไม่สามารถข้ามได้เพราะน้ำลึกเกินไป” หนูพูดด้วยเสียงอ่อนล้า

กบฟังแล้วก็หยุดกระโดดและหันมามองหนู

“ทำไมเจ้าถึงไม่ข้ามไปเองล่ะ? น้ำไม่ลึกเกินไปหรอก” กบถาม

“ข้าไม่สามารถว่ายน้ำได้เลย น้ำมันลึกมาก ข้ากลัวว่าจะจมน้ำ” หนูตอบอย่างวิตก

กบคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น “ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะพาเจ้าไปข้ามแม่น้ำเอง ขึ้นมาอยู่บนหลังของข้าแล้วข้าจะพาเจ้าว่ายข้ามไปอย่างปลอดภัย”

หนูรู้สึกดีใจและขอบคุณกบมาก มันกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังของกบทันที และทั้งสองก็เริ่มข้ามน้ำไป

ระหว่างทาง กบดำไปได้อย่างคล่องแคล่ว ด้วยขาที่แข็งแรงและทักษะการว่ายน้ำที่ยอดเยี่ยม ขณะที่หนูที่อยู่บนหลังของมันรู้สึกมั่นใจมากขึ้น แต่ความกังวลก็ยังไม่หายไป เพราะมันยังไม่เคยข้ามน้ำขนาดนี้มาก่อน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกบกับหนู 2

เมื่อทั้งสองกำลังจะไปถึงกลางลำธาร น้ำกลับเริ่มลึกขึ้นเรื่อย ๆ และกระแสน้ำเริ่มแรงขึ้น กบที่ยังดำไปได้ดีค่อย ๆ ดำน้ำลงไปอีกเพื่อไปต่อ แต่หนูกลับรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจมลงไปแล้ว

“ข้ากำลังจม!” หนูร้องด้วยเสียงตกใจ ขาทั้งสี่ของมันพยายามแย่งกันดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองลอยขึ้นจากน้ำ แต่ในขณะที่น้ำเริ่มสูงขึ้น หนูกลับยิ่งจมลงไปเรื่อย ๆ

“ไม่ต้องกลัว!” กบตอบกลับด้วยเสียงที่พยายามปลอบใจหนู “ข้าจะพาเจ้าผ่านไปให้ได้ ไม่ต้องตกใจนะ”

แต่หนูไม่สามารถทำให้ตัวเองลอยได้ มันกลัวจนตะโกนขอความช่วยเหลือจากกบ

“ช่วยข้าด้วย! ข้าจะจมแล้ว!” หนูร้องเสียงดัง

กบพยายามที่จะช่วยหนูให้ลอยขึ้นจากน้ำแต่ก็เป็นไปได้ยาก เพราะทั้งตัวของหนูและกบอยู่ในน้ำและกระแสน้ำที่แรงทำให้กบยากที่จะควบคุมสถานการณ์ได้

ขณะที่ทั้งสองกำลังดิ้นรนอยู่นั้น เหยี่ยวที่บินอยู่บนท้องฟ้ามองเห็นทั้งสองแล้วคิดว่าจะต้องเป็นเหยื่อที่ดี มันบินลงมาทันทีและใช้กรงเล็บที่คมกริบจับหนูขึ้นไปจากน้ำ

“เหยี่ยว!” หนูร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นเหยี่ยวพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว กบที่ยังอยู่ใกล้หนูก็ถูกเหยี่ยวจับไปด้วย เพราะมันยังคงอยู่ติดกับหนู

เหยี่ยวพาหนูและกบขึ้นไปสูงจนพวกมันไม่สามารถหนีได้ ทั้งสองถูกจับและพาขึ้นไปที่ที่มันจะกิน

หนูรู้สึกสำนึกผิดอยู่ในใจ “ข้าควรจะระวังมากกว่านี้ ควรคิดถึงผลที่ตามมา” มันคิดในใจ

ในขณะที่กบเองก็รู้สึกเช่นกัน “ข้าช่วยเจ้าข้ามน้ำไป แต่กลับต้องติดร่างแหไปด้วย ข้าคงไม่คิดว่าการช่วยเหลือจะนำมาซึ่งผลที่เลวร้ายแบบนี้”

สุดท้ายเหยี่ยวก็กินทั้งหนูและกบไป

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกบกับหนู 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่คิดถึงผลเสียที่อาจตามมา อาจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายได้” บางครั้งการช่วยเหลืออาจดูเหมือนเป็นการกระทำที่ดี แต่มันก็มีความเสี่ยงที่เราอาจต้องเผชิญ หากเราไม่พิจารณาผลที่ตามมาดี ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจช่วยเหลือใคร

การทำการตัดสินใจหรือการร่วมมือกับผู้อื่นโดยขาดการคิดอย่างรอบคอบอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด และการพึ่งพาผู้อื่นในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เราเผชิญกับอันตรายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องกบกับหนู (อังกฤษ: The Frog and the Mouse) เป็นหนึ่งในนิทานอีสปและมีหลายเวอร์ชั่น ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 384 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่ผิดธรรมชาติ นิทานเหล่านี้สื่อถึงการที่ผู้ทรยศจะถูกทำลายจากการกระทำของตนเอง

เรื่องราวหลักคือ หนูตัวหนึ่งขอให้กบพาไปข้ามลำธารและถูกผูกติดอยู่กับหลังของกบ ขณะกำลังข้ามไปกลางทาง กบดำน้ำและพาหนูไปด้วย แต่หนูกลับดิ้นรนลอยขึ้นมาบนน้ำเพราะดำน้ำไม่ได้ เมื่อเหยี่ยวตัวหนึ่งผ่านมาจึงจับหนูขึ้นไปและพากบตามไปด้วย สุดท้ายเหยี่ยวก็ทำลายทั้งคู่

การทรยศมักจะนำไปสู่การทำลายตัวเองเสมอ

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องกบกับจิ้งจอก

ในป่าลึกที่เต็มไปด้วยเสียงของสัตว์และธรรมชาติ มีสัตว์หลายชนิดที่มักจะพูดถึงตัวเองในแง่ดีเสมอ บางครั้งพวกมันก็อ้างถึงความสามารถพิเศษที่มีหรือความรู้ที่พวกมันคิดว่าเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน แต่การโอ้อวดเกินจริงอาจนำมาซึ่งการเปิดเผยความจริงที่ไม่น่าคาดคิด

นิทานเรื่องนี้จะพาเราไปพบกับกบตัวหนึ่งที่อ้างตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคของสัตว์ต่าง ๆ ด้วยสมุนไพร แต่เมื่อจิ้งจอกสังเกตและตั้งคำถาม ก็เกิดเรื่องที่น่าสนใจขึ้นจนทำให้เราตระหนักถึงข้อผิดพลาดในการโอ้อวด กับนิทานอีสปเรื่อกบกับจิ้งจอก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกบกับจิ้งจอก

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องกบกับจิ้งจอก

ในป่าลึกแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และสัตว์หลากหลายชนิด มีกบตัวหนึ่งที่มักจะเดินไปตามทางเดินในป่าและอ้างตัวเองว่าเป็นหมอที่เชี่ยวชาญในการใช้พืชสมุนไพร ทุกครั้งที่พบสัตว์อื่น ๆ มันจะบอกว่ามันสามารถรักษาโรคของสัตว์ทุกตัวในป่าได้ด้วยสมุนไพรที่มันรู้จักดี มันพูดถึงสมุนไพรที่หาได้ตามป่าและอ้างว่ามีความรู้มากมายเกี่ยวกับการรักษาโรคที่ไม่มีใครรู้

วันหนึ่ง กบพบกับสุนัขจิ้งจอกในป่า จิ้งจอกกำลังเดินตามทางของมันด้วยท่าทางที่สงบและมั่นใจ เมื่อมันเห็นกบ มันก็ได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยการโอ้อวดจากกบที่บอกว่า “ข้าคือหมอที่ไม่มีใครเทียบได้! ข้ารู้จักสมุนไพรทุกชนิดในโลก สามารถรักษาโรคต่าง ๆ ของสัตว์ในป่าได้ทั้งหมด!”

จิ้งจอกที่ได้ยินก็รู้สึกสงสัยและไม่เชื่อในคำพูดของกบ มันจึงหยุดเดินและถามขึ้นว่า “เจ้าพูดอย่างนั้นจริงหรือ? ถ้าเจ้าสามารถรักษาโรคได้ดีขนาดนั้น ทำไมเจ้าถึงมีผิวพรรณที่ดูอ่อนแอและไม่แข็งแรงล่ะ? เจ้าก็ยังดูเหมือนว่าตัวเองก็ต้องการการรักษาเสียมากกว่าข้าเสียอีก”

กบถูกคำถามนี้สะกิดเข้าไปที่ใจ มันไม่คิดมาก่อนว่าคำถามนี้จะมีความหมายลึกซึ้งขนาดนั้น มันพยายามจะหาเหตุผลมาตอบ แต่มันก็ยังรู้ดีว่า สีผิวของมันนั้นดูซีดและอ่อนแอ

“เอ่อ… ข้าคงต้องบอกว่า… ข้าเพิ่งจะป่วยไปไม่นานนี้เอง” กบพูดออกไปอย่างไม่มั่นใจนัก “แต่ข้าเคยรักษาให้กับสัตว์ตัวอื่น ๆ ได้ดีเสมอ และข้าก็มีความรู้ในการใช้สมุนไพรที่ดี”

จิ้งจอกยิ้มเล็กน้อย และหันไปมองที่ผิวของกบที่ดูอ่อนแอ “เจ้าบอกว่ารักษาโรคของผู้อื่นได้ แต่ทำไมเจ้าถึงไม่สามารถรักษาตัวเองได้? เจ้าบอกว่าเจ้ามีความรู้ในการรักษาโรค แต่ในตัวของเจ้ากลับมีสัญญาณของความเจ็บป่วยอย่างชัดเจน” มันกล่าว

กบเริ่มรู้สึกอายอย่างมาก มันไม่สามารถอธิบายได้ดีเท่าที่มันคิดไว้ ในขณะที่จิ้งจอกพูดถึงเรื่องนี้ มันก็เริ่มสังเกตเห็นถึงการขาดความมั่นใจในตัวเองอย่างชัดเจน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกบกับจิ้งจอก 2

“การรักษาโรคของผู้อื่นจะมีความหมายอะไร หากเจ้าหาทางรักษาตัวเองไม่ได้ก่อนล่ะ?” จิ้งจอกถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความฉลาด

กบรู้สึกอับอายจนไม่สามารถหาคำพูดตอบได้ มันรู้สึกว่าแผนการที่มันเคยโอ้อวดไปนั้นเริ่มจะถูกเปิดเผย ความจริงที่มันไม่สามารถปกปิดได้ก็เริ่มปรากฏออกมา

“การโอ้อวดมักจะจบลงด้วยการเปิดเผยตัวเอง” จิ้งจอกกล่าวต่อด้วยเสียงที่หนักแน่น “เจ้าบอกว่าตัวเองรักษาคนอื่นได้ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่สามารถรักษาตัวเองได้แม้แต่นิดเดียว นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้คำพูดของเจ้าไม่น่าเชื่อถือ”

กบได้ยินคำพูดของจิ้งจอกและรู้สึกถึงความผิดพลาดของตัวเอง มันไม่สามารถหาคำพูดมาป้องกันตัวเองได้ในตอนนี้ มันคิดว่า “ทำไมข้าถึงไม่ได้ระวังเรื่องนี้มาก่อนหน้านี้?”

จิ้งจอกมองกบด้วยสายตาที่ไม่แสดงความรังเกียจ แต่พูดอย่างมีเหตุผล “ข้าไม่เคยบอกว่าข้ารู้ทุกอย่าง และข้าไม่เคยโอ้อวดว่าข้าเก่งที่สุด แต่ข้าเข้าใจในสิ่งที่ข้าทำ และข้ารู้ว่าข้าจะทำอะไรได้ดีเมื่อเวลามาถึง และการโอ้อวดของเจ้าในวันนี้ก็ทำให้ตัวเจ้าเองถูกเปิดเผย”

กบได้ยินคำพูดของจิ้งจอกแล้วก็สงบลง มันรู้สึกถึงความอับอายจากการที่มันได้หลอกลวงผู้อื่นด้วยการโอ้อวดเกินจริง

“ขอบใจเจ้าที่เตือนข้า” กบกล่าวอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะหันไปอย่างอ่อนแอ มันไม่ได้พูดอะไรอีกและเดินจากไปในที่สุด

ปกนิทานอีสปเรื่องกบกับจิ้งจอก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การโอ้อวดเกินจริงหรือการกล่าวอ้างที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้จริงนั้น มักจะนำไปสู่การเปิดเผยความจริงในที่สุด การพูดถึงความสามารถหรือความรู้ที่ไม่สามารถทำได้จริงจะทำให้เราดูไม่น่าเชื่อถือ และบางครั้งการไม่ยอมรับความบกพร่องของตัวเองก็อาจทำให้เราเสียเครดิตในสายตาผู้อื่น ดังนั้นจึงควรพูดความจริงและรู้จักยอมรับตัวเอง อย่างจริงใจและสมเหตุสมผล

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องกบกับจิ้งจอก (อังกฤษ: The Frog and the Fox) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป โดยมีลักษณะเป็นเรื่องขำขันที่เสียดสีการเป็นหมอที่ไม่แท้จริง ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 289 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

กบตัวหนึ่งออกจากบึงของตัวเองและอ้างตัวว่าเป็นหมอที่สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่เมื่อจิ้งจอกผู้สงสัยถามว่า ทำไมกบถึงไม่สามารถรักษาความพิการและสีหน้าที่ดูอ่อนแอของตนเองได้ กบจึงโดนจิ้งจอกล้อเลียน ซึ่งสะท้อนสุภาษิตกรีกที่ว่า “หมอต้องรักษาตัวเองก่อน” ที่มีการใช้ในสมัยของอีสป (และต่อมาถูกอ้างในพระคัมภีร์คริสเตียน) นิทานนี้บันทึกเป็นภาษากรีกโดย Babrius และต่อมาถูกแปลเป็นภาษาละตินโดย Avianus

คำอ้างที่โอ้อวดมักจะเผยให้เห็นในตัวมันเองเสมอ

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องกระต่ายตื่นตูม

ในป่าลึกที่มีสัตว์นานาชนิดอาศัยอยู่ ทุกชีวิตต่างใช้ชีวิตในวิถีของตัวเองอย่างสงบสุข แต่ท่ามกลางความเงียบสงบนั้น บางครั้งเสียงเล็ก ๆ ก็สามารถกระตุ้นความกลัวในใจของผู้ที่ไม่ทันคิด

ไม่นานนัก กระต่ายตัวหนึ่งก็ได้ยินเสียงที่ทำให้มันตกใจจนวิ่งหนีอย่างไม่ทันตั้งตัว โดยไม่ได้ตรวจสอบว่ามันเป็นอันตรายจริงหรือไม่ เรื่องราวจะพาเราไปเห็นว่าบางครั้งการตัดสินใจจากความกลัวโดยไม่คิดอาจนำไปสู่การตื่นตระหนกที่ไม่จำเป็นและสร้างความวุ่นวายให้กับผู้อื่นได้อย่างไร… กับนิทานอีสปเรื่องกระต่ายตื่มตูม

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกระต่ายตื่นตูม

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องกระต่ายตื่นตูม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าลึกที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และทุ่งหญ้าเขียวขจี ฝูงกระต่ายใช้ชีวิตอย่างสงบสุข พวกมันวิ่งเล่นกันตามทุ่งหญ้าและหากินหญ้าสด ๆ โดยไม่เคยพบเจออันตรายใด ๆ วันหนึ่ง ขณะที่พวกมันกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นอย่างมีความสุข กระต่ายตัวหนึ่งได้ยินเสียงดัง “ตุ๊บ!” มาจากในป่า

เสียงนั้นดังจนทำให้กระต่ายตกใจและรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว มันวิ่งไปหากระต่ายตัวอื่น ๆ ที่กำลังหากินอยู่ในทุ่งหญ้าและตะโกนบอกให้พวกมันหนีไปทันที

“โลกกำลังจะแตกสลาย! ท้องฟ้ากำลังจะถล่ม!” กระต่ายตะโกนเสียงดังด้วยความหวาดกลัว

กระต่ายตัวอื่น ๆ หันมามองด้วยความตกใจ และเริ่มวิ่งหนีตามไปทันที โดยไม่ถามหรือตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้น กระต่ายทุกตัวตื่นตระหนกและหลบหนีไปในทิศทางต่าง ๆ โดยไม่มีทิศทางที่ชัดเจน

แต่ท่ามกลางความตื่นตระหนกนั้น ก็มีนกฮูกตัวหนึ่งที่เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดจากบนกิ่งไม้สูง นกฮูกนั้นเป็นสัตว์ที่มีประสบการณ์มากมายและมักจะคอยเฝ้าดูสถานการณ์ในป่าอย่างละเอียด มันบินลงมาหยุดอยู่ข้างกระต่ายตัวหนึ่งที่กำลังวิ่งหนีและกล่าวด้วยเสียงที่สงบ

“พวกเจ้ากำลังกังวลอะไร? ทำไมถึงหนีไปอย่างไร้เหตุผล?”

กระต่ายตัวนั้นหยุดวิ่งและหันไปมองนกฮูกด้วยความตกใจ “เรากลัว! เราได้ยินเสียงดังมาและคิดว่าท้องฟ้ากำลังจะถล่ม!” กระต่ายพูดด้วยเสียงสั่นเครือ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกระต่ายตื่นตูม 2

นกฮูกพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ความกลัวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ แต่บางครั้งเราอาจจะตกใจจากสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายเลย การหยุดและคิดอย่างรอบคอบจะช่วยให้เรามองเห็นสิ่งที่เป็นจริง”

กระต่ายตัวนั้นยังคงดูงง ๆ แต่นกฮูกก็เริ่มอธิบาย “การฟังเสียงต่าง ๆ ในป่าเป็นเรื่องที่ดี แต่เราไม่ควรวิ่งหนีจากมันเพียงแค่เพราะเรากลัว การที่เราไม่ตรวจสอบก่อนนั้นอาจทำให้เราทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล และทำให้คนอื่น ๆ ตื่นตระหนกไปด้วย”

หลังจากนั้น นกฮูกก็ชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ ๆ “เจ้าดูสิ นั่นคือเสียงผลไม้ลูกใหญ่ร่วงหล่นจากต้นไม้ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย”

กระต่ายตัวนั้นหันไปมองและเห็นผลไม้ลูกใหญ่ที่ร่วงหล่นลงมา มันรู้สึกอายและเสียใจที่ทำให้พวกมันตกใจไปทั้งหมดโดยไม่จำเป็น

“ขอโทษทุกคน” กระต่ายพูดเบา ๆ “พวกเราตกใจเกินเหตุไปเอง”

นกฮูกมองไปที่กระต่ายและพูดต่อ “บางครั้งความกลัวทำให้เราเห็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แต่ถ้าเรามีสติและพิจารณาสถานการณ์อย่างรอบคอบ เราก็จะเห็นว่าบางสิ่งที่เราเคยกลัวนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่อันตรายเลย”

กระต่ายทุกตัวที่ได้ยินคำพูดนี้ก็เริ่มหัวเราะออกมา และค่อย ๆ กลับไปที่ทุ่งหญ้า โดยไม่ตกใจอีกต่อไป ทุกตัวรู้สึกได้ถึงการเรียนรู้ครั้งสำคัญว่า เราควรหยุดและคิดอย่างมีสติเมื่อเกิดความกลัว แทนที่จะรีบหนีไปโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกระต่ายตื่นตูม 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความกลัวที่เกิดจากการไม่เข้าใจหรือไม่รู้จักสถานการณ์ สามารถทำให้เราเกิดความวิตกกังวลที่เกินความจำเป็น และทำให้เราตัดสินใจหรือกระทำบางสิ่งโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน ซึ่งอาจส่งผลให้คนอื่น ๆ ตื่นตระหนกไปด้วย เช่นเดียวกับกระต่ายที่หนีไปโดยไม่ตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ การหยุดคิดและพิจารณาสถานการณ์อย่างมีสติ จะช่วยให้เราเข้าใจความเป็นจริงและทำให้เราสามารถเผชิญกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีเหตุผล โดยไม่ตกอยู่ในความกลัวที่ไร้สาระ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องกระต่ายตื่นตูม (อังกฤษ: The Frightened Hares) โดยมาจากกระต่ายเป็นสัตว์ที่มักถูกมองว่าขี้ขลาด และนิทานหลายเรื่องได้ถูกสร้างขึ้นจากพฤติกรรมนี้ เรื่องที่รู้จักกันดีที่สุดคือ “กระต่ายกับกบ” ซึ่งปรากฏในนิทานอีสป ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 138 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันในวัฒนธรรมเอเชียและมีการดัดแปลงหลายครั้งตลอดหลายศตวรรษ

โดยเนื้อหาต้นตำรับค่อนข้างจะหดหู่ ทางเราจึงใช้เนื้อเรื่องที่ซอร์ฟลงกว้่าแทน โดยต้นตำรับคือเมื่อกระต่ายกลุ่มหนึ่งรู้สึกท้อแท้จนตัดสินใจว่าจะจบปัญหาชีวิตของพวกมันเอง พวกมันจึงออกเดินทางไปหาสถานที่เหมาะสมสำหรับการทำเช่นนั้น และตกลงกันว่าจะไปที่บ่อน้ำ เมื่อไปถึง บรรดากบที่อาศัยอยู่ใกล้บ่อน้ำตกใจจากเสียงฝีเท้าของกระต่ายและรีบหนีไปหลบซ่อนอยู่ในน้ำ กระต่ายตัวหนึ่งเห็นเข้า จึงพูดขึ้นว่า “กลับกันเถอะ! ดูสิ! ยังมีสิ่งมีชีวิตที่กลัวมากกว่าพวกเราซะอีก!”

นิทานนี้สื่อถึงการที่บางครั้งคนที่รู้สึกท้อแท้หรือทุกข์ใจอาจได้รับกำลังใจจากการเห็นว่าคนอื่น ๆ หรือสิ่งอื่น ๆ ยังต้องเผชิญกับความกลัวหรือสถานการณ์ที่แย่กว่าตนเองเสียอีก

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอก เหล่าแมลงและเม่น

ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังเดินไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยใบไม้และกิ่งไม้ มันรู้สึกหงุดหงิดจากการถูกแมลงต่าง ๆ รบกวน ไม่ว่าจะเป็นแมลงวัน เห็บ หรือยุงที่บินมาเกาะตัวมันอย่างต่อเนื่อง จนมันต้องหยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อสงบสติอารมณ์

ขณะนั้น เม่นตัวหนึ่งที่เดินผ่านมาเห็นสุนัขจิ้งจอกที่กำลังหงุดหงิดและเสนอความช่วยเหลือ แต่มันกลับพบว่า ปัญหาของสุนัขจิ้งจอกไม่ใช่แค่เรื่องของการขจัดแมลงชั่วคราว แต่มีคำตอบที่ลึกซึ้งกว่านั้น… กับนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอก เหล่าแมลงและเม่น

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอก เหล่าแมลงและเม่น

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอก เหล่าแมลงและเม่น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าใหญ่ที่มีต้นไม้สูงใหญ่และเงียบสงบ สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังเดินไปตามเส้นทางที่รกทึบ ดินที่เปียกชื้นทำให้มันต้องระมัดระวังทุกก้าว ใบไม้และกิ่งไม้ที่แข็งแรงคดเคี้ยวไปมามักจะทิ่มเข้าที่ขาของมันจนเกือบทำให้มันสะดุดล้มหลายครั้ง เสียงลมพัดผ่านใบไม้ทำให้มีเสียงกระหึ่มอยู่รอบ ๆ แต่มันก็ไม่สามารถลบเสียงที่รบกวนจากแมลงหลาย ๆ ชนิดได้เลย

เหล่าแมลงบินมารบกวนรอบตัวมันตลอดเวลา บางตัวก็มาตอมหน้าของมัน บางตัวก็มาตามขา บางตัวก็มาบินเกาะที่หูของมัน สุนัขจิ้งจอกพยายามขยับหางและยกขาขึ้นเพื่อไล่แมลงเหล่านั้นออกไป แต่มันกลับรู้สึกว่าแมลงเหล่านั้นเหมือนจะมาใหม่ทุกครั้งที่มันพยายามไล่

นอกจากนี้ยังมีเห็บที่แอบซ่อนตัวอยู่ในขนของมัน และยุงที่มาบินใกล้ ๆ กัดที่ผิวหนังจนมันรู้สึกเจ็บปวด ทุกครั้งที่มันพยายามไล่พวกมันก็ต้องหยุดเพราะความเหนื่อยล้าและความหงุดหงิดจากการถูกรบกวน

สุนัขจิ้งจอกเริ่มรู้สึกท้อแท้ มันเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความเครียดและเหนื่อยล้า มันรู้สึกเหมือนว่าทุกที่ที่มันไปนั้นมีแต่ปัญหาที่ต้องเผชิญ แม้จะพยายามหลบเลี่ยงก็ไม่สามารถหาที่สงบได้

ในขณะที่สุนัขจิ้งจอกกำลังเดินผ่านใต้ต้นไม้ใหญ่ มันก็รู้สึกว่าไม่สามารถทนต่อความรบกวนได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจหยุดพักใต้ต้นไม้แห่งหนึ่งที่มีเงาอ่อน ๆ ของใบไม้ พยายามสงบสติอารมณ์ หอบหายใจยาว ๆ และรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่เริ่มทวีคูณ

ในขณะนั้นเอง เม่นตัวหนึ่งที่กำลังเดินผ่านมาเห็นสุนัขจิ้งจอกที่กำลังหงุดหงิดและเหนื่อยล้าก็เดินเข้ามาหามันอย่างเงียบ ๆ และกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลว่า

“เจ้าดูเหมือนจะลำบากมากนะ ข้ามองดูเจ้ามาตั้งแต่ไกลแล้ว เจ้าถูกแมลงรบกวนอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม?”

สุนัขจิ้งจอกเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เม่นด้วยท่าทางเหนื่อยล้า ก่อนจะตอบด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ใช่ ข้าไม่รู้จะทำยังไงแล้ว พวกแมลงเหล่านี้มากวนข้าตลอดเวลา ข้าก็พยายามขับไล่มันออกไปแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะไม่หายไปง่าย ๆ เลย”

เม่นยิ้มอ่อน ๆ และนั่งลงข้าง ๆ สุนัขจิ้งจอก “ถ้าอย่างนั้น ข้าช่วยเจ้ากำจัดพวกมันออกไปก็ได้นะ พวกมันคงจะหายไปเร็ว ๆ นี้”

สุนัขจิ้งจอกมองไปที่เม่นและส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก ข้าไล่พวกมันไปได้บ้าง แต่มันไม่ใช่ปัญหาที่จะหายไปได้จริง ๆ แมลงพวกนี้กินเลือดของข้าไปจนพอแล้ว พวกมันคงจะไม่กลับมารบกวนข้าอีกแล้ว”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอก เหล่าแมลงและเม่น 2

เม่นฟังอย่างตั้งใจและยังคงนั่งข้าง ๆ สุนัขจิ้งจอก “แต่ถ้าเจ้ากำจัดพวกมันไปแล้ว พวกมันก็จะไม่กลับมาอีกใช่ไหม? ข้าแค่คิดว่าเจ้าจะได้พักผ่อนจากการรบกวนพวกมันสักระยะ”

สุนัขจิ้งจอกยกหางขึ้นเล็กน้อยและตอบอย่างมีเหตุผล “เจ้าคิดว่าแมลงพวกนั้นจะหายไปใช่ไหม? แต่มันไม่ใช่แบบนั้น หากข้ากำจัดพวกมันออกไปจริง ๆ ก็จะมีฝูงใหม่มาหาอยู่ดี เห็บและยุงเหล่านั้นอาจจะหายไปชั่วคราว แต่พวกมันก็จะกลับมาอีกเหมือนเดิม การไล่พวกมันออกไปโดยไม่มีวิธีที่ยั่งยืน มันก็เหมือนการซ่อมแซมหลังคารั่วด้วยผ้าใบ มันไม่สามารถแก้ไขได้จริง ๆ”

เม่นฟังคำพูดของสุนัขจิ้งจอกแล้วก็คิดอย่างรอบคอบ มันเริ่มเข้าใจว่า สุนัขจิ้งจอกไม่ได้หมายถึงการไม่รับความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ แต่เป็นการมองถึงความจริงในปัญหาที่มันกำลังเผชิญ และการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ

“ข้าเข้าใจแล้ว” เม่นกล่าวเสียงนุ่ม “บางครั้งการจัดการปัญหาชั่วคราวอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่การหาวิธีที่ยั่งยืนและการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก”

สุนัขจิ้งจอกยิ้มและพยักหน้า “ขอบใจเจ้ามาก, เม่น ข้าแค่ต้องการให้ปัญหานี้หายไปในระยะยาว แต่มันก็ต้องใช้เวลาหาวิธีที่เหมาะสม บางทีเราก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดในทันทีได้”

เม่นยิ้มและนั่งเงียบ ๆ ข้าง ๆ สุนัขจิ้งจอก ในขณะที่ทั้งสองยังคงนั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ รอให้ฝูงแมลงที่รบกวนเริ่มหายไปเอง เหล่าแมลงที่เคยบินมาเกาะตัวสุนัขจิ้งจอกเริ่มบินออกไปตามทิศทางของลม สุนัขจิ้งจอกรู้สึกถึงความสงบที่กลับคืนมาและสัมผัสถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งในตัวเม่น

หลังจากเวลาผ่านไปอีกสักพัก ความรู้สึกหงุดหงิดและเหนื่อยล้าของสุนัขจิ้งจอกเริ่มลดน้อยลง มันเริ่มรู้สึกว่ามันสามารถรับมือกับความรบกวนเหล่านั้นได้ดีกว่าเดิม ในที่สุดมันก็กลับมามองเห็นความสงบในตัวเอง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอก เหล่าแมลงและเม่น 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางครั้งการแก้ปัญหาชั่วคราวไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้ และการหาวิธีที่ยั่งยืนในการจัดการกับปัญหาจะช่วยให้เรารับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังสอนให้เรายอมรับสถานการณ์และความจริงที่เกิดขึ้น แทนที่จะหลีกเลี่ยงหรือมองหาทางออกที่ไม่ยั่งยืน การเข้าใจและเปิดใจรับคำแนะนำจากผู้อื่นก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันอาจช่วยให้เราเห็นมุมมองใหม่ ๆ และหาทางออกที่เหมาะสมในที่สุด

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอก เหล่าแมลงและเม่น (อังกฤษ: The Fox, the Flies and the Hedgehog) ถือได้ว่าเป็นนิทานของอีสปเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่แรกเริ่ม นิทานเรื่องนี้ถูกนำไปใช้ในเชิงเสียดสีกับผู้นำทางการเมือง ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 427 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

ในนิทานเรื่องนี้ จิ้งจอกที่อ่อนแอถูกแมลง เช่น ยุง หรือเห็บ ก่อกวนอยู่ เม่นเสนอตัวช่วยขจัดแมลงเหล่านี้ แต่จิ้งจอกปฏิเสธ เพราะบอกว่าแมลงพวกนี้ได้กินเลือดจนพอแล้ว และไม่ได้รบกวนมันมากนัก ถ้าขับไล่แมลงเหล่านี้ออกไป ฝูงใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่อยู่ดี

นิทานนี้อริสโตเติลอ้างถึงในงานเรื่องการพูดจูงใจ (Rhetoric) เพื่ออธิบายแนวทางการสอนบทเรียนทางการเมืองของอีสป โดยใช้ตัวอย่างนี้เป็นการเปรียบเทียบกับการเลือกนักการเมืองที่หลอกลวง ถ้าเรากำจัดนักการเมืองที่โกงไป ก็อาจทำให้มีคนที่ยังไม่ได้โกงมาทำแทน ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก สรุปง่าย ๆ คือ การเปลี่ยนคนที่ทำร้ายเราไป อาจทำให้เราต้องเจอกับคนที่ทำร้ายเรามากกว่าเดิม

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องสุนัขจิ้งจอกกับคนตัดไม้

ในป่าลึกที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดผ่านยอดไม้และเสียงนกร้องเป็นเพื่อนของธรรมชาติ วันหนึ่ง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ และเสียงเห่าของสุนัขล่าดังสะท้อนไปทั่ว ความสงบถูกแทนที่ด้วยความตื่นตระหนก สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังหนีเอาชีวิตรอดจากนักล่าที่ตามไล่มันอย่างไม่ลดละ

เมื่อความสิ้นหวังคืบคลานเข้ามา มันมองเห็นบ้านของคนตัดไม้ในระยะไกล หวังว่านี่อาจเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายของมัน แต่ใครจะรู้ว่า การร้องขอความช่วยเหลือในครั้งนี้จะกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่มันไม่มีวันลืม… กับนิทานอีสปเรื่องสุนัขจิ้งจอกกับคนตัดไม้

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสุนัขจิ้งจอกกับคนตัดไม้

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องสุนัขจิ้งจอกกับคนตัดไม้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่ากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงนกและลำธารใส สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังวิ่งหนีสุดชีวิต เสียงเห่าของสุนัขล่าและเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของนักล่าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จิ้งจอกหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้าและหวาดกลัว มันรู้ว่าหากไม่พบที่ซ่อน มันอาจจะต้องจบชีวิตลงในวันนี้

ขณะมองหาอย่างสิ้นหวัง มันเห็นกระท่อมเล็ก ๆ ริมป่า มีคนตัดไม้กำลังผ่าฟืนอยู่ใกล้ ๆ จิ้งจอกรีบวิ่งตรงไปยังชายคนนั้นทันที “ท่านคนตัดไม้! ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะ นักล่ากำลังตามข้า ข้าไม่มีที่ไปแล้ว!”

คนตัดไม้หยุดงานและมองจิ้งจอกด้วยความสงสาร เขาเห็นว่ามันเหนื่อยล้าและหวาดกลัวแค่ไหน “ได้สิ ข้าจะช่วยเจ้า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น พร้อมชี้ไปที่มุมหนึ่งของบ้าน “ไปซ่อนอยู่หลังฟืนกองนั้น เจ้าจะปลอดภัยที่นั่น”

“ขอบคุณมาก ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของท่าน” จิ้งจอกพูดพร้อมรีบวิ่งไปซ่อนในที่ที่คนตัดไม้บอก

ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มนักล่าที่ถืออาวุธครบมือพร้อมสุนัขคู่ใจของพวกเขาก็มาถึงบ้านของคนตัดไม้ พวกเขาเรียกคนตัดไม้ออกมาถามเสียงดัง “เจ้าเห็นสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งวิ่งผ่านมาแถวนี้หรือไม่? เรากำลังตามล่ามัน”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสุนัขจิ้งจอกกับคนตัดไม้ 2

คนตัดไม้ยืนอยู่หน้าประตูและตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่เลย ข้าไม่ได้เห็นจิ้งจอกตัวไหนเลย”

แต่ในขณะที่เขาพูด เขากลับใช้มือชี้ไปยังมุมที่จิ้งจอกซ่อนตัวอยู่

จิ้งจอกที่แอบดูเหตุการณ์จากที่ซ่อนเห็นสิ่งที่คนตัดไม้ทำ มันตกใจและรู้ทันทีว่าความปลอดภัยของมันยังไม่แน่นอน

นักล่ามองตามมือที่คนตัดไม้ชี้ แต่ก่อนที่จะเดินไปตรวจสอบ จิ้งจอกก็อาศัยช่วงเวลานั้น รีบพุ่งตัวออกจากที่ซ่อนและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

นักล่าตกใจและพยายามไล่ตาม แต่มันก็เร็วเกินไป พวกเขาไม่สามารถจับมันได้ และต้องเลิกตามล่าไปในที่สุด

หลังจากจิ้งจอกวิ่งมาไกลพอที่จะรู้ว่าปลอดภัยแล้ว มันหยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่ หอบหายใจพลางมองกลับไปทางกระท่อมของคนตัดไม้ มันพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงทั้งผิดหวังและตัดพ้อ “คำพูดของเจ้า คนตัดไม้ ช่วยข้าไว้ก็จริง แต่การกระทำของเจ้าแทบจะฆ่าข้า หากเจ้าอยากช่วยข้าอย่างแท้จริง คำพูดและการกระทำของเจ้าควรสอดคล้องกัน”

มันเดินจากไปพร้อมบทเรียนสำคัญในใจว่า ไม่ใช่ทุกคนที่แสดงน้ำใจจะช่วยเหลือด้วยความจริงใจ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสุนัขจิ้งจอกกับคนตัดไม้ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คำพูดที่ดูดีและน่าเชื่อถือไม่มีความหมาย หากการกระทำไม่สอดคล้องและแสดงถึงความจริงใจ การช่วยเหลือที่แท้จริงต้องมาจากทั้งคำพูดและการกระทำที่ตรงไปตรงมา เพราะความไม่ซื่อสัตย์ในการช่วยเหลือ อาจทำให้ผู้อื่นตกอยู่ในอันตรายมากกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ยังเตือนให้เราใช้สติในการพิจารณาว่า ความช่วยเหลือที่ได้รับนั้นมาพร้อมความจริงใจหรือไม่

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องสุนัขจิ้งจอกกับคนตัดไม้ (อังกฤษ: The Fox and the Woodman) เป็นเรื่องราวเตือนใจเกี่ยวกับความหน้าซื่อใจคดและพวกหน้าไหว้หลังหลอก ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 22 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) แม้ว่าพล็อตเรื่องหลักจะเหมือนกัน แต่ในแต่ละเวอร์ชันกลับมีตัวละครที่แตกต่างกันออกไปตามแล้วแต่สถานที่และภาษา

นิทานนี้มีแหล่งที่มาทั้งจากกรีกและละติน โดยเล่าถึงสัตว์ที่ถูกล่าตัวหนึ่งที่ขอให้ชายคนหนึ่งช่วยซ่อนตัวไว้ เมื่อผู้ล่ามาถามชายคนนั้นว่าเขาเห็นสัตว์นั้นหรือไม่ เขาตอบว่าไม่เห็น แต่กลับชี้ไปยังที่ซ่อนหรือใช้สายตาบ่งบอก ผู้ล่าจึงเชื่อคำพูดของเขาและจากไป เมื่อสัตว์นั้นออกมาจากที่ซ่อน มันต่อว่าชายคนนั้นที่ทำตัวหลอกลวง

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับพังพอน

ในป่าลึกที่แสนเงียบสงบ สัตว์น้อยใหญ่ต่างใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางธรรมชาติงดงาม แต่สำหรับสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายนั้นไม่เพียงพอ

เมื่อความหิวโหยเข้าครอบงำ มันจึงออกเดินทางหาอาหาร และโชคก็เข้าข้างเมื่อมันได้พบโพรงไม้ที่เต็มไปด้วยอาหารอันโอชะ แต่ใครจะคิดว่าความสุขชั่วคราวนี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่มันต้องหาทางแก้ไขด้วยตัวเอง… กับนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับพังพอน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับพังพอน

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับพังพอน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าลึก มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งที่เดินเตร่ไปทั่ว ด้วยร่างกายผอมโซและหิวโหย มันไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน จึงหวังเพียงแค่จะหาอะไรรองท้องเพื่อให้มีแรงใช้ชีวิตต่อ

“ข้าจะอดตายแล้วหรือ?” จิ้งจอกพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ขณะที่มันเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ มันก็ได้กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาเบา ๆ สายตาของมันเริ่มมีประกายขึ้นอีกครั้ง

“กลิ่นอะไรช่างหอมเช่นนี้!” มันรีบเดินตามกลิ่นไปจนถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่กลางลำต้นนั้นมีโพรงไม้เล็ก ๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นที่เก็บของของมนุษย์

จิ้งจอกจ้องมองเข้าไปในโพรงและพบกับอาหารอันโอชะ ทั้งขนมปัง เนื้อแห้ง และผลไม้ที่ดูเหมือนจะถูกทิ้งไว้ “นี่มันเหมือนสวรรค์ชัด ๆ! ข้าโชคดีเหลือเกิน”

แต่มันก็พบอุปสรรค เพราะโพรงไม้ค่อนข้างแคบ จิ้งจอกจึงต้องหาวิธีลอบเข้าไป มันค่อย ๆ บิดตัวไปตามช่องแคบของโพรงไม้และในที่สุดก็สามารถเล็ดลอดเข้าไปได้สำเร็จ

“ในที่สุด ข้าก็ได้อาหารเหล่านี้มาครอบครอง” จิ้งจอกพูดพลางหัวเราะเบา ๆ จากนั้นมันก็ลงมือกินทุกอย่างอย่างเอร็ดอร่อย

มันกินจนลืมทุกสิ่งรอบตัว ขนมปังถูกกินจนหมด เนื้อแห้งก็ถูกจัดการจนไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว เมื่อกินจนอิ่มหนำและพุงของมันเริ่มบวมเป่ง จิ้งจอกก็พูดกับตัวเองด้วยความพึงพอใจ “ข้าไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อน ช่างเป็นวันที่โชคดีที่สุดของข้า!”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับพังพอน 2

แต่เมื่อถึงเวลาที่มันอยากกลับออกไป จิ้งจอกก็พบปัญหาทันที ร่างกายที่อ้วนท้วนหลังจากกินจนอิ่มกลับทำให้มันไม่สามารถลอดออกจากโพรงไม้ได้

มันพยายามดันตัวออกจากโพรงอย่างสุดแรง “โอ๊ย ทำไมข้าถึงออกไปไม่ได้! ข้าต้องออกไปจากที่นี่” มันร้องออกมาและเริ่มตื่นตระหนก

ขณะนั้น พังพอนตัวหนึ่งเดินผ่านมา มันได้ยินเสียงร้องของจิ้งจอกจึงหยุดดู และเมื่อเห็นสภาพของจิ้งจอก มันก็อดหัวเราะไม่ได้

“เจ้าทำอะไรอยู่ในนั้นหรือ เจ้าจิ้งจอก?” พังพอนถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเย้ยหยัน

“ข้าติดอยู่ในนี้! ช่วยข้าด้วยเถอะ ข้าอยากออกไป!” จิ้งจอกร้องขอความช่วยเหลือ

พังพอนยืนมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ข้าไม่สามารถช่วยเจ้าได้หรอก เพราะปัญหานี้เจ้าสร้างขึ้นเอง หากเจ้าต้องการออกจากโพรงไม้ เจ้าจะต้องผอมบางเหมือนตอนที่เจ้าลอดเข้าไปตั้งแต่แรก”

จิ้งจอกได้ยินดังนั้นก็ถึงกับนิ่งไป มันรู้ว่าพังพอนพูดถูก แต่ก็ยังพยายามเถียง “แต่ข้า…ข้าคงไม่ต้องรอนานขนาดนั้นกระมัง! มีวิธีอื่นไหม?”

พังพอนยิ้มเล็กน้อย “นั่นขึ้นอยู่กับเจ้า หากเจ้ามัวแต่หาวิธีลัด เจ้าก็อาจติดอยู่ในนี้ตลอดไป แต่หากเจ้าอดทนและเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น เจ้าก็จะได้ออกมาเมื่อถึงเวลา”

จิ้งจอกไม่มีคำพูดใดจะโต้เถียงอีก มันได้แต่นอนอยู่ในโพรง รู้สึกอับอายและเสียใจที่ความละโมบของมันนำมาซึ่งปัญหาใหญ่โต มันสัญญากับตัวเองว่า ต่อจากนี้จะคิดให้รอบคอบก่อนทำอะไร

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับพังพอน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความโลภและการไม่ยับยั้งชั่งใจอาจนำมาซึ่งปัญหาที่ตัวเราต้องเผชิญในภายหลัง การรู้จักควบคุมตัวเองและพิจารณาอย่างรอบคอบในสิ่งที่ทำเป็นสิ่งสำคัญ และในบางครั้ง การแก้ปัญหาจำเป็นต้องใช้ความอดทนและยอมรับผลของการกระทำของตนเอง อย่าโลภมาก เพื่อเรียนรู้และหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในอนาคต

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับพังพอน (อังกฤษ: The Fox and the Weasel) สอนถึงผลอันเลวร้ายของความโลภ นิทานเรื่องนี้มีต้นกำเนิดจากกรีกและจัดเป็นนิทานของอีสปเรื่องหนึ่ง ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 24 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

ในนิทานภาษากรีกนั้น สุนัขจิ้งจอกผอมแห้งหิวโหยพบอาหารที่คนเลี้ยงแกะทิ้งไว้ในโพรงต้นไม้ แต่ไม่สามารถออกมาได้เพราะกินเข้าไปมากแล้ว พังพอนได้ยินเสียงร้องทุกข์ของมันและบอกมันว่ามันจะต้องอยู่ที่นั่นจนกว่ามันจะผอมเหมือนตอนที่มันเข้าไปในโพรง เนื่องจากไม่มีแหล่งที่มาจากภาษาละติน นิทานเรื่องนี้จึงไม่เป็นที่รู้จักในประเทศอื่น ๆ ในยุโรปจนกระทั่งการเรียนรู้ภาษากรีกได้รับการฟื้นคืนมาในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับนกกระสา

ในป่ากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยสัตว์หลากหลายชนิด สุนัขจิ้งจอกผู้เจ้าเล่ห์มักหาวิธีสร้างความสนุกให้ตัวเองอยู่เสมอ ด้วยนิสัยขี้เล่นและรักการล้อเลียน มันมักคิดแผนการแปลกใหม่เพื่อหยอกล้อเพื่อนสัตว์

วันหนึ่ง มันเกิดความคิดที่จะเล่นกลกับนกกระสาผู้สง่างาม เพื่อนสัตว์ที่ดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายที่ง่ายดาย แต่จิ้งจอกไม่รู้เลยว่า การเล่นตลกครั้งนี้จะนำมาซึ่งบทเรียนสำคัญที่มันต้องจดจำไปอีกนาน… กับนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับนกกระสา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับนกกระสา

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับนกกระสา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว วันหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกผู้เจ้าเล่ห์กำลังมองหาความสนุกสนานใหม่ ๆ มันคิดว่าการแกล้งเพื่อนสัตว์คงทำให้มันได้หัวเราะสะใจ จึงเชิญนกกระสาผู้สง่างามมาร่วมรับประทานอาหารที่บ้านของมัน

“มาทานอาหารกับข้าเถอะ ท่านนกกระสา” สุนัขจิ้งจอกพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ข้าจะเตรียมซุปสูตรพิเศษที่อร่อยที่สุดเพื่อท่านโดยเฉพาะ”

นกกระสา ผู้สุภาพและไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของสุนัขจิ้งจอก ตอบรับคำเชิญด้วยความยินดี “ข้าจะไปแน่นอน ขอบใจเจ้าที่มีน้ำใจ”

เมื่อถึงวันนัดหมาย นกกระสาเดินทางมาถึงบ้านของสุนัขจิ้งจอก กลิ่นซุปหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วห้อง นกกระสารู้สึกตื่นเต้นและหิวมาก แต่เมื่อถึงเวลาเสิร์ฟอาหาร สุนัขจิ้งจอกกลับนำซุปมาเสิร์ฟในจานแบน ๆ

“ทานสิ ท่านนกกระสา” สุนัขจิ้งจอกพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ

นกกระสาพยายามใช้จะงอยปากที่ยาวของมันกินซุปในจานแบน แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน มันก็ไม่สามารถตักซุปขึ้นมาได้แม้แต่หยดเดียว ขณะที่สุนัขจิ้งจอกนั่งกินซุปอย่างสบายใจ และหัวเราะเยาะในใจ

นกกระสาไม่พูดอะไร มันเพียงแต่ยิ้มอย่างสุภาพ แม้ว่าจะรู้สึกอายและผิดหวัง

ไม่นานหลังจากนั้น นกกระสาก็เชิญสุนัขจิ้งจอกไปทานอาหารที่บ้านของมันบ้าง “มาร่วมทานมื้อพิเศษที่บ้านข้า” นกกระสาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าจะเตรียมอาหารที่เจ้าต้องชอบอย่างแน่นอน”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับนกกระสา 2

สุนัขจิ้งจอกยินดีและมาถึงบ้านของนกกระสาในวันนัดหมาย กลิ่นอาหารหอมตลบอบอวล มันรู้สึกตื่นเต้นและหิวโหย แต่เมื่ออาหารถูกเสิร์ฟ สุนัขจิ้งจอกกลับต้องประหลาดใจ เพราะนกกระสาเสิร์ฟอาหารในขวดที่มีคอยาวและปากแคบ

“ทานเลยเพื่อนรัก อาหารจานโปรดของเจ้า” นกกระสาพูดพลางก้มหน้าลงใช้จะงอยปากยาว ๆ กินอาหารในขวดนั้นอย่างสบายใจ

สุนัขจิ้งจอกพยายามใช้ลิ้นเลียอาหารในขวด แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร มันก็ไม่สามารถกินอาหารได้เลย มันได้แต่มองดูนกกระสากินอย่างเอร็ดอร่อย

เมื่อเห็นเช่นนั้น นกกระสาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่แฝงความแหลมคม “เจ้าคงเข้าใจแล้วกระมัง ว่าข้ากำลังตอบแทนเจ้าด้วยสิ่งเดียวกับที่เจ้าทำกับข้าในวันก่อน หากเจ้าปฏิบัติต่อข้าอย่างมีน้ำใจตั้งแต่แรก ข้าก็คงทำแบบเดียวกันนี้กับเจ้า”

สุนัขจิ้งจอกไม่พูดอะไร มันได้แต่เดินกลับบ้านด้วยความอับอาย และในใจเต็มไปด้วยความสำนึกผิด

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับนกกระสา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงปฏิบัติต่อผู้อื่นในแบบที่เราอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา เพราะการกระทำของเรา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มักสะท้อนกลับมาหาเราในรูปแบบเดียวกัน และการล้อเลียนหรือแกล้งผู้อื่นเพื่อความสนุกส่วนตัว อาจทำให้เราต้องพบกับความอับอายเมื่อถูกตอบแทนกลับด้วยสิ่งเดียวกัน การเคารพและมีน้ำใจกับผู้อื่นย่อมนำมาซึ่งมิตรภาพที่แท้จริงและยั่งยืนกว่าเสมอ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับนกกระสา (อังกฤษ: The Fox and the Stork) เป็นนิทานอีสปเรื่องหนึ่ง และบันทึกไว้ครั้งแรกในหนังสือรวมเรื่อง Phaedrus ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 426 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

สุนัขจิ้งจอกชวนนกกระสาไปกินอาหารด้วยกัน และใส่ซุปไว้ในชาม ซึ่งนกกระสาสามารถกินได้ง่ายด้วยปากของมัน นกกระสาจึงชวนสุนัขจิ้งจอกไปกินอาหารที่บ้านบ้าง โดยเสิร์ฟในภาชนะคอแคบ นกกระสาเข้าถึงอาหารได้ง่าย แต่สุนัขจิ้งจอกทำไม่ได้

จงอย่าทำร้ายผู้ใด แต่หากผู้ใดต้องเจ็บปวด ก็ต้องยอมรับว่าเวรย่อมระงับด้วยการชดเชยกัน ดังที่นิทานนี้ได้เตือนไว้ “เมื่อผู้อื่นเลียนแบบสิ่งที่เจ้าทำ เจ้าก็ต้องยอมรับมันด้วยรอยยิ้ม”

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com