นิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสกับสมบัติ

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเชื่อและศรัทธา ผู้คนมักแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพร หวังให้ชีวิตของตนดีขึ้น บางคนถวายของบูชาเพื่อแสดงความเคารพ บางคนอธิษฐานขอความมั่งคั่งและโชคลาภ แต่ในขณะที่บางคนได้รับพรตามที่หวัง อีกหลายคนกลับพบว่าคำอ้อนวอนของพวกเขาถูกปล่อยให้ล่องลอยไปในสายลม

แล้วศรัทธานั้นควรตั้งอยู่บนความเคารพอันแท้จริง หรือเป็นเพียงเครื่องมือแลกเปลี่ยนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน? และเทพเจ้าทั้งหลายจะตอบแทนความจงรักภักดี หรือเพิกเฉยจนกว่าจะถูกบีบบังคับให้มอบสิ่งที่ผู้ศรัทธาต้องการ? เรื่องราวจะพาเราไปค้นหาคำตอบของคำถามเหล่านี้ ผ่านบททดสอบแห่งศรัทธาและความจริงที่อาจไม่เป็นดั่งที่คาดคิด… กับนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสกับสมบัติ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสกับสมบัติ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสกับสมบัติ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีประติมากรผู้มีฝีมือผู้หนึ่งที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายหาเลี้ยงชีพด้วยการแกะสลัก งานของเขาประณีตและละเอียดอ่อน เขาสร้างรูปปั้นเทพเจ้าต่าง ๆ เพื่อขายให้กับชาวบ้านที่ต้องการสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตั้งไว้ในบ้านหรือวิหาร แต่แม้จะมีฝีมือดีเพียงใด กิจการของเขากลับไม่เคยรุ่งเรือง เขายังต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพอยู่ทุกวัน

ในบ้านเล็ก ๆ ของเขา มีรูปปั้นหินของเทพเฮอร์มีสตั้งอยู่ตรงมุมห้อง รูปปั้นนี้เป็นหนึ่งในผลงานที่เขาภูมิใจที่สุด และแทนที่จะขาย เขากลับเก็บมันไว้เป็นของตัวเอง เขาบูชารูปปั้นนั้นด้วยความศรัทธา เพราะเชื่อว่าเฮอร์มีสคือเทพแห่งการค้าและโชคลาภ ทุกวันเขาจะถวายเครื่องบูชา จุดธูป และกล่าวคำอธิษฐาน ขอให้เฮอร์มีสช่วยให้เขามีรายได้ที่ดีขึ้น ให้กิจการของเขารุ่งเรืองและให้เขามีชีวิตที่สุขสบาย

แต่ไม่ว่าเขาจะอธิษฐานมากเพียงใด ความเป็นอยู่ของเขากลับแย่ลงทุกวัน ลูกค้าหายไปทีละคนสองคน รายได้ลดลง งานแกะสลักที่เคยขายได้อย่างง่ายดายกลับไม่มีใครสนใจ เขาพยายามอดทน แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความศรัทธาของเขาก็เริ่มสั่นคลอน

คืนหนึ่ง หลังจากวันอันแสนเหนื่อยล้า เขากลับมาถึงบ้านโดยไม่มีเงินติดตัวแม้แต่จะซื้ออาหาร เขามองไปที่รูปปั้นเทพเฮอร์มีสที่ตั้งอยู่อย่างสง่างาม แสงเทียนสะท้อนให้เห็นใบหน้าของเทพเจ้าอย่างชัดเจน เขานั่งลงตรงหน้ารูปปั้น มองมันนิ่งอยู่นานก่อนจะพูดขึ้น

“ข้าบูชาเจ้าทุกวัน ถวายของเซ่นไหว้ให้เจ้าด้วยความเคารพ แต่ทำไมชีวิตข้ากลับตกต่ำลงเรื่อย ๆ นี่หรือคือวิธีที่เจ้าตอบแทนข้า?”

เขายังจำได้ดีว่าในวันแรกที่เขาแกะสลักรูปปั้นนี้ เขารู้สึกภาคภูมิใจเพียงใด เฮอร์มีสคือเทพเจ้าแห่งการค้า ข่าวสาร และโชคลาภ เขาเคยเชื่อมั่นว่าตราบใดที่เขามีรูปปั้นนี้อยู่กับตัว ความโชคดีจะต้องมาถึงเขาสักวันหนึ่ง แต่บัดนี้ ความอดอยากและความลำบากทำให้เขาสูญสิ้นความเชื่อนั้นไปโดยสิ้นเชิง

“เจ้าเป็นเทพแห่งโชคลาภมิใช่หรือ? แล้วโชคของข้าอยู่ที่ไหน? หรือเจ้าเป็นเพียงรูปปั้นไร้ชีวิตที่ไม่มีพลังอะไรเลย”

เขากำมือแน่น ขบกรามจนเสียงดังกรอด ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

“ถ้าเจ้าช่วยข้าไม่ได้ อย่างน้อยก็บอกข้าสักคำว่าเจ้าทำอะไรได้บ้าง! หรือว่าเจ้าก็เป็นเพียงก้อนหินอีกชิ้นที่ข้าสร้างขึ้นมาเอง ไม่มีพลังใด ๆ เลย!”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสกับสมบัติ 2

เขาลุกขึ้นอย่างหุนหันคว้ารูปปั้นขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะเหวี่ยงมันลงกับพื้นอย่างแรง

เสียงแตกของเศษหินดังก้องไปทั่วห้อง ศีรษะของรูปปั้นแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และในขณะนั้นเอง สิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้น เหรียญทองจำนวนมากไหลออกมาจากภายในรูปปั้น กองซ้อนกันเป็นประกายแวววาวภายใต้แสงเทียนที่ริบหรี่

เขานิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนที่ดวงตาจะเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง หัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น มือของเขาสั่นขณะที่เอื้อมไปหยิบเหรียญทองขึ้นมาดู มันเป็นทองแท้ ทุกเหรียญล้วนหนักและมีมูลค่ามหาศาล

“นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร?”

เขารีบคุกเข่าลงกับพื้น มือทั้งสองกอบโกยเหรียญทองขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ความอดอยากและความทุกข์ที่เขาแบกรับมานานแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะดังขึ้นเรื่อย ๆ

เขาหยุดชั่วครู่ หันไปมองเศษหินที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น แล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความฉงน

“เฮอร์มีสเอ๋ย… เจ้าเป็นเทพเจ้าผู้โชคร้ายจริง ๆ! ข้าบูชาเจ้าด้วยศรัทธา เซ่นไหว้เจ้าทุกวัน ขอพรจากเจ้าเสมอ แต่เจ้ากลับไม่ให้ข้าแม้แต่นิดเดียว”

เขาหัวเราะอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็กอบโกยเหรียญทองต่อไปไม่หยุด

“แต่พอข้าทำลายเจ้า เจ้ากลับให้ข้าสมบัติมหาศาล! นี่มันลัทธิอะไรกัน? หรือว่าเทพเจ้าทั้งหมดก็คือเช่นนี้? หากข้ารู้มาก่อน ข้าคงทำลายเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว!”

เขายังคงหัวเราะต่อไป มือก็ยังไม่หยุดโกยเหรียญทอง ความโลภและความปีติหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าเขาเคยศรัทธาในสิ่งใด สิ่งเดียวที่เขาสนใจในตอนนี้คือสมบัติที่อยู่ตรงหน้า

แสงเทียนริบหรี่ลง ในห้องเล็ก ๆ นั้นมีเพียงเสียงเหรียญกระทบกันและเสียงหัวเราะของชายผู้ซึ่งเพิ่งค้นพบว่าทรัพย์สมบัติซ่อนอยู่ภายในสิ่งที่เขาบูชามาตลอดชีวิต

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสกับสมบัติ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

ศรัทธาที่หวังเพียงผลตอบแทน ไม่ใช่ศรัทธาที่แท้จริง หลายคนบูชาเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่คนรอบตัว ด้วยความหวังว่าความดีที่ตนทำจะได้รับการตอบแทนกลับมา แต่เมื่อเวลาผ่านไป หากไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นตามที่คาดหวัง ความศรัทธานั้นก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวัง และในที่สุด อาจนำไปสู่ความโกรธเคืองและการกระทำที่รุนแรง

นิทานเรื่องนี้ยังสะท้อนความจริงที่ว่าบางครั้ง คนบางคน (หรือแม้แต่เทพเจ้าในเชิงเสียดสี) อาจไม่ตอบแทนความดีด้วยความดี แต่กลับมอบรางวัลหรือผลตอบแทนก็ต่อเมื่อถูกบีบบังคับหรือถูกกระทำอย่างรุนแรง คล้ายกับรูปปั้นเฮอร์มีสที่ไม่ได้มอบโชคลาภให้ผู้บูชาในขณะที่เขายังศรัทธาและเซ่นไหว้ทุกวัน แต่กลับเผยสมบัติที่ซ่อนอยู่ก็ต่อเมื่อถูกทุบทำลาย

แนวคิดนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของบางคนที่ ไม่เห็นคุณค่าของความดีงาม ไม่ให้รางวัลแก่ความซื่อสัตย์หรือความจงรักภักดี แต่กลับยอมทำตามเมื่อเผชิญกับแรงกดดันหรือถูกบังคับให้ยอมรับความจริง ตัวอย่างเช่น บางคนอาจไม่ให้ค่ากับคนที่ภักดีและซื่อสัตย์ต่อเขา แต่กลับยอมโอนอ่อนหรือตอบแทนความต้องการของผู้อื่นก็ต่อเมื่อถูกข่มขู่หรือเผชิญหน้ากับผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ในสังคมก็มีตัวอย่างของผู้มีอำนาจที่เพิกเฉยต่อความทุกข์ของผู้คน ไม่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ร้องขอด้วยเหตุผลอันสมควร แต่เมื่อประชาชนรวมตัวกันกดดัน หรือเมื่อภาพลักษณ์ของตนกำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเขากลับรีบให้ความช่วยเหลือโดยเร็ว คล้ายกับเทพเจ้าในเรื่องนี้ที่ไม่ตอบสนองต่อคำอ้อนวอนของผู้บูชา แต่กลับ “ให้รางวัล” อย่างเต็มที่เมื่อตนเองถูกทำลาย

สุดท้าย นิทานเรื่องนี้จึงเป็นคำเตือนว่า เราไม่ควรฝากความหวังทั้งหมดไว้กับผู้ที่เพิกเฉยต่อความดีของเรา เพราะหากต้องใช้ความรุนแรงหรือการบีบบังคับเพื่อให้ได้สิ่งที่พึงได้แต่แรก นั่นอาจแปลว่าเราให้ความศรัทธาไปผิดที่ และบางครั้ง ทรัพย์สมบัติหรือสิ่งที่เราต้องการ อาจอยู่ตรงหน้ามาตลอด เพียงแต่เรามองไม่เห็นคุณค่าของมัน จนกว่ามันจะถูกทำลายลงไป

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสกับสมบัติ (อังกฤษ: The statue of Hermes and the Treasure) นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 285 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

ได้รับการแต่งเป็นบทกวีภาษากรีกโดย Babrius ซึ่งสอนคติว่า “คนชั่วมักยอมทำตามก็ต่อเมื่อถูกดูหมิ่น” ในเรื่องนี้ เทพเฮอร์มีส ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง ไม่ได้มอบพรตามที่ผู้บูชาคาดหวัง ทำให้ชายผู้ศรัทธาเกิดความคับข้องใจจนทุบรูปปั้นลงกับพื้น ทันทีที่รูปปั้นแตกออก ทองคำจำนวนมากก็ไหลออกจากศีรษะของมัน ชายคนนั้นจึงตำหนิสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นนิสัยของเทพเจ้าที่ไม่ตอบแทนความดีด้วยความดี แต่กลับมอบโชคลาภเมื่อถูกกระทำอย่างรุนแรง

คนบางคน (หรือแม้แต่เทพในเชิงเสียดสี) อาจไม่ตอบแทนความดีด้วยความดี แต่กลับให้รางวัลก็ต่อเมื่อถูกบีบบังคับหรือถูกกระทำอย่างรุนแรง แนวคิดนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่ไม่เห็นคุณค่าของความดีงาม แต่กลับยอมทำตามเมื่อเผชิญกับแรงกดดันหรือความอับอาย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องความฝันของประติมากร

ในโลกแห่งศิลปะ มีบางสิ่งที่เกินกว่าความงามจะอธิบายได้ บางครั้งสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาด้วยหัวใจอาจกลายเป็นสะพานที่เชื่อมโยงระหว่างความหวังและความศรัทธา แต่เมื่อเราต้องตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งนั้น การตัดสินใจของเราจะสะท้อนให้เห็นว่าเราเข้าใจคุณค่าของมันอย่างแท้จริงหรือไม่

ในนิทานเรื่องนี้ เราจะได้พบกับช่างแกะสลักผู้มากฝีมือที่ต้องเผชิญกับคำถามที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เมื่อสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมากลายเป็นเป้าหมายของผู้คนสองคนที่ต่างมีเหตุผลและความตั้งใจอันลึกซึ้ง การตัดสินใจของเขาจะเปลี่ยนทั้งชะตาของผลงานและชีวิตของเขาไปตลอดกาล กับนิทานอีสปเรื่องความฝันของประติมากร

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องความฝันของประติมากร

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องความฝันของประติมากร

ในเมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ มีช่างแกะสลักผู้หนึ่งที่มีฝีมือโดดเด่น เขาใช้ชีวิตเรียบง่ายในเวิร์กช็อปเล็ก ๆ ที่มุมถนน ผลงานชิ้นล่าสุดของเขาคือรูปปั้นหินอ่อนสีขาวของเทพเฮอร์มีส ซึ่งเขาตั้งใจสร้างขึ้นด้วยความประณีตทุกรายละเอียด ตั้งแต่ปีกที่รองรับรองเท้าของเทพเจ้า ไปจนถึงสายตาอันคมกริบที่เหมือนกำลังมองลึกเข้าสู่หัวใจผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

วันหนึ่ง ช่างแกะสลักได้นำรูปปั้นนี้มาวางแสดงที่ตลาดกลางเมือง ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของผู้คน รูปปั้นของเขาดูสง่างามราวกับมีชีวิต คนเดินผ่านไปมาต่างหยุดมอง บ้างชื่นชมในความงดงาม บ้างก็เอ่ยปากอยากได้ แต่ไม่มีใครยอมควักเงินในกระเป๋ามาจ่าย

จนกระทั่งบ่ายแก่ ๆ ชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามาหยุดตรงหน้ารูปปั้น เขาเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า “รูปปั้นนี้ เจ้าขายมันหรือไม่?”

“ใช่ ข้าเสนอขายอยู่” ช่างแกะสลักตอบด้วยความยินดี

ชายชราก้มหน้าก่อนจะพูดว่า “ข้าต้องการมันเพื่อตั้งไว้ที่หลุมศพของลูกชายข้า เขาเพิ่งเสียไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เขารักและศรัทธาในเทพเฮอร์มีสมาก ข้าอยากให้รูปปั้นนี้อยู่เคียงข้างเขาในโลกหลังความตาย”

ช่างแกะสลักนิ่งฟังคำพูดนั้น ใจหนึ่งก็รู้สึกเห็นใจ แต่อีกใจก็ลังเล เพราะไม่นานนัก ก็มีชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามาพร้อมกับแสดงความสนใจในรูปปั้นนี้เช่นกัน “ท่านต้องการมันด้วยเหตุใด?” ช่างแกะสลักถาม

ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงหนักแน่น “ข้าคือผู้บูชาเทพเฮอร์มีส ข้าตั้งใจจะนำรูปปั้นนี้ไปมอบให้วิหาร เพื่อแสดงความศรัทธาและขอพรให้ชีวิตของข้าและครอบครัวมีความสุขและเจริญรุ่งเรือง”

ช่างแกะสลักเริ่มสับสน ไม่อาจตัดสินใจได้ว่าใครควรได้รูปปั้นนี้ เขาขอให้ชายทั้งสองกลับมาในวันรุ่งขึ้นและให้เวลาเขาไตร่ตรอง

คืนนั้น ขณะที่ช่างแกะสลักกำลังหลับใหล เขาฝันว่าอยู่ในดินแดนลึกลับ สว่างไสวด้วยแสงประหลาด เขายืนอยู่หน้าประตูสูงใหญ่ที่สลักด้วยลวดลายของปีกและงูสองตัวที่พันรอบคฑา จู่ ๆ เทพเฮอร์มีสก็ปรากฏตัวขึ้น เฮอร์มีสยืนด้วยท่วงท่าอันสง่างามและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวาน

“เจ้าคือผู้สร้างร่างของข้า เจ้าได้ให้ข้าชีวิตผ่านมือของเจ้าเอง แต่บัดนี้ ชะตากรรมของข้ากลับขึ้นอยู่กับเจ้าที่ต้องตัดสินใจ เจ้าจะส่งข้าไปยังที่ใด?”

“ข้าจะต้องทำอย่างไร ข้าจึงจะทำสิ่งที่ถูกต้อง?” ช่างแกะสลักถามด้วยความกระวนกระวาย

“เจ้าต้องถามใจเจ้าเอง” เฮอร์มีสตอบ “เจ้าจะเลือกให้ข้ากลายเป็นเพียงมนุษย์ที่ตายไป หรือให้ข้าเป็นเทพเจ้าผู้ได้รับการเคารพบูชาต่อไป?”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องความฝันของประติมากร 2

ช่างแกะสลักสะดุ้งตื่นขึ้นในตอนรุ่งสาง เขายังคงได้ยินเสียงของเทพเจ้าดังก้องอยู่ในหัว หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องทำในสิ่งที่สะท้อนคุณค่าของรูปปั้นนี้ได้ดีที่สุด

เมื่อชายชราและชายหนุ่มมาที่ร้านในเช้าวันนั้น ช่างแกะสลักมองชายชราด้วยความเห็นใจ ก่อนจะพูดว่า
“ท่านคือพ่อผู้รักลูก แต่รูปปั้นนี้ไม่ได้เหมาะที่จะเป็นเพียงเครื่องหมายของความสูญเสีย ท่านสมควรหาสิ่งที่สะท้อนถึงความรักอันลึกซึ้งของท่านในวิธีอื่น”

ชายชราน้ำตาคลอ แต่ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ

จากนั้น ช่างแกะสลักหันไปหาชายหนุ่มและกล่าวว่า “ข้าขอมอบรูปปั้นนี้ให้ท่าน นำมันไปตั้งในวิหารของเฮอร์มีส ที่นั่นคือที่ที่มันควรอยู่”

ชายหนุ่มโค้งคำนับอย่างเคารพและรับรูปปั้นไปด้วยความซาบซึ้ง

คืนนั้น ช่างแกะสลักฝันอีกครั้ง คราวนี้เฮอร์มีสปรากฏตัวพร้อมรอยยิ้ม และกล่าวว่า “เจ้าทำได้ดีแล้ว เจ้าให้ข้ากลับไปยังที่ของข้า และเจ้าได้รักษาความหมายที่แท้จริงของศิลปะไว้”

ช่างแกะสลักตื่นขึ้นพร้อมความรู้สึกโล่งใจ และรู้ว่าตนเองได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องความฝันของประติมากร 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การตัดสินใจที่ดีที่สุดไม่ได้อยู่ที่การตอบสนองความต้องการของทุกคน แต่คือการตระหนักถึงคุณค่าและความหมายแท้จริงของสิ่งที่เราสร้างขึ้น และ การเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสิ่งนั้น มากกว่าที่จะทำเพียงเพื่อความพึงพอใจชั่วคราวของผู้อื่น การมองเห็นคุณค่าที่ลึกซึ้งช่วยให้เราตัดสินใจด้วยความรับผิดชอบและเคารพต่อสิ่งที่เรามีในมือ

ที่มาของนิทาน

นิทานอีสปเรื่องความฝันของประติมากร (อังกฤษ: The Sculptor’s dream) เป็นหนึ่งในนิทานอีสปเรื่องหนึ่ง นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 307 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) และมีเวอร์ชันบทกวีทั้งในภาษากรีกโดย Babrius และภาษาละตินโดย Avianus แม้ว่าในเรื่องของ Avianus จะเล่าโดยเปลี่ยนเทพเป็น Bacchus รูปปั้นในเรื่องนี้เป็นแบบที่แสดงให้เห็นเทพเจ้าในลักษณะของชายหนุ่มรูปงาม

โดยเป็นเรื่องราวของช่างแกะสลักคนหนึ่งกำลังขายรูปปั้นหินอ่อนสีขาวของเทพเฮอร์มีส มีชายสองคนต้องการซื้อมัน คนหนึ่งต้องการรูปปั้นไปใช้เป็นป้ายหลุมศพให้ลูกชายที่เพิ่งเสียชีวิต ส่วนอีกคนเป็นช่างฝีมือที่ต้องการอุทิศรูปปั้นให้กับเทพเจ้าเอง

เมื่อถึงช่วงเย็น ช่างแกะสลักยังไม่ได้ขายรูปปั้น เขาจึงตกลงว่าจะให้ชายทั้งสองมาดูรูปปั้นอีกครั้งในเช้าวันถัดไป คืนนั้น ขณะหลับอยู่ ช่างแกะสลักฝันเห็นเทพเฮอร์มีสปรากฏตัวอยู่ที่ “ประตูแห่งความฝัน” และเทพเจ้าก็กล่าวกับเขาว่า “ชะตากรรมของข้าตอนนี้ขึ้นอยู่กับเจ้า เจ้าจะตัดสินให้ข้ากลายเป็นเพียงมนุษย์ที่ตายแล้ว หรือเป็นเทพเจ้าต่อไป!”

แม้ว่านิทานจะดูเบาสมอง แต่ในศตวรรษที่ 2 แพทย์และนักปรัชญา Galen ได้เพิ่มความลึกซึ้งทางจริยธรรมให้เรื่องนี้ โดยเปรียบเทียบกับศักยภาพของมนุษย์ เขาเล่านิทานและเสริมความเห็นไว้ว่า “เจ้าเองก็มีทางเลือกว่าจะยกย่องวิญญาณของเจ้าให้เหมือนกับเทพเจ้า หรือจะดูหมิ่นมันด้วยการทำให้เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน”

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับสุนัข

บนโลกนี้ การแสดงความเคารพต่อผู้อื่นไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความตั้งใจของเรา แต่ยังบ่งบอกถึงความเข้าใจในคุณค่าของสิ่งที่เรากำลังให้เกียรติ อย่างไรก็ตาม การกระทำที่ดูเหมือนจะยกย่อง หากปราศจากความจริงใจ อาจถูกมองว่าเป็นการลบหลู่มากกว่าการให้เกียรติ

เช่นเดียวกับเรื่องราวของเทพเฮอร์มีส ผู้ต้องเผชิญกับการแสดงความเคารพที่แปลกประหลาดจากสุนัขเจ้าเล่ห์ เรื่องราวนี้จะพาเราไปเรียนรู้ถึงความสำคัญของความจริงใจและการกระทำที่เหมาะสมกับนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับสุนัข

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับสุนัข

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับสุนัข

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ริมถนนสายหนึ่งที่พลุกพล่านในเมืองใหญ่ มีรูปปั้นของเทพเฮอร์มีสตั้งตระหง่านอยู่ เป็นรูปปั้นสี่ด้านที่งดงาม ประดับประดาด้วยลวดลายอันประณีต ฐานของรูปปั้นเต็มไปด้วยกองหินที่ผู้คนผ่านไปมาต่างวางไว้เพื่อแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าเฮอร์มีส เทพแห่งการค้า การเดินทาง และกีฬา ผู้เป็นผู้นำสารของเหล่าเทพ

วันหนึ่ง สุนัขจรจัดตัวหนึ่งเดินผ่านมาทางนั้น มันเป็นสุนัขที่คุ้นชินกับการเร่ร่อนในเมือง มันหยุดยืนมองรูปปั้นด้วยสายตาที่ปนเปไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความเจ้าเล่ห์ มันเดินวนรอบรูปปั้นพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจริงใจ “โอ้ เฮอร์มีส ผู้ยิ่งใหญ่ ข้าขอคารวะท่าน! ในฐานะเทพแห่งกีฬาและการเดินทาง ผู้เป็นที่พึ่งของนักเดินทางและพ่อค้า ข้าคงไม่อาจปล่อยผ่านไปโดยไม่แสดงความเคารพต่อท่านได้”

มันหยุดยืนตรงหน้าฐานรูปปั้น มองดูหินที่กองอยู่ และพูดขึ้นอีกว่า “ท่านคงภูมิใจที่ได้รับการยกย่องจากผู้คนมากมายเช่นนี้ ดังนั้น ข้าคิดว่าข้าควรจะทำบางสิ่งเพื่อเพิ่มเกียรติให้แก่ท่าน”

มันหันมองซ้ายมองขวา จากนั้นจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “และเพื่อให้เกียรติอย่างยิ่ง ข้าจะใช้น้ำมันอันเป็นเอกลักษณ์ของข้าทาให้ท่านเอง!”

ในความเป็นจริง สิ่งที่มันหมายถึงคือการปัสสาวะใส่รูปปั้นเพื่อแสดงอาณาเขตของมันเอง

เทพเฮอร์มีสซึ่งสถิตอยู่ในรูปปั้น มองพฤติกรรมของสุนัขด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าสุนัขเอ๋ย หากเจ้าต้องการให้เกียรติข้าจริง ๆ สิ่งเดียวที่ข้าขอคืออย่าใช้น้ำมันของเจ้าปัสสาวะใส่ข้า เพียงเท่านี้ข้าก็จะขอบคุณเจ้าอย่างสุดซึ้งแล้ว ไม่จำเป็นต้องแสดงความเคารพด้วยวิธีที่ข้ารังเกียจเช่นนี้!”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับสุนัข 2

สุนัขชะงักไปชั่วครู่ แต่แทนที่จะรู้สึกสำนึกผิด มันกลับหัวเราะเบา ๆ และตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “โอ้ ท่านเทพ ข้าเพียงแต่ต้องการแสดงความเคารพในแบบของข้าเอง ทำไมท่านถึงต้องจริงจังนักเล่า? น้ำมันของข้าอาจไม่เลิศหรู แต่ข้าก็ใช้มันอย่างตั้งใจ”

เฮอร์มีสถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เจ้าคิดว่าการกระทำของเจ้าคือความตั้งใจที่ดีหรือ? ความเคารพที่แท้จริงต้องมาจากความจริงใจและเหมาะสม หากเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านั้น ก็อย่าทำอะไรเลยจะดีกว่า”

สุนัขมองเฮอร์มีสด้วยความไม่ใส่ใจ มันสะบัดหางและเดินจากไป ราวกับไม่เข้าใจหรือไม่สนใจคำตำหนิของเทพเจ้า

เฮอร์มีสมองดูสุนัขที่เดินลับไป เขาเพียงส่ายหัวและพูดกับตัวเอง “นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าความเคารพปลอม ๆ การแสดงออกเช่นนี้ไม่เพียงแต่ไร้ค่า แต่ยังสร้างความไม่พอใจมากกว่าความชื่นชม”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับสุนัข 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การแสดงความเคารพหรือให้เกียรติผู้อื่น ควรเกิดจากความตั้งใจที่แท้จริงและความเหมาะสมในสถานการณ์ การกระทำที่ดูเหมือนยกย่องแต่ขาดความจริงใจ หรือเป็นเพียงการกระทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว อาจทำให้ผู้อื่นไม่เพียงไม่รู้สึกซาบซึ้ง แต่ยังอาจมองว่าเป็นการดูหมิ่นหรือไม่ให้เกียรติอย่างแท้จริง ความเคารพที่มีคุณค่าไม่ได้อยู่ที่คำพูดหรือการกระทำที่ฉาบฉวย แต่อยู่ที่ความตั้งใจจริงและเจตนาดีที่แฝงอยู่ในสิ่งที่เราทำ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับสุนัข (อังกฤษ: Hermes and the dog) เป็นนิทานอีสปเรื่องหนึ่ง นิทานเรื่องนี้ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 308 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) และถือเป็นตัวอย่างอารมณ์ขันแบบสแกตาลอจิกของกรีกอย่างกว้างขวาง มีฉบับที่เขียนเป็นกลอนโดยนักกวีชาวกรีกชื่อ Babrius แต่ดูเหมือนว่าบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรจะไม่ถูกสืบต่อไปหลังจากนั้น นักแปลชาววิกตอเรียน Rev. John Davies ได้ละเว้นนิทานเรื่องนี้จากผลงานแปลของเขา Fables of Babrius (1860) แม้ว่าจะไม่มีอะไรเป็นอันตรายในเรื่องนี้ก็ตาม

นิทานกล่าวถึงสุนัขตัวหนึ่งที่มีจิตใจศรัทธา มันคารวะเทพเจ้าเฮอร์มีสที่อยู่ในรูปของเฮอร์มีส ซึ่งเป็นรูปปั้นสี่เหลี่ยมที่ใช้ในการกำหนดเขตแดนหรือสถานที่ระหว่างทาง เมื่อสุนัขประกาศว่าจะเจิมน้ำมัน(ปัสสาวะ)แก่เทพเจ้าเฮอร์มีส เฮอร์มีสก็รีบวิงวอนขอให้มันอย่าทำเช่นนั้น และย้ำว่าไม่จำเป็นต้องได้รับเกียรติไปมากกว่านี้แล้ว

การแสดงความเคารพหรือให้เกียรติใครสักคน ควรทำด้วยความจริงใจและความเหมาะสม การกระทำที่ดูเหมือนยกย่องแต่ปราศจากความตั้งใจที่ดี ย่อมไม่ได้รับการยอมรับและอาจสร้างความขุ่นเคืองแทน

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับประติมากร

ในโลกของเหล่าเทพเจ้า ความยิ่งใหญ่และเกียรติยศมักเป็นสิ่งที่เทพทุกองค์ภาคภูมิใจ แต่ในบางครั้ง การมองตัวเองสูงส่งเกินไปอาจทำให้มุมมองที่มีต่อความจริงเบี่ยงเบนไป

เช่นเดียวกับเรื่องราวของเทพเฮอร์มีส เทพแห่งการค้าและการสื่อสาร ผู้มั่นใจในบทบาทสำคัญของตน แต่เมื่อเขาต้องเผชิญกับมุมมองของมนุษย์ กลับต้องเรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับคุณค่าและความถ่อมตัวกับนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับประติมากร

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับประติมากร

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับประติมากร

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เฮอร์มีส เทพแห่งการค้า การสื่อสาร และการเดินทาง เป็นที่รู้จักในฐานะเทพเจ้าผู้ว่องไวและมีสติปัญญาเฉียบแหลม เขามักได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำสารจากเหล่าเทพบนโอลิมปัส ด้วยหน้าที่สำคัญนี้ เฮอร์มีสมักคิดว่าตนเองมีบทบาทที่เหนือกว่าเทพเจ้าองค์อื่น

วันหนึ่ง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเหล่ามนุษย์มองเขาเช่นไร เฮอร์มีสจึงแปลงร่างเป็นมนุษย์และเดินทางลงมายังโลก ในขณะเดินทางไปตามถนนสายเล็ก ๆ เฮอร์มีสเห็นร้านของประติมากร แกะสลักรูปปั้นที่เต็มไปด้วยรูปปั้นเทพเจ้า เขารู้สึกสนใจและตัดสินใจเดินเข้าไป

ภายในร้านเต็มไปด้วยรูปปั้นแกะสลักของเหล่าเทพที่งดงาม แต่ละองค์ตั้งอยู่บนแท่นหินอย่างสง่างาม เฮอร์มีสเริ่มสำรวจรอบ ๆ และมองเห็นรูปปั้นของเทพซุส เทพเจ้าสูงสุดของโอลิมปัส รูปปั้นของซุสมีท่าทางทรงอำนาจ มือหนึ่งถือสายฟ้า อีกมือยกขึ้นราวกับกำลังปกป้องโลก

เฮอร์มีสเดินเข้าไปใกล้และสังเกตป้ายราคาที่ติดอยู่ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นราคาที่ต่ำกว่าที่เขาคาด “เทพซุส เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา มีราคาต่ำเพียงนี้เชียวหรือ?” เฮอร์มีสพึมพำกับตัวเอง

จากนั้นเขาเดินไปยังรูปปั้นของเทพีเฮรา ราชินีแห่งเหล่าเทพ รูปปั้นของเฮรามีความงดงามและเปี่ยมไปด้วยความสง่าผ่าเผย ราคาที่ติดไว้สูงกว่าของซุสเล็กน้อย แต่ก็ยังต่ำกว่าที่เฮอร์มีสคาดไว้ “แปลกนัก ทำไมรูปปั้นของราชินีเฮราถึงมีราคาสูงกว่าเทพซุสเล็กน้อยเท่านั้น?”

ในที่สุด เขาก็เดินไปยังมุมหนึ่งของร้าน ที่นั่นมีรูปปั้นของเขาเอง รูปปั้นของเฮอร์มีส เทพแห่งการค้าและโชคลาภ รูปปั้นของเขามีท่าทางคล่องแคล่ว ถือคทาในมือ และมีปีกเล็ก ๆ ติดอยู่บนรองเท้า เฮอร์มีสยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ “แน่นอน รูปปั้นของข้าจะต้องมีราคาสูงกว่านี้ เพราะข้าเป็นเทพที่มนุษย์พึ่งพาในชีวิตประจำวันมากที่สุด”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับประติมากร 2

เขาหันไปหาช่างแกะสลักที่กำลังขัดเงารูปปั้นอยู่ และถามด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ข้าสนใจจะรู้ว่ารูปปั้นนี้ขายในราคาเท่าใด?”

ช่างแกะสลักเงยหน้าขึ้นและยิ้มเล็กน้อย “โอ้ รูปปั้นนี้หรือ? หากท่านซื้อรูปปั้นของซุสและเฮรา ข้าจะแถมรูปปั้นนี้ให้ฟรีเลย!”

เฮอร์มีสรู้สึกตกใจและพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ทำไมเจ้าจึงตั้งราคามันต่ำเช่นนี้? ข้าคือเฮอร์มีส เทพแห่งโชคลาภและการค้า! เจ้าคิดว่าข้าไม่มีคุณค่าเพียงพอหรือ?”

ช่างแกะสลักหัวเราะเบา ๆ และตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่ได้ตั้งราคาตามความสำคัญของเทพเจ้า ข้าตั้งราคาตามความต้องการของลูกค้า และข้าต้องยอมรับว่า มนุษย์ไม่ค่อยต้องการรูปปั้นของเฮอร์มีสสักเท่าไร”

เฮอร์มีสเงียบไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกอับอายและโกรธในเวลาเดียวกัน แต่เขาก็ไม่อาจโต้แย้งคำพูดของช่างแกะสลักได้

ก่อนที่เขาจะเดินออกจากร้าน เขาหันกลับมาพูดเบา ๆ “บางทีข้าควรกลับไปพิจารณาตัวเองใหม่ ข้าคิดว่ามนุษย์ชื่นชมข้า แต่ดูเหมือนว่าข้าประเมินตัวเองสูงเกินไป”

เฮอร์มีสเดินออกจากร้านด้วยความรู้สึกอ่อนน้อมลงกว่าเดิม และตระหนักว่าความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงไม่ได้มาจากการประเมินค่าตนเองสูงเกินไป แต่คือการเข้าใจในคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับประติมากร 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การประเมินค่าตนเองสูงเกินไปอาจนำไปสู่ความผิดหวังเมื่อเผชิญกับความเป็นจริง ความหยิ่งผยองไม่ได้ทำให้ผู้อื่นยอมรับหรือเห็นคุณค่าในตัวเรา สิ่งสำคัญคือการมองตัวเองอย่างเหมาะสม เข้าใจคุณค่าแท้จริงของตัวเอง และถ่อมตัวเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับประติมากร (อังกฤษ: Hermes and the sculptor) นิทานเรื่องนี้ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 88 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) และกลายเป็นเรื่องโปรดในยุโรปตั้งแต่ยุคเรเนซองส์

นิทานนี้มุ่งวิพากษ์ความหลงตัวเอง โดยทั่วไป และเล่าถึงการที่เฮอร์มีส แปลงร่างเป็นมนุษย์เพื่อเยี่ยมช่างแกะสลักรูปปั้น เมื่อพบว่ารูปปั้นของซุส เทพเจ้าสูงสุดถูกตั้งราคาต่ำ และรูปปั้นของเฮรา ราชินีของเทพเจ้า มีราคาสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย เฮอร์มีสรู้สึกมั่นใจว่ารูปปั้นของตนเองซึ่งเป็นผู้นำสารของเหล่าเทพ จะต้องมีราคาสูงกว่านั้น แต่เมื่อเขาถามถึงราคาของรูปปั้นเฮอร์มีส ช่างแกะสลักกลับตอบว่า “ถ้าท่านซื้อรูปปั้นสองอันนั้น ข้าจะแถมรูปปั้นนี้ให้ฟรีเลย!”

นิทานนี้สามารถใช้กับคนหลงตัวเองที่ไม่ได้รับการยกย่องใด ๆ จากผู้อื่น และเป็นคำเตือนเกี่ยวกับการประเมินค่าตนเองสูงเกินไป และแสดงให้เห็นว่าความหยิ่งผยองมักถูกมองข้ามหรือไม่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องงูในพุ่มไม้หนาม

ในโลกที่ทุกสิ่งล้วนส่งผลกลับมาจากการกระทำของเราเอง บางครั้งผู้ที่เลือกเส้นทางผิดหรือทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อาจต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่ยากลำบาก

เช่นเดียวกับงูเจ้าเล่ห์ที่ใช้ชีวิตทำร้ายผู้อื่น และเมื่อถึงเวลาที่มันต้องการที่พึ่ง มันกลับเลือกสิ่งที่อันตรายจนต้องพบจุดจบที่เลวร้าย เรื่องราวนี้จะพาเราไปเรียนรู้บทเรียนสำคัญกับนิทานอีสปเรื่องงูกับพุ่มหนาม

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องงูในพุ่มไม้หนาม

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องงูในพุ่มไม้หนาม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าแห่งหนึ่งใกล้แม่น้ำ มีงูตัวหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในหมู่สัตว์ว่าเจ้าเล่ห์และอันตราย มันมักทำร้ายและหลอกลวงสัตว์อื่นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่สนใจความเดือดร้อนที่ตามมา

วันหนึ่ง ขณะที่กระต่ายน้อยกำลังกินหญ้าอยู่ใกล้ริมป่า งูเลื้อยเข้าไปหาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กระต่ายน้อย ข้าเห็นว่าข้างูตัวหนึ่งที่อันตรายมาก มันอยู่ใกล้ที่นี่ เจ้าควรหนีไปเสียก่อนที่มันจะเจอเจ้า”

กระต่ายได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกลัว มันรีบวิ่งหนีไปในทันที ทิ้งร่องรอยอาหารไว้เบื้องหลัง งูหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกินอาหารที่กระต่ายทิ้งไว้จนหมด “ข้าไม่ต้องออกแรงหาอาหารเอง แค่พูดจาหว่านล้อมเล็กน้อย ทุกอย่างก็เป็นของข้า” งูพึมพำกับตัวเอง

มันไม่เพียงแต่หลอกลวงสัตว์ตัวเล็กเท่านั้น แต่ยังบุกเข้าไปในโพรงของสัตว์อื่นเพื่อขโมยอาหาร และเคยฉกสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งจนเจ็บหนักเมื่อถูกขัดขวาง “โลกนี้มีไว้สำหรับผู้ที่แข็งแรงกว่า” งูเคยพูดเช่นนี้เมื่อสัตว์อื่นต่อว่ามัน

ฤดูฝนมาถึง ฝนตกหนักและแม่น้ำเริ่มล้นตลิ่ง น้ำไหลบ่าท่วมทุ่งและป่า งูตัวนั้นซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ริมฝั่งเริ่มตระหนักว่าตนเองตกอยู่ในอันตราย “น้ำกำลังมา ข้าต้องหาที่พึ่งก่อนที่จะถูกพัดไป” งูพูดด้วยความหวาดกลัว

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องงูในพุ่มไม้หนาม 2

มันเลื้อยไปตามพื้นดินที่ชุ่มน้ำ จนพบพุ่มหนามขนาดใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำ แม้พุ่มหนามจะดูไม่น่าไว้วางใจ แต่งูก็คิดว่ามันอาจช่วยให้รอดจากกระแสน้ำเชี่ยวกราก “ข้าไม่มีทางเลือก ที่นี่คือที่เดียวที่ข้าจะเกาะไว้ได้” งูพูด ก่อนจะเลื้อยเข้าไปพันรอบพุ่มหนาม

ทันทีที่มันเลื้อยเข้าไป หนามแหลมของพุ่มหนามก็ตำเข้าไปในเกล็ดและร่างกายของงู มันร้องด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย! ทำไมพุ่มหนามถึงทำเช่นนี้ ข้ามาหลบภัยแท้ ๆ”

กระแสน้ำยังคงเพิ่มสูงขึ้นจนพุ่มหนามถูกพัดหลุดออกจากดิน งูและพุ่มหนามลอยไปตามกระแสน้ำ งูพยายามดิ้นรนเพื่อหลุดจากหนามที่เกี่ยวร่างกายของมัน แต่ยิ่งดิ้น หนามก็ยิ่งทิ่มลึกลง

ระหว่างนั้น สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งที่เคยถูกงูหลอกลวงยืนมองอยู่บนฝั่ง มันเห็นภาพนั้นและหัวเราะเยาะ “ดูสิ! เจ้าผู้ชั่วร้ายกำลังลอยไปพร้อมกับพุ่มหนามอันแหลมคม เจ้าสมควรแล้วที่ต้องพบจุดจบเช่นนี้”

งูได้ยินเสียงเยาะเย้ยก็โกรธและตอบกลับ “เจ้าไม่มีสิทธิ์หัวเราะ! ข้ากำลังพยายามเอาชีวิตรอด!”

สุนัขจิ้งจอกส่ายหัวและพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เจ้าคิดผิดไป งูเอ๋ย พุ่มหนามนั้นก็เหมือนตัวเจ้า มันเต็มไปด้วยอันตรายและทำร้ายผู้อื่นเสมอ ตอนนี้เจ้ากับมันจึงเหมาะสมกันอย่างยิ่ง ข้าขอให้เจ้าลอยไปพร้อมกับความทุกข์ที่สมควรได้รับ!”

งูดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ แต่มันไม่อาจเอาชนะกระแสน้ำและหนามแหลมได้ สุดท้าย งูและพุ่มหนามถูกพัดลอยไปในแม่น้ำและหายไปในกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องงูในพุ่มไม้หนาม 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนชั่วมักพบจุดจบที่เลวร้ายจากการกระทำของตนเอง และการคบค้าหรือพึ่งพาสิ่งที่ไม่เหมาะสมย่อมนำไปสู่ความทุกข์ยากในที่สุด การเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องและคบหาสิ่งที่เหมาะสมเป็นหนทางสู่ชีวิตที่ปลอดภัยและสงบสุข

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องงูในพุ่มไม้หนาม (อังกฤษ: The Snake in the Thorn Bush) เป็นนิทานหายากที่มีต้นกำเนิดจากกรีก โดยมีเรื่องเล่าคล้ายคลึงกันในแถบเอเชียตะวันตก นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 96 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) ในแหล่งข้อมูลภาษากรีก งูที่เลื้อยพันอยู่ในพุ่มหนามถูกน้ำท่วมพัดไป และถูกสุนัขจิ้งจอกเยาะเย้ยด้วยคำพูดว่า “เรือชั่วร้าย พร้อมกับลูกเรือที่สมควรกัน!”

“คนชั่วมักพบจุดจบอันเลวร้ายจากการคบค้าสมาคมกับคนชั่วด้วยกัน”

ในเวอร์ชันของเอเชียตะวันตกที่ปรากฏในเรื่อง Ahikar นักปราชญ์ได้ตำหนิหลานชายบุญธรรมของเขาที่ตอบแทนความดีด้วยความชั่ว โดยกล่าวว่า: “เจ้าก็เหมือนงูที่เลื้อยพันอยู่ในพุ่มหนามแล้วตกลงไปในแม่น้ำ หมาป่าตัวหนึ่งเห็นและพูดว่า: ‘ดูสิ ความชั่วร้ายอยู่บนความชั่วร้าย และสิ่งชั่วร้ายคือสิ่งที่พัดพาพวกมันไป'”

ในเวอร์ชันภายหลังที่น่าเชื่อถือน้อยกว่า งูกลับกล่าวตำหนิหมาป่าสำหรับสัตว์ที่มันจับกิน ทำให้นิทานเรื่องนี้กลายเป็นนิทานในรูปแบบ “ว่าคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่า” (Pot calling the kettle black) แทนที่จะเป็นนิทานเกี่ยวกับผลของการคบหาคนชั่วร้าย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องงูกับชาวนา

ในโลกที่เต็มไปด้วยความสัมพันธ์ระหว่างกัน บางครั้งความผิดพลาดหรือการกระทำที่รุนแรงอาจนำไปสู่ความสูญเสียและความเจ็บปวดที่ยากจะลืมเลือน เช่นเดียวกับเรื่องราวของชาวนาผู้โศกเศร้าและงูที่เต็มไปด้วยบาดแผลในใจ

ทั้งสองต่างถูกเชื่อมโยงด้วยเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต แต่กลับทำให้ไม่อาจคืนดีกันได้ เรื่องราวนี้จะพาเราไปสำรวจผลของความเกลียดชังและความพยายามที่จะลบเลือนความเจ็บปวดกับนิทานอีสปเรื่องงูกับชาวนา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องงูกับชาวนา

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องงูกับชาวนา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็ก ๆ มีชาวนาผู้ขยันขันแข็งอาศัยอยู่กับครอบครัวเล็ก ๆ ของเขา ในบ้านเรียบง่ายริมทุ่งนา ชาวนากับครอบครัวใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่มีงูตัวหนึ่งที่มักเลื้อยมาอยู่ใกล้ประตูหน้าบ้าน งูตัวนั้นไม่เคยแสดงท่าทีดุร้ายต่อคนในบ้าน ชาวนาเห็นมันบ่อยครั้งก็คิดว่ามันคงไม่มีพิษภัยอะไร

วันหนึ่งในช่วงเช้าของฤดูใบไม้ผลิ ลูกชายตัวเล็กของชาวนากำลังวิ่งเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้าน เขาวิ่งไปหยุดใกล้ ๆ กับงูที่นอนขดตัวอยู่โดยไม่ได้สังเกต เมื่อเด็กชายก้าวเท้าเข้าใกล้ งูตกใจและพุ่งฉกเข้าที่เท้าของเขา

เด็กชายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงกับพื้น ภรรยาของชาวนาได้ยินเสียงก็รีบวิ่งออกมาดู แต่ก็สายเกินไป พิษของงูร้ายแรงเกินกว่าที่ใครจะช่วยได้ เด็กชายสิ้นใจในเวลาไม่นาน

เสียงร้องไห้ของแม่ดังก้องไปทั่วบ้าน ชาวนารีบกลับมาพบภรรยานั่งกอดร่างไร้ลมหายใจของลูกชาย เขารู้สึกโกรธแค้นงูอย่างสุดหัวใจ ความเศร้าโศกเปลี่ยนเป็นความโกรธทันที “มันต้องชดใช้สิ่งที่มันทำ ข้าจะฆ่ามันด้วยมือของข้าเอง!” ชาวนาคำราม

เขาคว้าขวานประจำตัวและวิ่งออกไปตามหางู งูที่เพิ่งฉกลูกชายของชาวนาหนีไปซ่อนตัวในพุ่มไม้ ชาวนาเห็นร่องรอยของมันจึงรีบวิ่งตาม เมื่อเขาพบงู เขาเงื้อขวานขึ้นสุดแรงหวังจะฟันให้มันตายทันที

แต่เมื่อขวานฟันลง มันพลาดเป้าหมาย งูเลื้อยหนีทันก่อนที่คมขวานจะถึงตัว มีเพียงปลายหางของงูที่ถูกฟันขาด งูร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดและรีบเลื้อยหนีไปซ่อนตัวอยู่ในซอกหิน

ชาวนายืนมองขวานในมือด้วยความหงุดหงิด “มันยังไม่ตาย ข้าต้องหามันให้เจอ ข้าจะไม่หยุดจนกว่ามันจะจบสิ้น!”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องงูกับชาวนา 2

หลายวันผ่านไป ชาวนาพยายามหางูตัวนั้น แต่ก็ไม่พบ ทุกครั้งที่เขาเดินผ่านหลุมศพลูกชาย ความเศร้าโศกก็ท่วมท้นจิตใจ แต่ไม่นาน ความโกรธแค้นของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความสับสนและเสียใจ

“ข้าทำอะไรลงไป? ข้าควรจะจัดการเรื่องนี้ให้จบอย่างสันติหรือไม่?” เขาพูดกับตัวเองในค่ำคืนหนึ่ง

ในที่สุด เขาตัดสินใจว่าจะพยายามคืนดีกับงูเพื่อให้เรื่องทั้งหมดจบลง เขานำขนมปัง น้ำ น้ำผึ้ง และเกลือ พร้อมไปยังซอกหินที่งูซ่อนตัวอยู่ เขาวางของเหล่านั้นลงใกล้ปากทางเข้าและร้องเรียกงูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ออกมาเถอะ งู ข้ามาขอคืนดีกับเจ้า เราจงอยู่อย่างสงบสุขกันเถอะ ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าอีก”

งูที่ซ่อนตัวอยู่ส่งเสียงขู่เบา ๆ ก่อนจะเลื้อยออกมาเล็กน้อย ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความระแวง มันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มนุษย์เอ๋ย อย่าได้พยายามอีกเลย ไม่มีทางที่เราจะเป็นมิตรกันได้อีก ทุกครั้งที่ข้ามองปลายหางของตัวเอง ข้าก็ยังเจ็บปวด และเช่นเดียวกันกับเจ้า ทุกครั้งที่เจ้ามองหลุมศพของลูกชาย เจ้าย่อมไม่มีวันให้อภัยข้าได้ เราอย่าได้มาพบกันอีกเลย”

คำพูดของงูทำให้ชาวนานิ่งไป เขารู้ว่าสิ่งที่มันพูดนั้นจริง ทุกครั้งที่เขามองหลุมศพลูกชาย ภาพแห่งความเจ็บปวดจะกลับมา และงูก็ไม่อาจลืมความเจ็บปวดที่เขาเคยทำร้ายมันได้

ชาวนากลับบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เขาเข้าใจแล้วว่า ความสูญเสียและความเกลียดชังที่ฝังลึกในใจของทั้งสองฝ่ายทำให้ไม่มีวันคืนดีกันได้

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องงูกับชาวนา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความเจ็บปวดและความเกลียดชังที่ยังฝังลึกในใจ ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการคืนดีและการให้อภัย แม้เราจะพยายามลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ตราบใดที่ยังมีสิ่งเตือนใจถึงความสูญเสีย ความสงบสุขระหว่างกันก็อาจไม่อาจเกิดขึ้นได้ การให้อภัยเป็นสิ่งสำคัญ แต่การลืมความเจ็บปวดในอดีตนั้นต้องการเวลาและความตั้งใจจากทั้งสองฝ่าย

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องงูกับชาวนา (อังกฤษ: The Snake and the Farmer) เป็นนิทานที่เชื่อว่าเป็นของอีสป ซึ่งมีทั้งเวอร์ชันโบราณและเวอร์ชันที่พัฒนาขึ้นในยุโรปและอินเดียตั้งแต่ยุคกลาง นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 51 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) โดยมีธีมหลักคือ “มิตรภาพที่แตกหักไม่อาจเยียวยาได้”

ไม่มีใครสามารถละทิ้งความเกลียดชังหรือการแก้แค้นได้ ตราบใดที่ยังมีสิ่งเตือนใจถึงความเจ็บปวดที่เขาเคยเผชิญ

แม้ว่านิทานนี้จะยอมรับถึงความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับงู แต่ในนิทานเรื่องอื่นที่มีชื่อคล้ายกันอย่างชาวนากับงูเห่า กลับปฏิเสธความเป็นไปได้นั้นโดยสิ้นเชิง

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องงูกับปู

ในโลกที่เต็มไปด้วยความสัมพันธ์และมิตรภาพ การซื่อสัตย์ต่อผู้อื่นและต่อตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่บางครั้ง การเปลี่ยนแปลงตัวตนเพื่อสิ่งที่ดีกว่าก็เป็นเรื่องยากสำหรับบางคน

เช่นเดียวกับงูเจ้าเล่ห์ที่แม้จะได้รับโอกาสจากปูผู้ซื่อสัตย์ แต่นิสัยเดิม ๆ กลับนำพามันไปสู่จุดจบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง เรื่องราวนี้จะพาเราไปพบกับบทเรียนสำคัญกับนิทานอีสปเรื่องงูกับปู

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องงูกับปู

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องงูกับปู

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าเขตร้อนอันร่มรื่น มีงูตัวหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วในเรื่องนิสัยเจ้าเล่ห์และหลอกลวง มันมีชื่อเสียงในทางลบจนไม่มีสัตว์ตัวใดอยากเข้าใกล้หรือไว้ใจมัน แม้แต่สัตว์ที่เคยถูกมันหลอกต่างก็เตือนลูกหลานของพวกมันให้ระวังตัว

วันหนึ่ง งูรู้สึกโดดเดี่ยว มันเริ่มตระหนักว่าไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับมัน “ข้าแค่ทำในสิ่งที่ข้าถนัด แล้วทำไมพวกสัตว์อื่น ๆ ถึงเกลียดข้า?” งูบ่นพึมพำขณะเลื้อยไปตามทาง

ขณะนั้นเอง มันได้พบกับปูตัวหนึ่งที่กำลังเดินอย่างสงบอยู่ริมลำธาร ปูตัวนี้เป็นที่รู้จักในเรื่องความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา งูรู้สึกว่าปูอาจเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับมัน

งูเลื้อยเข้าไปใกล้และพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “สวัสดีเจ้าปู ข้าไม่เคยเห็นเจ้าอยู่ในป่านี้มาก่อน เจ้าคงมาจากที่อื่นใช่ไหม?”

ปูเงยหน้ามองงูด้วยความสงสัย “ใช่ ข้ามาจากลำธารอีกฝั่ง ข้ากำลังหาอาหารอยู่ที่นี่ แต่ข้ารู้จักเจ้าดีนะ งู เจ้าคือผู้ที่สัตว์อื่น ๆ ต่างพูดถึงในเรื่องนิสัยเจ้าเล่ห์”

งูรีบตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าอาจเคยทำผิดในอดีต แต่ข้าอยากเริ่มต้นใหม่ ข้าเหนื่อยกับการไม่มีใครไว้ใจและไม่มีเพื่อน ข้าเห็นว่าเจ้าดูซื่อสัตย์และเป็นสัตว์ที่น่าเคารพ ข้าจึงอยากขอให้เราเป็นเพื่อนกัน”

ปูนิ่งคิดก่อนตอบ “ข้าจะให้โอกาสเจ้า แต่เจ้าต้องพิสูจน์ว่าเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้”

งูพยักหน้าด้วยความดีใจ “ข้าสัญญา! ข้าจะไม่ทำตัวเหมือนเดิมอีก ข้าจะเป็นงูที่ซื่อสัตย์”

ตั้งแต่นั้นมา งูและปูก็กลายเป็นเพื่อนกัน ปูมักให้คำแนะนำที่ดีแก่เพื่อนใหม่ของมัน “เจ้าต้องจำไว้นะเจ้างู ความซื่อสัตย์คือสิ่งที่ทำให้เจ้าได้รับความไว้วางใจ และถ้าเจ้ามีความจริงใจ เจ้าจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องงูกับปู 2

งูพยายามทำตัวดีในช่วงแรก มันหยุดหลอกลวงสัตว์อื่น ๆ และเริ่มมีสัตว์บางตัวเข้ามาใกล้ แต่ไม่นาน นิสัยเดิม ๆ ของงูก็กลับมาอีกครั้ง มันเริ่มหลอกลวงสัตว์ตัวเล็ก ๆ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

วันหนึ่ง ปูสังเกตเห็นงูกำลังหลอกล่อกระรอกน้อยให้เข้าไปในรังของมันเพื่อจะจับกิน ปูรู้สึกผิดหวังอย่างมาก มันเดินเข้าไปหาเพื่อนของมันและถามว่า “เจ้างู เจ้าเคยสัญญากับข้าว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ตอนนี้เจ้ากลับทำในสิ่งเดิมอีกครั้ง เจ้าคิดว่าข้าจะรู้สึกอย่างไร?”

งูหัวเราะเบา ๆ และตอบ “เจ้าปู ข้าคิดว่าเจ้าควรยอมรับในสิ่งที่ข้าเป็น นี่คือนิสัยของข้า ข้าเปลี่ยนมันไม่ได้ และข้าก็ไม่คิดว่าข้าจะต้องเปลี่ยนด้วย”

ปูฟังคำพูดนั้นด้วยความผิดหวังอย่างรุนแรง มันมองเพื่อนของมันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถ้าเจ้าไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ข้าก็ไม่อาจทนดูพฤติกรรมของเจ้าอีกต่อไป”

ในขณะที่งูกำลังเผลอ ปูใช้ก้ามหนีบร่างของงูแน่น งูดิ้นรนและพยายามหนี แต่ปูไม่ปล่อย “นี่คือบทเรียนสำหรับเจ้า” ปูกล่าว “เจ้าเลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลง และเจ้ายังคงหลอกลวงผู้อื่น นี่คือผลลัพธ์ของการกระทำของเจ้า”

งูสิ้นใจด้วยก้ามของปูที่หนีบมันไว้แน่น แล้วทิ้งท้ายไว้ว่า “การใช้ชีวิตอย่างคดเคี้ยวจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเจ้าเองในที่สุด เจ้าควรเรียนรู้ที่จะซื่อสัตย์และเดินในทางที่ถูกต้อง” ด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องงูกับปู 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การไม่ซื่อสัตย์และการปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง จะนำไปสู่ความสูญเสียและจุดจบที่เลวร้ายในที่สุด ความสัมพันธ์ที่แท้จริงและยั่งยืนต้องสร้างขึ้นบนพื้นฐานของความจริงใจ และการแก้ไขข้อผิดพลาดในตนเองคือกุญแจสำคัญในการได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องงูกับปู (อังกฤษ: The Snake and the Crab) ในกรีกโบราณมีความหมายเทียบเท่ากับสำนวนในปัจจุบันว่า “ว่าคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่า” (Pot calling the kettle black) ต่อมา นิทานเรื่องนี้ได้รับการสร้างขึ้นโดยเชื่อมโยงกับชื่อของอีสป โดยเล่าถึงพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งสอง และต่อมายังมีนิทานอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับปูกับลูกของมัน ซึ่งพัฒนาในภายหลังเพื่อสื่อสารข้อคิดในลักษณะเดียวกัน

การกล่าวถึงงูกับปู ครั้งแรกปรากฏในบทเพลงดื่มฉลองซึ่งย้อนไปถึงปลายศตวรรษที่ 6 หรือต้นศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช โดยมีเนื้อความว่า:

“ปูกล่าวขณะที่ใช้ก้ามจับงูไว้ ‘เพื่อนร่วมทางควรเป็นคนตรง และไม่ควรมีความคิดที่คดโกง'”

เนื่องจากการเคลื่อนไหวของทั้งงูและปูไม่ตรงไปตรงมา การกล่าวนี้จึงเทียบได้กับสำนวน “ว่าคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่า” (Pot calling the kettle black)

นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 196 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) โดยงูและปูเคยเป็นเพื่อนกัน แต่เมื่อปูแนะนำให้งูดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์และงูไม่ปฏิบัติตาม ปูจึงฆ่างู งูตัวแข็งทื่อในขณะที่ตาย ปูจึงกล่าวว่า “หากเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก เจ้าก็คงไม่ต้องตาย”

นิทานนี้ปรากฏเฉพาะในแหล่งข้อมูลภาษากรีกจนกระทั่งถูกบรรจุในชุดนิทานของยุโรปในยุคเรเนซองส์ ในอังกฤษโรเจอร์ เลสเตรนจ์ (Roger L’Estrange) และซามูเอล ครอกซอล (Samuel Croxall) ได้บันทึกนิทานนี้ไว้ โดยแสดงให้เห็นว่าปูเป็นตัวแทนของความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา พร้อมทั้งสอนข้อคิดว่า “จงมีพฤติกรรมที่ตรงไปตรงมาและระวังการคบหากับผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์”

พฤติกรรมเสแสร้ง สู่การเป็นบทเรียนเกี่ยวกับ ความตรงไปตรงมาและความซื่อสัตย์ในมิตรภาพ ผู้ที่ปฏิบัติต่อเพื่อนด้วยความหลอกลวง สุดท้ายแล้วมักจะทำร้ายตัวเอง

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวป่วย

ในโลกนี้ ทุกการกระทำล้วนมีผลสะท้อนกลับ ไม่ว่าจะเป็นความดีหรือความผิด หากเราใช้ชีวิตโดยไม่เคารพต่อสิ่งที่ควรค่าแก่การเคารพ หรือทำลายสิ่งสำคัญโดยไม่คิดถึงผลลัพธ์ วันหนึ่งเมื่อเราต้องการความช่วยเหลือ ผลของการกระทำเหล่านั้นอาจย้อนกลับมาหาเรา

เช่นเดียวกับเรื่องราวของเหยี่ยวผู้แข็งแรงและหยิ่งผยอง ที่ต้องเผชิญกับผลของการกระทำในอดีตเมื่อมันป่วยหนักและใกล้หมดหวัง ติดตามบทเรียนสำคัญนี้กับนิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวป่วย

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวป่วย

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวป่วย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มีเหยี่ยวตัวหนึ่งที่แข็งแรงและดุดัน มันบินร่อนด้วยความหยิ่งผยอง มองสิ่งรอบตัวด้วยสายตาที่มองว่าทุกสิ่งคือสมบัติของมัน เหยี่ยวตัวนี้มีนิสัยชอบขโมยอาหารและของเซ่นไหว้จากศาลเจ้าและแท่นบูชา มันไม่เคยสนใจว่าอาหารเหล่านั้นถูกจัดเตรียมไว้เพื่อเทพเจ้า หรือว่าการขโมยของเหล่านั้นจะทำให้ผู้อื่นเสียใจ

“ทำไมข้าต้องใส่ใจ?” เหยี่ยวพูดกับตัวเองขณะบินกลับจากศาลเจ้าพร้อมกับอาหารที่มันเพิ่งขโมยมา “ของพวกนี้ก็แค่วางไว้เปล่า ๆ ข้าก็แค่เอามาใช้เอง ใครจะเดือดร้อน?”

หลายปีผ่านไป เหยี่ยวยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม จนกระทั่งวันหนึ่ง มันล้มป่วยอย่างหนัก มันเริ่มรู้สึกอ่อนแรงจนไม่สามารถบินได้เหมือนเคย ร่างกายของมันสั่นสะท้านจากไข้ที่ไม่ยอมหาย

“ข้าจะต้องไม่เป็นอะไร” มันบอกกับตัวเองในวันแรกที่ป่วย “ข้าแข็งแรงจะตาย ไม่มีอะไรทำร้ายข้าได้”

แต่วันแล้ววันเล่า อาการของมันกลับแย่ลง มันไม่สามารถหาอาหารเองได้และต้องพึ่งพาแม่ของมัน

“แม่ ข้าต้องการให้ท่านช่วย” เหยี่ยวพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าป่วยหนักและข้ารู้สึกว่าข้าอาจจะตาย หากไม่มีสิ่งใดช่วยข้า”

แม่ของมันซึ่งดูแลลูกด้วยความรักแม้จะผิดหวังในพฤติกรรมของลูกมาโดยตลอด ก้มลงใกล้และถามว่า “แล้วเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรเพื่อลูกของข้า?”

เหยี่ยวมองแม่ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวัง “แม่ได้โปรด ไปอธิษฐานที่ศาลเจ้า เทพเจ้าอาจช่วยข้าหายจากความเจ็บป่วย หากท่านขอร้องด้วยความตั้งใจ”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวป่วย 2

แม่ของมันฟังคำพูดนั้นด้วยความปวดใจ เธอถอนหายใจและตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลูกของข้า ข้าจะทำตามคำขอของเจ้า แต่ข้าเกรงว่ามันจะไร้ผล”

เหยี่ยวมองแม่ด้วยความสับสน “ทำไมแม่ถึงพูดเช่นนั้น? เทพเจ้าย่อมมีเมตตาต่อทุกคนมิใช่หรือ?”

แม่ของมันส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “เทพเจ้าอาจมีเมตตา แต่เจ้าลูกของข้า เจ้าคิดหรือว่าเทพเจ้าจะฟังคำอธิษฐานของเรา ในเมื่อเจ้าคือผู้ที่ขโมยของเซ่นไหว้ของพวกเขา เจ้าคือผู้ที่ทำลายแท่นบูชา เจ้าคือผู้ที่ไม่เคยแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์”

เหยี่ยวเงียบไป มันเริ่มนึกถึงสิ่งที่มันทำมาตลอดชีวิต มันจำได้ว่าเคยบินไปขโมยอาหารจากศาลเจ้า เคยทำลายเครื่องสักการะเพื่อความสนุกของมันเอง

“แต่ข้าต้องการโอกาส…” เหยี่ยวพูดเบา ๆ “ข้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง หากข้ารอดจากความป่วยไข้นี้”

แม่ของมันส่ายหน้า “บางครั้งการเปลี่ยนแปลงตัวเองอาจมาช้าเกินไป ลูกเอ๋ย สิ่งที่เจ้าทำไว้ในอดีตส่งผลต่อสิ่งที่เจ้าต้องเผชิญในปัจจุบัน เจ้าควรคิดถึงสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ก่อนที่เจ้าจะป่วย”

ไม่นานหลังจากนั้น เหยี่ยวก็ไม่อาจทนทานต่อความป่วยไข้ได้อีกต่อไป มันสิ้นลมหายใจบนรังของมันเอง ปล่อยให้บทเรียนของมันกลายเป็นสิ่งเตือนใจสำหรับผู้ที่ยังมีโอกาสแก้ไขการกระทำของตน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวป่วย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การกระทำในอดีตย่อมส่งผลต่ออนาคต หากเราใช้ชีวิตด้วยการไม่เคารพผู้อื่น ไม่สนใจสิ่งที่ถูกต้อง หรือทำลายสิ่งที่สมควรเคารพ เราอาจไม่ได้รับความช่วยเหลือในยามที่ต้องการ การทำความดีและการเคารพในสิ่งที่สมควรเป็นสิ่งสำคัญที่ควรยึดมั่น เพราะมันคือรากฐานของความเมตตาและการสนับสนุนที่จะกลับคืนมาหาเราในยามจำเป็น

หากใครคนหนึ่งกล่าวหมิ่นประมาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอ เขาควรคาดหวังอะไรในยามที่ต้องเผชิญความลำบาก?

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวป่วย (อังกฤษ: The Sick Kite) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 324 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้มีเวอร์ชันภาษากรีกที่เล่าถึงอีกา ในขณะที่เวอร์ชันภาษาละตินยุคกลางใช้ตัวละครเป็นเหยี่ยว

เหยี่ยวตัวหนึ่งป่วยหนักและต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อไม่เหลือความหวังที่จะฟื้นคืนจากความเจ็บป่วย มันจึงร้องไห้ขอให้แม่ของมันเดินไปยังศาลเจ้าแห่งต่างๆ และตั้งจิตอธิษฐานอย่างยิ่งใหญ่เพื่อให้มันหายป่วย แม่ของมันตอบว่า “ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการ ลูกของข้า แต่ข้ากลัวว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ ข้ารู้สึกหวาดกลัวและกังวล เจ้าลูกของข้า เพราะเจ้าปล้นสะดมวัดวาอารามทั้งหมด ทำลายล้างแท่นบูชา และไม่เคยแสดงความเคารพต่อเครื่องสักการะศักดิ์สิทธิ์เลย ข้าจะภาวนาอะไรให้เจ้าได้ในตอนนี้?”

นิทานเรื่องนี้เป็นคำเตือนถึงเหล่าอาชญากรที่กล้าเยี่ยมเยือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งที่ยังแบกบาปไว้เต็มตัว พวกเขาควรรีบทำความดีและพยายามลบล้างการกระทำอันชั่วร้ายของตนเองให้หมดไป

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องเซเทอร์กับนักเดินทาง

ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ ความอบอุ่นและที่พักพิงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่เดินทางไกล เช่นเดียวกับนักเดินทางคนหนึ่งที่หลงเข้าไปในป่าลึก เขาเหนื่อยล้าและหนาวเย็นจนแทบหมดแรง โชคดีที่เขาได้พบกับเซเทอร์ (เทพารักษ์ที่อยู่ในป่า, มีรูปร่างกึ่งคนกึ่งแพะ) สิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งแพะผู้ใจดี

แต่ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยความเมตตากลับจบลงด้วยความไม่ไว้ใจ เรื่องราวนี้จะพาเราไปสำรวจความซับซ้อนของพฤติกรรมและความไว้วางใจใน กับนิทานอีสปเรื่องเซเทอร์กับนักเดินทาง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเซเทอร์กับนักเดินทาง

นิทานอีสปเรื่องเซเทอร์กับนักเดินทาง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ มีนักเดินทางคนหนึ่งหลงอยู่ในป่าลึก เขาต้องเผชิญกับลมหนาวที่กัดผิวและหิมะที่ปกคลุมเส้นทางจนมองไม่เห็นทิศทาง ร่างกายของเขาอ่อนล้าจากการเดินทางหลายวันโดยไม่มีที่พักพิงหรืออาหาร ริมฝีปากของเขาสั่นสะท้าน มือของเขาเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง

ขณะที่นักเดินทางเดินสะโหลสะเหลอยู่ท่ามกลางหิมะ เขาเห็นเงาร่างหนึ่งอยู่ไกลออกไป มันคือเซเทอร์ ผู้พิทักษ์แห่งป่า สิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งแพะในตำนานกรีก เซเทอร์กำลังเดินสำรวจป่าพร้อมถือคบเพลิงในมือ เมื่อมันเห็นนักเดินทางที่ดูเหนื่อยล้าและหมดแรง เซเทอร์จึงรีบเดินเข้ามาหา

“เจ้าดูเหนื่อยล้าเหลือเกิน และอากาศก็หนาวจัดเช่นนี้ เจ้าคงไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ในสภาพนี้” เซเทอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาที่บ้านของข้าเถอะ ข้าจะให้ที่พักพิงและอาหารแก่เจ้า”

นักเดินทางที่สิ้นหวังรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง เขาพูดด้วยเสียงสั่น “ขอบคุณท่านมาก ข้าคงไม่รอดหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท่าน”

เซเทอร์พานักเดินทางไปยังบ้านของมัน ซึ่งตั้งอยู่ในโพรงไม้ใหญ่กลางป่า ภายในบ้านมีไฟที่จุดอยู่ในเตาผิงทำให้บรรยากาศอบอุ่น เซเทอร์จัดเตรียมที่นั่งและวางผ้าห่มหนา ๆ ให้กับนักเดินทาง

“มานั่งใกล้ ๆ ไฟนี้เสียเถอะ มันจะช่วยให้เจ้าอุ่นขึ้น ข้าจะไปเตรียมอาหารมาให้” เซเทอร์กล่าว

ขณะที่นักเดินทางนั่งอยู่ใกล้ไฟ เขายกมือขึ้นเป่าลมหายใจใส่ฝ่ามือ เซเทอร์สังเกตเห็นจึงถามด้วยความสงสัย “เจ้ากำลังทำอะไร?”

นักเดินทางตอบ “ข้ากำลังเป่ามือเพื่อให้มันอุ่นขึ้น อากาศข้างนอกหนาวจนมือของข้าชา”

เซเทอร์พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหันไปเตรียมอาหาร เมื่ออาหารร้อน ๆ พร้อมเสิร์ฟ เซเทอร์ยกชามซุปมาให้ “นี่คือซุปที่จะช่วยเติมพลังให้เจ้า รีบกินเสียเถิด”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเซเทอร์กับนักเดินทาง 2

นักเดินทางยกชามซุปขึ้นมา แต่ก่อนจะกิน เขาเป่าซุปในชามเพื่อให้มันเย็นลง เซเทอร์เห็นดังนั้นก็ถามอีกครั้ง “แล้วคราวนี้เจ้ากำลังทำอะไร?”

นักเดินทางยิ้มเล็กน้อยและตอบ “ซุปนี้ร้อนเกินไป ข้าจึงต้องเป่าเพื่อให้มันเย็นลง ข้าจะได้กินได้โดยไม่ลวกปาก”

ทันใดนั้น สีหน้าของเซเทอร์เปลี่ยนไป มันขมวดคิ้วและมองนักเดินทางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความระแวง มันวางมือบนโต๊ะและพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “เจ้าหมายความว่า เจ้าสามารถใช้ลมหายใจเดียวกัน ทั้งเพื่อให้อุ่นและให้เย็นได้งั้นหรือ?”

นักเดินทางพยักหน้า “ใช่ มันก็เป็นสิ่งที่ธรรมดา ข้าทำเพื่อปรับให้เหมาะกับสถานการณ์”

เซเทอร์ส่ายหัวและลุกขึ้นจากที่นั่ง มันชี้ไปที่ประตูและกล่าวอย่างเด็ดขาด “ข้าจะไม่ไว้ใจผู้ที่ใช้ลมหายใจเดียวกันเพื่อจุดประสงค์ที่ตรงข้ามกัน เจ้าจงออกไปเสียเถอะ! ข้าไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้ที่เปลี่ยนแปลงความตั้งใจของตนไปตามสถานการณ์ได้”

นักเดินทางตกใจและพยายามอธิบาย “แต่ท่าน ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำสิ่งใดที่ผิด ท่านก็เห็นว่าข้าแค่พยายามทำให้ตัวเองอยู่รอด…”

เซเทอร์ไม่ฟังและยืนกราน “ไม่ต้องพูดอะไรอีก ข้าไม่อาจเชื่อใจในตัวเจ้าได้ จงออกไปจากบ้านของข้าเดี๋ยวนี้!”

นักเดินทางไม่มีทางเลือก เขาจำใจลุกขึ้นและเดินออกจากบ้านของเซเทอร์ไป เขากลับไปเผชิญกับลมหนาวและหิมะอีกครั้ง คราวนี้นอกจากความหนาวเหน็บแล้ว หัวใจของเขายังรู้สึกเย็นชาเพราะคำปฏิเสธของเซเทอร์

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเซเทอร์กับนักเดินทาง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความไม่มั่นคงในตัวตนและการเปลี่ยนแปลงเจตนาไปตามสถานการณ์ อาจทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่ไว้วางใจและระแวงในความจริงใจของเรา ความชัดเจนและความสม่ำเสมอในพฤติกรรมคือสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ หากเราต้องการความไว้วางใจจากผู้อื่น เราต้องแสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่ในจุดยืนและความจริงใจของตัวเราเอง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องเซเทอร์กับนักเดินทาง (อังกฤษ: The Satyr and the Traveller) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 35 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

สุภาษิตยอดนิยม “to blow hot and cold” (เป่าลมหายใจทั้งร้อนและเย็น) เชื่อมโยงกับนิทานเรื่องนี้ และนิทานได้รับการตีความว่าเป็นคำเตือนเกี่ยวกับการกระทำที่ไม่จริงใจหรือสองหน้า

นิทานเรื่องนี้มีเวอร์ชันภาษากรีกและเวอร์ชันละตินยุคหลังโดยอาวิอานุส (Avianus) ในรูปแบบที่เป็นที่รู้จัก เซเทอร์หรือฟอนพบกับนักเดินทางที่หลงอยู่ในป่าท่ามกลางฤดูหนาวที่รุนแรง ด้วยความสงสาร เซเทอร์จึงเชิญนักเดินทางไปพักที่บ้านของเขา เมื่อชายคนนั้นเป่าลมหายใจบนมือของเขา เซเทอร์ถามว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ และรู้สึกประทับใจเมื่อชายคนนั้นบอกว่าเขาทำเพื่อให้มืออบอุ่น แต่เมื่อชายคนนั้นเป่าลมหายใจบนซุปเพื่อทำให้เย็นลง เซเทอร์ผู้ซื่อสัตย์แห่งป่ารู้สึกตกตะลึงในพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะขัดแย้ง และไล่นักเดินทางออกจากถ้ำของเขา

นิทานนี้สอนให้ระมัดระวังผู้ที่มีพฤติกรรมขัดแย้งในตัวเอง ซึ่งอาจสร้างความไม่ไว้วางใจและเป็นภัยต่อผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย

ในสวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งดอกไม้ที่มีสีสันสวยงามและดอกไม้ที่ยืนหยัดด้วยความเรียบง่าย แต่ละดอกต่างมีคุณค่าและบทบาทในแบบของตัวเอง ทว่าบางครั้ง ความแตกต่างเหล่านั้นกลับนำมาซึ่งความรู้สึกเปรียบเทียบและคำถามถึงคุณค่าของตนเอง

เช่นเดียวกับเรื่องราวของกุหลาบที่งดงามแต่เปราะบาง และต้นบานไม่รู้โรยที่เรียบง่ายแต่คงทน เรื่องราวของพวกเขาจะพาเราไปค้นพบความหมายของการยอมรับในตัวตนและบทบาทของตัวเอง ติดตามบทเรียนสำคัญนี้กับนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ สวนดอกไม้ที่งดงามที่สุดในเมือง มีพุ่มกุหลาบที่โดดเด่นที่สุดในสวน ดอกของมันมีสีแดงสดและกลิ่นหอมหวานที่สามารถทำให้ผู้คนหลงใหลได้ในทันที ทุกเช้า ผู้คนมักแวะเวียนมาชื่นชมกุหลาบ ดอกไม้ที่พวกเขามองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความงามและความสง่างาม

ใกล้ ๆ กับต้นกุหลาบ มีต้นบานไม่รู้โรยเล็ก ๆ เติบโตอยู่ แม้มันจะไม่มีสีสันที่สดใสหรือกลิ่นหอมเย้ายวน แต่ดอกของมันกลับคงทนและไม่เหี่ยวเฉา ไม่ว่าจะผ่านฤดูกาลใด

เช้าวันหนึ่ง ต้นบานไม่รู้โรยมองดูพุ่มกุหลาบที่เบ่งบานอย่างเต็มที่ มันอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชม “เจ้ากุหลาบ เจ้าช่างเป็นดอกไม้ที่งดงามเหลือเกิน! ดอกของเจ้ามีสีแดงสดและกลิ่นหอมที่ใคร ๆ ต่างหลงรัก เจ้าเป็นที่ปรารถนาของทั้งเทพเจ้าและมนุษย์ ข้ารู้สึกอิจฉาเจ้าเหลือเกิน”

กุหลาบได้ยินคำชื่นชมก็ยิ้ม แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับมีแววเศร้า มันกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ขอบใจเจ้ามาก บานไม่รู้โรย ข้ารู้สึกภูมิใจที่ได้มอบความสุขให้กับผู้คน แต่เจ้ารู้หรือไม่ ความงดงามนี้แลกมาด้วยอะไร?”

ต้นบานไม่รู้โรยเอียงก้านด้วยความสงสัย “แลกมา? ข้าไม่เข้าใจ เจ้าเป็นดอกไม้ที่งดงามที่สุดในสวนนี้ ใคร ๆ ต่างก็หลงใหลในเจ้า เจ้ามีทุกสิ่งที่ข้าไม่มี ทำไมเจ้าจึงพูดเหมือนกำลังทุกข์ใจ?”

ต้นกุหลาบถอนหายใจลึก “เจ้าเห็นดอกของข้าที่กำลังเบ่งบานงดงามในตอนนี้ใช่ไหม? แต่ความงดงามนี้อยู่ได้ไม่นาน ทุกครั้งที่ข้าเริ่มบานเต็มที่ ก็เป็นช่วงเวลาที่ข้ากำลังจะร่วงโรย หากไม่มีใครเด็ดข้าไป ดอกของข้าก็จะร่วงหล่นลงพื้นในเวลาไม่กี่วัน ข้าคงอยู่ได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น”

ต้นบานไม่รู้โรยมองกุหลาบด้วยความประหลาดใจ มันถามอย่างจริงใจ “แต่เจ้าเป็นที่รักของทุกคนไม่ใช่หรือ? เจ้ามอบความสุขให้ใครหลายคน แล้วทำไมเจ้าจึงเศร้ากับสิ่งนั้น?”

ต้นกุหลาบยิ้มเศร้า “เพราะทุกครั้งที่ข้าร่วงโรย ความงามของข้าก็ถูกลืม ผู้คนที่เคยชื่นชมข้า ก็เดินผ่านไปโดยไม่สนใจ ข้าอยากจะมีความคงทนเช่นเจ้า เจ้าไม่ต้องกังวลว่าดอกของเจ้าจะโรยรา เจ้ายืนหยัดอยู่ได้นาน แม้เวลาจะผ่านไป”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย 2

บานไม่รู้โรยนิ่งคิด ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “บางทีเจ้าอาจมองในมุมที่แตกต่างกันไป ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีคุณค่าในแบบของมันเอง ความงดงามของเจ้าอาจอยู่เพียงช่วงสั้น ๆ แต่เจ้าสร้างความประทับใจและความสุขในช่วงเวลานั้นได้มากมาย ข้าอาจคงอยู่ได้นาน แต่ไม่มีใครหยุดมองข้าเหมือนที่พวกเขาชื่นชมเจ้า”

กุหลาบพยักหน้ารับคำพูดของบานไม่รู้โรย แต่ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “บางทีความงามและการได้รับความชื่นชมก็ไม่คุ้มค่า หากต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับการโรยรา ข้าคงต้องยอมรับในสิ่งที่ข้าเป็น แม้จะยังคงอิจฉาเจ้าอยู่”

วันเวลาผ่านไป กุหลาบที่เคยเบ่งบานก็เริ่มร่วงโรย กลีบดอกที่เคยแดงสดหล่นลงสู่พื้นทีละกลีบ ผู้คนที่เคยหยุดชื่นชมต่างเดินผ่านไปโดยไม่ได้หันกลับมามอง ต้นกุหลาบกลายเป็นเพียงก้านที่เปลือยเปล่า

ต้นบานไม่รู้โรยอยู่ใกล้ ๆ มองดูต้นกุหลาบที่ว่างเปล่าด้วยความเศร้า มันยังคงยืนหยัดด้วยดอกที่ไม่เหี่ยวเฉา แต่ในหัวใจของมันกลับรู้สึกว่างเปล่า มันเอ่ยขึ้นเบา ๆ ราวกับจะปลอบใจตัวเอง “ความงดงามที่เปราะบางอาจสร้างความสุขชั่วคราว แต่ความยั่งยืนของข้าก็ไม่ได้เติมเต็มความหมายไปทั้งหมด บางที สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพึงพอใจกับสิ่งที่เราเป็น”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความงดงามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการยอมรับและพอใจกับสิ่งที่เราเป็น แม้ความฟุ้งเฟ้อและความโดดเด่นจะดึงดูดความสนใจในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ความยั่งยืนและความเรียบง่ายกลับมอบคุณค่าในระยะยาว ทุกสิ่งในโลกนี้มีคุณค่าในแบบของมันเอง และการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นอาจทำให้เราลืมเห็นความสำคัญในสิ่งที่เรามี การพึงพอใจในตัวเองคือกุญแจสู่ความสุขที่แท้จริง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย (อังกฤษ: The Rose and the Amaranth) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 369 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้แตกต่างจากนิทานพืชอื่น ๆ เช่น “ต้นโอ๊กกับต้นอ้อ” หรือ “ต้นไม้กับพุ่มหนาม” ที่ตัวละครมักจะโต้เถียงกันด้วยความหยิ่งทะนง แต่ในนิทานนี้ ดอกบานไม่รู้โรยผู้ต่ำต้อยกล่าวชื่นชมดอกกุหลาบด้วยความอ่อนน้อมในเรื่องความงามและชื่อเสียงของมัน และได้รับคำตอบด้วยความถ่อมตนเช่นกันว่า ชีวิตของดอกกุหลาบนั้นสั้นนัก ในขณะที่ดอกบานไม่รู้โรย (ซึ่งชื่อหมายถึง “ดอกไม้ที่ไม่ตาย”) กลับคงอยู่ชั่วนิรันดร์

ในยุคคลาสสิก นิทานนี้มีเฉพาะในภาษากรีก และแพร่เข้าสู่ยุโรปตะวันตกในภายหลัง หนึ่งในผลงานภาษาอังกฤษยุคแรกคือบทกวีของ บรูค บูธบี (Brook Boothby) ที่จบลงด้วยข้อคิด:

Love is the rose-bud of an hour, Friendship the everlasting flower.

ความรักดั่งดอกกุหลาบที่เบ่งบานเพียงชั่วครู่, มิตรภาพเปรียบดั่งดอกไม้ที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์

นิทานนี้สอนว่า การมีชีวิตที่ยาวนานและพอใจกับสิ่งเล็กน้อย ย่อมดีกว่าการมีชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อในช่วงสั้น ๆ แล้วต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงที่เลวร้าย หรือแม้กระทั่งความตาย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com