นิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับล่อ

ในวันที่แสงแดดแผดเผาและถนนลูกรังเต็มไปด้วยฝุ่น ล่อตัวหนึ่งลากเกวียนหนักไปตามทางอย่างอดทน มันมุ่งมั่นทำหน้าที่ของตัวเอง แม้จะเหนื่อยล้าจากสัมภาระที่บรรทุกอยู่บนหลัง แต่ท่ามกลางความสงบและความพยายามของมัน

กลับมีสิ่งเล็กจ้อยที่พยายามทำให้ตัวเองดูสำคัญ เรื่องราวของแมลงวันผู้โอ้อวดและล่อผู้มั่นคง จะเผยให้เราเห็นถึงคุณค่าของความมั่นใจในสิ่งที่แท้จริง กับนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับล่อ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับล่อ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับล่อ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านชนบท ล่อตัวหนึ่งถูกใช้แรงงานอย่างหนัก มันต้องลากเกวียนที่เต็มไปด้วยสัมภาระหนักแน่นไปตามถนนลูกรังที่ทั้งขรุขระและเป็นหลุมเป็นบ่อ ล่อเดินอย่างช้า ๆ และมั่นคง แม้ว่าจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่มันก็มุ่งมั่นจะทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้น

ระหว่างทาง แมลงวันตัวหนึ่งบินมาเกาะบนเกวียน มันเห็นล่อที่เดินช้า ๆ ก็นึกอยากสนุก “เจ้าล่อตัวใหญ่ ดูเหมือนเจ้าจะชักช้าเกินไปแล้วนะ” แมลงวันพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

ล่อหันมามองเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบอะไร มันยังคงลากเกวียนต่อไป

แมลงวันรู้สึกเสียหน้าเพราะล่อไม่สนใจมัน มันจึงบินไปเกาะที่หัวของล่อและพูดว่า “ข้ากำลังจับตาดูเจ้าอยู่ หากเจ้าไม่เร่งให้เร็วขึ้น ข้าจะต่อยเจ้าแน่!”

ล่อถอนหายใจและตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าตัวเล็ก ข้าแบกน้ำหนักมากมายไว้บนหลัง และข้ากำลังทำหน้าที่ของข้าให้ดีที่สุด แต่คำขู่ของเจ้าไม่มีความหมายอะไรเลย”

แมลงวันโกรธที่ล่อไม่กลัว มันบินวนไปมารอบหัวของล่อพร้อมพูดว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าคือแมลงวันผู้ยิ่งใหญ่? ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกถึงพลังของข้าเอง!”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับล่อ 2

ล่อหัวเราะเบา ๆ และตอบกลับ “เจ้าอาจคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ แต่ข้ากลัวเพียงเจ้าของของข้า และแค่แส้ของคนขับที่อยู่ข้างหลัง ข้ารู้ว่าแส้นั้นมีพลังพอที่จะทำให้ข้าต้องเจ็บ แต่สำหรับเจ้า คำขู่ของเจ้าก็เหมือนเสียงลมที่พัดผ่าน ข้าจะไม่เสียเวลาไปสนใจเจ้า”

แมลงวันเริ่มรำคาญที่ล่อไม่ตอบสนองตามที่มันคาดหวัง “ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เจ้าล่อขี้เกียจ!” มันตะโกนพลางบินโฉบลงมาหัวของล่อ

ล่อยังคงสงบนิ่ง มันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ข้าเดินหน้าต่อเพราะข้ารู้ว่าข้าต้องทำอะไร ข้าไม่ปล่อยให้เสียงรบกวนจากเจ้า หรือการขู่ที่ว่างเปล่ามาเปลี่ยนเส้นทางของข้าได้”

แมลงวันได้ยินดังนั้นก็รู้ว่ามันไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรล่อได้จริง ๆ มันบินออกไปด้วยความอับอายและโมโหตัวเอง ล่อหันกลับไปมองแวบหนึ่งก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “บางสิ่งที่ไร้ความสำคัญก็แค่เสียงรบกวน เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาตอบโต้”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับล่อ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การโอ้อวดหรือขู่เข็ญจากผู้ที่ไม่มีอำนาจแท้จริงนั้นไม่มีความหมายอะไรต่อผู้ที่ตั้งมั่นในหน้าที่ของตนเอง สิ่งสำคัญคือการมุ่งมั่นทำหน้าที่และเป้าหมายของตัวเอง โดยไม่ปล่อยให้คำพูดที่ไร้สาระหรือสิ่งเล็กน้อยมาทำให้ไขว้เขวหรือเสียเวลา

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับล่อ (อังกฤษ: The Fly and the Mule) ถูกบันทึกโดยฟีดรัส (Phaedrus) และถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 498 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) ในนิทานเรื่องนี้ แมลงวันตัวหนึ่งนั่งอยู่บนรถม้าและขู่ที่จะต่อยม้าลากจูงหากมันไม่ดึงเร็วขึ้น แต่ม้าลากตอบกลับว่า มันกลัวเพียงแค่คนขับและแส้ของเขาเท่านั้น ส่วนคำขู่เปล่าจากคนรอบข้างไม่มีความหมายเลย

นิทานเรื่องนี้สามารถนำมาใช้ล้อเลียนบุคคลที่ชอบข่มขู่ด้วยคำพูดเปล่า ๆ โดยไม่มีอำนาจหรือความสามารถใด ๆ ที่จะสนับสนุนคำขู่นั้นได้อย่างแท้จริง

นิทานนี้เข้าสู่ผลงานวรรณกรรมยุโรปผ่านการรวบรวมนิทานอีสปของ ไฮน์ริช สไตน์โฮเวล (Heinrich Steinhöwel) ในปี 1476 และถูกถ่ายทอดต่อไปในหนังสือที่ดัดแปลงจากฉบับนี้ รวมถึงคอลเลกชันนิทานของ วิลเลียม แคกซ์ตัน (William Caxton)

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องแมลงวันบนล้อรถม้าศึก

ในสนามแข่งที่ยิ่งใหญ่ของโคลอสเซียม เสียงกลองดังสนั่นและเสียงเชียร์ของฝูงชนดังก้องไปทั่ว ผู้ชมต่างจับจ้องไปที่รถม้าศึกที่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันอันดุเดือด ท่ามกลางพลังและความตื่นเต้นของการแข่งขันรถม้าศึก กลับมีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ตัวหนึ่งที่คิดว่าตัวเองสามารถเป็นส่วนสำคัญในเหตุการณ์นี้ได้

เรื่องราวของแมลงวันตัวจ้อยที่พยายามยกย่องตัวเองในโลกของผู้ยิ่งใหญ่ จะพาเราไปพบกับบทเรียนสำคัญที่ไม่อาจลืมเลือน กับนิทานอีสปเรื่องแมลงวันบนล้อรถม้าศึก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันบนล้อรถม้าศึก

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องแมลงวันบนล้อรถม้าศึก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในวันที่อากาศร้อนระอุ ผู้ชมจำนวนมหาศาลต่างหลั่งไหลเข้าสู่โคลอสเซียมอันยิ่งใหญ่ของกรุงโรม ทุกคนเฝ้ารอการแข่งขันรถม้าศึกที่เต็มไปด้วยพลังและความตื่นเต้น เสียงเชียร์ก้องกังวานทั่วสนาม ลู่วิ่งถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นที่เตรียมพร้อมจะฟุ้งกระจายเมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น

รถม้าศึกหลายคันถูกจัดวางไว้เรียงกัน แต่ละคันบรรทุกความหวังของผู้ขับและเสียงเชียร์ของผู้ชม ม้าศึกแต่ละตัวถูกฝึกมาอย่างหนัก พวกมันยืนกระทืบเท้ารอคอยสัญญาณเริ่มการแข่งขัน เสียงกลองดังสนั่น ผู้ขับรถม้าจับบังเหียนแน่น สายตาจับจ้องไปที่ลู่วิ่งเบื้องหน้า

ขณะนั้น แมลงวันตัวหนึ่งบินวนอยู่เหนือสนาม มันรู้สึกตื่นเต้นกับบรรยากาศอันยิ่งใหญ่และความวุ่นวายที่เกิดขึ้นรอบตัว “ช่างเป็นที่ที่เหมาะกับข้า! ข้าควรจะมีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่นี้!” มันพูดกับตัวเอง

เมื่อเสียงสัญญาณเริ่มดังขึ้น รถม้าศึกพุ่งออกไปข้างหน้า ม้าศึกดึงรถม้าด้วยความเร็ว ล้อหมุนอย่างรุนแรง ฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นในอากาศ เสียงล้อกระแทกพื้นดังก้องไปทั่วสนาม ผู้ชมส่งเสียงเชียร์อย่างบ้าคลั่ง

แมลงวันบินลงมาเกาะบนล้อของรถม้าคันหนึ่ง มันรู้สึกภูมิใจราวกับตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของพลังมหาศาลที่กำลังขับเคลื่อนการแข่งขัน “ดูสิ! ข้าทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายมากมายแค่ไหน! ผู้ชมต้องเห็นว่าข้าคือส่วนหนึ่งของชัยชนะในวันนี้!” มันพูดพลางมองไปรอบ ๆ

ล้อรถยังคงหมุนต่อไปอย่างไร้ความสนใจ แมลงวันพยายามเรียกร้องความสำคัญ “ถ้าไม่มีข้า ล้อคงไม่หมุนได้เร็วขนาดนี้!” มันกล่าวอย่างมั่นใจ แต่ทั้งม้าศึก คนขับรถม้า และฝูงชนต่างไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันบนล้อรถม้าศึก 2

เมื่อการแข่งขันดำเนินไป รถม้าคันนั้นเร่งความเร็วมากขึ้น ฝุ่นฟุ้งกระจายจนบดบังลู่วิ่ง แมลงวันที่เกาะอยู่บนล้อเริ่มรู้สึกถึงแรงลมที่หมุนวนรอบตัวมัน “อา! ข้าควบคุมล้อที่ยิ่งใหญ่นี้ได้!” มันคิด แต่ทันใดนั้น ล้อหมุนเร็วขึ้น แรงลมและฝุ่นที่รุนแรงทำให้มันเสียการทรงตัว

“โอ้ ไม่นะ!” แมลงวันร้องเสียงดัง มันถูกพัดปลิวออกจากล้อและลอยไปตามกระแสลม ก่อนจะกระแทกลงกับพื้นลู่วิ่งอย่างแรง ร่างเล็ก ๆ ของมันนอนนิ่งอยู่ท่ามกลางฝุ่นที่ยังคงตลบอบอวล ไม่มีใครเห็น หรือแม้แต่รับรู้ว่ามันเคยอยู่ที่นั่น

รถม้าคันนั้นยังคงแล่นไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง เสียงฝูงชนยังคงดังก้องในสนาม ล้อรถยังคงหมุนต่อไปโดยไม่มีผลกระทบใด ๆ จากแมลงวันที่เคยเกาะอยู่

แมลงวันที่เคยโอ้อวดว่าตัวเองสำคัญ กลับจบชีวิตลงอย่างไร้ค่าและไร้ผู้ใดรับรู้ว่ามันเคยอยู่ตรงนั้น

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันบนล้อรถม้าศึก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนว่า การโอ้อวดหรือพยายามทำตัวให้สำคัญในสถานการณ์ที่เราไม่มีบทบาทจริง อาจนำไปสู่ความอับอายและความไร้ค่าในที่สุด ความสำคัญไม่ได้มาจากการแสดงออก แต่คือการรู้จักคุณค่าที่แท้จริงของตนเองในสิ่งที่สมควร

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องแมลงวันบนล้อรถม้าศึก (อังกฤษ: The Fly on the Chariot Whee) นิทานเรื่องนี้ถูกแต่งขึ้นในภาษาละตินโดย ลอเรนเทียส แอ็บสเตเมียส (Laurentius Abstemius) และปรากฏใน Hecatomythium (1490) ภายใต้ชื่อ Musca et Quadrigae ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 724 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

กาบริเอเล แฟร์โน (Gabriele Faerno) ได้นำเรื่องนี้มาใส่ไว้ใน Centum Fabulae (1563) โดยทำให้ดูเหมือนว่ามีต้นกำเนิดจากนิทานอีสป แม้ว่าตัวบทจะใกล้เคียงกับเวอร์ชันของแอ็บสเตเมียส

ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) ก็เข้าใจนิทานนี้ว่าเป็นของอีสปเช่นกัน โดยเขากล่าวในบทความ “On Vainglory” ว่า “อีสปได้แต่งไว้อย่างชาญฉลาดว่า แมลงวันเกาะอยู่บนเพลารถม้าและกล่าวว่า ‘ดูว่าฉันทำให้ฝุ่นฟุ้งขนาดไหน!’

ต่อมา วลี “the fly on the coach wheel” ได้กลายเป็นสำนวนในภาษาอังกฤษที่หมายถึง “ผู้ที่คิดว่าตัวเองสำคัญยิ่งใหญ่ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่มีความสำคัญเลย”

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องม้าผู้สูญเสียอิสรภาพ

ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยความอิสระ ม้าตัวหนึ่งใช้ชีวิตอย่างสงบสุข มันภูมิใจในเสรีภาพที่ไม่มีใครมาบังคับหรือควบคุม แต่วันหนึ่ง การเผชิญหน้ากับกวางที่บุกรุกเข้ามาในพื้นที่ของมัน กลับทำให้ม้าต้องตัดสินใจทำบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของมันไปตลอดกาล

เรื่องราวนี้จะเผยถึงผลลัพธ์ของการเลือกที่ขาดความรอบคอบ และบทเรียนที่ไม่มีวันลืมเกี่ยวกับคุณค่าของอิสระ กับนิทานอีสปเรื่องม้าผู้สูญเสียอิสรภาพ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องม้าผู้สูญเสียอิสรภาพ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องม้าผู้สูญเสียอิสรภาพ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีม้าตัวหนึ่งอาศัยอยู่อย่างอิสระ มันใช้ชีวิตอย่างสงบสุข กินหญ้า วิ่งเล่น และพักผ่อนตามใจชอบ ชีวิตของมันไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางเสรีภาพ และมันภาคภูมิใจในชีวิตที่เป็นของตัวเอง

วันหนึ่ง กวางตัวหนึ่งเดินเข้ามาในทุ่งหญ้าเดียวกัน มันดูสง่างามและมั่นใจ กวางเริ่มกินหญ้าด้วยท่าทีเหมือนเป็นเจ้าของพื้นที่นั้น ม้ามองกวางด้วยความไม่พอใจ “นี่เป็นทุ่งหญ้าของข้า เจ้ากวาง! เจ้ากำลังก้าวก่ายสิทธิ์ของข้า” ม้ากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

กวางไม่ได้ตอบอะไร มันยังคงกินหญ้าต่อไปอย่างไม่สนใจ ม้าพยายามวิ่งเข้าไปขับไล่ แต่มันไม่สามารถวิ่งเร็วพอที่จะไล่กวางออกไปได้ ม้ารู้สึกโกรธและอับอาย “ข้าต้องหาทางกำจัดกวางตัวนี้ให้ได้!” ม้าพูดกับตัวเอง

ในที่สุด ม้าก็คิดได้ว่ามันต้องการความช่วยเหลือ มันจึงไปหามนุษย์ที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ มนุษย์ผู้นั้นเป็นนักล่าที่เชี่ยวชาญ ม้ากล่าวว่า “มนุษย์ ข้าขอร้องให้เจ้าช่วยขับไล่กวางที่บุกรุกทุ่งหญ้าของข้า หากเจ้าช่วยข้า ข้าจะยอมทำอะไรก็ได้”

มนุษย์ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมา “ข้าช่วยเจ้าได้ แต่เจ้าต้องยอมให้ข้าขึ้นขี่หลัง และใส่บังเหียนเพื่อควบคุมเจ้า เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?” มนุษย์ถาม

ม้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มันไม่เคยให้ใครมาควบคุมหรือขึ้นขี่บนหลังมาก่อน แต่มันคิดว่าการกำจัดกวางเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า “ตกลง ข้ายอมให้เจ้าทำตามที่เจ้าต้องการ” ม้าตอบ

มนุษย์นำบังเหียนมาสวมบนหัวของม้าและขึ้นขี่หลังมัน จากนั้นมนุษย์ก็ถือธนูไว้ในมือและออกเดินทางไปยังทุ่งหญ้าพร้อมกับม้า เมื่อไปถึง มนุษย์ใช้ธนูยิงไปทางกวางจนมันตกใจและวิ่งหนีไป ม้ารู้สึกพอใจและโล่งใจที่กวางหายไปจากทุ่งหญ้าของมันในที่สุด

“ตอนนี้ข้าจะได้กลับไปใช้ชีวิตอิสระของข้าแล้ว” ม้าคิด

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องม้าผู้สูญเสียอิสรภาพ 2

แต่ทันทีที่มันพยายามสลัดบังเหียน มนุษย์กลับยึดไว้แน่น “เจ้าจะไปไหน?” มนุษย์ถามด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “ตอนนี้เจ้ามีประโยชน์สำหรับข้า ข้าจะใช้เจ้าเพื่อขนของและเดินทางจากนี้ไป”

ม้ารู้สึกตกใจและเสียใจ “แต่เราตกลงกันเพียงให้ข้าช่วยขับไล่กวางเท่านั้น! ข้าคิดว่าข้าจะได้กลับไปใช้ชีวิตของข้า” ม้าร้องออกมา

มนุษย์หัวเราะ “เจ้าเลือกที่จะให้ข้าควบคุมเอง เจ้าไม่มีสิทธิ์จะบอกปัดอีกแล้ว เจ้าคือทรัพย์สินของข้า!”

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ม้าต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์ มันสูญเสียอิสระที่เคยมีไปอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถวิ่งเล่นหรือพักผ่อนตามใจชอบได้อีกต่อไป ทุกวัน ม้าต้องแบกสัมภาระหนักและทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย

วันหนึ่งขณะม้ายืนพักอยู่ริมทาง มันมองไปยังทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่มันเคยเป็นเจ้าของ “ข้าทำอะไรลงไป…” ม้าพูดกับตัวเองด้วยเสียงเศร้าสร้อย “ข้าสูญเสียทุกสิ่งเพียงเพราะความโกรธและความดื้อรั้นในวันนั้น”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องม้าผู้สูญเสียอิสรภาพ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การตัดสินใจพึ่งพาผู้อื่นโดยไม่คิดให้รอบคอบ อาจทำให้เราต้องสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิต ความปรารถนาที่จะเอาชนะหรือแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายในระยะยาว เราควรใช้ปัญญาและความรอบคอบก่อนที่จะยอมสละสิ่งที่มีค่า เพื่อแลกกับสิ่งที่อาจไม่คุ้มค่าในที่สุด

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องม้าผู้สูญเสียอิสรภาพ (อังกฤษ: The Horse that Lost its Liberty) โดยม้าต้องของต้องการแก้ไขความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ มีอยู่สองเวอร์ชัน โดยกล่าวถึงกวางหรือหมูป่าเป็นคู่กรณี ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 269 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) ในบริบททางการเมือง นิทานนี้เตือนถึงการแสวงหาวิธีแก้ไขปัญหาที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ส่วนในบริบทเศรษฐกิจ นิทานสอนว่าความเป็นอิสระมีค่ามากกว่าความมั่งคั่งที่ต้องแลกด้วยการสูญเสียเสรีภาพ

เนื้อเรื่องเล่าว่า ม้าตัวหนึ่งทะเลาะกับกวางเรื่องการครอบครองทุ่งหญ้า แต่ม้าไม่สามารถขับไล่กวางออกไปได้ด้วยกำลัง จึงขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ มนุษย์จึงใส่บังเหียนให้ม้าและขี่หลังของมัน แต่เมื่อเห็นว่าม้าเป็นประโยชน์เพียงใด มนุษย์จึงปฏิเสธที่จะถอดบังเหียนออกในภายหลัง

นิทานนี้ถูกใช้เป็นตัวอย่างในงานเขียนเกี่ยวกับวาทศิลป์ของอริสโตเติล (Aristotle) โดยระบุว่ากวีสเตสิคอรัส (Stesichorus) เป็นผู้เล่าเรื่องนี้ อีกทั้งกวีโรมันโฮเรซ (Horace) ยังเล่านิทานนี้เพื่อขยายความสำคัญ โดยใช้เป็นตัวอย่างที่เตือนให้พึงพอใจกับสิ่งเล็กน้อย แทนที่จะสูญเสียเสรีภาพส่วนตัวเพื่อแสวงหาสิ่งที่มากกว่า

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องม้ากับลา

กาลครั้งหนึ่งในชนบทที่เงียบสงบ มีสัตว์ใช้งานสองตัวคือม้ากับลา ทั้งสองต้องทำงานหนักเพื่อเจ้าของ โดยต้องเดินทางไกลและแบกสัมภาระจำนวนมากไปยังหมู่บ้านที่ห่างไกล แม้จะอยู่ร่วมกัน แต่ทั้งคู่กลับมีความคิดที่แตกต่าง

เรื่องราวของมิตรภาพที่ถูกทดสอบ และบทเรียนจากการปฏิเสธความช่วยเหลือจะเผยให้เราเห็นถึงผลลัพธ์ของการกระทำในช่วงเวลาสำคัญ กับนิทานอีสปเรื่องม้ากับลา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องม้ากับลา

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องม้ากับลา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ม้าตัวหนึ่งและลาตัวหนึ่งต้องเดินทางร่วมกันไปพร้อมกับเจ้าของของพวกมัน หน้าที่ของพวกมันคือแบกและลากสัมภาระจำนวนมากไปยังเมืองถัดไป ลาต้องแบกของหนักไว้บนหลังจนมันแทบล้มลง ขณะที่ม้าทำหน้าที่ลากเกวียนที่เต็มไปด้วยสินค้า ม้าที่มีร่างกายแข็งแรงเดินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจคำร้องขอของลา

“ม้าเพื่อนรัก” ลากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “ข้ากำลังเจ็บและเหนื่อยมาก ขอเจ้าแบ่งเบาภาระของข้าสักหน่อยได้ไหม? หากเจ้าไม่ช่วย ข้าคงไปต่อไม่ได้แน่”

ม้าหันมามองลาก่อนจะสะบัดหัวด้วยท่าทีไม่แยแส “ข้าแบกสัมภาระของข้าเองอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องช่วยเจ้าด้วย? งานของเจ้าก็ต้องเป็นของเจ้า”

ลายังคงพยายามเดินต่อไป แม้จะเจ็บปวดและอ่อนล้าจนแทบล้มลง แต่ด้วยน้ำหนักที่มากเกินกำลังของมัน ในที่สุดลาจึงทรุดลงกับพื้น “ข้าไม่ไหวอีกแล้ว…” มันพูดเสียงเบาก่อนจะหมดแรงล้มลง

เมื่อเจ้าของเห็นดังนั้น เขาไม่มีทางเลือกนอกจากนำสัมภาระทั้งหมดของลามาใส่ไว้บนหลังของม้าแทน นอกจากนั้น เขายังนำซากของลาที่ตายขึ้นไปวางบนหลังม้าด้วย “เจ้านี่ช่างไร้ค่า” เจ้าของพึมพำขณะมัดซากลาบนหลังม้าพร้อมตีมันให้เดินต่อ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องม้ากับลา 2

ตอนนี้ ม้าต้องแบกทั้งน้ำหนักของสัมภาระและซากลาที่เพิ่มขึ้น ม้ารู้สึกเหนื่อยจนแทบทรุด มันเริ่มคิดได้ว่า หากมันช่วยเหลือลาตั้งแต่แรก บางทีอาจไม่ต้องรับภาระหนักหนาขนาดนี้

ในที่สุด ด้วยน้ำหนักที่เกินกำลัง ม้าก็ล้มลงกลางทางและสิ้นใจเช่นกัน เจ้าของที่โมโหจากการเสียม้าก็โยนสัมภาระลงข้างทาง เจ้าของที่หมดความอดทนโยนสัมภาระลงข้างทางด้วยความโกรธ และเดินกลับบ้านไปเพียงลำพัง

ฝูงนกแร้งที่บินอยู่บนฟ้าเห็นซากทั้งสองตัวก็ลงมาเกาะร่างของม้า หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “เจ้าม้าผู้โง่เขลา หากเจ้าแสดงน้ำใจช่วยลาตั้งแต่แรก บางทีเจ้าคงยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้ แต่เพราะเจ้ามองไม่เห็นถึงความสำคัญของการช่วยเหลือเพื่อน เจ้าจึงต้องพบกับจุดจบเช่นเดียวกับลา และกลายเป็นอาหารของพวกข้าในที่สุด”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องม้ากับลา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การช่วยเหลือกันในยามที่อีกฝ่ายต้องการ ไม่เพียงแค่ช่วยแบ่งเบาภาระของเขาเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความสมดุลและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การเพิกเฉยต่อคำขอความช่วยเหลือ หรือการมองปัญหาของผู้อื่นว่าไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง อาจทำให้เราต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายกว่านั้นในภายหลัง การแสดงน้ำใจในเวลาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันไม่เพียงช่วยผู้อื่น แต่ยังช่วยป้องกันภาระที่หนักอึ้งสำหรับตัวเราเองในวันข้างหน้า

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องม้ากับลา (อังกฤษ: The Horse and the Donkey) เป็นนิทานสัตว์โบราณเรื่องหนึ่งจากหลายเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการช่วยเหลือผู้อื่นและผลที่ตามมาจากการละเลยหน้าที่ดังกล่าว นิทานเรื่องนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของนิทานที่บันทึกไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ นิทานเรื่องนี้รวมอยู่ในนิทานอีสปเรื่องหนึ่ง ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 181 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

แหล่งข้อมูลในนิทานกรีกจับคู่ลากับล่อ โดยเล่าว่าลาที่รับน้ำหนักเกินขอความช่วยเหลือจากล่อ แต่ล่อปฏิเสธ ลาจึงล้มตาย และสุดท้ายล่อต้องแบกรับทั้งสัมภาระเดิมและหนังของลาที่ตายไปด้วย

ในเวอร์ชันภาษาละตินยุคกลางของอาเดมาร์แห่งชาบานส์ (Ademar of Chabannes) นิทานเล่าถึงวัวและลาที่ถูกผูกแอกไว้ด้วยกัน แต่ลาปฏิเสธที่จะช่วยดึงสัมภาระ เมื่อวัวล้มตายเพราะความเหนื่อยล้า ลาจึงถูกบังคับให้ลากสัมภาระต่อ และสุดท้ายก็ตายแบบเพื่อนของมันเช่นเดียวกัน

“ถ้าเพียงแต่เจ้าเมตตาพอที่จะช่วยม้าลากเกวียน เจ้าก็คงไม่ต้องตายก่อนเวลาเช่นนี้ พร้อมให้ฝูงนกแร้งมารุมกินเนื้อของเจ้า”

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องฮอร์คอส เทพเจ้าแห่งคำสาบาน

กาลครั้งหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ที่ผู้คนใช้ชีวิตด้วยความเรียบง่ายและเชื่อมั่นในคำมั่นสัญญา มีเรื่องเล่าของชายผู้หนึ่งที่เลือกเดินบนเส้นทางแห่งความโลภ แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างการละเมิดคำสาบาน จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่และการเผชิญหน้ากับเทพเจ้าผู้เฝ้าดูทุกคำพูดของมนุษย์

เรื่องราวนี้จะพาเราไปเรียนรู้ถึงความสำคัญของความซื่อสัตย์ และพลังของคำมั่นสัญญาที่ไม่ควรละเลย กับนิทานอีสปเรื่องฮอร์คอส เทพเจ้าแห่งคำสาบาน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องฮอร์คอส เทพเจ้าแห่งคำสาบาน

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องฮอร์คอส เทพเจ้าแห่งคำสาบาน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ชายผู้หนึ่งได้รับเงินฝากจำนวนหนึ่งจากเพื่อนสนิทเพื่อเก็บรักษา แต่ด้วยความโลภ เขาเกิดความคิดที่จะเก็บเงินนั้นไว้เป็นของตัวเอง เมื่อเพื่อนของเขามาทวงเงินคืนและขอให้เขาสาบานต่อเทพเจ้า ชายคนนั้นรู้สึกไม่สบายใจ เพราะกลัวว่าการโกหกของเขาอาจนำมาซึ่งการลงโทษ

ด้วยความวิตกกังวล เขาจึงตัดสินใจหนีออกจากเมืองในคืนนั้นไปยังฟาร์มของตัวเอง ระหว่างทางที่ประตูเมือง เขาเห็นชายคนหนึ่งที่ขาพิการกำลังเดินออกนอกเมืองด้วย ชายผู้นั้นดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังบางอย่างที่น่าเกรงขาม

“ท่านเป็นใคร และกำลังจะไปไหน?” ชายคนนั้นถามด้วยความสงสัย

ชายขาพิการตอบด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่หนักแน่น “ข้าคือฮอร์คอส เทพเจ้าแห่งคำสาบาน ข้ากำลังออกไปตามจับผู้ที่ละเมิดคำมั่นสัญญาและคำสาบานอันศักดิ์สิทธิ์”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายผู้โลภก็ตกใจ แต่เขาพยายามเก็บอาการไว้และถามต่อ “ท่านกลับมาเยี่ยมเมืองบ่อยแค่ไหนหรือ?”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องฮอร์คอส เทพเจ้าแห่งคำสาบาน 2

ฮอร์คอสยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบ “บางครั้งข้ากลับมาอีกครั้งใน 40 ปี บางครั้งก็ 30 ปี ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม”

ชายผู้นั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อคิดว่าเทพเจ้าจะไม่กลับมาในเร็ว ๆ นี้ ในวันถัดมา เขาจึงยืนต่อหน้าสาธารณชนและสาบานอย่างมั่นใจว่าเขาไม่เคยได้รับเงินฝากใด ๆ เลย

แต่ไม่นานหลังจากนั้น ในช่วงเวลาแห่งความลำพองใจ ฮอร์คอสก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งตรงหน้าชายคนนั้น เขาถูกจับตัวและพาไปยังขอบหน้าผาสูง ชายคนนั้นร้องลั่นด้วยความตกใจ “ทำไมท่านถึงกลับมาเร็วนัก? ท่านบอกว่าจะกลับมาอีกครั้งใน 30 ปี หรือ 40 ปีไม่ใช่หรือ?”

ฮอร์คอสตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเข้าใจผิดไป ข้ากลับมาช้าก็จริง หากไม่มีใครยั่วยุข้า แต่หากมีผู้กระทำผิดอย่างเจ้าที่คิดว่าจะลบหลู่ข้า ข้าก็สามารถกลับมาได้ในวันเดียวกัน!”

ทันใดนั้น ชายผู้ละเมิดคำสาบานถูกนำตัวไปลงโทษอย่างสมควร เขาเรียนรู้ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตว่า การโกหกและละเมิดคำมั่นสัญญานั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่ร้ายแรงได้

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องฮอร์คอส เทพเจ้าแห่งคำสาบาน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คำมั่นสัญญาและคำสาบานเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องรักษาไว้ การโกหกหรือการละเมิดคำพูดไม่เพียงแต่เป็นการลบหลู่ความไว้วางใจของผู้อื่น แต่ยังนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ร้ายแรงและการลงโทษที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เราจึงควรซื่อสัตย์และยึดมั่นในคำพูดของตนเสมอ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องฮอร์คอส เทพเจ้าแห่งคำสาบาน (อังกฤษ: Horkos, the god of oaths) ในตำนานเทพเจ้ากรีกฮอร์คอส (Horkos) เป็นตัวแทนแห่งคำสาปที่เกิดขึ้นกับผู้ที่สาบานเท็จ ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 239 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

ตามคำกล่าวของเฮสิโอด (Hesiod) ฮอร์คอสเป็นบุตรของอีริส (Eris) เทพีแห่งความบาดหมางและความขัดแย้ง ฮอร์คอสถือเป็นหนึ่งในเทพผู้บังคับคำสาบาน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในระบบความยุติธรรมของกรีกโบราณ โดยการสาบานถือเป็นพิธีกรรมสำคัญที่สะท้อนถึงความศักดิ์สิทธิ์และความซื่อสัตย์ในสังคมยุคนั้น

ในนิทานเล่าถึงชายคนหนึ่งที่รับเงินฝากจากเพื่อน และเมื่อถูกทวงถามตามคำสาบาน เขารีบหนีออกจากเมืองอย่างเร่งด่วน ระหว่างทางเขาพบกับชายขาพิการซึ่งบอกว่าเขาคือฮอร์คอส (Horkos) และกำลังเดินทางไปตามหาคนชั่วร้าย ชายคนนั้นถามฮอร์คอสว่ามักกลับมาเยี่ยมเมืองที่พวกเขาออกมาบ่อยแค่ไหน ฮอร์คอสตอบว่า “สี่สิบปี หรือบางครั้งสามสิบปี”

ชายคนนั้นเชื่อว่าตนเองปลอดภัยจากการลงโทษ จึงกลับมาในวันรุ่งขึ้นและสาบานว่าเขาไม่เคยได้รับเงินฝากนั้นเลย แต่ในทันทีทันใด ฮอร์คอสก็ปรากฏตัวและจะจับเขาโยนลงจากหน้าผา ชายคนนั้นโวยวายถามว่าทำไมเทพเจ้าถึงบอกว่าจะไม่กลับมาในอีกหลายปี แต่กลับมาลงโทษในวันเดียวกัน ฮอร์คอสตอบว่า “ข้าขอยืนยันว่า เมื่อใดที่ใครลบหลู่ข้าอย่างมาก ข้ามักจะไปเยี่ยมพวกเขาในวันเดียวกันเสมอ”

นิทานนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่มีวันที่กำหนดตายตัวสำหรับการที่คนชั่วจะถูกลงโทษโดยพระเจ้า

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องคนตัดไม้กับเทพารักษ์

กาลครั้งหนึ่ง ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบ มีคนตัดไม้ผู้ขยันขันแข็งและซื่อสัตย์คนหนึ่ง เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย หาเลี้ยงชีพด้วยการตัดไม้จากป่า ขวานเล่มเดียวของเขาเป็นสมบัติสำคัญที่ช่วยให้เขาและครอบครัวอยู่รอดได้

แต่วันหนึ่ง เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดทำให้เขาต้องสูญเสียเครื่องมือสำคัญนั้นไป เรื่องราวนี้จะเผยให้เห็นว่าความซื่อสัตย์สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของเขาได้อย่างไร… กับนิทานอีสปเรื่องคนตัดไม้กับเทพารักษ์

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคนตัดไม้กับเทพารักษ์

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องคนตัดไม้กับเทพารักษ์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีคนตัดไม้ผู้ยากจนคนหนึ่งอาศัยอยู่ เขาเป็นคนซื่อสัตย์ ขยันขันแข็ง และหาเลี้ยงชีพด้วยการตัดไม้จากป่าไปขาย เขามีขวานเล่มเดียวที่เป็นสมบัติล้ำค่า เพราะมันเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เขาเลี้ยงครอบครัวได้

เช้าวันหนึ่ง คนตัดไม้เดินลึกเข้าไปในป่าตามปกติ เขาพบต้นไม้ใหญ่ที่ดูเหมาะสมสำหรับการตัด เขาวางของลง หยิบขวานขึ้นมา และเริ่มฟันต้นไม้ เสียงขวานกระทบกับเนื้อไม้ดังสะท้อนในป่า ขณะนั้นเอง ขวานของเขาเกิดลื่นหลุดจากมือ และหล่นลงไปในแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ

“โอ้ ไม่!” คนตัดไม้ร้องลั่น “ขวานของข้า!” เขารีบวิ่งไปที่ริมแม่น้ำและมองดูน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ขวานของเขาหายไปในกระแสน้ำลึก

เขานั่งลงอย่างสิ้นหวัง “ข้าจะทำอย่างไรดี? ขวานเล่มนี้คือทุกสิ่งทุกอย่างของข้า หากไม่มีมัน ข้าจะหาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างไร?” น้ำตาเริ่มคลอในดวงตาของเขา

ขณะที่เขากำลังเศร้าเสียใจ ทันใดนั้น แสงสว่างวาบก็ปรากฏขึ้นกลางแม่น้ำ เทพารักษ์ผู้ใจดีในชุดสีทองเรืองรองปรากฏตัวขึ้น “คนตัดไม้ผู้ยากจนเอ๋ย ทำไมเจ้าถึงร้องไห้?”

คนตัดไม้เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจและตอบว่า “ข้าเผลอทำขวานหล่นลงไปในแม่น้ำ มันเป็นขวานเพียงเล่มเดียวที่ข้ามี ข้าไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้หากไม่มีมัน”

เทพารักษ์มองคนตัดไม้ด้วยความเห็นใจ “อย่าเสียใจไป ข้าจะช่วยเจ้างมขวานขึ้นมา” เทพารักษ์กล่าว ก่อนจะดำลงไปในแม่น้ำ

ไม่นานนัก เทพารักษ์ก็โผล่ขึ้นมาพร้อมขวานทองคำเล่มหนึ่ง ขวานเปล่งประกายจับตา “นี่ใช่ขวานของเจ้าหรือไม่?” เทพารักษ์ถาม

คนตัดไม้ส่ายหัวทันที “ไม่ใช่ขอรับ ขวานนี้สวยงามเกินกว่าที่ข้าจะเป็นเจ้าของ ขวานของข้าเป็นขวานเหล็กธรรมดาเท่านั้น”

เทพารักษ์พยักหน้าอย่างพอใจและดำลงไปในแม่น้ำอีกครั้ง ครู่ต่อมา เขาโผล่ขึ้นมาพร้อมขวานเงินเล่มหนึ่ง “แล้วขวานเล่มนี้ล่ะ? เป็นของเจ้าหรือไม่?”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคนตัดไม้กับเทพารักษ์ 2

คนตัดไม้มองขวานเงินในมือของเทพารักษ์ ก่อนจะส่ายหัวอีกครั้ง “ไม่ใช่ขอรับ ขวานของข้าไม่ใช่ขวานเงิน มันเป็นขวานเหล็กธรรมดา”

เทพารักษ์มองดูคนตัดไม้ด้วยสายตาชื่นชม “เจ้าช่างเป็นคนซื่อสัตย์จริงๆ” เทพารักษ์กล่าว ก่อนจะดำลงไปในน้ำอีกครั้ง และเมื่อขึ้นมา เทพารักษ์ก็ถือขวานเหล็กธรรมดาในมือ “นี่คือขวานของเจ้าหรือไม่?”

คนตัดไม้ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “ใช่แล้วขอรับ นี่คือขวานของข้า! ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือข้า!”

เทพารักษ์มองเขาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าช่างเป็นคนที่ซื่อสัตย์และจริงใจ ข้าอยากให้รางวัลแก่เจ้าสำหรับคุณธรรมนี้ ข้าจะมอบขวานทองคำและขวานเงินให้เจ้าด้วย นอกเหนือจากขวานเหล็กของเจ้าเอง”

คนตัดไม้ตกใจและพูดว่า “ข้าไม่อาจรับของล้ำค่าเหล่านี้ได้ ข้าเพียงแค่ดีใจที่ได้ขวานของข้าคืนมา”

“จงรับไว้เถิด” เทพารักษ์กล่าว “ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด และเจ้าสมควรได้รับรางวัลนี้”

คนตัดไม้ยอมรับขวานทั้งสามเล่มด้วยความซาบซึ้งใจ เขาขอบคุณเทพารักษ์และเดินกลับบ้านพร้อมขวานในมือและความสุขในหัวใจ จากวันนั้นเป็นต้นมา เขาใช้ชีวิตอย่างพอเพียง และยังคงรักษาความซื่อสัตย์เป็นคุณธรรมสำคัญของเขาเสมอ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคนตัดไม้กับเทพารักษ์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความซื่อสัตย์และความจริงใจเป็นคุณธรรมที่มีค่า ความซื่อตรงในคำพูดและการกระทำสามารถนำมาซึ่งความช่วยเหลือและผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่เกินความคาดหมาย ผู้ที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์จะได้รับความไว้วางใจและความเมตตาจากผู้อื่นเสมอ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องคนตัดไม้กับเทพารักษ์ (อังกฤษ: The Honest Woodcutter หรือที่รู้จักกันในชื่อ Mercury and the Woodman and The Golden Axe) เป็นนิทานอีสปเรื่องหนึ่ง ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 173 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้เป็นบทเรียนเตือนใจเกี่ยวกับความจำเป็นในการปลูกฝังความซื่อสัตย์แม้จะต้องแลกมาด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวก็ตาม

ในเวอร์ชันนิทานเวอร์ชั่นกรีกต้นตำหรับ เล่าถึงคนตัดฟืนคนหนึ่งที่ทำขวานของเขาตกลงไปในแม่น้ำ เนื่องจากขวานนี้เป็นเครื่องมือทำมาหากินเพียงชิ้นเดียว เขาจึงนั่งลงร้องไห้ด้วยความเสียใจ เทพเจ้าเฮอร์มีส (Hermes) หรือที่รู้จักในชื่อ เมอร์คิวรี (Mercury) สงสารเขา จึงดำลงไปในน้ำและนำขวานทองคำขึ้นมา

“นี่คือขวานของเจ้าหรือไม่?” เฮอร์มีสถาม แต่คนตัดฟืนตอบว่าไม่ใช่ เมื่อขวานเงินถูกนำขึ้นมา เขาก็ยังตอบเช่นเดิม จนกระทั่งเฮอร์มีสนำขวานของเขาเองขึ้นมา คนตัดฟืนจึงยอมรับอย่างซื่อสัตย์ ด้วยความประทับใจในความซื่อสัตย์ของเขา เทพเจ้าจึงยกขวานทั้งสามเล่มให้

เมื่อเพื่อนบ้านผู้ริษยาได้ยินเรื่องนี้ จึงโยนขวานของตัวเองลงไปในแม่น้ำบ้าง และร้องไห้เรียกหาขวานคืน เมื่อเฮอร์มีสปรากฏตัวพร้อมขวานทองคำ ชายผู้นั้นรีบอ้างว่าเป็นของตน แต่เพราะความโลภ เทพเจ้าจึงไม่เพียงปฏิเสธที่จะให้ขวานทองคำ แต่ยังไม่คืนขวานของเขาด้วย

นิทานเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเทพเจ้าเห็นใจคนซื่อสัตย์และไม่เป็นมิตรกับคนโกหก

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์คิวลิสกับคนขับเกวียน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในชนบทอันห่างไกลที่ถนนลูกรังเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ชาวบ้านใช้ชีวิตเรียบง่ายด้วยการทำงานหนัก ท่ามกลางความท้าทายของการเดินทางและธรรมชาติที่ไม่แน่นอน

เรื่องราวของคนขับเกวียนผู้เผชิญกับอุปสรรคใหญ่บนเส้นทาง และคำสอนจากเทพเฮอร์คิวลิสผู้ทรงพลัง จะพาเราไปรู้จักคุณค่าของการพึ่งพาตนเองและพลังของการลงมือทำ กับนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์คิวลิสกับคนขับเกวียน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์คิวลิสกับคนขับเกวียน

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์คิวลิสกับคนขับเกวียน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในชนบทห่างไกล มีคนขับเกวียนคนหนึ่งเดินทางผ่านถนนลูกรังที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ เกวียนของเขาเต็มไปด้วยฟางและสินค้าอื่นๆ ที่ต้องนำไปส่งยังหมู่บ้านข้างหน้า ม้าของเขาลากเกวียนมาตามทางอย่างขยันขันแข็ง แต่เมื่อถึงบริเวณถนนที่เต็มไปด้วยโคลนลื่น เกวียนก็เริ่มติดลึกลงไปในหลุมโคลน

ล้อของเกวียนจมลึกจนไม่สามารถขยับได้ คนขับเกวียนพยายามออกแรงดัน ดึงบังเหียนม้า และตะโกนสั่งด้วยความหงุดหงิด “ดึงเข้า! ดึงออก! เจ้าม้าขี้เกียจ!” แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน เกวียนก็ยังไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว

เมื่อหมดหนทาง เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเกวียน ยกมือขึ้นฟ้าด้วยความสิ้นหวัง “โอ้ เทพเฮอร์คิวลิสผู้ยิ่งใหญ่! ข้าขอร้องท่าน ได้โปรดช่วยข้าดันเกวียนนี้ขึ้นจากโคลนด้วยเถิด! ข้าทำอะไรไม่ได้แล้ว!”

ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าที่ดูสงบนิ่งก็เกิดเสียงกึกก้อง และแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา เทพเฮอร์คิวลิสในชุดเกราะอันสง่างามปรากฏตัวขึ้นด้วยร่างที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจ เทพยืนกอดอกและมองคนขับเกวียนด้วยสายตาจริงจัง

“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” เทพเฮอร์คิวลิสถามด้วยน้ำเสียงดังก้อง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์คิวลิสกับคนขับเกวียน 2

คนขับเกวียนที่ตกตะลึงรีบลุกขึ้น “ข้ากำลังร้องขอความช่วยเหลือจากท่าน ท่านผู้ยิ่งใหญ่! เกวียนของข้าติดอยู่ในโคลน และข้าไม่สามารถทำอะไรได้เลย ข้าขอท่านช่วยข้าดันเกวียนขึ้นมาเถิด!”

เทพเฮอร์คิวลิสหัวเราะเล็กน้อย “ดันเกวียนขึ้นจากโคลน? แล้วทำไมเจ้าจึงนั่งอยู่เฉยๆ และวิงวอนฟ้า เจ้าลองออกแรงด้วยตัวเองหรือยัง?”

“แต่ข้าทำแล้ว!” คนขับเกวียนเถียง “ข้าใช้แรงทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถดันเกวียนออกมาได้”

เทพเฮอร์คิวลิสส่ายหัวและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าฟังข้าให้ดี ความช่วยเหลือที่แท้จริงไม่ได้มาจากข้า แต่จากตัวเจ้าเอง ลุกขึ้นและลงมือทำเถิด! จงใช้มือและแรงของเจ้าก่อน เริ่มด้วยการนำม้าลงจากเกวียน ใช้ไม้ค้ำล้อขึ้นจากโคลน แล้วค่อยๆ ดันออกไป หากเจ้าลงแรงด้วยความตั้งใจ ข้ารับรองว่าเกวียนนี้จะหลุดจากโคลนแน่นอน”

คนขับเกวียนลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นแววตาจริงจังของเทพ เขาจึงตัดสินใจลงมือทำตามคำแนะนำ เขานำม้าออกจากเกวียน ใช้ก้อนหินและท่อนไม้ที่หาได้ใกล้ๆ ค้ำล้อขึ้นจากโคลน จากนั้นจึงเริ่มออกแรงดันอย่างเต็มที่

“อื้ม…ขยับอีกนิด…อีกนิด!” เขาพูดกับตัวเองขณะออกแรงจนเหงื่อชุ่มเต็มตัว ในที่สุด ล้อของเกวียนก็หลุดขึ้นมาจากโคลน และเกวียนก็สามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้

คนขับเกวียนยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เขาหันกลับมาเพื่อขอบคุณเทพเฮอร์คิวลิส แต่เทพได้หายตัวไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงเสียงสะท้อนที่ดังก้องในอากาศ “จงจำไว้ว่า ความสำเร็จไม่ได้มาจากคำวิงวอน แต่จากความพยายามของเจ้าเอง”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์คิวลิสกับคนขับเกวียน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การพึ่งพาตนเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการรอคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่เกิดจากความพยายามและการลงมือทำของเราเอง หากเราเริ่มต้นด้วยแรงกายและแรงใจของตัวเอง ความช่วยเหลือที่แท้จริงจะมาจากผลลัพธ์ของการกระทำเหล่านั้น

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์คิวลิสกับคนขับเกวียน (อังกฤษ: Hercules and the Wagoner) เป็นนิทานที่เชื่อว่าแต่งโดยอีสป และเชื่อมโยงกับสุภาษิตที่ว่า “พระเจ้าจะช่วยเหลือผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองก่อนเสมอ” ซึ่งมีการกล่าวถึงในงานเขียนของนักปราชญ์กรีกโบราณอื่น ๆ ในหลากหลายรูปแบบ นิทานเรื่องนี้ถูกบันทึกครั้งแรกโดย Babrius ในช่วงช่วงปลายปีที่ 1 ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 ส่วนอีกในเวอร์ชั่นที่ถูกบันทึกโดย Zenobius ซึ่งเป็นนักเขียนร่วมสมัย มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องเล็กน้อย และเวอร์ชันภาษาละตินที่แต่งขึ้นภายหลังโดย Avianus

นิทานเรื่องนี้ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 291 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

คนขับเกวียนคนหนึ่งกำลังนำเกวียนกลับจากในเมือง แต่เกวียนกลับตกลงไปในคูที่ลึก เขาควรจะช่วยตัวเองโดยรีบลงมือแก้ไข แต่กลับยืนนิ่งและไม่ทำอะไร นอกจากอธิษฐานต่อเฮอร์คิวลีส เทพเจ้าที่เขาให้ความเคารพมากที่สุด

เฮอร์คิวลีสปรากฏตัวขึ้นและกล่าวกับเขาว่า “จับล้อเกวียนให้มั่น และกระตุ้นวัวของเจ้า จงอธิษฐานต่อเทพเจ้าเมื่อเจ้าได้ลงมือทำอะไรด้วยตัวเองแล้ว หากไม่เช่นนั้น คำอธิษฐานของเจ้าก็ไร้ประโยชน์!”

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องกระต่ายผู้หวาดกลัว

ในป่าลึกที่เต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบและเสียงแห่งธรรมชาติ มีสัตว์น้อยใหญ่อาศัยอยู่อย่างหลากหลาย ท่ามกลางความสงบเงียบที่ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายซ่อนอยู่ กลับมีชีวิตหนึ่งที่ต้องเผชิญกับความหวาดกลัวตลอดเวลา

กระต่ายตัวเล็กๆ ที่ใช้ชีวิตด้วยการหลบหนีและระแวงทุกสิ่งรอบตัว มันต้องเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดในโลกที่เต็มไปด้วยนักล่า เรื่องราวของมันจะพาเราไปสู่บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับความกลัวและการหาหนทางสร้างความมั่นคงในชีวิต กับนิทานอีสปเรื่องกระต่ายผู้หวาดกลัว

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกระต่ายผู้หวาดกลัว

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องกระต่ายผู้หวาดกลัว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าลึกที่เต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบและทุ่งหญ้ากว้าง มีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ กระต่ายตัวนี้เป็นสัตว์ตัวเล็กที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง มันรู้ว่าชีวิตของมันเปราะบาง เพราะมันเป็นเหยื่อที่ถูกล่าจากสัตว์นักล่าหลายชนิด หมาป่า เหยี่ยว งู และแม้แต่มนุษย์ ทุกชีวิตดูเหมือนจะต้องการตัวมันเป็นอาหาร กระต่ายใช้ชีวิตแต่ละวันด้วยความระวังตัว มันแทบไม่เคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกปลอดภัยเลย

“ข้าเกิดมาเพื่อเป็นเหยื่อของโลกนี้หรืออย่างไร?” กระต่ายพูดกับตัวเองในคืนหนึ่งขณะที่มันหลบซ่อนอยู่ในโพรง มันไม่สามารถพักผ่อนได้เต็มที่ เพราะเสียงลมพัดใบไม้หรือเสียงกิ่งไม้หักก็ทำให้มันสะดุ้งตัวสั่นด้วยความกลัว

วันหนึ่ง ขณะที่กระต่ายออกมาหาอาหารในยามเช้าตรู่ มันพยายามกินหญ้าอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ต้องอยู่นอกโพรงนานเกินไป ทันใดนั้น เสียงใบไม้ไหวดังขึ้น กระต่ายสะดุ้งตกใจสุดชีวิต “หมาป่า! หรือจะเป็นสุนัขของมนุษย์? ข้าต้องหนี!” มันคิดในใจโดยไม่หันกลับไปดูว่าต้นเสียงนั้นคืออะไร มันกระโดดหนีด้วยความรวดเร็ว

กระต่ายวิ่งสุดกำลังจนมาถึงทุ่งหญ้ากว้าง มันเจอกวางฝูงหนึ่งที่กำลังกินหญ้าอย่างสงบ กระต่ายหยุดและตะโกนด้วยเสียงสั่นเครือ “หนีเร็ว! มีภัยร้ายกำลังตามมา! ถ้าพวกเจ้าไม่รีบหนี พวกเจ้าจะถูกจับเหมือนข้า!” กวางที่กำลังเพลิดเพลินกับหญ้าหยุดมองหน้ากันด้วยความงุนงง แต่เมื่อเห็นท่าทางของกระต่ายที่ตกใจและตัวสั่น พวกมันเริ่มตื่นตระหนกและวิ่งหนีไปพร้อมกับกระต่ายโดยไม่ถามว่าภัยนั้นคืออะไร

กระต่ายยังคงวิ่งต่อไป จนมาถึงขอบป่าที่มีฝูงนกเกาะอยู่บนต้นไม้ กระต่ายแหงนหน้าขึ้นไปตะโกนเสียงดัง “บินเร็ว! บินหนีไป! อันตรายกำลังจะมาถึงที่นี่! ถ้าพวกเจ้ารออยู่ พวกเจ้าจะไม่รอด!” ฝูงนกต่างตกใจและพากันกระพือปีกบินขึ้นฟ้าพร้อมกัน เกิดเป็นเสียงดังระงมในอากาศ

เมื่อวิ่งต่อไปจนเหนื่อยหอบ กระต่ายหยุดพักที่ริมลำธาร มันมองไปรอบ ๆ และไม่เห็นอะไรเลย ไม่มีหมาป่า ไม่มีสุนัข หรือภัยที่มันคิดว่าจะตามมา กระต่ายหายใจหอบเหนื่อย มันจ้องมองเงาของตัวเองในน้ำแล้วพูดด้วยเสียงเศร้า “ข้าไม่อาจไว้ใจพื้นดินที่เต็มไปด้วยนักล่า ข้าก็ไม่อาจพึ่งน้ำ เพราะจระเข้ก็อาจอยู่ในนั้น แล้วข้าควรจะไปที่ไหน?”

มันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้มจากแสงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน กระต่ายถอนหายใจยาว “ข้าจะหนีขึ้นฟ้าอย่างนั้นหรือ? แต่ข้าก็หวั่นเกรงว่า แม้แต่บนสวรรค์เอง ก็อาจมีสุนัขนักล่าอยู่ท่ามกลางดวงดาว!”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกระต่ายผู้หวาดกลัว 2

กระต่ายรู้สึกหมดหนทาง มันนั่งนิ่งอยู่ริมลำธาร คิดถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยการหลบหนีและความหวาดกลัว มันรู้ว่าความหวาดระแวงของมันไม่ได้ช่วยให้ปลอดภัย แต่มันก็ไม่อาจหาความสงบในโลกที่เต็มไปด้วยภัยรอบตัวได้

กระต่ายรู้สึกหมดหนทาง มันสลดใจที่ไม่ว่าที่ใดในโลกก็ไม่มีที่ปลอดภัยสำหรับมัน ชีวิตของมันเหมือนต้องหลบหนีและหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา แม้ในยามที่ไม่มีอันตรายเลยก็ตาม

ในที่สุด กระต่ายหยุดพักริมลำธาร มันหอบหนัก หัวใจเต้นแรง และจ้องมองเงาของตัวเองในน้ำ มันพูดกับตัวเองว่า “ทำไมข้าต้องใช้ชีวิตเช่นนี้? ข้าหนีทุกสิ่งทุกอย่าง หนีแม้กระทั่งเงาของตัวเอง แต่ข้าก็ยังไม่รู้สึกปลอดภัยเลย”

กระต่ายเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง มันถอนหายใจและพูดว่า “ข้าอาจจะไม่มีเขี้ยวหรือกรงเล็บ แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้ความกลัวควบคุมชีวิตข้าอีกต่อไป! หากโลกใบนี้มีแต่ผู้ล่า ข้าจะหาวิธีเอาตัวรอดในเส้นทางของข้าเอง”

มันเริ่มคิดถึงสิ่งที่มันมี แม้จะไม่มีพละกำลังเหมือนหมาป่า หรือความรวดเร็วเหมือนเหยี่ยว แต่มันมีความว่องไวและความเฉลียวฉลาด กระต่ายจึงตัดสินใจใช้ความสามารถเหล่านี้สร้างโพรงที่ปลอดภัยกว่าเดิม โดยขุดโพรงลึกและซับซ้อนจนไม่มีนักล่าตัวใดหาเจอ นอกจากนี้ มันยังเรียนรู้ที่จะอยู่รวมกันกับกระต่ายตัวอื่น เพื่อช่วยกันระวังภัยและเตือนกันเมื่อมีอันตราย

เมื่อหมาป่าผ่านมาใกล้โพรง กระต่ายตัวอื่นพยายามหนีไปคนละทาง แต่กระต่ายตัวนี้กลับใช้โพรงที่มันสร้างอย่างชาญฉลาดหลบภัยอยู่ภายใน และรอดมาได้อย่างปลอดภัย

“ข้าไม่ใช่เหยื่ออีกต่อไปแล้ว ชีวิตของข้าขึ้นอยู่กับการที่ข้าจะเลือกเผชิญหน้ากับมันอย่างไร” กระต่ายพูดกับตัวเองด้วยความมั่นใจ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกระต่ายผู้หวาดกลัว 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความกลัวที่เกินเหตุและการมองตนเองเป็นเหยื่อตลอดเวลา จะทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและเป็นอิสระ หากเรามัวแต่มองโลกในแง่ร้ายหรือคิดว่าตัวเองไร้หนทาง สิ่งนั้นจะกลายเป็นข้อจำกัดในชีวิตของเราเอง การใช้ชีวิตด้วยความมั่นใจ ไม่ยอมปล่อยให้ความกลัวควบคุม เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เรามองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหา แทนที่จะใช้ชีวิตอยู่ในบทบาทของเหยื่อตลอดไป

เราไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตในบทบาทของเหยื่อเสมอไป แต่สามารถลุกขึ้นมาเป็นวีรบุรุษในเส้นทางของเราเองได้ การเผชิญหน้ากับความกลัวด้วยสติและความกล้าหาญจะทำให้เราค้นพบพลังในตัวเองและเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ชีวิตไม่ได้ถูกกำหนดด้วยความหวาดระแวงหรือข้อจำกัดจากภายนอก แต่ขึ้นอยู่กับวิธีที่เราเลือกจะรับมือกับมัน จงเชื่อมั่นในตัวเองและสร้างเส้นทางที่มั่นคงให้กับชีวิตของคุณ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องกระต่ายผู้หวาดกลัว (อังกฤษ: The Hare in flight) เหตุผลที่กระต่ายต้องวิ่งหนีอยู่เสมอก็เพราะมันเป็นเหยื่อของสัตว์หลายชนิด รวมถึงยังถูกล่าจากมนุษย์อีกด้วย มีนิทานต้นกำเนิดจากกรีกโบราณอยู่สามเรื่องที่กล่าวถึงการไล่ล่ากระต่าย ซึ่งแต่ละเรื่องยังสะท้อนสำนวนหรือสุภาษิตที่ได้รับความนิยมอีกด้วย

บทกวีสามบทจาก Greek Anthology กล่าวถึงนิทานที่ไม่มีการบันทึกไว้ในที่อื่น ซึ่งเล่าถึงกระต่ายที่กำลังหนีสุนัขล่าเหยื่อและกระโดดลงทะเลเพื่อหนีภัย แต่กลับถูก ‘สุนัขทะเล’ ซึ่งหมายถึงฉลามเมดิเตอร์เรเนียนจับตัวไป บทกวีสองบทแรกแต่งโดย Germanicus Caesar โดยบทที่สองจบลงด้วยความสะเทือนใจดังนี้:

สัตว์ทั้งในน้ำและบนบกต่างพากันโกรธแค้นข้า
กระต่ายทั้งหลายเอ๋ย จงพึ่งพาอากาศเถิด แต่ข้ายังหวั่นเกรงว่า
แม้แต่บนสรวงสวรรค์เองก็อาจมีสุนัขอยู่ท่ามกลางดวงดาวก็ได้!

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องกระต่าย สุนัขและคนเลี้ยงแพะ

กาลครั้งหนึ่งในทุ่งหญ้าเขียวขจี มีสัตว์หลายชนิดที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่ในธรรมชาติ บางครั้งการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เรื่องราวของกระต่ายผู้พยายามหนีตายจากสุนัขล่าเนื้อ และบทสนทนาที่สะท้อนความจริงระหว่างสุนัขกับคนเลี้ยงแพะ จะพาเราไปสำรวจถึงพลังของแรงจูงใจและการดิ้นรนที่ยิ่งใหญ่ในช่วงเวลาคับขัน กับนิทานอีสปเรื่องกระต่าย สุนัขและคนเลี้ยงแพะ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกระต่าย สุนัขและคนเลี้ยงแพะ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องกระต่าย สุนัขและคนเลี้ยงแพะ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในทุ่งหญ้าเขียวขจี มีสุนัขล่าเนื้อตัวหนึ่ง มันขึ้นชื่อเรื่องความรวดเร็วและความชำนาญในการล่า วันหนึ่งขณะมันเดินสำรวจทุ่งหญ้า มันได้กลิ่นกระต่ายที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ ๆ ด้วยความตื่นเต้นและมั่นใจในฝีเท้าของตัวเอง สุนัขจึงค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้ แล้วพุ่งเข้าใส่พุ่มไม้อย่างรวดเร็ว

“ข้าจับเจ้าได้แน่!” สุนัขเห่าลั่น

กระต่ายตัวนั้นที่กำลังแทะหญ้าอยู่ตกใจสุดขีด มันรีบกระโจนออกจากพุ่มไม้และวิ่งหนีด้วยความเร็วสูงสุด “ช่วยด้วย! ชีวิตข้าขึ้นอยู่กับขาอันน้อยนิดของข้าแล้ว!” กระต่ายพูดกับตัวเองขณะกระโจนหนี

สุนัขล่าเนื้อเริ่มไล่ตามด้วยความมุ่งมั่น กระต่ายเลี้ยวหลบไปทางซ้ายที ขวาที บางครั้งมันกระโดดข้ามพุ่มไม้หรือแทรกตัวผ่านต้นหญ้าสูงที่หนาทึบ แม้กระต่ายจะตัวเล็ก แต่ความคล่องตัวและความเร็วของมันทำให้สุนัขต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อไล่ตาม

“เจ้าหนีไม่รอดแน่!” สุนัขตะโกนขณะวิ่งตาม

กระต่ายไม่ตอบอะไร มันมุ่งมั่นเพียงอย่างเดียวคือวิ่งเพื่อเอาชีวิตรอด ในที่สุด กระต่ายก็พุ่งเข้าไปในโพรงเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้ก้อนหินใหญ่ “ข้ารอดแล้ว!” กระต่ายหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน แต่เต็มไปด้วยความโล่งใจ

สุนัขที่วิ่งตามมาตลอดทางหยุดอยู่หน้าก้อนหิน มันจ้องเข้าไปในโพรงอย่างผิดหวัง และหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า “เจ้าโชคดีนะกระต่าย” สุนัขพึมพำ

ในขณะนั้นเอง คนเลี้ยงแพะที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุก็หัวเราะลั่น “ฮ่า ๆ ๆ ข้าดูเจ้ามาตลอด เจ้าที่ว่าชำนาญการล่า แต่กลับปล่อยให้กระต่ายตัวเล็ก ๆ หนีรอดไปได้ เจ้านี่มันน่าอายจริง ๆ!”

สุนัขหันไปมองคนเลี้ยงแพะด้วยสายตานิ่ง ก่อนจะตอบกลับอย่างใจเย็นว่า “เจ้าคิดว่ามันง่ายอย่างนั้นหรือ? เจ้าเข้าใจไหมว่ามันต่างกันมากระหว่างการวิ่งเพื่อตามจับใครบางคน กับการวิ่งเพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง?”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกระต่าย สุนัขและคนเลี้ยงแพะ 2

คนเลี้ยงแพะที่ได้ยินดังนั้นหยุดหัวเราะ “หมายความว่าอย่างไร?” เขาถามด้วยความสงสัย

“กระต่ายมันวิ่งด้วยแรงผลักดันของความกลัว” สุนัขอธิบาย “มันรู้ว่าหากมันหยุด นั่นหมายถึงชีวิตของมันจบลง แต่ข้ากลับวิ่งเพียงเพื่อไล่จับ มันเป็นแค่ความพยายาม ไม่ใช่เรื่องของชีวิตหรือความตาย เจ้าลองคิดดูสิ ระหว่างความจำเป็นต้องรอด กับความต้องการที่จะชนะ อะไรที่ให้พลังมากกว่ากัน?”

สุนัขที่เหนื่อยหอบแต่ยังคงมีความสง่างามในท่าทีของมัน เงยหน้าขึ้นและตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “เจ้าคิดว่ามันง่ายอย่างนั้นหรือ? เจ้ารู้ไหมว่ามันต่างกันแค่ไหน ระหว่างการวิ่งเพื่อตามจับใครบางคน กับการวิ่งเพื่อเอาชีวิตรอด? ข้าวิ่งเพื่อล่า แต่มันวิ่งเพราะชีวิตของมันแขวนอยู่บนเส้นด้าย ความพยายามของมันจึงเหนือกว่าข้า”

คนเลี้ยงแพะที่ได้ยินเช่นนั้น หยุดหัวเราะและเริ่มไตร่ตรอง เขามองเห็นความจริงในคำพูดของสุนัขล่าเนื้อ และเข้าใจว่าความมุ่งมั่นของกระต่ายนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เมื่อมันต้องการรักษาชีวิตของตัวเอง “เจ้าพูดถูก ความพยายามของกระต่ายนั้นมากกว่า เพราะมันสู้เพื่อชีวิตของมัน ข้าคิดผิดที่หัวเราะเยาะเจ้า”

สุนัขหันกลับไปมองโพรงกระต่ายอีกครั้ง “กระต่ายรอด เพราะมันสมควรจะรอด” สุนัขกล่าวพลางหันหลังเดินกลับไปด้วยท่าทีสง่างาม

ในขณะที่สุนัขเดินกลับไปด้วยท่าทีสงบและสง่างาม คนเลี้ยงแพะยังคงนั่งคิดถึงบทเรียนสำคัญที่เขาเพิ่งได้รับ และในใจของเขา เขาเริ่มรู้สึกเคารพในความพยายามของทั้งสุนัขและกระต่าย

คนเลี้ยงแพะนั่งมองเหตุการณ์จนกระทั่งสุนัขลับสายตาไป เขารู้สึกได้ถึงบทเรียนสำคัญจากสิ่งที่ได้เห็นและคำพูดของสุนัข

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกระต่าย สุนัขและคนเลี้ยงแพะ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความพยายามที่เกิดจากแรงจูงใจเพื่อรักษาสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น การเอาชีวิตรอด ย่อมมีพลังและความมุ่งมั่นที่เหนือกว่าความพยายามที่เกิดจากเป้าหมายรอง ความจำเป็นมักสร้างพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าความต้องการ ดังนั้น เราควรเข้าใจแรงจูงใจของผู้อื่นและเรียนรู้ที่จะไม่ดูแคลนความพยายามของใคร

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องกระต่าย สุนัขและคนเลี้ยงแพะ (อังกฤษ: The Hare, the Dog and the Goatherd) นิทานสั้น ๆ เรื่องนี้เป็นผลงานของอีสปเรื่องหนึ่ง ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 331 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

สุนัขล่าเนื้อตัวหนึ่งซึ่งมีความชำนาญในการล่าได้ต้อนกระต่ายตัวหนึ่งออกมาจากพุ่มไม้ และเริ่มไล่ล่ามัน แต่กระต่ายกลับวิ่งหนีไปได้อย่างรวดเร็ว คนเลี้ยงแพะคนหนึ่งจึงเยาะเย้ยสุนัขว่า “กระต่ายตัวเล็ก ๆ แค่นั้นยังวิ่งเร็วกว่าเจ้าเสียอีก!” สุนัขตอบกลับว่า “มันต่างกันนะ ระหว่างการวิ่งเพื่อตามจับใครสักคน กับการวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด!”

นิทานนี้สอนให้เห็นว่าความมุ่งมั่นและแรงจูงใจในสถานการณ์ต่าง ๆ สามารถทำให้ผลลัพธ์แตกต่างกันได้

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องห่านกับไข่ทองคำ

กาลครั้งหนึ่ง ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ ชาวนาผู้ยากจนคนหนึ่งอาศัยอยู่กับห่านเพื่อนคู่ใจในกระท่อมเก่า วันหนึ่ง เขาตื่นมาพบสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล ห่านของเขาออกไข่ทองคำใบโตที่เปล่งประกายระยิบระยับ

ชาวนาคิดว่าสวรรค์ส่งโชคลาภมาให้เขา แต่ใครจะรู้ว่าความโลภที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ จะนำพาไปสู่จุดจบที่ไม่มีใครคาดคิด… กับนิทานอีสปเรื่องห่านกับไข่ทองคำ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องห่านกับไข่ทองคำ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องห่านกับไข่ทองคำ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็ก ๆ มีชาวนาผู้ยากจนคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในกระท่อมเก่ากับห่านเพียงตัวเดียวที่เขาเลี้ยงไว้ในเล้าหลังบ้าน ชาวนาเลี้ยงห่านด้วยความรัก เพราะมันเป็นเพื่อนคลายเหงาของเขาในวันที่ยากลำบาก

เช้าวันหนึ่ง เมื่อเขาไปที่เล้าเพื่อให้อาหารห่าน เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นไข่ทองคำใบใหญ่แวววาวอยู่ในเล้า “นี่มันอะไรกัน!?” ชาวนาอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

เขาหยิบไข่ขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง มันหนักและเปล่งประกายเหมือนทองแท้ “เป็นไปได้หรือ? ไข่นี้ทำจากทองคำจริง ๆ!” เขารีบนำไข่ไปที่ตลาดเพื่อให้ช่างทองตรวจสอบ และเมื่อช่างทองยืนยันว่าไข่เป็นทองคำแท้ ชาวนาก็กลับบ้านด้วยเงินก้อนโต

“ห่านของข้าไม่ใช่ห่านธรรมดา แต่มันคือห่านวิเศษ!” ชาวนาพูดกับตัวเองด้วยความดีใจ

เช้าวันต่อมา ห่านตัวเดิมก็ออกไข่ทองคำอีกใบ ชาวนาร่ำรวยขึ้นเรื่อย ๆ จากไข่ทองคำที่ห่านออกให้ทุกวัน เขาซื้อเสื้อผ้าใหม่ อาหารดี ๆ และปรับปรุงกระท่อมของเขาให้ดูดีขึ้น

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องห่านกับไข่ทองคำ 2

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความโลภก็เริ่มก่อตัวในใจของเขา “ข้าต้องรอทีละวันเพื่อให้ห่านออกไข่ทองคำเพียงใบเดียว” ชาวนาบ่นกับตัวเอง “มันต้องมีทองคำอยู่ในตัวมันมากมาย ข้าจะฆ่ามันและเอาทองคำทั้งหมดออกมา!”

วันนั้นเอง ชาวนาได้ตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล เขาจับห่านตัวนั้นมาและพูดกับมันว่า “ขอโทษนะเจ้าเพื่อน ข้าต้องทำเพื่ออนาคตของข้า” แล้วเขาก็ใช้มีดฆ่าห่านตัวนั้นทันที

ด้วยความตื่นเต้น ชาวนารีบผ่าท้องของห่านออกมา แต่สิ่งที่เขาเห็นคือเนื้อและเลือดธรรมดา ไม่มีทองคำแม้แต่ชิ้นเดียว “เป็นไปไม่ได้! ข้าต้องพบทองคำอยู่ในนี้สิ!” ชาวนาตะโกนออกมาด้วยความสิ้นหวัง

เมื่อเขาตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ชาวนาก็ทรุดตัวลงกับพื้น เขามองดูร่างของห่านที่เคยให้ไข่ทองคำทุกวัน และเริ่มร้องไห้ “ข้าไม่น่าทำแบบนี้เลย! ข้าเป็นคนโง่ที่สุดในโลก ความโลภของข้าทำให้ข้าสูญเสียทุกอย่าง!”

ชาวนาเดินกลับเข้าบ้านด้วยความเศร้าใจ เขานั่งอยู่เงียบ ๆ มองไปที่กำแพง ก่อนจะโขกหัวตัวเองกับกำแพงซ้ำแล้วซ้ำเล่า “โง่จริง ๆ ข้านี่มันโง่!” เขาพร่ำบ่นกับตัวเอง

จากนั้นเป็นต้นมา ชาวนาก็กลับไปสู่ความยากจนอีกครั้ง เขาได้แต่เสียใจที่ความโลภและความใจร้อนทำให้เขาสูญเสียห่านวิเศษ และโอกาสที่จะมีชีวิตที่มั่งคั่งตลอดไป

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องห่านกับไข่ทองคำ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความโลภและความใจร้อนสามารถนำมาซึ่งความหายนะ การไม่พอใจในสิ่งที่เรามีและพยายามได้ทุกอย่างในทันที อาจทำให้เราสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดไปโดยไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้ การรู้จักพอและอดทนจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาความสุขในระยะยาว

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องห่านกับไข่ทองคำ (อังกฤษ: The Goose that Laid the Golden Eggs) เป็นหนึ่งในนิทานอีสปที่ได้รับความนิยมอย่างมาก นิทานเรื่องนี้ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 87 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานนี้ยังมีเรื่องราวที่คล้ายคลึงกันในวัฒนธรรมตะวันออกอีกหลายเวอร์ชัน บางเวอร์ชันเปลี่ยนจากห่านเป็นไก่หรือสัตว์อื่นที่ออกไข่ทองคำ นิทานนี้ยังเป็นที่มาของสำนวน “ฆ่าห่านที่ออกไข่ทองคำ” ซึ่งหมายถึงการทำลายทรัพยากรอันมีค่าเพราะความโลภ หรือการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เพราะความเห็นแก่ตัว

“เพราะหวังจะได้สมบัติในจินตนาการ ข้าจึงสูญเสียกำไรที่เคยมีอยู่ในมือ!”

นิทานนี้สอนให้เห็นว่า คนเรามักโลภเกินความจำเป็น จนสุดท้ายสูญเสียสิ่งที่มีค่าในชีวิตไป

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com