นิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย

ในสวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งดอกไม้ที่มีสีสันสวยงามและดอกไม้ที่ยืนหยัดด้วยความเรียบง่าย แต่ละดอกต่างมีคุณค่าและบทบาทในแบบของตัวเอง ทว่าบางครั้ง ความแตกต่างเหล่านั้นกลับนำมาซึ่งความรู้สึกเปรียบเทียบและคำถามถึงคุณค่าของตนเอง

เช่นเดียวกับเรื่องราวของกุหลาบที่งดงามแต่เปราะบาง และต้นบานไม่รู้โรยที่เรียบง่ายแต่คงทน เรื่องราวของพวกเขาจะพาเราไปค้นพบความหมายของการยอมรับในตัวตนและบทบาทของตัวเอง ติดตามบทเรียนสำคัญนี้กับนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ สวนดอกไม้ที่งดงามที่สุดในเมือง มีพุ่มกุหลาบที่โดดเด่นที่สุดในสวน ดอกของมันมีสีแดงสดและกลิ่นหอมหวานที่สามารถทำให้ผู้คนหลงใหลได้ในทันที ทุกเช้า ผู้คนมักแวะเวียนมาชื่นชมกุหลาบ ดอกไม้ที่พวกเขามองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความงามและความสง่างาม

ใกล้ ๆ กับต้นกุหลาบ มีต้นบานไม่รู้โรยเล็ก ๆ เติบโตอยู่ แม้มันจะไม่มีสีสันที่สดใสหรือกลิ่นหอมเย้ายวน แต่ดอกของมันกลับคงทนและไม่เหี่ยวเฉา ไม่ว่าจะผ่านฤดูกาลใด

เช้าวันหนึ่ง ต้นบานไม่รู้โรยมองดูพุ่มกุหลาบที่เบ่งบานอย่างเต็มที่ มันอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชม “เจ้ากุหลาบ เจ้าช่างเป็นดอกไม้ที่งดงามเหลือเกิน! ดอกของเจ้ามีสีแดงสดและกลิ่นหอมที่ใคร ๆ ต่างหลงรัก เจ้าเป็นที่ปรารถนาของทั้งเทพเจ้าและมนุษย์ ข้ารู้สึกอิจฉาเจ้าเหลือเกิน”

กุหลาบได้ยินคำชื่นชมก็ยิ้ม แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับมีแววเศร้า มันกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ขอบใจเจ้ามาก บานไม่รู้โรย ข้ารู้สึกภูมิใจที่ได้มอบความสุขให้กับผู้คน แต่เจ้ารู้หรือไม่ ความงดงามนี้แลกมาด้วยอะไร?”

ต้นบานไม่รู้โรยเอียงก้านด้วยความสงสัย “แลกมา? ข้าไม่เข้าใจ เจ้าเป็นดอกไม้ที่งดงามที่สุดในสวนนี้ ใคร ๆ ต่างก็หลงใหลในเจ้า เจ้ามีทุกสิ่งที่ข้าไม่มี ทำไมเจ้าจึงพูดเหมือนกำลังทุกข์ใจ?”

ต้นกุหลาบถอนหายใจลึก “เจ้าเห็นดอกของข้าที่กำลังเบ่งบานงดงามในตอนนี้ใช่ไหม? แต่ความงดงามนี้อยู่ได้ไม่นาน ทุกครั้งที่ข้าเริ่มบานเต็มที่ ก็เป็นช่วงเวลาที่ข้ากำลังจะร่วงโรย หากไม่มีใครเด็ดข้าไป ดอกของข้าก็จะร่วงหล่นลงพื้นในเวลาไม่กี่วัน ข้าคงอยู่ได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น”

ต้นบานไม่รู้โรยมองกุหลาบด้วยความประหลาดใจ มันถามอย่างจริงใจ “แต่เจ้าเป็นที่รักของทุกคนไม่ใช่หรือ? เจ้ามอบความสุขให้ใครหลายคน แล้วทำไมเจ้าจึงเศร้ากับสิ่งนั้น?”

ต้นกุหลาบยิ้มเศร้า “เพราะทุกครั้งที่ข้าร่วงโรย ความงามของข้าก็ถูกลืม ผู้คนที่เคยชื่นชมข้า ก็เดินผ่านไปโดยไม่สนใจ ข้าอยากจะมีความคงทนเช่นเจ้า เจ้าไม่ต้องกังวลว่าดอกของเจ้าจะโรยรา เจ้ายืนหยัดอยู่ได้นาน แม้เวลาจะผ่านไป”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย 2

บานไม่รู้โรยนิ่งคิด ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “บางทีเจ้าอาจมองในมุมที่แตกต่างกันไป ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีคุณค่าในแบบของมันเอง ความงดงามของเจ้าอาจอยู่เพียงช่วงสั้น ๆ แต่เจ้าสร้างความประทับใจและความสุขในช่วงเวลานั้นได้มากมาย ข้าอาจคงอยู่ได้นาน แต่ไม่มีใครหยุดมองข้าเหมือนที่พวกเขาชื่นชมเจ้า”

กุหลาบพยักหน้ารับคำพูดของบานไม่รู้โรย แต่ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “บางทีความงามและการได้รับความชื่นชมก็ไม่คุ้มค่า หากต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับการโรยรา ข้าคงต้องยอมรับในสิ่งที่ข้าเป็น แม้จะยังคงอิจฉาเจ้าอยู่”

วันเวลาผ่านไป กุหลาบที่เคยเบ่งบานก็เริ่มร่วงโรย กลีบดอกที่เคยแดงสดหล่นลงสู่พื้นทีละกลีบ ผู้คนที่เคยหยุดชื่นชมต่างเดินผ่านไปโดยไม่ได้หันกลับมามอง ต้นกุหลาบกลายเป็นเพียงก้านที่เปลือยเปล่า

ต้นบานไม่รู้โรยอยู่ใกล้ ๆ มองดูต้นกุหลาบที่ว่างเปล่าด้วยความเศร้า มันยังคงยืนหยัดด้วยดอกที่ไม่เหี่ยวเฉา แต่ในหัวใจของมันกลับรู้สึกว่างเปล่า มันเอ่ยขึ้นเบา ๆ ราวกับจะปลอบใจตัวเอง “ความงดงามที่เปราะบางอาจสร้างความสุขชั่วคราว แต่ความยั่งยืนของข้าก็ไม่ได้เติมเต็มความหมายไปทั้งหมด บางที สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพึงพอใจกับสิ่งที่เราเป็น”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความงดงามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการยอมรับและพอใจกับสิ่งที่เราเป็น แม้ความฟุ้งเฟ้อและความโดดเด่นจะดึงดูดความสนใจในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ความยั่งยืนและความเรียบง่ายกลับมอบคุณค่าในระยะยาว ทุกสิ่งในโลกนี้มีคุณค่าในแบบของมันเอง และการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นอาจทำให้เราลืมเห็นความสำคัญในสิ่งที่เรามี การพึงพอใจในตัวเองคือกุญแจสู่ความสุขที่แท้จริง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย (อังกฤษ: The Rose and the Amaranth) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 369 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้แตกต่างจากนิทานพืชอื่น ๆ เช่น “ต้นโอ๊กกับต้นอ้อ” หรือ “ต้นไม้กับพุ่มหนาม” ที่ตัวละครมักจะโต้เถียงกันด้วยความหยิ่งทะนง แต่ในนิทานนี้ ดอกบานไม่รู้โรยผู้ต่ำต้อยกล่าวชื่นชมดอกกุหลาบด้วยความอ่อนน้อมในเรื่องความงามและชื่อเสียงของมัน และได้รับคำตอบด้วยความถ่อมตนเช่นกันว่า ชีวิตของดอกกุหลาบนั้นสั้นนัก ในขณะที่ดอกบานไม่รู้โรย (ซึ่งชื่อหมายถึง “ดอกไม้ที่ไม่ตาย”) กลับคงอยู่ชั่วนิรันดร์

ในยุคคลาสสิก นิทานนี้มีเฉพาะในภาษากรีก และแพร่เข้าสู่ยุโรปตะวันตกในภายหลัง หนึ่งในผลงานภาษาอังกฤษยุคแรกคือบทกวีของ บรูค บูธบี (Brook Boothby) ที่จบลงด้วยข้อคิด:

Love is the rose-bud of an hour, Friendship the everlasting flower.

ความรักดั่งดอกกุหลาบที่เบ่งบานเพียงชั่วครู่, มิตรภาพเปรียบดั่งดอกไม้ที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์

นิทานนี้สอนว่า การมีชีวิตที่ยาวนานและพอใจกับสิ่งเล็กน้อย ย่อมดีกว่าการมีชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อในช่วงสั้น ๆ แล้วต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงที่เลวร้าย หรือแม้กระทั่งความตาย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องแม่น้ำกับทะเล

ในโลกของธรรมชาติ ทุกสิ่งล้วนมีบทบาทและหน้าที่ของมัน แต่บางครั้ง ความไม่เข้าใจหรือการมองเห็นเพียงด้านเดียว อาจนำมาซึ่งคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่นเดียวกับเรื่องราวของแม่น้ำทั้งหลาย ที่แม้จะมุ่งหน้าสู่ทะเลด้วยจุดประสงค์เดียวกัน แต่กลับตั้งคำถามถึงบทบาทของทะเล

โดยลืมมองถึงความสำคัญของสิ่งที่ทะเลทำเพื่อพวกมัน นี่คือเรื่องราวที่เต็มไปด้วยบทเรียนสำคัญกับนิทานอีสปเรื่องแม่น้ำกับทะเล

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแม่น้ำกับทะเล

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องแม่น้ำกับทะเล

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลมารวมตัวกันที่ทะเลกว้างใหญ่ แต่ละสายต่างทำหน้าที่นำพาน้ำจืดจากภูเขา ที่ราบสูง และป่าไม้ ผ่านเส้นทางยาวไกลมายังจุดหมายปลายทางเดียวกัน ทว่าหลังจากเวลาผ่านไป แม่น้ำเหล่านั้นเริ่มรู้สึกไม่พอใจและรวมตัวกันเพื่อร้องเรียนต่อทะเล

แม่น้ำสายหนึ่งเริ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เราทั้งหมดได้พยายามอย่างหนักเพื่อรวบรวมและพาน้ำจืดมาสู่เจ้า แต่เหตุใดเจ้าแทนที่จะรักษาน้ำของเรา กลับทำให้น้ำจืดที่หวานและดื่มได้กลายเป็นน้ำเค็มที่ไม่มีใครสามารถดื่มได้เลย?”

อีกสายหนึ่งเสริมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ใช่! เจ้าคิดบ้างไหมว่าเราแต่ละสายต้องผ่านเส้นทางอันยากลำบาก ต้องเผชิญกับโคลนตม ฝนตก และแดดร้อน เพื่อรวบรวมน้ำมาให้เจ้า แต่เจ้ากลับทำให้น้ำของเราสูญเสียคุณค่าไปเช่นนี้”

แม่น้ำสายที่สามกล่าวเสริมด้วยความไม่พอใจเช่นกัน “เจ้ารู้ไหมว่า น้ำของพวกเราคือสิ่งที่ผู้คนในหมู่บ้านสองข้างทางดื่มกินได้ แต่เมื่อมาถึงเจ้า น้ำกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ”

ทะเลฟังคำวิจารณ์เหล่านั้นอย่างสงบ มันเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่หนักแน่น “พวกเจ้าเคยถามตัวเองหรือไม่ ว่าเหตุใดเจ้าจึงไหลมาหาข้า? ถ้าพวกเจ้าไม่ต้องการให้ข้าทำหน้าที่เช่นนี้ ก็หยุดไหลมาสิ! แต่จงจำไว้ว่าทุกหยดน้ำที่พวกเจ้ามอบให้ข้า ข้ารับไว้และเก็บรักษามัน ไม่ให้สูญหายไป”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแม่น้ำกับทะเล 2

แม่น้ำสายหนึ่งโต้กลับ “เก็บรักษา? เจ้าหมายความว่าอย่างไร? น้ำของเราถูกเจ้าเปลี่ยนเป็นน้ำเค็มจนไม่มีใครใช้ได้แล้ว นั่นเรียกว่าการเก็บรักษาหรือ?”

ทะเลยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว “น้ำที่เจ้ามอบให้ข้า ไม่ได้สูญเปล่าเลยสักหยด ข้าทำหน้าที่เป็นที่รวมน้ำของเจ้าทั้งหมด เพื่อให้น้ำเหล่านั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรชีวิต ข้าส่งน้ำขึ้นไปในรูปของไอ น้ำเหล่านั้นลอยขึ้นไปกลายเป็นเมฆ และกลับลงมาสู่พวกเจ้าในรูปของฝน เพื่อหล่อเลี้ยงต้นไม้ ผู้คน และทุกสิ่งในโลกนี้ หากไม่มีข้า น้ำของเจ้าก็จะไม่สามารถกลับไปช่วยใครได้เลย”

แม่น้ำทั้งหลายเงียบลง พวกมันเริ่มตระหนักถึงความจริงที่ทะเลกล่าว แม่น้ำสายหนึ่งพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา “พวกเราต้องขอโทษ หากไม่มีเจ้า น้ำของเราคงไม่สามารถเดินทางต่อเพื่อหล่อเลี้ยงโลกได้”

ทะเลตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จงจำไว้ว่าทุกสิ่งที่พวกเจ้าทำมีคุณค่า และสิ่งที่ข้าทำก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสนับสนุนพวกเจ้า ให้ทำหน้าที่นั้นต่อไป”

แม่น้ำทั้งหลายพยักหน้าด้วยความเข้าใจ พวกมันไหลต่อไปสู่ทะเลด้วยความรู้สึกสงบและขอบคุณ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแม่น้ำกับทะเล 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นอย่างไม่เหมาะสม โดยไม่ตระหนักถึงบทบาทและสิ่งที่พวกเขาทำเพื่อช่วยเหลือเรา หลายครั้งสิ่งที่ผู้อื่นมอบให้หรือกระทำ อาจดูเหมือนไม่สมบูรณ์ในสายตาเรา แต่ในความเป็นจริง สิ่งนั้นอาจเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราดำรงอยู่หรือประสบความสำเร็จ การมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ผู้อื่นทำและเรียนรู้ที่จะเข้าใจความสำคัญของความร่วมมือ เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์และความสมดุลในชีวิต

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องแม่น้ำกับทะเล (อังกฤษ: The Rivers and the Sea) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 412 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) และบันทึกไว้โดยซินทิปาส (Syntipas) แม่น้ำทั้งหลายร้องเรียนต่อทะเลว่า “น้ำจืดของพวกเราที่ไหลมาหาเจ้ากลับถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำเค็มที่ดื่มไม่ได้เพราะสัมผัสกับเจ้า” ทะเลจึงตอบกลับว่า “ถ้าพวกเจ้ารู้เช่นนั้น ก็ควรหลีกเลี่ยงการไหลมาหาข้าสิ”

นิทานเรื่องนี้สามารถนำไปเปรียบเปรยกับผู้ที่วิจารณ์ผู้อื่นอย่างไม่เหมาะสม ทั้งที่ในความเป็นจริง คนที่ถูกวิจารณ์อาจกำลังช่วยเหลือพวกเขาอยู่

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องวัวกับเกวียนที่ดังเอี๊ยดอ๊าด

ในโลกที่เสียงดังมักดึงดูดความสนใจ ผู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะมองว่าสิ่งที่ส่งเสียงดังที่สุดคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่บางครั้ง ความเงียบและการทำหน้าที่อย่างไม่เอะอะ กลับซ่อนความสำคัญไว้มากกว่าที่ตาเห็น

เรื่องราวของวัวผู้ขยันขันแข็งและเกวียนเก่าที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด จะพาเราไปพบกับบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการพิจารณาความจริงที่อยู่เบื้องหลังเสียงเหล่านั้น กับนิทานอีสปเรื่องวัวกับเกวียนที่ดังเอี๊ยดอ๊าด

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องวัวกับเกวียนที่ดังเอี๊ยดอ๊าด

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องวัวกับเกวียนที่ดังเอี๊ยดอ๊าด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านชนบทเล็ก ๆ มีวัวคู่หนึ่งที่ทำงานรับใช้เจ้าของอย่างซื่อสัตย์ พวกมันมักถูกใช้ลากเกวียนบรรทุกของหนักจากฟาร์มไปยังตลาดในเมือง ชีวิตของวัวทั้งสองเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่มันไม่เคยบ่นอะไร

วันหนึ่ง เจ้าของฟาร์มโหลดถุงธัญพืชหลายสิบถุง รวมทั้งท่อนไม้หนัก ๆ ลงบนเกวียนเก่าเกวียนหนึ่ง เกวียนนั้นดูเหมือนจะผ่านการใช้งานมานานจนล้อและแกนเริ่มหลวม เจ้าของจึงมัดของทุกอย่างแน่นหนาแล้วผูกวัวคู่โปรดของเขาเข้ากับเกวียน ก่อนตบไหล่วัวเบา ๆ “พวกเจ้านี่แหละที่ข้าภูมิใจ ลากเกวียนนี้ไปให้ถึงตลาดอย่างที่เคยทำนะ”

วัวทั้งสองออกเดินลากเกวียนไปตามทางที่ขรุขระ ท่ามกลางแสงแดดจ้าและอากาศร้อน เสียงล้อเกวียนที่หลวมส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังลั่นทุกครั้งที่มันเคลื่อนไปตามทางลาด ขณะที่วัวทั้งสองยังคงก้มหน้าก้มตาเดินไปด้วยความมุ่งมั่น

เสียงเอี๊ยดอ๊าดของเกวียนดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกลบทุกเสียง วัวตัวหนึ่งเริ่มรู้สึกหงุดหงิด มันหันไปพูดกับเกวียนด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “เจ้าจะส่งเสียงดังทำไม? เจ้าแค่ถูกลากไปเท่านั้น ไม่ได้แบกน้ำหนักอะไรเลย ดูสิ! ผู้ที่กำลังแบกเจ้าไว้บนบ่าอย่างพวกเรายังไม่บ่นสักคำ!”

เกวียนยังคงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ไม่ได้ตอบอะไร วัวตัวที่สองจึงพูดเสริมด้วยน้ำเสียงระอา “ข้าไม่เข้าใจเลย เจ้าทำตัวเหมือนเป็นผู้ที่ทำงานหนักที่สุด ทั้งที่น้ำหนักทั้งหมดนี้ตกอยู่ที่พวกเรา ล้อของเจ้าแค่หมุนตาม แต่เจ้ากลับทำเสียงโวยวายจนทุกคนคิดว่าเจ้าคือผู้ที่ลำบากที่สุด”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องวัวกับเกวียนที่ดังเอี๊ยดอ๊าด 2

เกวียนยังคงดังเอี๊ยดอ๊าดตามเดิม ขณะที่วัวทั้งสองเดินต่อไปด้วยความเหนื่อยล้า พวกมันต้องหยุดเป็นระยะเพื่อพักหายใจ แต่ล้อเกวียนยังส่งเสียงต่อเนื่องแม้ขบวนจะหยุดพัก

ในระหว่างทาง มีชาวบ้านหลายคนที่มองมาด้วยความสนใจ พวกเขาต่างพากันพูดถึงเสียงเกวียน “ดูสิ เกวียนเก่านั่นทำเสียงดังขนาดนี้ มันคงหนักมากแน่ ๆ!” ชาวบ้านอีกคนกล่าว “ใช่แล้ว ล้อคงต้องรับน้ำหนักมากจนทนแทบไม่ไหว!”

วัวได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่กลับไม่มีใครพูดถึงความเหน็ดเหนื่อยของมันแม้แต่คนเดียว วัวตัวหนึ่งจึงพูดกับเพื่อนว่า “เห็นไหมล่ะ? เสียงดังของเกวียนทำให้คนลืมว่าพวกเราแบกภาระหนักที่สุด ใคร ๆ ก็คิดว่ามันลำบาก ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้ทำอะไรเลย”

วัวทั้งสองลากเกวียนต่อไปจนถึงตลาด แม้จะเหนื่อยจนตัวสั่น แต่พวกมันยังคงเงียบ ไม่เอ่ยปากบ่น เจ้าของจึงมอบหญ้าสดและน้ำเย็นให้พวกมันกินเป็นรางวัล ส่วนเกวียนนั้นยังคงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด แม้จะไม่มีของหนักบรรทุกอยู่แล้ว

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องวัวกับเกวียนที่ดังเอี๊ยดอ๊าด 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้ที่ส่งเสียงดังหรือแสดงออกมากที่สุด มักไม่ใช่ผู้ที่ทำงานหนักหรือแบกรับภาระที่แท้จริง ในขณะที่ผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญและเผชิญความลำบากอย่างแท้จริง มักจะทำงานอย่างเงียบ ๆ โดยไม่เรียกร้องความสนใจ เราจึงไม่ควรด่วนตัดสินจากสิ่งที่เห็นหรือได้ยินเพียงผิวเผิน แต่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อมองเห็นความจริงที่อยู่เบื้องหลัง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องวัวกับเกวียนที่ดังเอี๊ยดอ๊าด (อังกฤษ: The Oxen and the Creaking Cart) เป็นนิทานเชิงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 45 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้ในตอนแรกมุ่งเป้าไปที่ ผู้ที่ชอบบ่นโดยไม่มีเหตุผล ต่อมาได้รับการเชื่อมโยงกับสุภาษิตว่า “ล้อที่แย่ที่สุดมักส่งเสียงดังที่สุด” และยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์วิจารณ์ผู้ที่ชอบพูดพล่อยหรือโอ้อวดโดยไม่จำเป็นในทุกประเภท

นักเล่านิทานชาวกรีก บาบริอุส (Babrius) ได้รวบรวมสองเวอร์ชันของนิทานที่เล่าถึงวัวที่ออกแรงดึงเกวียนหนักอึ้งพร้อมล้อที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด

  • ในเวอร์ชันหนึ่ง วัวตำหนิเกวียนว่า “เจ้าจะบ่นทำไม ในเมื่อพวกข้าต่างหากที่ต้องทำงานหนักที่สุด”
  • ส่วนในอีกเวอร์ชันหนึ่ง เป็นคนขับเกวียนที่แสดงความโกรธและพูดกับเกวียนว่า “เจ้าบ่นอะไร เกวียนเล็ก ๆ อย่างเจ้าไม่ได้ทำงานหนักเหมือนวัวเหล่านี้เลย”

นิทานทั้งสองเวอร์ชันเน้นให้เห็นถึงความไม่เหมาะสมของการบ่นหรือร้องทุกข์จากผู้ที่ไม่ได้มีภาระหนักเทียบเท่าผู้อื่น

ผู้ที่ทำงานหนักมักไม่ปริปากบ่น แต่ผู้ที่ไม่ได้ทำอะไรกลับชอบส่งเสียงโอ้อวดหรือสร้างความวุ่นวาย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องหญิงชรากับโถไวน์

ในโลกที่ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา สิ่งต่าง ๆ ที่เคยมีคุณค่าอาจสูญหายหรือเลือนหายไป เหลือไว้เพียงร่องรอยเล็ก ๆ ที่แสดงถึงอดีตที่งดงาม แต่บางครั้ง สิ่งเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่เหล่านั้นกลับมีพลังในการสร้างความสุขและความทรงจำที่มีคุณค่า

เช่นเดียวกับเรื่องราวของหญิงชราผู้หนึ่ง ที่ในระหว่างการเดินทางธรรมดาของเธอ ได้พบกับโถไวน์ว่างเปล่าที่ถูกทิ้งไว้ข้างทาง แม้โถนั้นจะไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ แต่สิ่งที่เธอค้นพบกลับล้ำค่ากว่าที่คาดคิด กับนิทานอีสปเรื่องหญิงชรากับโถไวน์

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหญิงชรากับโถไวน์

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องหญิงชรากับโถไวน์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ในชนบท มีหญิงชราคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย เธอมีนิสัยชอบเดินเล่นไปตามเส้นทางเล็ก ๆ รอบหมู่บ้าน เพื่อชื่นชมธรรมชาติและสิ่งรอบตัวที่มอบความสุขให้กับเธอ

วันหนึ่ง ขณะที่หญิงชราเดินเล่นอยู่บนถนนสายเก่าที่ทอดยาวผ่านไร่องุ่นที่เคยอุดมสมบูรณ์ เธอสะดุดตาเข้ากับโถไวน์ใบหนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้ข้างทาง โถนั้นทำจากดินเผา มีลวดลายแกะสลักที่งดงาม แม้จะมีร่องรอยของการใช้งานที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน

“โถใบนี้ช่างดูงดงามนัก แต่ทำไมถึงถูกทิ้งไว้เช่นนี้?” หญิงชราพูดกับตัวเอง เธอก้มลงหยิบมันขึ้นมาและสังเกตเห็นว่าโถนั้นว่างเปล่า

แม้ไม่มีไวน์เหลืออยู่ในโถ แต่กลิ่นหอมหวานของไวน์ที่ติดอยู่ยังคงหลงเหลือ หญิงชราสูดกลิ่นหอมนั้นเข้าไปลึก ๆ และหลับตาเพื่อสัมผัสความรู้สึกนั้น

“โอ้ ช่างเป็นกลิ่นที่หอมเหลือเกิน!” เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ “เพียงแค่กลิ่นนี้ก็ทำให้ข้ารู้สึกสุขใจ หากกลิ่นยังมอบความสุขได้ขนาดนี้ ข้าจินตนาการได้เลยว่ารสชาติของไวน์ในโถนี้จะยอดเยี่ยมเพียงใด”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหญิงชรากับโถไวน์ 2

หญิงชรายิ้มกว้างและมองโถไวน์ในมืออย่างชื่นชม เธอพูดกับมันเหมือนกำลังพูดกับเพื่อนเก่า “เจ้าคงเคยบรรจุไวน์ที่ดีที่สุดในโลกไว้ในตัวเจ้า กลิ่นที่เหลืออยู่นี้ยังคงบอกเล่าเรื่องราวถึงคุณค่าของเจ้า แม้เวลาจะผ่านไปและเจ้าไม่มีอะไรเหลือ แต่เจ้าก็ยังมอบความสุขให้กับข้าได้”

หญิงชรายืนอยู่ตรงนั้น สูดกลิ่นหอมจากโถไวน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความสุขจากกลิ่นนั้นทำให้เธอลืมความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไปเสียหมด

เธอวางโถไวน์ลงอย่างเบามือ แล้วพูดกับมันราวกับให้คำสอนกับตัวเอง “บางครั้ง สิ่งที่หลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะสร้างความสุขให้เราได้ หากเรารู้จักชื่นชมมัน แม้ว่าเจ้าจะว่างเปล่า แต่กลิ่นหอมนี้ก็ทำให้ข้ารู้สึกถึงความงดงามของสิ่งที่เคยอยู่ในตัวเจ้า”

หญิงชรายิ้มอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป เธอยังคงรู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานที่ติดอยู่ในความทรงจำ ขณะที่เธอเดินกลับบ้านด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความสุข

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหญิงชรากับโถไวน์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คุณค่าของสิ่งดีงามไม่ได้หมดไป แม้จะเหลือเพียงร่องรอยหรือความทรงจำก็ตาม หากเรารู้จักชื่นชมสิ่งเล็กน้อยที่ยังคงอยู่ เราก็สามารถค้นพบความสุขจากมันได้ ความงดงามในชีวิตมักอยู่ในรายละเอียดเล็ก ๆ ที่เรามองเห็นคุณค่าและเรียนรู้ที่จะพึงพอใจกับสิ่งที่มี

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องหญิงชรากับโถไวน์ (อังกฤษ: The Old Woman and the Wine-jar) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 493 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้ถูกนำไปใช้ในบริบทที่แสดงถึงอิทธิพลของสิ่งดีงามที่คงอยู่ยาวนาน เช่น ผลกระทบเชิงบวกของการศึกษา

นิทานเรื่องนี้ปรากฏในรูปแบบเรื่องเล่าสั้นๆ ในชุดนิทานของฟีดรัส (Phaedrus) เล่าถึงหญิงชราที่พบไหเหล้าองุ่นเปล่า ซึ่งยังคงมีกลิ่นหอมกรุ่นหลงเหลืออยู่ เธอสูดกลิ่นนั้นด้วยความพึงพอใจและกล่าวว่า “โอ้ วิญญาณหวานฉ่ำ ข้าขอยืนยันว่าท่านต้องยอดเยี่ยมเพียงใด ถึงได้ทิ้งกลิ่นหอมเลิศล้ำไว้เช่นนี้!”

นิทานเรื่องนี้เป็นคำเปรียบเปรย และสำหรับผู้ที่รู้จักข้าพเจ้า พวกเขาจะเข้าใจว่ามันเกี่ยวกับสิ่งใด

ฟีดรัสกำลังเล่นกับภาพลักษณ์ขบขันของหญิงชราขี้เมา ซึ่งเป็นตัวละครที่มักพบในละครตลกทั้งกรีกและโรมัน ภาพลักษณ์นี้ยังปรากฏในรูปปั้นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกด้วย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องหญิงชรากับหมอ

ในโลกที่ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญ การกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์ย่อมนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง เรื่องราวของหญิงชราผู้ซื่อสัตย์ที่ต้องการรักษาดวงตา และหมอผู้แฝงความโลภไว้ในใจ

จะสะท้อนให้เห็นถึงบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความซื่อสัตย์และผลลัพธ์ของการทุจริต ติดตามเรื่องราวนี้ใน กับนิทานอีสปเรื่องหญิงชรากับหมอ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหญิงชรากับหมอ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องหญิงชรากับหมอ

ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีหญิงชราคนหนึ่งที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับสายตา เธอเคยมีชีวิตที่สุขสบายและชอบจัดบ้านให้สวยงามเต็มไปด้วยของมีค่าที่เธอสะสมมานาน แต่ในช่วงหลังสายตาของเธอเริ่มแย่ลง เธอมองเห็นไม่ชัดเจนจนแทบจะทำอะไรไม่ได้ ความทุกข์ใจนี้ทำให้เธอตัดสินใจหาคนมาช่วยรักษา

วันหนึ่ง หญิงชราได้จ้างหมอที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในหมู่บ้าน หมอคนนี้มีชื่อเสียงด้านการรักษาดวงตา เธอตกลงกับเขาว่า “หมอ ข้าจะให้เจ้ารักษาสายตาของข้า แต่ข้าขอจ่ายค่ารักษาเฉพาะเมื่อข้าหายดีและสามารถมองเห็นชัดเจนเหมือนเดิมเท่านั้น”

หมอฟังแล้วพยักหน้าและตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ข้าตกลง นั่นเป็นเงื่อนไขที่ยุติธรรม เมื่อเจ้ามองเห็นชัดแล้ว ข้าจะแจ้งเจ้าเพื่อจ่ายค่ารักษา”

จากนั้น หมอเริ่มเข้ามาเยี่ยมบ้านหญิงชราเพื่อทำการรักษา เขาใช้ยาหยอดตาและวิธีการรักษาต่าง ๆ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกระบวนการที่ถูกต้อง แต่ระหว่างการรักษา เขาสังเกตเห็นว่าในบ้านของหญิงชรามีของมีค่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นแจกันล้ำค่า เครื่องเงิน และภาพวาดโบราณที่มีราคาสูง

ความโลภเริ่มเกิดขึ้นในใจของหมอ เขาคิดว่า “หญิงชราผู้นี้มองเห็นไม่ชัด หากข้าเอาของเหล่านี้ไป เธอคงไม่รู้แน่นอน”

ในทุกครั้งที่หมอเข้ามาเยี่ยมและรักษา เขาจะขโมยของมีค่าจากบ้านไปทีละชิ้น แจกันโบราณ หีบเล็ก ๆ และเครื่องเงินเริ่มหายไปจากบ้านทีละน้อย แต่หญิงชราที่มองเห็นไม่ชัดก็ไม่ได้สงสัยอะไรในตอนนั้น

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหญิงชรากับหมอ 2

เมื่อเวลาผ่านไป หมอคิดว่าของในบ้านเริ่มน้อยลงจนพอใจแล้ว เขาจึงบอกหญิงชราว่า “หญิงชรา ข้ารักษาเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าควรมองเห็นชัดเหมือนเดิม และถึงเวลาที่เจ้าต้องจ่ายค่ารักษาให้ข้า”

หญิงชรามองไปที่บ้านของตนและถอนหายใจ ก่อนจะตอบหมอว่า “ข้ามองไม่เห็นชัดเหมือนเดิมหรอกหมอ ข้าจะรู้ได้ว่าข้าหายดีเมื่อข้ามองเห็นของมีค่าที่ข้าเคยมีอยู่ในบ้าน แต่ตอนนี้ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย ทุกอย่างที่เคยอยู่หายไปหมด”

หมอตกใจและโกรธ “นี่เจ้าจะอ้างว่าเจ้ายังไม่หายเพื่อเลี่ยงการจ่ายค่ารักษาหรือ?” เขาถามอย่างไม่พอใจ

หญิงชราโต้กลับอย่างสงบ “ข้ากำลังพูดความจริง ข้าจำได้ว่าเคยมีแจกันสวย ๆ และเครื่องเงินมากมายในบ้าน แต่ตอนนี้มันหายไป เจ้าอาจบอกว่าข้าหายดี แต่สายตาของข้ายังไม่กลับมาพอที่จะมองเห็นของเหล่านั้น”

คำพูดของหญิงชราทำให้ชาวบ้านที่ได้ยินเรื่องนี้เริ่มสงสัย เมื่อมีการตรวจสอบ ชาวบ้านพบว่าของที่หายไปอยู่ในบ้านของหมอทั้งหมด หมอถูกจับได้ว่าเป็นคนขโมย และถูกลงโทษตามกฎของหมู่บ้าน นอกจากนี้ เขายังสูญเสียชื่อเสียงในฐานะหมอที่เคยมีความน่าเชื่อถือ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหญิงชรากับหมอ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความโลภและการไม่ซื่อสัตย์อาจนำไปสู่ความล้มเหลวและความอับอายในที่สุด แม้การกระทำที่ไม่ถูกต้องอาจถูกปิดบังไว้ชั่วคราว แต่ความจริงย่อมปรากฏออกมาเสมอ การกระทำที่ไม่ซื่อตรงไม่เพียงทำให้เสียสิ่งที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง แต่ยังทำลายชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือที่ยากจะกู้คืนกลับมาได้

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องหญิงชรากับหมอ (อังกฤษ: The Old Woman and the Doctor) เป็นเรื่องเล่าจากกรีกโบราณที่ถูกรวมไว้ในนิทานอีสป และปรากฏในหนังสือรวมเรื่องตลกยุคศตวรรษที่ 4 ซีอีชื่อ Philogelos นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 57 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในประเภทเรื่องตลก ที่ถูกเพิ่มเข้าไปในชุดนิทานอีสปด้วยแรงดึงดูดจากชื่อเสียงของอีสปเอง เนื่องจากนิทานนี้ได้รับการเก็บรักษาไว้ในแหล่งข้อมูลภาษากรีกเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ไม่ได้รับความสนใจในยุโรปส่วนที่เหลือจนกระทั่งยุคเรเนซองส์

ในเรื่องหญิงชราขอให้ศัลยแพทย์(ในนิทานนี้) รักษาเธอจากอาการใกล้จะตาบอด โดยตกลงว่าจะจ่ายค่ารักษาก็ต่อเมื่อหายดี ศัลยแพทย์ทายารักษาเธอแต่ในระหว่างนั้นก็ลักขโมยสิ่งของที่ขยับเคลื่อนย้ายได้ในบ้านของเธอทุกครั้งที่มาเยี่ยม เมื่อการรักษาเสร็จสิ้น หญิงชราปฏิเสธที่จะจ่ายค่ารักษา โดยอ้างว่าสายตาของเธอแย่ลงกว่าเดิม เพราะตอนนี้เธอมองไม่เห็นสิ่งของใด ๆ ในบ้านเลย

คนชั่วมักเผยพฤติกรรมของตนออกมาโดยไม่รู้ตัว และพฤติกรรมเหล่านั้นสามารถกลายเป็นหลักฐานมัดตัวในภายหลัง

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องชายชรากับลา

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน หลายคนมักหวาดกลัวต่อสิ่งที่จะมาถึง โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้ แต่บางครั้ง ความจริงของชีวิตก็แสดงให้เราเห็นว่า สำหรับบางสิ่ง การเปลี่ยนแปลงภายนอกอาจไม่มีผลเท่ากับหน้าที่ที่ยังคงเหมือนเดิม

เช่นเดียวกับเรื่องราวของชายชราและลาของเขา ผู้ซึ่งมองโลกในมุมที่แตกต่าง กับนิทานอีสปเรื่องชายชรากับลา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายชรากับลา

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องชายชรากับลา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายชราคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ เขาเป็นคนยากจนและมีทรัพย์สินเพียงไม่กี่อย่างในชีวิต สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือลาตัวหนึ่ง ลาตัวนี้เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์และเป็นแรงสำคัญในทุกการทำงานของเขา ไม่ว่าจะบรรทุกฟืนจากป่า แบกข้าวของไปขายในตลาด หรือขนสัมภาระระหว่างเดินทาง ชายชรารักและดูแลมัน แม้บางครั้งจะรู้สึกสงสารที่มันต้องทำงานหนักตลอดเวลา

วันหนึ่ง ขณะที่ชายชรากำลังพักอยู่ใต้ร่มไม้ในลานบ้าน เขาได้ยินข่าวจากเพื่อนบ้านว่า กองทัพของศัตรูกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้หมู่บ้าน ผู้คนต่างพากันหวาดกลัวและรีบเก็บข้าวของเพื่อหนีเอาตัวรอด

ชายชราผู้ไม่เคยเกี่ยวข้องกับสงครามมาก่อนรู้สึกวิตก เขารีบกลับไปบ้านและเริ่มเก็บสัมภาระที่จำเป็นที่สุด เขาไม่ลืมมองไปยังลาตัวโปรดที่ยืนอยู่ในคอกอย่างสงบ

“เจ้าลาเอ๋ย” เขาพูดกับมันขณะที่รีบร้อนจัดของ “เราต้องรีบออกจากที่นี่ หากศัตรูมาถึง พวกเขาอาจจับเจ้าหรือฆ่าเจ้า เราไม่มีเวลามากนัก รีบไปกันเถอะ!”

ลาตัวนั้นเงยหน้ามองชายชรา มันเคี้ยวหญ้าในปากอย่างสงบและตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย “ทำไมเจ้าถึงกลัวนักเล่า? ข้าไม่เห็นว่าการหนีจะเปลี่ยนแปลงอะไรสำหรับข้า”

ชายชราหยุดมือที่กำลังจัดของและหันมามองลาด้วยความประหลาดใจ “เจ้าพูดอะไร? หากศัตรูมา เจ้าก็อาจตกอยู่ในอันตราย! พวกเขาอาจใช้เจ้าในการทำสงคราม หรือที่แย่กว่านั้น พวกเขาอาจฆ่าเจ้าเพื่อเอาหนังและเนื้อของเจ้าไปขาย!”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายชรากับลา 2

ลายิ้มเล็กน้อยในแบบของมันและตอบกลับ “เจ้าลืมไปหรือว่าข้าเป็นลา? ไม่ว่าศัตรูจะมาเมื่อไร พวกเขาก็จะยังคงใช้ข้าแบกของหนักเหมือนที่เจ้าใช้ข้าอยู่ตอนนี้ ความเปลี่ยนแปลงของนายไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับข้า ตราบใดที่ข้ายังต้องทำหน้าที่เดิม”

ชายชราอ้าปากค้าง เขาไม่คิดว่าลาตัวนี้จะตอบกลับด้วยคำพูดที่ตรงและสงบนิ่งเช่นนี้ “แต่เจ้าจะไม่มีทางรู้ว่าศัตรูจะโหดร้ายแค่ไหน พวกเขาอาจปฏิบัติกับเจ้าเลวร้ายกว่าที่ข้าปฏิบัติก็ได้!”

ลายังคงตอบด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้ารู้ว่าเจ้าปฏิบัติกับข้าอย่างดี แต่ข้าก็ยังต้องแบกของหนักทุกวันใช่ไหม? หากศัตรูมา พวกเขาก็จะทำแบบเดียวกัน ข้าไม่สนใจว่าใครจะเป็นนายข้า เพราะหน้าที่ของข้าในฐานะลาจะยังเหมือนเดิม ข้าจะไม่หลบหนีไปไหน เพราะมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสำหรับข้า”

ชายชราได้แต่นิ่งฟังคำพูดของลาตัวนั้น เขาเริ่มครุ่นคิดถึงความจริงที่ลาได้พูด แม้ว่าความกลัวจะยังอยู่ในใจ แต่เขาก็เริ่มเข้าใจว่า สำหรับลานั้น ความเปลี่ยนแปลงภายนอกไม่ได้สำคัญเท่าภาระหน้าที่ที่มันยังคงต้องแบกรับ

ในที่สุด ชายชราก็ล้มเลิกความพยายามที่จะพาลาหนี เขาปล่อยให้มันอยู่ในคอกและเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อรอรับชะตากรรมที่จะมาถึง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายชรากับลา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สำหรับบางคน การเปลี่ยนแปลงของผู้ปกครองหรือสิ่งแวดล้อมภายนอก อาจไม่มีผลกระทบมากเท่ากับหน้าที่และภาระที่พวกเขาต้องแบกรับอยู่เสมอ สิ่งสำคัญคือการเข้าใจธรรมชาติของตนเองและยอมรับความจริงในชีวิต การตระหนักถึงสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ช่วยให้เรามองเห็นชีวิตด้วยความสงบและพร้อมเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องชายชรากับลา (อังกฤษ: The Old Man and the Ass) เป็นนิทานอีสปที่มีเนื้อหาเชิงการเมือง ปรากฏในกลุ่มนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 476 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

นิทานที่บันทึกโดยฟีดรัส (Phaedrus) เล่าถึงชายชราที่บอกให้ลาของเขารีบหนีไปพร้อมกับเขาเมื่อกองทัพใกล้เข้ามา ลาจึงถามว่า “นายใหม่จะเพิ่มภาระให้ข้าต้องแบกของเพิ่มเป็นสองเท่าหรือไม่?” เมื่อชายชราตอบว่า “ไม่เพิ่ม” ลาจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ไม่ว่านายจะเป็นใคร ข้าก็ไม่สนใจ เพราะหน้าที่ของข้าคือการเป็นสัตว์รับภาระอยู่ดี”

ฟีดรัส สรุปข้อคิดของนิทานว่า “เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงสำหรับคนยากจนคือชื่อของนายใหม่เท่านั้น”

ข้อสรุปในลักษณะเดียวกันยังปรากฏในบทกวีภาษาละตินยุคใหม่ของเฮียโรนิมัส โอซิอุส (Hieronymus Osius) เรื่อง Asinus et vitulus (ลาและคนเลี้ยงวัว) ซึ่งสะท้อนแนวคิดเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางการปกครองที่ไม่ส่งผลต่อชนชั้นล่างโดยตรง

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องชายชรากับเหล่าลูกชาย

ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและอุปสรรค ความสามัคคีมักเป็นสิ่งที่ทำให้เราผ่านพ้นปัญหาไปได้ แต่สำหรับครอบครัวหนึ่งที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความแตกแยกกลับกลายเป็นจุดอ่อนที่น่ากังวล ชายชราผู้มองเห็นปัญหานี้ ต้องการสอนบทเรียนสำคัญให้กับลูกชายของเขา

เพื่อเตือนพวกเขาถึงพลังของการร่วมมือกัน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากพวกเขายังคงแตกแยก กับนิทานอีสปเรื่องชายชรากับเหล่าลูกชาย

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายชรากับเหล่าลูกชาย

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องชายชรากับเหล่าลูกชาย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ชายชราคนหนึ่งอาศัยอยู่กับลูกชายหลายคน แม้ว่าลูกชายของเขาจะมีพละกำลังและความสามารถ แต่พวกเขากลับใช้ชีวิตอย่างไร้ความสามัคคี พวกเขามักทะเลาะกันเรื่องเล็กน้อย ตั้งแต่การแบ่งงาน การใช้ทรัพยากรในบ้าน หรือแม้แต่เรื่องที่ไม่ควรเป็นปัญหา ทุกวันบ้านหลังนี้เต็มไปด้วยเสียงโต้เถียง

ชายชรามองดูพฤติกรรมของลูกชายด้วยความกังวล เขารู้ดีว่าเวลาของเขาใกล้จะหมดลง และเมื่อเขาจากไป บ้านนี้อาจล่มสลายเพราะความขัดแย้งระหว่างลูก ๆ เขาอยากให้ลูกชายเข้าใจถึงพลังของความสามัคคีและการร่วมมือกัน

วันหนึ่ง ชายชราเรียกลูกชายทุกคนมารวมตัวกันในลานบ้าน เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่า ๆ มือของเขาถือฟืนหนึ่งมัดที่ถูกมัดไว้ด้วยเชือกแน่นหนา

“ลูก ๆ ของพ่อ พ่อมีบางสิ่งอยากให้พวกเจ้าทำ” ชายชรากล่าว น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน แต่แฝงด้วยความจริงจัง

ลูกชายคนโตถามด้วยความสงสัย “พ่อมีอะไรให้เราทำหรือ?”

ชายชราเงยหน้ามองพวกเขาและยื่นฟืนมัดใหญ่นั้นให้ลูกชายคนโต “ลองหักฟืนมัดนี้ให้พ่อดูสิ”

ลูกชายคนโตหัวเราะเบา ๆ “ง่ายนิดเดียวพ่อ ข้าแข็งแรงพอที่จะหักได้แน่นอน” เขาจับฟืนมัดนั้นด้วยสองมือและออกแรงเต็มที่ แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ฟืนก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย

“มันแน่นเกินไป ข้าหักไม่ได้” เขายอมแพ้และส่งต่อฟืนให้ลูกชายคนที่สอง

ลูกชายคนที่สองลองใช้กำลังของตนเอง เขากัดฟันและออกแรงสุดกำลังจนใบหน้าแดงก่ำ แต่ฟืนยังคงอยู่ในสภาพเดิม เขาส่ายหน้าและส่งฟืนให้ลูกชายคนต่อไป

ลูกชายคนอื่น ๆ พยายามทำแบบเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ไม่มีใครสามารถหักฟืนมัดนั้นได้ พวกเขาทั้งหมดหันไปหาชายชราและพูดพร้อมกัน “พ่อ มัดนี้แข็งแรงเกินไป ไม่มีใครหักมันได้!”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายชรากับเหล่าลูกชาย 2

ชายชรายิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลองเปลี่ยนวิธีดูสิ พ่อขอให้พวกเจ้าแกะฟืนออกจากมัด แล้วลองหักทีละท่อน”

ลูกชายคนโตทำตามคำแนะนำ เขาดึงฟืนท่อนหนึ่งออกจากมัดและลองหัก มันง่ายดายจนเขาแทบไม่อยากเชื่อ เขาหักฟืนท่อนนั้นได้ในครั้งเดียว ลูกชายคนอื่น ๆ จึงทำตาม แต่ละคนสามารถหักฟืนทีละท่อนได้โดยไม่มีปัญหา

ชายชรามองดูลูกชายที่กำลังหักฟืน และเมื่อพวกเขาทำเสร็จ เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“พวกเจ้าสังเกตเห็นอะไรไหม? เมื่อฟืนมัดรวมกัน มันแข็งแกร่งจนไม่มีใครสามารถหักได้ แต่เมื่อแยกออกทีละท่อน มันกลับเปราะบางและแตกหักได้ง่ายดาย นี่คือสิ่งที่พ่ออยากให้พวกเจ้าเข้าใจ หากพวกเจ้าทะเลาะกันและไม่สามัคคี พวกเจ้าจะเหมือนฟืนที่แยกเป็นท่อน ๆ อ่อนแอและพ่ายแพ้ต่อศัตรูได้ง่าย แต่หากพวกเจ้ารวมใจกันเหมือนฟืนที่มัดรวมกัน ไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายพวกเจ้าได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหรือศัตรูที่ร้ายกาจเพียงใด”

ลูกชายทุกคนเงียบงัน คำพูดของพ่อกระตุ้นให้พวกเขาครุ่นคิดถึงพฤติกรรมของตนเองที่ผ่านมา พวกเขาต่างหันมามองหน้ากัน และในแววตาของแต่ละคน มีทั้งความสำนึกผิดและความตั้งใจที่จะปรับปรุง

ลูกชายคนโตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด “พ่อพูดถูก ข้าเข้าใจแล้วว่าความแตกแยกของพวกเราทำให้ครอบครัวนี้อ่อนแอ ข้าสัญญาว่าจะพยายามสร้างความสามัคคีให้มากขึ้น”

ลูกชายคนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วยและให้คำมั่นว่าจะไม่ทะเลาะกันอีก

ชายชรายิ้มอย่างพอใจ เขารู้ว่าคำสอนของเขาได้หยั่งรากลงในใจของลูกชาย และเมื่อเขาจากไป ครอบครัวนี้จะยังคงเข้มแข็งและอยู่รอดต่อไป

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายชรากับเหล่าลูกชาย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความสามัคคีคือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หากเราร่วมใจกันและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายเราได้ แต่หากเราแตกแยกและไม่ร่วมมือกัน เราจะอ่อนแอและพ่ายแพ้ต่ออุปสรรคได้ง่าย ความร่วมมือและการทำงานเป็นทีมคือกุญแจสำคัญที่จะนำพาเราสู่ความสำเร็จและความมั่นคง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องชายชรากับเหล่าลูกชาย (อังกฤษ: The Old Man and his Sons)หรือที่บางครั้งเรียกว่ากิ่งไม้หนึ่งมัด (The Bundle of Sticks) เป็นหนึ่งในนิทานอีสปที่สอนข้อคิดว่าความสามัคคีนำมาซึ่งพลัง นิทานเรื่องนี้ถูกเล่าเกี่ยวกับผู้นำหลายคนในประวัติศาสตร์ นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 53 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

ชายชราผู้หนึ่งมีบุตรหลายคนที่มักทะเลาะเบาะแว้งกันเสมอ เมื่อเขารู้ว่าตนเองใกล้จะถึงบั้นปลายชีวิต จึงเรียกลูก ๆ มาพร้อมให้บทเรียนเกี่ยวกับความสำคัญของความสามัคคี เขามัดไม้หลายแท่ง (หรือในบางเวอร์ชันอาจเป็นหอกหรือธนู) เข้าด้วยกัน แล้วบอกให้ลูกๆ พยายามหักมัดไม้นั้น แต่ไม่มีใครสามารถทำได้ จากนั้นชายชราแกะมัดไม้ออก และแสดงให้ลูก ๆ เห็นว่า ไม้แต่ละแท่งสามารถหักได้ง่ายดายเมื่ออยู่เดี่ยว ๆ หรือให้ลูก ๆ หักแท่งไม้ทีละแท่งเอง ชายชราจึงกล่าวสอนว่า “แม้แต่คนที่แข็งแกร่งก็สามารถล้มพวกเจ้าได้ทีละคน แต่หากพวกเจ้ารวมพลังกัน ไม่มีใครสามารถเอาชนะพวกเจ้าได้”

ความสามัคคีทำให้เกิดพลังที่ไม่มีใครเอาชนะได้

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องชายชรากับความตาย

ในโลกที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก บางครั้งชีวิตอาจดูเหมือนเป็นภาระอันหนักอึ้ง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้าและความทุกข์ยากในแต่ละวัน ชายชราคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงชีพ กำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่เขารู้สึกว่าไม่อาจแบกรับภาระเหล่านี้ได้อีกต่อไป

แต่ในวันที่เขาหันไปเรียกหาความตาย สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นบทเรียนที่ลึกซึ้งและทรงพลัง กับนิทานอีสปเรื่องชายชรากับความตาย

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายชรากับความตาย

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องชายชรากับความตาย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความยากจนและความทุกข์ยาก มีชายชราคนหนึ่งอาศัยอยู่เพียงลำพัง เขาไม่มีครอบครัวและไม่มีใครคอยช่วยเหลือ งานของเขาคือเก็บฟืนในป่ามาขายเพื่อหาเลี้ยงชีพ ร่างกายของเขาผอมแห้งเพราะความลำบาก และหลังของเขาค่อมงอเพราะต้องแบกฟืนหนักทุกวัน

ชายชราตื่นขึ้นทุกเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เขาเดินเข้าไปในป่าที่อยู่ไม่ไกลนักพร้อมกับตะกร้าเปล่าบนหลัง วันนั้นเช่นกัน เขาเดินลึกเข้าไปในป่า เก็บฟืนทีละชิ้นอย่างระมัดระวัง ฟืนแต่ละท่อนหนักหน่วง และเขาต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเพื่อบรรจุมันลงในตะกร้า

เมื่อถึงเวลาบ่าย ตะกร้าของเขาก็เต็มจนล้น ฟืนในตะกร้านั้นหนักจนแทบทำให้เขาเดินไม่ไหว แต่เขายังคงเดินกลับบ้านด้วยความอดทนและหวังว่าจะขายฟืนได้มากพอที่จะซื้ออาหารสำหรับวันถัดไป

แต่วันนี้เป็นวันที่ร่างกายของเขาไม่อาจทนไหวอีกต่อไป เมื่อเดินกลับออกมาจากป่าได้เพียงครึ่งทาง เขารู้สึกว่าขาของเขาสั่นและหลังของเขาปวดร้าวจนแทบทนไม่ไหว ชายชราทิ้งตะกร้าฟืนลงกับพื้นอย่างหมดแรง และนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาแก่เขา

เขาพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่เปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวด “ชีวิตนี้มันทุกข์เกินไป ข้าทำงานหนักมาทั้งชีวิต แต่ข้าก็ยังต้องอดทนอยู่ในความยากจนเช่นนี้ ข้าเหนื่อยเหลือเกิน…ทำไมข้าถึงต้องมีชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้ด้วย?”

เขานั่งอยู่เช่นนั้น คิดถึงชีวิตที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความทุกข์ เขาถูกกดขี่จากคนในเมืองที่ซื้อฟืนในราคาถูก แต่กลับขายของให้เขาในราคาสูง เขาถูกเพิกเฉยจากผู้คนรอบตัว เพราะเขาไม่มีเงินหรือสถานะใด ๆ ในสังคม

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายชรากับความตาย 2

ในที่สุด ด้วยความเหนื่อยล้าและหมดหวัง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและเปล่งเสียงเรียก “โอ้…ความตาย ได้โปรดมารับข้าไปเสียที! ข้าไม่อยากทนทุกข์กับชีวิตที่ไร้ค่าเช่นนี้อีกต่อไป!”

คำพูดของเขาเงียบไปในป่าอันสงบ แต่ไม่นานนัก ความตายก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา ความตายมาในรูปลักษณ์ของบุรุษในชุดคลุมสีดำ มือถือเคียวอันคมกริบ และน้ำเสียงเย็นสงบที่ทำให้ชายชราขนลุก “เจ้าต้องการอะไรจากข้า?” ความตายถามขึ้น

ชายชราเงยหน้าขึ้นมองความตาย ร่างของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความกลัว แม้เขาจะเรียกหาความตาย แต่การที่มันปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา ทำให้เขาตระหนักถึงสิ่งที่เขาอาจสูญเสียไป

ชายชราสะอึกเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงสั่น “เอ่อ…ข้า…ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น ข้าไม่ได้อยากตายจริง ๆ… ข้าแค่เหนื่อยเกินไป…ข้าเพียงต้องการให้เจ้าช่วยยกตะกร้าฟืนขึ้นหลังข้าก็พอ”

ความตายยิ้มเล็กน้อย แม้ใบหน้าของมันจะซ่อนอยู่ในเงามืด “เจ้าเรียกข้ามาเพื่อสิ่งนี้หรือ?” มันพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนล้อเลียนเล็กน้อย แต่ไม่ได้โกรธเคือง

ชายชราก้มหน้าลงพร้อมน้ำตาที่คลอเบ้า “ใช่…ข้าอาจเหนื่อยล้า แต่ข้าก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ ข้ายังมีงานที่ต้องทำ แม้ข้าจะทุกข์ยาก แต่ข้าก็ไม่อาจละทิ้งชีวิตนี้ได้”

ความตายจ้องมองชายชราอยู่นานก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “เจ้าควรรู้ว่าชีวิตไม่ได้มีค่าเพียงเพราะไม่มีความทุกข์ แต่เพราะมันคือโอกาสที่เจ้าได้เลือกที่จะสู้ต่อ”

หลังจากพูดจบ ความตายก็หายวับไป ชายชราเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบ ๆ ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เขาเช็ดน้ำตาและลุกขึ้น แม้จะเหนื่อยล้า แต่เขาแบกตะกร้าฟืนขึ้นหลังอีกครั้งและเดินต่อไป

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายชรากับความตาย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้ในยามที่เราทุกข์ทรมานและรู้สึกหมดหวัง ชีวิตยังคงเป็นสิ่งล้ำค่าที่เรายึดมั่นและไม่อาจละทิ้งได้ง่าย ๆ แม้ความเหนื่อยล้าและความทุกข์ยากจะทำให้เราคิดอยากหนีจากปัญหา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความจริงที่ไม่อาจย้อนกลับได้ เช่น ความตาย เรามักพบว่าชีวิตยังมีคุณค่ามากพอที่จะต่อสู้เพื่อรักษาไว้ ความหวังเล็ก ๆ ในการดำรงอยู่คือสิ่งที่ผลักดันให้เราก้าวต่อไป

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องชายชรากับความตาย (อังกฤษ: The Old Man and Death) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 60 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) เนื่องจากเป็นนิทานที่ค่อนข้างหาได้ยากซึ่งมีมนุษย์เป็นตัวละครหลัก นิทานเรื่องนี้จึงกลายเป็นหัวข้อในงานศิลปะมากมาย โดยเฉพาะในฝรั่งเศส ซึ่ง ฌอง เดอ ลา ฟงแตน (Jean de la Fontaine) ได้นำเรื่องนี้มาดัดแปลงจนเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย

นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าง่าย ๆ ที่แสดงถึงความรักในชีวิต แม้ในสถานการณ์ที่ทุกข์ยากที่สุด ในเวอร์ชันมาตรฐานที่ได้รับการเล่าขานเนื้อเรื่องกล่าวว่า: “ชายชราผู้เดินทางมาไกลพร้อมแบกฟืนหนักอึ้งจนรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก เขาวางภาระลงและเรียกหาความตายเพื่อช่วยปลดปล่อยเขาจากชีวิตอันทุกข์ยาก เมื่อความตายปรากฏตัวและถามถึงธุระของเขา ชายชราตอบว่า ‘ข้าขอเพียงท่านช่วยยกภาระนี้ขึ้นบนบ่าข้าอีกครั้ง'” นิทานนี้สอนว่า แม้ในยามลำบาก คนเราก็ยังคงยึดมั่นและรักในชีวิต

แม้แต่ผู้ที่ทุกข์ทรมานและถูกกดขี่ข่มเหง ก็ยังคงยึดมั่นในชีวิต

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องต้นโอ๊กกับต้นอ้อ

ในโลกธรรมชาติ ความแข็งแกร่งมักถูกมองว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการยืนหยัดต่อความเปลี่ยนแปลงและความท้าทาย แต่บางครั้ง ความอ่อนโยนและความยืดหยุ่นกลับกลายเป็นคุณสมบัติที่ทรงพลังมากกว่า

เช่นเดียวกับเรื่องราวของต้นโอ๊กผู้แข็งแกร่งและต้นอ้อผู้โอนอ่อน ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับพายุรุนแรงและพิสูจน์ว่าอะไรคือพลังที่แท้จริง กับนิทานอีสปเรื่องต้นโอ๊กกับต้นอ้อ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นโอ๊กกับต้นอ้อ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องต้นโอ๊กกับต้นอ้อ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าริมแม่น้ำอันสงบเงียบ มีต้นโอ๊กขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางพื้นที่เปิดโล่ง ลำต้นของมันหนาและแข็งแรงจนเหมือนว่ามันสามารถยืนหยัดท้าทายพายุได้ตลอดไป ใกล้ ๆ กันนั้น มีกลุ่มต้นอ้อเล็ก ๆ เติบโตอยู่ตามริมตลิ่ง ต้นอ้อเหล่านั้นดูอ่อนแอ เปราะบาง และมักโอนเอนไปตามแรงลม

วันหนึ่ง สายลมพัดเบา ๆ ผ่านป่า ต้นโอ๊กมองเห็นต้นอ้อที่ไหวเอนตามลมอย่างง่ายดาย มันหัวเราะเสียงดัง
“ต้นอ้อเอ๋ย เจ้าช่างอ่อนแอเสียจริง ดูข้าสิ แม้ลมพัดแรงแค่ไหน ข้าก็ไม่เคยขยับ เจ้าคงอิจฉาความแข็งแกร่งของข้าสินะ!”

ต้นอ้อที่ได้ยินคำพูดนั้นไม่ได้โกรธ มันตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบ
“ข้าไม่ได้อิจฉาท่านต้นโอ๊ก ข้าเพียงแค่เลือกที่จะอยู่ร่วมกับสายลม ข้าโอนเอนไปตามลมเพราะข้าไม่คิดจะต่อต้าน ข้ารู้ว่าไม่มีใครสามารถเอาชนะลมได้โดยตรง”

ต้นโอ๊กหัวเราะเสียงดัง “เจ้านี่ช่างพูดตลก ลมพัดมาอย่างไร้ค่าเท่านั้น ข้าเกิดมาเพื่อยืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง ความอ่อนแอเช่นเจ้าไม่มีวันเทียบข้าได้เลย”

ต้นอ้อเพียงยิ้มเล็กน้อย “บางครั้ง ความยืดหยุ่นอาจมีคุณค่ามากกว่าความแข็งแกร่งที่ดื้อรั้น”

ต้นโอ๊กส่ายกิ่งก้านไปมาอย่างมั่นใจ “ข้าคือผู้ปกครองของป่านี้ ข้าจะยืนหยัดอย่างสง่างามต่อหน้าลมและพายุ ไม่มีอะไรสามารถโค่นข้าได้”

หลายวันผ่านไป ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดครึ้ม และพายุใหญ่ก็เริ่มก่อตัว สายลมแรกพัดมาเบา ๆ แต่ตามมาด้วยลมกระโชกแรงที่พัดต้นไม้ทุกต้นให้ไหวเอน

ต้นโอ๊กยืนหยัดต่อสู้กับแรงลมอย่างมั่นใจ “ดูสิ ต้นอ้อ ข้าจะไม่ไหวเอนแม้แต่นิดเดียว!” มันร้องเสียงดัง

ลมพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ใบไม้ปลิวกระจัดกระจาย ต้นโอ๊กเริ่มรู้สึกถึงแรงลมที่พัดกิ่งก้านจนเกิดเสียงดังสนั่น แต่มันยังคงดื้อดึง ยืนต้านแรงลมอย่างไม่ลดละ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นโอ๊กกับต้นอ้อ 2

ในขณะเดียวกัน ต้นอ้อโอนเอนไปมาตามแรงลม พวกมันไม่ต่อต้านและยอมปล่อยให้ลมพัดผ่านอย่างนุ่มนวล

“ดูพวกเจ้าสิ โอนเอนไปมาเหมือนหญ้าไร้ค่า!” ต้นโอ๊กยังคงตะโกน แม้ว่าเสียงลมจะดังจนกลบเสียงของมัน

ไม่นานนัก พายุเริ่มรุนแรงขึ้น ลมกระโชกแรงพัดกิ่งของต้นโอ๊กจนหักทีละกิ่ง ลำต้นที่เคยมั่นคงเริ่มสั่นไหว และในที่สุด รากของมันก็ถูกถอนออกจากพื้นดิน มันล้มลงกับพื้นดินด้วยเสียงดังสนั่น

เมื่อพายุสงบลง ต้นอ้อที่ยังคงอยู่ริมตลิ่งกลับมายืนตรงอย่างสง่างามอีกครั้ง พวกมันมองไปที่ต้นโอ๊กที่ล้มลงกับพื้น ต้นโอ๊กที่เคยโอ้อวดในความแข็งแกร่งของตัวเอง บัดนี้กลายเป็นต้นไม้ที่ไร้ชีวิต

ต้นอ้อพูดขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล “ท่านต้นโอ๊ก ข้าพยายามบอกท่านแล้วว่าความยืดหยุ่นนั้นสำคัญกว่าความแข็งแกร่ง แต่ท่านไม่เคยฟัง ท่านดื้อดึงที่จะยืนหยัดต้านทานพายุ ทั้งที่บางครั้ง การโอนเอนตามลมอาจช่วยให้เรารอดพ้นจากสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะสู้ได้”

ต้นโอ๊กไม่ได้ตอบกลับ เพราะมันไม่มีโอกาสได้เรียนรู้บทเรียนนี้อีกต่อไป

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นโอ๊กกับต้นอ้อ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความแข็งแกร่งที่ดื้อรั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เรารอดพ้นจากความท้าทาย แต่ความยืดหยุ่นและการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างหากที่จะช่วยให้เราสามารถยืนหยัดต่อไปได้ บางครั้ง การโอนอ่อนตามสถานการณ์ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นปัญญาที่ช่วยให้เรารับมือกับแรงกดดันและเอาชนะอุปสรรคได้ในระยะยาว

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องต้นโอ๊กกับต้นอ้อ (อังกฤษ: The Oak and the Reed) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 70 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้ปรากฏในหลายเวอร์ชัน บางฉบับเล่าว่าต้นโอ๊กสนทนากับต้นอ้อหลายต้น ขณะที่ในฉบับที่เขียนใหม่ภายหลัง ต้นโอ๊กโต้เถียงกับต้นหลิวแทน

นิทานเรื่องนี้มีเวอร์ชันภาษากรีกในยุคแรกและเวอร์ชันภาษาละตินจากศตวรรษที่ 5 โดย อาวิอานุส (Avianus) ซึ่งเล่าถึงพฤติกรรมที่แตกต่างกันระหว่างต้นโอ๊กและต้นอ้อ ต้นโอ๊กเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตนเองเพื่อทานทนต่อพายุ แต่กลับถูกลมพัดโค่นล้ม ขณะที่ต้นอ้อโน้มตัวไปตามลมและสามารถรอดพ้นจากพายุได้

ผู้ที่รู้จักปรับตัวตามสถานการณ์จะสามารถรอดพ้นจากอันตรายได้ และอย่าเชื่อมั่นในพละกำลังเพียงอย่างเดียว

แหล่งข้อมูลในยุคแรกมองนิทานนี้ว่าเป็น อุปมาเกี่ยวกับความหยิ่งทะนงและความอ่อนน้อมถ่อมตน โดยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเอาตัวรอดในยามที่เกิดความเปลี่ยนแปลงหรือวิกฤต ซึ่งต่อมาได้ก่อให้เกิดสุภาษิตต่างๆ เช่น “ดีกว่าโค้งงอไปตามลมดีกว่าหักโค่น” และ “ต้นอ้อก่อนลมยังคงอยู่ได้ ขณะที่ต้นโอ๊กผู้ยิ่งใหญ่กลับล้มลง” ซึ่งการอ้างถึงที่เก่าแก่ที่สุดปรากฏในผลงานของ เจฟฟรีย์ ชอเซอร์ (Geoffrey Chaucer) ใน Troilus and Criseyde (II.1387–1389)

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องลมเหนือกับดวงอาทิตย์

ในวันหนึ่งที่ท้องฟ้ากระจ่างใส ลมเหนือและดวงอาทิตย์ต่างถกเถียงกันว่าใครมีพลังที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจที่สุด ทั้งสองฝ่ายมั่นใจในความสามารถของตนและไม่มีใครยอมแพ้ ลมเหนือโอ้อวดถึงความรุนแรงของตนที่สามารถพัดต้นไม้ล้มและก่อให้เกิดพายุได้ ส่วนดวงอาทิตย์ยืนยันว่า ความอบอุ่นและแสงสว่างของตนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้เช่นกัน

เมื่อการถกเถียงยืดเยื้อ พวกเขาจึงตกลงกันว่าจะทดสอบพลังของตน โดยใช้ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่บนถนนเป็นเป้าหมาย ใครสามารถทำให้ชายคนนั้นถอดเสื้อคลุมออกได้ก่อน จะเป็นผู้ชนะ การแข่งขันที่ดูเรียบง่ายนี้จะกลายเป็นบทพิสูจน์ที่ไม่มีใครคาดถึง กับนิทานอีสปเรื่องลมเหนือกับดวงอาทิตย์

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องลมเหนือกับดวงอาทิตย์

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องลมเหนือกับดวงอาทิตย์

กาลครั้งนึ่งนานมาแล้ว ในวันหนึ่งบนฟากฟ้า ลมเหนือที่แสนเย็นยะเยือกและดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงอ่อนโยน ได้ถกเถียงกันถึงความทรงพลังของตนเอง ลมเหนือกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ข้าแน่ใจว่าข้าทรงพลังที่สุด! ข้าสามารถพัดต้นไม้โค่นได้ ข้าสร้างพายุที่ทำลายทุกสิ่งได้ ไม่มีใครเทียบพลังของข้าได้หรอก!”

ดวงอาทิตย์ที่สงบกว่า ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “พลังของเจ้าอาจแข็งแกร่ง แต่พลังนั้นอาจไม่ได้ผลในทุกสถานการณ์ ข้าเชื่อว่าความอบอุ่นและอ่อนโยนของข้าก็มีพลังเช่นกัน”

ลมเหนือหัวเราะเสียงดัง “อบอุ่นและอ่อนโยนงั้นหรือ? เจ้าอยากลองพิสูจน์ดูไหมว่าพลังของเจ้าจะทำอะไรได้เทียบกับข้า!”

ดวงอาทิตย์พยักหน้า “ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็น ลองทดสอบกันดูเถิด”

พวกเขามองลงไปยังพื้นดิน และเห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนถนนในชนบท ชายผู้นั้นสวมเสื้อคลุมหนาเพื่อกันลมหนาว ทั้งลมเหนือและดวงอาทิตย์ตกลงกันว่า ใครสามารถทำให้ชายคนนี้ถอดเสื้อคลุมได้ก่อน จะเป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุด

ลมเหนือเริ่มก่อน มันสูดลมหายใจลึกก่อนจะเป่าลมแรงใส่ชายคนนั้น ลมเย็นยะเยือกพัดปะทะใบหน้าและร่างกายของชายผู้นั้น เขายกมือขึ้นปิดหน้าพลางร้อง “หนาวอะไรอย่างนี้!”

ชายคนนั้นรีบดึงเสื้อคลุมเข้าหาตัวแน่นขึ้น พยายามปกป้องตัวเองจากลมที่พัดแรง ลมเหนือเห็นดังนั้นจึงเพิ่มพลังอีกครั้ง มันพัดลมแรงจนฝุ่นทรายลอยฟุ้งไปทั่ว ต้นไม้เอนลู่ไปตามแรงลม

“หนาวจริง ๆ!” ชายคนนั้นพูดกับตัวเองขณะดึงเสื้อคลุมมาห่อหุ้มตัวจนมิด ลมเหนือยังคงพัดแรงต่อไป หวังให้ชายคนนั้นถอดเสื้อคลุมออก แต่ยิ่งมันพัดแรงขึ้น ชายคนนั้นก็ยิ่งจับเสื้อคลุมแน่นขึ้น และเริ่มเร่งฝีเท้าเพื่อหนีจากลมที่หนาวเหน็บ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องลมเหนือกับดวงอาทิตย์ 2

หลังจากใช้พลังจนเหนื่อยล้า ลมเหนือหยุดและหันไปหาดวงอาทิตย์ “ทีนี้ เจ้าลองดูสิ! ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำได้ดีกว่าข้า!”

ดวงอาทิตย์ยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้าจะไม่ใช้ความแข็งกร้าวเช่นเจ้า ข้าจะลองวิธีของข้าเอง”

จากนั้น ดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงอย่างอ่อนโยน แสงแดดอบอุ่นปกคลุมชายคนนั้น ชายผู้นั้นรู้สึกถึงความอบอุ่นบนร่างกาย “อา… ช่างอบอุ่นเสียจริง” เขาพูดกับตัวเอง

ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ เพิ่มความร้อนขึ้นอีกเล็กน้อย ชายคนนั้นเริ่มคลายมือที่จับเสื้อคลุมออก เพราะความอบอุ่นของแสงแดดทำให้เขารู้สึกสบายมากขึ้น

ไม่นานนัก ดวงอาทิตย์เพิ่มความร้อนขึ้นอีก ชายคนนั้นเริ่มรู้สึกว่าการสวมเสื้อคลุมหนาทำให้เขาร้อนเกินไป “ร้อนจังเลย ข้าควรถอดเสื้อคลุมออกเสียที” เขาพูดพร้อมกับถอดเสื้อคลุมออก และพาดไว้บนไหล่ ก่อนเดินต่อไปอย่างสบายใจ

ดวงอาทิตย์หันไปหาลมเหนือและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เห็นหรือไม่? ความอบอุ่นและอ่อนโยนสามารถทำให้ชายผู้นั้นถอดเสื้อคลุมออกได้ ในขณะที่ความแข็งกร้าวของเจ้ากลับทำให้เขายิ่งต่อต้าน”

ลมเหนือยืนนิ่งเงียบ มันรู้ว่าตนพ่ายแพ้ต่อพลังที่อ่อนโยนของดวงอาทิตย์

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องลมเหนือกับดวงอาทิตย์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความอ่อนโยนและเมตตาสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าความแข็งกร้าวหรือการบังคับ พลังที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การใช้กำลังหรือการแสดงอำนาจ แต่คือการใช้วิธีที่นุ่มนวลและสร้างความสบายใจให้ผู้อื่น เพราะความอ่อนโยนสามารถชนะใจและทำให้คนยินยอมได้โดยธรรมชาติ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องลมเหนือกับดวงอาทิตย์ (อังกฤษ: The North Wind and the Sun) เป็นหนึ่งในนิทานอีสปที่โด่งดังมากที่สุดเรื่องหนึ่ง หรืออีกชื่อที่ได้รับความนิยมในภาษาไทยคือสายลมกับแสงแดด ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 46 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) อาร์น–ทอมป์สัน (Aarne–Thompson) นิทานเรื่องนี้สอนข้อคิดเกี่ยวกับ ความเหนือกว่าของการโน้มน้าวใจเมื่อเทียบกับการใช้กำลัง ซึ่งทำให้นิทานเรื่องนี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

เรื่องเล่าถึงการแข่งขันระหว่างลมเหนือและดวงอาทิตย์ เพื่อพิสูจน์ว่าใครมีพลังมากกว่ากัน โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ชนะจะต้องทำให้คนเดินทางคนหนึ่งถอดเสื้อคลุมออก ลมเหนือพยายามพัดแรงเพียงใด คนเดินทางก็ยิ่งกระชับเสื้อคลุมแน่นขึ้นเพื่อป้องกันความหนาว แต่เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงอย่างอบอุ่น คนเดินทางก็ทนร้อนไม่ไหวและถอดเสื้อคลุมออกในที่สุด

วิธีที่ถ่อมตนและนุ่มนวลย่อมมีประสิทธิภาพและใช้งานได้จริงมากกว่าการโอ้อวดที่ไร้สาระ

นอกจากนี้ นิทานยังถูกใช้เป็นข้อความตัวอย่างในงานถอดเสียงสัทศาสตร์ในหลายภาษา เนื่องจากมีโครงสร้างและเนื้อหาที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาเรื่องการออกเสียง

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com