นิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องตำนานโคโยทีจอมเจ้าเล่ห์

ดวงอาทิตย์ลอยสูงเหนือทะเลทราย แผดเผาผืนดินให้ร้อนระอุ สายลมพัดผ่านหุบเขาหินสีแดง ทิ้งร่องรอยของกาลเวลาไว้บนหน้าผาสูงตระหง่าน ท่ามกลางดินแดนอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มีเรื่องเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากอเมริกาว่า มีบางสิ่งเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ระหว่างพุ่มไม้แห้งแล้งและเงาของต้นกระบองเพชร

บนเส้นทางที่ทอดยาวไร้จุดสิ้นสุด มีร่างหนึ่งก้าวเดินไปอย่างอิสระ จิตใจเต็มไปด้วยแผนการ และรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เส้นขนของเขาถูกลูบไล้ด้วยสายลม ดวงตาสุกใสเป็นประกายด้วยความเจ้าเล่ห์ เขาเดินทางไปเรื่อย ๆ มองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่จะทดสอบปัญญาของตนเอง และแน่นอน ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ย่อมมีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงเสมอ กับนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องตำนานโคโยทีจอมเจ้าเล่ห์

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องตำนานโคโยทีจอมเจ้าเล่ห์

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องตำนานโคโยทีจอมเจ้าเล่ห์

นานมาแล้ว ก่อนที่โลกจะเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน มีเหล่าวิญญาณแห่งธรรมชาติที่คอยปั้นแต่งและเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นไปตามวิถีของมัน บางตนเป็นผู้สร้าง บางตนเป็นผู้ทำลาย และบางตนก็เป็นสิ่งที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสองสิ่งนี้

ไคโยที (Coyote) คือหนึ่งในนั้น เขาไม่ใช่เทพที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ปีศาจที่น่าสะพรึงกลัว แต่เขาคือ นักเล่นกล ผู้หลอกลวง และผู้เปลี่ยนแปลง เขามีรูปร่างคล้ายหมาป่าหรือสุนัขจิ้งจอก แต่ตัวเล็กกว่าและมีท่าทางเจ้าเล่ห์กว่ามาก หมอบต่ำ และเคลื่อนไหวปราดเปรียว หูแหลมและตั้งตรงตลอดเวลา แสดงถึงความขี้สงสัยและความเฉียบแหลม

บางครั้งเขาก็ช่วยเหลือ บางครั้งเขาก็ทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย และบางครั้งเขาก็สร้างบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจเลย “โลกนี้ช่างน่าเบื่อเสียจริง!” ไคโยทีเคยพูดกับตัวเอง “ถ้าข้าไม่เล่นสนุกเสียบ้าง โลกก็คงจะเงียบเหงาเกินไป!”

ดังนั้น ไคโยทีจึงเดินทางไปทั่วโลก ปล่อยให้สติปัญญาและความเจ้าเล่ห์ของเขาพลิกผันเหตุการณ์ไปในทางที่คาดไม่ถึงเสมอ

เขาเป็นผู้ขโมยไฟจากดวงอาทิตย์มาให้มนุษย์ เขาเป็นผู้สอนนกให้ร้องเพลง เขาเป็นผู้หลอกให้แม่น้ำไหลไปในทิศทางใหม่ และเขาเป็นผู้ทำให้ก้อนหินหัวเราะได้ (แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วครู่)

แต่ไคโยทีก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นดังที่เขาเป็น นั่นคือความหิวโหยที่ไม่มีวันหมดสิ้น

เขาหิวเสมอหิวอาหาร หิวอำนาจ หิวความสนุก และทุกครั้งที่เขาต้องการบางสิ่ง เขาก็จะใช้ปัญญาของเขาเพื่อให้ได้มันมา…

ดวงอาทิตย์แผดเผาผืนทะเลทราย ลมร้อนพัดผ่านหุบเขาหินสีแดง ไคโยทีเดินลากเท้าไปตามเส้นทางที่ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด เขาหิวโหยและกระหายน้ำอย่างที่สุด

“โอ้… ข้าช่างเป็นสัตว์ที่โชคร้ายจริง ๆ!” ไคโยทีคร่ำครวญ “ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในผืนป่าแท้ ๆ แต่กลับต้องเดินตากแดดเช่นนี้ ข้าไม่สมควรลำบากขนาดนี้เลย!”

ขณะที่เขาพึมพำบ่นกับตัวเอง เสียงหัวเราะและเสียงเพลงลอยมาตามสายลม ไคโยทีหรี่ตาลงและมองไปยังขอบฟ้า ที่นั่น มีหมู่บ้านของสัตว์ป่าตั้งอยู่

รอบกองไฟกลางหมู่บ้าน หมี กระต่าย เต่า และสุนัขจิ้งจอก กำลังนั่งล้อมวงกัน พวกมันกำลังกินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญ มีทั้งผลไม้สด ข้าวโพดปิ้ง และน้ำใสเย็นที่ไหลมาจากลำธาร

ไคโยทีเลียริมฝีปาก “ฮึ่ม! ดูเหมือนข้าจะพบโชคดีเสียแล้ว…”

แต่เขารู้ดีว่าไม่มีใครยอมแบ่งอาหารให้เขาฟรี ๆ ไคโยทีมีชื่อเสียงเรื่องความเจ้าเล่ห์ และไม่มีสัตว์ตัวไหนไว้ใจเขาอีกต่อไป

“ข้าต้องใช้สมองมากกว่ากำลัง… และแน่นอน ข้าเก่งเรื่องนี้ที่สุด!”

ไคโยทียืดตัวขึ้น จัดขนให้เรียบร้อย แล้วเดินตรงเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมรอยยิ้มกว้าง

เมื่อไคโยทีเดินเข้าไป สัตว์ทุกตัวหันมามองด้วยสายตาระแวง

“ดูนั่นสิ!” กระต่ายกระซิบกับเต่า “หมอนี่มาอีกแล้ว คงคิดจะก่อเรื่องแน่ ๆ!”

แต่ไคโยทีทำเป็นไม่สนใจ เขาเดินเข้ามากลางวงและแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างเคร่งขรึม ก่อนจะถอนหายใจยาว

“พวกเจ้าช่างโชคดีเสียจริง…” เขาพูดขึ้นเสียงดัง ทำให้ทุกตัวหยุดกินและหันมาฟัง

“พวกเจ้าได้นั่งกินกันอย่างสบายใจ ขณะที่บางสิ่งอันตรายกำลังจะเกิดขึ้น…”

“อะไรกัน?” หมีถามอย่างสงสัย

ไคโยทีส่ายหน้า “ข้าไม่แน่ใจนัก… แต่ข้ามีความฝัน ฝันที่ยิ่งใหญ่มาก…”

สัตว์ทั้งหลายเริ่มสนใจ พวกมันขยับเข้ามาใกล้ขึ้น

“ในความฝัน ข้าเห็นดวงจันทร์กำลังร้องไห้ และดวงอาทิตย์กำลังโกรธ พวกมันบอกข้าว่าหมู่บ้านนี้กำลังจะพบเคราะห์ร้าย… “

“อะไรนะ!?” เต่าร้องขึ้น “เคราะห์ร้ายอะไร?”

ไคโยทีทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม “พวกเจ้ากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย… แต่พวกเจ้าไม่เคยถวายมันแก่ทวยเทพ! ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์โกรธมาก พวกมันกำลังจะทำให้ฝนไม่ตกและลำธารแห้งขอด!”

สัตว์ทุกตัวเริ่มมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก “แล้วเราจะทำยังไงดี?” สุนัขจิ้งจอกถามด้วยน้ำเสียงกังวล

ไคโยทีแสร้งทำเป็นลังเล ก่อนจะยิ้มบาง ๆ “เคราะห์ดีที่ข้ามีพลังวิเศษ ข้าสามารถช่วยพวกเจ้าได้…”

“จริงหรือ!?” หมีถามตาเป็นประกาย

“แน่นอน!” ไคโยทีพูดพร้อมยืดอก “ข้าสามารถทำพิธีขอพรจากทวยเทพได้ แต่ข้าต้องการบางสิ่งเพื่อทำให้พิธีสำเร็จ…”

“เจ้าต้องการอะไร?” กระต่ายถามอย่างระแวง

ไคโยทีหัวเราะเบา ๆ “ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น… อาหาร… น้ำ… และที่นอนนุ่ม ๆ สำหรับพักผ่อนระหว่างทำพิธี!”

สัตว์บางตัวเริ่มลังเล แต่เมื่อพวกมันนึกถึงภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ

“ถ้ามันช่วยให้หมู่บ้านปลอดภัย เราจะทำตามที่เจ้าบอก!” หมีประกาศ ก่อนที่สัตว์ทั้งหลายจะพากันนำอาหารและน้ำมาให้ไคโยที

ไคโยทีซ่อนรอยยิ้มแห่งชัยชนะไว้ขณะนั่งลง กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย และดื่มน้ำเย็นสดชื่น “ชีวิตที่ดี… ข้านี่ช่างฉลาดจริง ๆ!”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องตำนานโคโยทีจอมเจ้าเล่ห์ 2

ไคโยทีใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในหมู่บ้านสัตว์ป่า เขากินอิ่มทุกมื้อ ดื่มน้ำเย็นจากลำธาร และนอนหลับใต้ร่มไม้โดยไม่ต้องออกแรงแม้แต่น้อย สัตว์ทั้งหลายยังคงเชื่อว่าเขามีพลังวิเศษ และไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับเขา

แต่กระต่าย ผู้ฉลาดและรอบคอบ เริ่มสังเกตพฤติกรรมของไคโยทีและสงสัยว่าเขาอาจไม่ได้มีพลังวิเศษอย่างที่อ้าง

คืนหนึ่ง ขณะที่สัตว์ทั้งหลายกำลังหลับใหล กระต่ายแอบไปที่ที่พักของไคโยที เขาซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้และแอบฟัง ไคโยทีเอนตัวพิงต้นไม้ กอดท้องที่อิ่มแน่นของเขาแล้วหัวเราะกับตัวเอง

“โง่จริง ๆ! เจ้าพวกนั้นเชื่อข้าไปหมด!” ไคโยทีพูดกับตัวเอง “ข้ากินของพวกมันมาตั้งหลายวันโดยไม่ต้องทำอะไรเลย!”

กระต่ายเบิกตากว้าง “ข้าคิดไว้แล้วว่าเขาหลอกพวกเรา!”

ทันใดนั้นกระต่ายเกิดความคิดขึ้นมา เขาต้องทำให้สัตว์ตัวอื่นรู้ความจริง แต่จะทำอย่างไรดี? เขาจะใช้ไคโยทีเล่นกับกลลวงของตัวเอง!

เช้าวันรุ่งขึ้น กระต่ายรีบไปแจ้งข่าวให้สัตว์ตัวอื่น ๆ ฟัง “ไคโยทีบอกว่าเขามีพลังวิเศษใช่ไหม?” กระต่ายพูดขึ้นต่อหน้าสัตว์ทุกตัว “แล้วทำไมพวกเราไม่ขอให้เขาแสดงให้เราดูเล่า?”

สัตว์ตัวอื่น ๆ เริ่มมองหน้ากัน และพยักหน้าเห็นด้วย “จริงสิ! ถ้าเขามีพลังจริง เขาควรจะแสดงให้เห็น!” หมีกล่าว

ไม่นาน สัตว์ทั้งหมู่บ้านก็พากันไปรวมตัวรอบไคโยที “ไคโยที! เจ้าบอกว่ามีพลังวิเศษใช่ไหม?” กระต่ายเอ่ยเสียงดัง “งั้นเจ้าต้องแสดงให้เราเห็นเดี๋ยวนี้!”

ไคโยทีสะดุ้งเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าพวกมันจะท้าทายเขาแบบนี้ แต่เขายังพยายามเก็บอาการไว้ “พลังวิเศษของข้าไม่ใช่สิ่งที่จะมาเรียกร้องให้ใช้ได้ตามใจหรอก!” ไคโยทีตอบด้วยท่าทีสง่างาม

“โอ้… งั้นเจ้าคงจะโกหกพวกเรา!” กระต่ายพูดเสียงดัง “หรือว่าแท้จริงแล้ว เจ้าไม่มีพลังอะไรเลย?”

เสียงฮือฮาดังขึ้น สัตว์ทั้งหลายเริ่มจ้องมองไคโยทีอย่างสงสัย

ไคโยทีรู้ตัวว่ากำลังตกที่นั่งลำบาก “เอาล่ะ ๆ ข้าจะพิสูจน์ให้ดู!”

เขาหมุนตัวรอบ ๆ โบกมือไปมาและพึมพำบางอย่าง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เขาลองกระโดด หมุนตัว ชี้นิ้วไปที่ท้องฟ้า แต่หมู่บ้านยังคงเงียบสงัดเหมือนเดิม ไม่มีแสงวิเศษ ไม่มีเสียงฟ้าร้อง ไม่มีปาฏิหาริย์

“เห็นไหม! เขาไม่มีพลังอะไรเลย!” กระต่ายร้องขึ้น

สัตว์ตัวอื่น ๆ จ้องไคโยทีด้วยความโกรธ “เจ้าโกหกพวกเรา! หลอกให้เรามอบอาหารและน้ำให้เจ้าโดยไม่มีเหตุผล!” เต่าพูดเสียงดัง

หมีขมวดคิ้วและกำหมัดแน่น “เจ้าไม่สมควรอยู่ที่นี่อีก!” ไคโยทีรู้ทันทีว่าเขาถูกจับได้แล้ว… และตอนนี้ไม่มีทางหนี!

ไคโยทีถอยหลังช้า ๆ มองไปรอบ ๆ สัตว์ทั้งหมู่บ้านจ้องเขาด้วยความโกรธและผิดหวัง พวกมันเริ่มขยับเข้าใกล้ ล้อมเขาไว้จากทุกทิศ “เดี๋ยวก่อน! เดี๋ยวก่อน!” ไคโยทีโบกมือ “พวกเจ้าคงไม่อยากทำผิดพลาดหรอกใช่ไหม?”

“ผิดพลาดอะไร?” หมีคำราม

ไคโยทีรีบทำหน้าจริงจัง “พวกเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถขับไล่ข้าไปได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ? ข้าคือผู้วิเศษนะ!”

“เจ้ามันก็แค่จอมหลอกลวง!” กระต่ายสวนกลับ

ไคโยทีส่ายหัวอย่างใจเย็น “แน่ใจหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่า หากพวกเจ้าขับไล่ข้าไปในวันนี้ พวกเจ้าจะต้องเผชิญกับ…”

เขาก้มตัวลง ใบหน้าซีเรียสสุดขีด แล้วกระซิบเสียงต่ำ “คำสาปของไคโยที”

สัตว์ทุกตัวชะงัก หูตั้งขึ้นมาทันที “คำสาปอะไร?” เต่าถามอย่างระแวง

“อา… ข้าไม่อยากพูดถึงมันเลยจริง ๆ” ไคโยทีถอนหายใจ “แต่ถ้าพวกเจ้าทำให้ข้าโกรธ ข้าจะต้องปล่อยมันออกมา…”

“เมื่อใดที่ข้าออกจากหมู่บ้านนี้ หิมะจะตกหนักจนปิดเส้นทางล่าสัตว์ ผลไม้จะเหี่ยวเฉา และน้ำในลำธารจะขุ่นจนดื่มไม่ได้!”

สัตว์ทั้งหลายเริ่มหันมามองหน้ากัน “มันพูดจริงหรือ?” เสียงกระซิบดังขึ้นเป็นระยะ

กระต่ายขมวดคิ้ว “เจ้าโกหก!”

แต่ไคโยทีไม่สะทกสะท้าน “หึ ๆ ๆ แน่นอนว่าข้าหลอกพวกเจ้าเรื่องพลังวิเศษของข้า… แต่เรื่องคำสาปน่ะ… ใครจะรู้ล่ะ? หรือพวกเจ้าอยากจะเสี่ยง?”

หมีเริ่มลังเล สุนัขจิ้งจอกถอยหลังไปหนึ่งก้าว เต่ามองไปรอบ ๆ ด้วยความวิตก

“บางทีเราอาจจะทำรุนแรงเกินไปก็ได้นะ…” หมีพึมพำ

“ใช่ ๆ เราอาจจะปล่อยเขาไปเงียบ ๆ ก็ได้…” สุนัขจิ้งจอกเสริม

ไคโยทีเห็นดังนั้นก็ยิ้มกว้าง เขารู้ว่าพวกมันกำลังเริ่มกลัว “เอาล่ะ ในฐานะที่ข้ายังมีจิตใจดีงาม ข้าจะไม่ใช้คำสาปเต็มรูปแบบก็ได้…”

“แต่มีข้อแม้ พวกเจ้าต้องปิดตาแล้วหันหลังให้ข้า… ห้ามมอง! ถ้าใครมอง คำสาปจะเริ่มทำงานทันที!”

สัตว์ทั้งหลายกลืนน้ำลาย พวกมันลังเล แต่สุดท้ายไม่มีใครกล้าเสี่ยง

“ห้ามแอบมองนะ!” ไคโยทีพูดพลางก้าวถอยหลังไปเรื่อย ๆ

สัตว์ทั้งหมดค่อย ๆ ปิดตา ไคโยทีหันหลังแล้วโกยแน่บออกจากหมู่บ้าน!

เขาวิ่งผ่านทุ่งหญ้า ข้ามลำธาร กระโดดข้ามก้อนหิน จนแน่ใจว่าพ้นเขตหมู่บ้านแล้ว เขาจึงหยุดและหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ! เจ้าพวกนั้นเชื่อคำสาปปลอม ๆ ของข้าเสียด้วย!”

เขาปัดฝุ่นออกจากตัว เชิดหน้าขึ้น มองไปที่เส้นขอบฟ้า “แต่ไม่เป็นไรหรอก ข้าคือไคโยที!”

ไกลออกไปมีหมู่บ้านสัตว์อีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ไคโยทียิ้มกว้าง “ข้าแค่ต้องหาเหยื่อใหม่… และแน่นอน ข้าจะคิดแผนที่ดีกว่าเดิม!”

แล้วเขาก็ออกเดินทางต่อไป มองหาหมู่บ้านใหม่ เหยื่อใหม่ และกลลวงใหม่ ๆ ที่จะใช้หลอกล่อผู้โชคร้ายรายต่อไป

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องตำนานโคโยทีจอมเจ้าเล่ห์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… “ความฉลาดอาจช่วยให้เอาตัวรอดได้ แต่ความเจ้าเล่ห์ไม่ได้ทำให้ใครเป็นที่รัก”

ไคโยทีอาจรอดพ้นจากสถานการณ์คับขันได้ทุกครั้ง แต่เขาไม่เคยมีบ้านหรือมิตรแท้ เพราะเขาใช้ปัญญาไปกับการหลอกลวงแทนที่จะสร้างสิ่งที่มีค่า ในทางกลับกัน สัตว์ที่หลงเชื่อโดยไม่ไตร่ตรองก็กลายเป็นเหยื่อของเล่ห์กลซ้ำแล้วซ้ำเล่า สติปัญญาที่แท้จริงไม่ใช่แค่การเอาตัวรอด แต่คือการใช้ความฉลาดอย่างซื่อสัตย์และรอบคอบ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องตำนานโคโยทีจอมเจ้าเล่ห์ (อังกฤษ: The Trickster Coyote) ตำนานของไคโยทีมาจากนิทานพื้นบ้านของชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน โดยเฉพาะในแถบตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา รวมถึงบางส่วนของแคนาดา หลายเผ่าเล่าเรื่องของไคโยทีในลักษณะที่แตกต่างกันไป บางเรื่องเขาเป็นผู้สร้างโลกหรือดวงดาวอย่างโคโยตีกับดวงดาว (Coyote and the Stars) เป็นผู้นำไฟมาสู่มนุษย์ หรือเป็นผู้กำหนดสภาพแวดล้อมของธรรมชาติ แต่ในหลายเรื่องเขาเป็นเพียงนักเล่นกลที่ฉลาดแกมโกง ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อเอาตัวรอดหรือหลอกลวงผู้อื่น

ไคโยทีถูกมองว่าเป็นตัวแทนของจอมเจ้าเล่ห์ เขาไม่ใช่ทั้งเทพเจ้าและปีศาจ แต่เป็นตัวละครที่แสดงถึงสัญชาตญาณของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความฉลาด ความขี้เล่น ความโลภ และความโอ้อวด บางครั้งเขาก็สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่บ่อยครั้ง เขากลายเป็นเหยื่อของความเจ้าเล่ห์ของตัวเอง

เรื่องเล่าของไคโยทีมีทั้งแง่สอนใจและความขบขัน เขาเป็นตัวละครที่เตือนให้ผู้คนรู้จักไตร่ตรอง ไม่หลงเชื่อคำพูดของผู้อื่นง่าย ๆ รวมถึงเตือนถึงผลของความโลภและการโอ้อวดมากเกินไป นิทานของเขาถูกเล่าขานในหมู่ชนเผ่าพื้นเมืองมาหลายชั่วอายุคน และยังคงมีอิทธิพลในวัฒนธรรมร่วมสมัย ไคโยทีปรากฏตัวในวรรณกรรม นิทานเด็ก และแม้แต่ตัวการ์ตูน เช่น Wile E. Coyote ใน Looney Tunes ซึ่งยังคงสะท้อนภาพลักษณ์ของตัวละครเจ้าเล่ห์ที่มักหาทางเอาตัวรอด แต่สุดท้ายก็ติดกับดักของตัวเองอยู่เสมอ

“ความฉลาดที่ใช้ไปกับเล่ห์กล อาจช่วยให้เอาตัวรอดได้ชั่วคราว แต่ไม่อาจซื้อความไว้วางใจและความเคารพได้ตลอดไป”

นิทานพื้นบ้านแคนาดาเรื่องตำนานปีศาจเวนดิโก

ลมหนาวพัดกระโชกแรง กวาดเอาหิมะปลิวว่อนราวกับม่านขาวปกคลุมทุกสิ่ง ผืนป่าสนสูงตระหง่านเงียบงัน มีเพียงเสียงกิ่งไม้เสียดสีกันและเสียงหิมะยุบตัวใต้ฝ่าเท้าที่ดังขึ้นเป็นระยะ

ท้องฟ้ามืดสนิท ไร้แสงดาวและจันทร์ โลกทั้งใบดูราวกับกำลังกลั้นหายใจ ท่ามกลางความเงียบงันนี้ มีตำนานนิทานพื้นบ้านสากลจากแคนาดาเล่าขานถึงบางสิ่งแฝงตัวอยู่ในเงามืด เฝ้ามอง รอคอย บางสิ่งที่เคลื่อนไหวไปพร้อมสายลมหนาว และกระซิบแผ่วเบาไปกับความเงียบของราตรี กับนิทานพื้นบ้านแคนาดาเรื่องตำนานปีศาจเวนดิโก

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านแคนาดาเรื่องตำนานปีศาจเวนดิโก

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านแคนาดาเรื่องตำนานปีศาจเวนดิโก ปีศาจแห่งความหนาวและความโลภ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าใหญ่ทางตอนเหนือของแคนาดา ค่ำคืนในฤดูหนาวของแคนาดาช่างโหดร้าย ลมหนาวพัดผ่านป่าสน เสียงกิ่งไม้เสียดสีกันดังก้องไปทั่วหุบเขา ภายใต้เงามืดของพระจันทร์เดอฟอร์เรสต์ นักล่าแห่งเผ่าพื้นเมือง ยืนอยู่ริมป่าด้วยท่าทีแน่วแน่ เขาต้องออกล่าสัตว์เพื่อนำอาหารกลับไปให้ครอบครัว

ในหมู่บ้าน ไม่มีใครอยากออกไปล่าในช่วงเวลานี้ เพราะพายุหิมะกำลังมา และที่สำคัญมันเป็นดินแดนของเวนดิโก

ผู้เฒ่าของเผ่ามองเขาด้วยสายตาหนักใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังจะไปที่ไหน…”

“ป่าแห่งนั้นมีบางสิ่งที่ไม่ควรถูกปลุกขึ้นมา…” ผู้เฒ่ากล่าว

เดอฟอร์เรสต์หัวเราะเบา ๆ พลางสะพายธนูไว้บนหลัง “ข้าเป็นนักล่า ข้ารู้จักป่าดีกว่าใคร ข้าไม่กลัวเรื่องเล่าเหล่านั้น”

หญิงชราผู้หนึ่งกระซิบขึ้นมาจากข้างกองไฟ “เจ้าพวกหนุ่มน่ะประมาทกันนัก… เวนดิโกไม่ใช่เรื่องเล่าหรอก…”

“เวนดิโกคืออะไร?” เด็กชายคนหนึ่งเอ่ยถามตาเบิกกว้าง

ผู้เฒ่าถอนหายใจ ก่อนจะเล่าเสียงแผ่วเบา “มันคือปีศาจแห่งความหิวโหย… มันเป็นเงาของผู้ที่เคยเป็นมนุษย์ แต่ถูกความโลภและความหนาวกลืนกิน พวกมันออกล่าในคืนที่พายุหิมะโหมกระหน่ำ และกระซิบเสียงเบา ๆ ให้ผู้หลงทางยอมแพ้ต่อความหิว…”

“เงาของมันสูงกว่าต้นไม้ ตาของมันแดงก่ำ และซี่โครงของมันโผล่พ้นผิวหนังราวกับร่างที่ไม่มีวันอิ่ม…”

“และเมื่อมันเลือกเจ้าเป็นเหยื่อแล้ว… มันจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป…”

ไฟในกองไฟแตกเปรี๊ยะ เสียงลมพัดผ่านหมู่บ้าน เด็กชายคนนั้นรีบซุกตัวใกล้แม่ของเขา แต่เดอฟอร์เรสต์เพียงแค่ยิ้มจาง ๆ “เรื่องพวกนี้อาจทำให้เด็กกลัว แต่ไม่ใช่ข้า”

เขาหันหลังให้ผู้เฒ่า ก่อนจะเดินหายเข้าไปในป่ามืด

หิมะเริ่มตกหนักขึ้นทุกก้าวที่เดอฟอร์เรสต์เดินเข้าไปในป่า ร่องรอยสัตว์เริ่มเลือนหายไปในหิมะ ทำให้การล่าของเขายากขึ้นทุกที “แค่ข้าหากวางหรือกวางมูสได้สักตัว ครอบครัวข้าก็จะมีอาหารพอไปอีกหลายสัปดาห์”

แต่เมื่อเวลาผ่านไป สัตว์ป่ากลับเงียบหายไปจากรอบตัว ราวกับว่ามีบางสิ่งน่ากลัวยิ่งกว่ามนุษย์กำลังซ่อนตัวอยู่ในเงามืด

จากนั้นเอง เสียงกระซิบแผ่วเบาก็ดังขึ้นระหว่างต้นไม้ “เจ้าหิวหรือไม่…”

เดอฟอร์เรสต์ชะงัก ขนบนต้นคอของเขาลุกชัน เขากวาดตามองไปรอบ ๆ “เสียงลมพัดผ่านกิ่งไม้…” เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แต่เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ใกล้ขึ้น

“ข้ารู้ว่าเจ้าหิว… ข้าช่วยเจ้าได้นะ…” เดอฟอร์เรสต์ขมวดคิ้วแน่น มือกำด้ามมีดแน่นขึ้น เขามองไปรอบตัว แต่มีเพียงต้นไม้สูงใหญ่และเงาสะท้อนบนหิมะเท่านั้น

แต่แล้ว… เงาร่างหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างต้นไม้

มันสูงผิดมนุษย์ ผอมแห้งเหมือนซากศพ ตาแดงวาบราวกับเปลวไฟ “…เวนดิโก”

มันยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองเขา และแสยะยิ้มกว้างเกินกว่าที่มนุษย์จะทำได้ “หนาวนักใช่ไหม…”

เสียงนั้นก้องอยู่ในหัวของเขา แม้ริมฝีปากของมันจะไม่ขยับ เสียงนั้นเย็นยะเยือกและกดดันราวกับกำลังแทรกซึมเข้าไปในจิตใจ

เดอฟอร์เรสต์พยายามก้าวถอยหลัง แต่ร่างกายของเขาหนักขึ้น หิมะรอบตัวดูเหมือนจะสูงขึ้น และแรงในร่างของเขากำลังถูกดึงออกไปทีละน้อย “ข้าจะทำให้เจ้าหยุดหิว… เจ้าก็แค่ต้องยอมรับสิ่งที่เจ้ากลัวที่สุดเท่านั้น…”

ความมืดเริ่มเข้าครอบงำจิตใจเขา เวนดิโกก้าวเข้าใกล้ ร่างของมันดูสูงขึ้น ใหญ่ขึ้น เสียงกระซิบรอบตัวดังขึ้นเรื่อย ๆ

“กินสิ… กินเนื้อของพวกเดียวกัน แล้วเจ้าจะไม่หิวอีกต่อไป…” หัวใจของเดอฟอร์เรสต์เต้นแรงเขาจะต้องสู้กับมันให้ได้

แต่แล้ว… ภาพเบื้องหน้าของเขาก็เริ่มพร่ามัว และเงาของปีศาจก็กลืนกินทุกสิ่งรอบตัวเขาไป

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านแคนาดาเรื่องตำนานปีศาจเวนดิโก 2

ลมหายใจของเดอฟอร์เรสต์หนักขึ้น หัวใจเต้นแรงราวกับจะกระแทกออกจากอก ความหนาวเย็นแทรกซึมเข้าไปถึงกระดูก แต่สิ่งที่ทำให้เขาหวาดหวั่นยิ่งกว่าความหนาว คือเสียงกระซิบที่ยังดังอยู่ในหัวของเขา “เจ้าหิวใช่ไหม… เจ้าหนาว… เจ้าต้องกิน…”

เงาของเวนดิโกเคลื่อนตัวเข้าใกล้ ตาของมันเรืองแสงสีแดง ลึกลงไปในเบ้าตาที่ไร้ชีวิต เสียงหิมะกรอบแกรบดังขึ้นเมื่อมันก้าวผ่านพื้นป่าที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง

เดอฟอร์เรสต์พยายามก้าวถอยหลัง แต่ขาของเขาหนักขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนถูกบางสิ่งตรึงเอาไว้

“กินเสียเถอะ… แล้วเจ้าจะรอด…”

ทันใดนั้น ภาพหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของเขาภาพของครอบครัว ภรรยาและลูก ๆ ของเขากำลังรอคอยเขากลับบ้านพร้อมอาหารที่เขาสัญญาว่าจะหาให้

“ไม่… ข้าจะไม่ยอมเป็นเหยื่อของเจ้า” เดอฟอร์เรสต์กัดฟันสุดแรง มือของเขาสั่น แต่เขาไม่ยอมแพ้ เขาหยิบมีดล่าสัตว์ขึ้นมา แล้วแทงลงไปที่แขนของตัวเอง! ฉึก!

ความเจ็บแล่นไปทั่วร่าง เลือดอุ่น ๆ ไหลลงบนหิมะสีขาว ความเจ็บปวดนั้นทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เสียงกระซิบของเวนดิโกสะดุดไปชั่วครู่ “ไม่… ข้าไม่ใช่เจ้าสัตว์เดรัจฉาน ข้าเป็นมนุษย์!”

เวนดิโกคำรามเสียงต่ำ ความมืดรอบตัวเหมือนจะบีบเข้าหาเดอฟอร์เรสต์ เสียงกระซิบเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องโหยหวนของความหิวโหย “งั้นเจ้าก็ต้องตาย!”

เวนดิโกพุ่งเข้าหาเดอฟอร์เรสต์ด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ เงาของมันแผ่ขยายราวกับจะกลืนกินทุกสิ่ง แต่เดอฟอร์เรสต์รวบรวมเรี่ยวแรงสุดท้าย คว้าไฟแช็กที่เหน็บไว้ในเสื้อขนสัตว์ของเขา แล้วจุดขึ้นมาทันที!

เปลวไฟลุกโชนขึ้นกลางความมืด

เวนดิโกกรีดร้องดวงตาของมันลุกเป็นไฟราวกับถูกเผาไหม้ ร่างของมันสะบัดไปมาเมื่อเปลวไฟสะท้อนเข้าตา มันถอยหลังด้วยความโกรธและความหวาดกลัว

เดอฟอร์เรสต์ไม่รอช้า เขาเผาอาหารที่เหลือของเขาทิ้งลงบนหิมะ! “ถ้าข้าไม่มีอาหาร เจ้าก็ไม่มีสิ่งล่อข้าอีก!”

เปลวไฟลุกขึ้น หิมะรอบตัวสะท้อนแสงสีส้มเข้ม เงาของเวนดิโกดูเหมือนจะหดตัวลงราวกับมันกำลังสูญเสียพลังอำนาจ

มันกรีดร้อง “เจ้าไม่อาจหนีข้าไปได้! ข้าจะรอ… ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะอ่อนแอลงอีกครั้ง…”

เดอฟอร์เรสต์พุ่งตัวออกจากจุดนั้น วิ่งผ่านต้นไม้ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งโดยไม่หันหลังกลับ เสียงของเวนดิโกยังดังอยู่ไกล ๆ แต่ยิ่งเขาวิ่งออกจากป่า เสียงนั้นก็เริ่มแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ ในที่สุดเขาก็พ้นจากป่าแห่งเงามืด

แสงแรกของรุ่งอรุณสาดลงบนใบหน้าของเขา เดอฟอร์เรสต์ล้มลงกับพื้นหิมะ ร่างของเขาสั่นสะท้าน แต่เขายังมีชีวิตอยู่

แต่บางอย่างเปลี่ยนไป เขาไม่เคยเป็นคนเดิมอีกเลย

คืนไหนที่ลมพัดแรง หรือหิมะตกหนัก เขาจะได้ยินเสียงกระซิบจากป่า… “เจ้าหนาวไหม… เจ้าหิวหรือเปล่า…”

แต่ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงนั้น เขาจะกำหมัดแน่น และกระซิบตอบกลับไปเบา ๆ “ข้าไม่ใช่เจ้า… และข้าจะไม่มีวันเป็นเจ้า”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านแคนาดาเรื่องตำนานปีศาจเวนดิโก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… “ความหิวโหยและความสิ้นหวังอาจทำให้มนุษย์กลายเป็นปีศาจได้ แต่ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงคือผู้ที่ไม่ยอมให้ความมืดครอบงำจิตใจ”

เวนดิโกเป็นสัญลักษณ์ของความโลภ ความหิวไม่รู้จบ และด้านมืดของมนุษย์ ที่พร้อมจะกลืนกินทุกคนที่อ่อนแอ หากจิตใจไม่มั่นคง เราอาจตกเป็นเหยื่อของมันโดยไม่รู้ตัว แต่เดอฟอร์เรสต์พิสูจน์ให้เห็นว่า จิตใจที่แข็งแกร่งสามารถเอาชนะความมืดได้ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับมันโดยตรงก็ตาม

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านแคนาดาเรื่องตำนานปีศาจเวนดิโก (อังกฤษ: Wendigo) ตำนานมีต้นกำเนิดจากความเชื่อของชนเผ่าพื้นเมืองในแถบอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะกลุ่มชนเผ่าแอลกอนเควียน (Algonquian) ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตป่าทางตอนเหนือของแคนาดาและสหรัฐฯ ตำนานนี้เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องกับความหิวโหย ความโลภ และผลลัพธ์ของการกินเนื้อมนุษย์

เวนดิโกถูกกล่าวขานว่าเป็นปีศาจแห่งความหิวโหย ซึ่งเกิดขึ้นจากมนุษย์ที่ละเมิดข้อห้ามสูงสุดของเผ่าพื้นเมืองการกินเนื้อมนุษย์ในช่วงเวลาที่ขาดแคลนอาหาร โดยเชื่อกันว่าเมื่อมนุษย์กินเนื้อพวกเดียวกันจิตวิญญาณของพวกเขาจะถูกสาปให้กลายเป็นเวนดิโก ร่างของพวกมันจะผอมแห้งแต่กลับมีพลังมหาศาล ดวงตาสีแดงลุกโชน และไม่เคยอิ่มท้องอีกเลย

ตำนานนี้ถูกเล่าต่อกันมาเพื่อเตือนผู้คนในช่วงฤดูหนาวอันโหดร้าย ไม่ให้ยอมแพ้ต่อความหิวจนกระทำในสิ่งที่ผิด เวนดิโกยังเป็นสัญลักษณ์ของความโลภและการไม่รู้จักพอ บางเผ่าเชื่อว่าเวนดิโกไม่ได้เกิดจากการกินเนื้อมนุษย์เท่านั้น แต่เกิดขึ้นได้จากจิตใจที่เต็มไปด้วยความโลภและการแสวงหาสิ่งต่าง ๆ โดยไม่สนใจผู้อื่น

ในยุคปัจจุบัน ตำนานเวนดิโกยังคงมีอิทธิพลในวัฒนธรรมป๊อป เช่น วรรณกรรม ภาพยนตร์ และเกมต่าง ๆ เรื่องราวของมันยังคงถูกใช้เป็นเครื่องเตือนใจว่าหากมนุษย์ปล่อยให้ความหิวไม่ว่าจะเป็นความหิวทางร่างกายหรือความหิวกระหายในอำนาจเข้าครอบงำ เราอาจกลายเป็นปีศาจได้โดยไม่รู้ตัว

“ความหิวโหยอาจฆ่าร่างกาย แต่ความโลภจะกัดกินจิตวิญญาณตลอดกาล”

นิทานพื้นบ้านแคนาดาเรื่องอีกากับมนุษย์กลุ่มแรก

สายลมพัดผ่านชายฝั่ง เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังก้องไปทั่ว ท้องฟ้ากว้างใหญ่ทอดยาวสุดขอบฟ้า แต่โลกยังคงเงียบงัน ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีคำพูด ไม่มีผู้คน ทุกสิ่งดูสมบูรณ์แบบ ทว่ากลับขาดบางสิ่งไป

บนท้องฟ้า มีตำนานเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากแคนาดาถึงนกตัวหนึ่งบินผ่านเมฆ มองลงมายังแผ่นดินที่เขาสร้างขึ้น เขาได้ให้แสงสว่างแก่โลก หล่อหลอมแม่น้ำและภูเขา แต่ทำไมโลกนี้ยังดูว่างเปล่า นั่นคือคำถามที่ทำให้เขาเริ่มต้นการเดินทางเพื่อตามหาคำตอบ กับนิทานพื้นบ้านแคนาดาเรื่องอีกากับมนุษย์กลุ่มแรก

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านแคนาดาเรื่องอีกากับมนุษย์กลุ่มแรก

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านแคนาดาเรื่องอีกากับมนุษย์กลุ่มแรก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วโลกยังว่างเปล่า ไร้ผู้คน ท้องฟ้ามืดมิด น้ำทะเลนิ่งสงบ และแผ่นดินยังไม่มีชีวิตใดอาศัยอยู่ ทุกอย่างเงียบงันราวกับโลกยังไม่ตื่นจากการหลับใหล

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางความเงียบงันนั้น มันคืออีกา (Raven) ผู้สร้างโลก

อีกาไม่ได้เป็นเพียงนกธรรมดา เขาเป็นทั้งผู้สร้าง ผู้หลอกลวง และผู้เปลี่ยนแปลงโลก เขาสามารถแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้และเดินทางไปทั่วจักรวาล เขาสร้างแผ่นดินและทะเล ปั้นแม่น้ำให้ไหลผ่านหุบเขา และเติมเต็มท้องฟ้าด้วยดวงดาว

แต่ถึงแม้โลกจะสวยงามเพียงใด มันก็ยังคงว่างเปล่า “ทุกสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นช่างเงียบเหงาเสียจริง” อีกาพูดกับตัวเอง พลางมองไปทั่วดินแดนที่ไม่มีชีวิต

“มันต้องมีบางสิ่งขาดหายไป…” อีกากระพือปีกพลางครุ่นคิด

วันหนึ่ง หลังจากเดินทางไปทั่วแผ่นดินอันมืดมิด เขากลับมาพร้อมกับสิ่งที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้ว่ามาจากที่ใดแสงสว่างจากสรวงสวรรค์แห่งเหล่าทวยเทพ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาได้มันมาอย่างไร บ้างว่าเขาขโมยจากดินแดนแห่งแสง บ้างว่าเขาเจรจากับเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เพื่อแลกเปลี่ยนกับบางสิ่ง หรืออาจเป็นไปได้ว่าเขาเดินทางไปไกลกว่าผู้ใดและพบมันด้วยตัวเอง

ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นเช่นไร วันนั้นเอง อีกาคาบแสงสว่างไว้ในจะงอยปาก และเมื่อเขาปล่อยมันออกมา ดวงอาทิตย์ก็ลุกโชนขึ้นเป็นครั้งแรก

แสงกระจายไปทั่วผืนฟ้า เงาของภูเขาและแม่น้ำทอดยาวเป็นครั้งแรก มหาสมุทรส่องประกาย ท้องฟ้าเผยสีฟ้าใส และดินแดนที่เคยมืดมนก็กลายเป็นโลกใบใหม่

“แบบนี้แหละ ดีขึ้นมาก!” อีกาเอ่ย พลางมองดูโลกที่เปลี่ยนไป “งดงามจริง ๆ!” อีกากระพือปีกอย่างภาคภูมิใจ แต่ถึงแม้โลกจะมีแสงแล้ว มันก็ยังคงว่างเปล่า

แต่แม้ว่าโลกจะสวยงามขึ้นเพียงใด มันก็ยังคงเงียบงัน ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีผู้ใดใช้ชีวิตในโลกที่เขาสร้างขึ้น “ยังขาดอะไรบางอย่าง…”

และด้วยความคิดนั้น อีกากางปีกออก แล้วออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อค้นหาสิ่งสุดท้ายที่จะทำให้โลกสมบูรณ์ “ยังขาดบางสิ่งที่สำคัญ… ข้าต้องค้นหาให้พบ!” และด้วยความคิดนั้น อีกากางปีกและออกเดินทางอีกครั้ง

อีกาบินไปทั่วโลก จากยอดเขาสูงจรดชายฝั่งทะเล จากผืนป่าทึบจรดเกาะอันห่างไกล เขามองหาสิ่งที่ขาดหายไป แต่ไม่ว่าเขาจะมองไปทางไหน เขาก็ยังไม่พบสิ่งที่เขาตามหา

วันหนึ่ง ขณะที่อีกาบินเหนื่อยล้า เขาก็โฉบลงมาหยุดพักที่ชายหาด ลมทะเลพัดผ่านขนนกของเขา และแสงอาทิตย์สะท้อนลงบนทรายสีทอง

ทันใดนั้น เขาสังเกตเห็นบางสิ่งที่แปลกประหลาด

ตรงชายฝั่ง มีเปลือกหอยนางรมขนาดใหญ่ ติดอยู่บนหาดทราย เปลือกหอยนั้นดูไม่ธรรมดา เพราะมันขยับไหวเล็กน้อย ราวกับมีบางอย่างอยู่ข้างใน

“แปลกจริง… เปลือกหอยไม่ควรเคลื่อนไหวเองได้นี่นา!” อีกาพึมพำ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้

เขาเอียงคอ พิจารณาหอยนางรมอย่างสงสัย แล้วลองใช้จะงอยปากเคาะเบา ๆ “ก๊อก ๆ”

ภายในเปลือกหอยมีเสียงดังขึ้น เหมือนมีบางสิ่งพยายามดิ้นออกมา “โอ้! ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าข้างในคืออะไร!” อีกายิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้น

เขาค่อย ๆ ใช้จะงอยปากงัดเปลือกหอยออก มันแข็งมาก แต่เขาไม่ยอมแพ้ “เปิดออกมาเถอะ เจ้าสิ่งลึกลับทั้งหลาย!”

“แคร่กกกกก!” เปลือกหอยแตกออก และสิ่งที่อยู่ข้างในก็ค่อย ๆ โผล่ออกมา สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่มีแขน มีขา และมีดวงตาเป็นประกาย

อีกาตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ “โอ้โห! เจ้านี่คืออะไรกัน!?”

สิ่งเหล่านั้น คือมนุษย์กลุ่มแรกของโลก

พวกเขากะพริบตาปริบ ๆ มองไปรอบ ๆ อย่างสับสน พวกเขาเพิ่งได้เห็นโลกเป็นครั้งแรก พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน

มนุษย์ตัวหนึ่งเงยหน้ามองอีกาและเอ่ยเสียงสั่น ๆ “พวกเรา… อยู่ที่ไหนกัน?”

อีกาหัวเราะเสียงดัง “พวกเจ้ากำลังอยู่ในโลกที่ข้าสร้างขึ้น!”

มนุษย์มองหน้ากันอย่างงุนงง พวกเขาไม่เข้าใจว่าโลกคืออะไร

อีกายิ้มกว้าง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองตามหาอะไรอยู่ “เจ้าพวกนี้เองคือสิ่งที่ข้าขาดหายไป!”

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์…

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านแคนาดาเรื่องอีกากับมนุษย์กลุ่มแรก 2

อีกามองดูมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งโผล่ออกมาจากเปลือกหอยนางรม พวกเขาเดินไปมาอย่างระมัดระวัง ดวงตากลมโตมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัย แต่ก็ยังคงดูสับสน

“เจ้าพวกนี้ดูไร้เดียงสาเสียจริง” อีกาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้

มนุษย์คนหนึ่งเงยหน้ามองอีกาอย่างลังเล “เจ้าคือใคร?”

“ข้าคือผู้สร้าง ข้าสร้างแม่น้ำ ภูเขา ท้องฟ้า และทะเล ข้าทำให้โลกมีแสงสว่าง และข้าเป็นผู้ช่วยพวกเจ้ากำเนิดขึ้นมา!” อีกากระพือปีกอย่างภาคภูมิใจ

มนุษย์มองหน้ากัน บางคนยกมือแตะพื้นทราย บางคนเดินไปแตะผืนน้ำในมหาสมุทร พวกเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน และยังไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร

“แล้วพวกเราต้องทำอะไรต่อไป?” มนุษย์อีกคนถาม

“โอ้… ถ้าไม่มีข้า พวกเจ้าคงนั่งเอ๋ออยู่ตรงนี้ไปตลอดชีวิตแน่ ๆ!” อีกาหัวเราะเสียงดัง “เอาล่ะ ข้าจะสอนพวกเจ้าเอง!”

เขาใช้จะงอยปากจิกลงบนพื้นดินแล้วดึงขึ้นมาเป็นกอง “นี่คือดิน เจ้าสามารถขุดมันเพื่อหาที่อยู่อาศัยได้”

เขาบินขึ้นไปบนฟ้า แล้วโฉบลงมาจิกปลาจากทะเลโยนให้มนุษย์ดู “นี่คืออาหารของเจ้า มหาสมุทรเต็มไปด้วยปลา พวกเจ้าต้องเรียนรู้วิธีจับมัน”

มนุษย์บางคนลองหยิบปลาขึ้นมาดู บางคนทำหน้าขยะแขยง

“แล้วเราต้องจับมันยังไง?”

“ใช้มือก็ได้ หรือใช้เครื่องมือที่ข้าจะสอนพวกเจ้าทำ!” อีกากระพือปีก “ฟังให้ดี โลกนี้มีอาหารมากมาย แค่พวกเจ้าต้องรู้จักหา!”

เขาแสดงให้มนุษย์เห็นถึงการใช้ไม้และหินทำอาวุธสำหรับล่าสัตว์ พวกเขามองอย่างสนใจและเริ่มทำตาม แม้ว่าจะยังไม่คล่องแคล่ว แต่พวกเขาก็พยายาม

อีกาบินขึ้นไปบนต้นไม้แล้วใช้จะงอยปากคาบกิ่งไม้ลงมา “เจ้าสามารถใช้สิ่งนี้ทำเป็นบ้านได้ สร้างที่พักจากไม้และใบไม้ ป้องกันตัวเองจากลมฝน”

มนุษย์พยักหน้า บางคนเริ่มทดลองหยิบกิ่งไม้ขึ้นมา บางคนลองนำหินมาวางซ้อนกันเป็นกำแพง

“พวกเจ้าจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ อย่าทำลายมัน แต่จงใช้มันอย่างชาญฉลาด!”

มนุษย์ฟังอย่างตั้งใจ พวกเขาเริ่มเข้าใจว่าโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์ได้ พวกเขาเริ่มสร้างชุมชนของตนเอง เรียนรู้วิธีล่าสัตว์ หาปลา และสร้างบ้าน พวกเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ไร้เดียงสาอีกต่อไป

อีกายืนดูผลงานของตนเองด้วยความพอใจ “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่ต้องพึ่งข้าอีกต่อไปแล้ว”

มนุษย์คนหนึ่งเงยหน้ามองเขา “แล้วเจ้าจะไปไหนต่อ?”

“ข้ามีสิ่งใหม่ ๆ ต้องค้นหาเสมอ” อีกากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แต่ข้าจะคอยเฝ้าดูพวกเจ้าเสมอ”

กาลเวลาผ่านไป มนุษย์กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่อีกาสร้างขึ้น พวกเขาเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และเริ่มเข้าใจโลกมากขึ้น พวกเขาสร้างบ้าน เรียนรู้วัฏจักรของธรรมชาติ และพัฒนาความสามารถในการใช้ชีวิต

อีกายังคงเดินทางไปทั่วโลก เขาสังเกตมนุษย์จากที่ไกล ๆ บางครั้งเขาก็บินลงมาดูพวกเขาอย่างใกล้ชิด บางครั้งเขาก็กลายเป็นเพียงเงาในสายลม

แต่วันหนึ่ง ขณะที่อีกากำลังบินผ่านท้องฟ้า มนุษย์บางคนเริ่มถกเถียงกัน “ทำไมต้องฟังอีกาด้วย? พวกเราอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว!”

“ใช่! พวกเราไม่ต้องการคำสอนของมันอีกต่อไป!”

เมื่ออีกาได้ยินดังนั้น เขาเพียงแต่ยิ้มบาง ๆ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งพวกเจ้าจะพูดแบบนี้”

เขารู้ว่ามนุษย์จะเติบโตขึ้น รู้จักคิดเอง และไม่ต้องพึ่งพาเขาอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเสมอ “แต่จำไว้ให้ดี พวกเจ้าอาจลืมข้า แต่ข้าจะไม่ลืมพวกเจ้า”

ว่ากันว่า ทุกครั้งที่มนุษย์เห็นอีกาบินผ่านฟ้า มันอาจเป็นสัญญาณว่า เขายังคงเฝ้ามองดูพวกเราอยู่ บางคนเชื่อว่า เสียงร้องของอีกาคือคำเตือนให้มนุษย์ระวังตัว ไม่ให้ลืมความสมดุลของธรรมชาติที่เขาได้สอนไว้

แม้ว่ามนุษย์จะใช้ชีวิตของตัวเองและเดินบนเส้นทางที่แตกต่างไปจากเดิม แต่ตำนานของอีกาผู้สร้าง ผู้หลอกลวง และผู้มอบแสงสว่างให้โลกจะไม่มีวันถูกลืม

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านแคนาดาเรื่องอีกากับมนุษย์กลุ่มแรก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… มนุษย์อาจเกิดมาอย่างไร้เดียงสา ไม่รู้จักโลก ไม่เข้าใจวิธีเอาตัวรอด แต่ด้วยการเรียนรู้ ปรับตัว และใช้ปัญญา เราสามารถสร้างที่อยู่ของตนเองและเติบโตขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้เป็นเจ้าของโลกเพียงผู้เดียว ธรรมชาติให้กำเนิดเรา และเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เราอยู่รอด หากเราลืมรากเหง้าและทำลายสมดุลของธรรมชาติ วันหนึ่งเราอาจพบว่าตัวเองต้องดิ้นรนอีกครั้ง

อีกาในเรื่องไม่ได้เป็นเพียงผู้สร้าง แต่ยังเป็นผู้เฝ้าดู เป็นสัญลักษณ์ของความเปลี่ยนแปลงและบทเรียนที่ธรรมชาติสอนเรา มนุษย์สามารถเดินไปข้างหน้าโดยไม่ต้องพึ่งพาเขา แต่พวกเขาต้องไม่ลืมว่า ทุกสิ่งในโลกนี้เชื่อมโยงถึงกัน การละเลยธรรมชาติหรือคิดว่าตนอยู่เหนือทุกสิ่ง อาจทำให้พวกเขากลับไปสู่จุดที่ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านแคนาดาเรื่องอีกากับมนุษย์กลุ่มแรก (อังกฤษ: The Raven and the First Men) เป็นตำนานพื้นเมืองของชนเผ่าไฮดา ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของแคนาดาและอะแลสกา ตำนานนี้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าการสร้างโลกที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นผ่านการเล่าเรื่อง งานศิลปะ และการแกะสลักเสาโทเท็ม

อีกาเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญของตำนานชนเผ่าพื้นเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกาเหนือ โดยมีบทบาทเป็นทั้งผู้สร้างและผู้หลอกลวง ตามเรื่องเล่า อีกาเป็นผู้ที่ขโมยแสงสว่างมาสู่โลกและค้นพบมนุษย์กลุ่มแรกที่ติดอยู่ในเปลือกหอยนางรม เขาช่วยพวกเขาออกมาและสอนให้พวกเขาใช้ชีวิตในโลกใบใหม่ เรื่องนี้สะท้อนถึงแนวคิดของชนเผ่าไฮดาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และบทบาทของสรรพสิ่งที่ช่วยหล่อหลอมโลก

ตำนานนี้ได้รับการถ่ายทอดผ่านงานศิลปะของชาวไฮดา หนึ่งในภาพที่โด่งดังที่สุดคือประติมากรรม “Raven and the First Men” แกะสลักโดยศิลปินชาวไฮดา บิล รีด ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย เรื่องราวของอีกาและมนุษย์กลุ่มแรกยังคงเป็นตำนานสำคัญของชนพื้นเมืองในภูมิภาคนี้ และเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมของแคนาดา

“มนุษย์เติบโตได้ด้วยปัญญา แต่หากละเลยธรรมชาติ สักวันอาจต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดอีกครั้ง”

นิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องเพโคส บิล คาวบอยมหากาฬ

แดนตะวันตกเป็นดินแดนของผู้กล้า ที่ซึ่งคาวบอยขี่ม้าผ่านทุ่งกว้าง มือปืนดวลกันกลางถนน และพายุฝุ่นหมุนวนไปตามขอบฟ้า ที่นี่เต็มไปด้วยเรื่องเล่านิทานพื้นบ้านสากลจากอเมริกา ทั้งตำนานของนักเดินทาง ผู้บุกเบิก และชายที่ไม่มีใครเทียบได้

ท่ามกลางผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ เรื่องราวหนึ่งยังคงถูกเล่าขาน เป็นเรื่องของชายผู้แข็งแกร่งเกินมนุษย์ ขี่ม้าผ่านพายุทอร์นาโด ควบคุมธรรมชาติด้วยมือเปล่า และฝากรอยเท้าไว้ในประวัติศาสตร์ของแดนตะวันตก เรื่องราวของเขาจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่ตำนานของเขาไม่มีวันเลือนหายไปจากผืนแผ่นดินนี้ กับนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องเพโคส บิล คาวบอยมหากาฬ

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องเพโคส บิล คาวบอยมหากาฬ

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องเพโคส บิล คาวบอยมหากาฬ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ แดนตะวันตกอันกว้างใหญ่ ที่ซึ่งดินแดนยังไม่ได้ถูกสำรวจ ถนนยังเป็นเพียงทางเกวียน และท้องฟ้ายังคงกว้างสุดลูกหูลูกตา ครอบครัวหนึ่งกำลังเดินทางอพยพไปตั้งรกรากใหม่ พวกเขานั่งอยู่บนเกวียนที่เต็มไปด้วยเสบียงและข้าวของเครื่องใช้ ในอ้อมกอดของแม่มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งชื่อเพโคส บิล

บิลเป็นเด็กแข็งแรงแต่ซุกซนเหลือเกิน ทุกครั้งที่พ่อจอดเกวียนพัก เขาจะคลานไปเล่นตามพุ่มไม้ ไม่เคยอยู่นิ่งเลย “เด็กคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นคาวบอยแน่ ๆ!” พ่อพูดพลางหัวเราะ

แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อขบวนเกวียนเดินทางเข้าใกล้แม่น้ำเพโคส (Pecos River) ถนนเต็มไปด้วยก้อนหินและพื้นดินขรุขระ ล้อเกวียนกระแทกเข้ากับก้อนหินอย่างแรง ทำให้สิ่งของในเกวียนกระเด็นออกมา และที่เลวร้ายที่สุด…

เพโคส บิลก็ตกลงไปในแม่น้ำด้วย! “บิล!!” แม่ร้องลั่น พ่อรีบกระโดดลงจากม้า แต่กระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดเด็กน้อยออกไปไกล ครอบครัวของบิลพยายามตามหาเขาหลายวัน แต่ไม่พบร่องรอยของเด็กชายเลย

ทุกคนคิดว่าบิลคงไม่รอดแล้ว… แต่พวกเขาคิดผิด

วันนั้น บิลออกล่าสัตว์ เขาวิ่งไปตามแนวหน้าผาเคียงข้างฝูงหมาป่า กลิ่นของกระต่ายป่าโชยมาแตะจมูก แต่ก่อนที่เขาจะได้พุ่งเข้าหาเหยื่อ เขากลับเห็นบางสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

กลางทุ่งหญ้าโล่ง มีกลุ่มคนแปลกหน้าแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาว หมวกปีกกว้าง และรองเท้าหนัง พวกเขากำลังล้อมวงรอบกองไฟ มีม้าผูกอยู่ข้าง ๆ และเสียงหัวเราะดังไปทั่ว

บิลขมวดคิ้ว เขาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่ดูคล้ายตัวเองมากขนาดนี้มาก่อน เขาค่อย ๆ คลานเข้าไปใกล้และหยุดยืนอยู่ในเงามืดของพุ่มไม้

“นั่นมันตัวอะไรกัน?” คาวบอยคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นดวงตาวาว ๆ จ้องมาทางพวกเขา

“เป็นหมาป่าหรือเปล่า?” อีกคนถาม

บิลก้าวออกมาจากเงามืด ร่างของเขาผอมเกร็งจากการใช้ชีวิตในป่า ผมยุ่งเหยิง และเขายืนในท่าทางที่ไม่ใช่มนุษย์ปกติ

คาวบอยทุกคนเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่ชายคนหนึ่งจะเอ่ยขึ้น “ให้ตายสิ เจ้าหนู! เจ้าคือมนุษย์!”

บิลขมวดคิ้ว “ไม่ ข้าเป็นหมาป่า”

ชายคนนั้นหัวเราะเสียงดังลั่น “หมาป่าที่ไหนกันล่ะ เจ้าดูยังไงก็เป็นมนุษย์ทั้งแท่ง”

บิลหันไปมองฝูงหมาป่าของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตั้งคำถามกับตัวเอง ทำไมเขาถึงไม่มีขนเหมือนพวกมัน ทำไมเขาถึงยืนสองขาได้ ทำไมเขาถึงไม่เคยหอนได้เหมือนหมาป่าตัวอื่น

เขาเริ่มเข้าใจว่าเขาไม่ใช่หมาป่า แต่เขาเป็นมนุษย์

เขาหันกลับไปมองคาวบอยกลุ่มนั้น และในใจของเขาเริ่มเกิดความสงสัย บางที… นี่อาจเป็นโอกาสของเขาที่จะรู้จักตัวเองมากขึ้น

คาวบอยกลุ่มนั้นพาบิลกลับมาที่ฟาร์ม และเริ่มสอนให้เขาใช้ชีวิตแบบมนุษย์ เขาเรียนรู้วิธีใช้ไฟ วิธีสวมเสื้อผ้า วิธีขี่ม้า แต่สำหรับบิลแล้ว ทุกอย่างดูแปลกใหม่และน่าเบื่อเกินไป

จนกระทั่งเขาได้เจอกับ “เจ้าม้าดุร้าย” ที่ไม่มีใครเชื่องได้

เจ้าม้าตัวนี้เป็นสัตว์ที่ดุที่สุดในแดนตะวันตก มันเตะทุกคนที่เข้าใกล้และไม่มีใครขี่มันได้ คาวบอยทุกคนต่างหวาดกลัวมันและปล่อยให้มันอยู่ตามลำพัง

แต่บิลมองมันด้วยรอยยิ้ม เขาเดินตรงเข้าไปหามันโดยไม่ลังเล ม้าพยายามสะบัดเขาออก แต่มือของบิลแข็งแกร่งเกินไป เขากระโดดขึ้นหลังมันและเกาะแน่น

ม้าพยายามกระโจนขึ้นฟ้า หมุนตัวไปมา กวาดหางฟาดลงกับพื้น แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่สามารถสลัดบิลออกไปได้

เวลาผ่านไปนานกว่าครึ่งชั่วโมง จนในที่สุดเจ้าม้าก็หมดแรงและยอมศิโรราบ บิลตบบ่ามันเบา ๆ แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นของข้าแล้ว เจ้าตัวแสบ”

ตั้งแต่นั้นมา เขาไม่ใช่เด็กที่ถูกเลี้ยงโดยหมาป่าอีกต่อไป เขากลายเป็นคาวบอยที่เก่งกาจที่สุด ขี่ม้าเร็วราวสายฟ้า ใช้แส้ได้ไวและแม่นยำจนสามารถฟาดต้นไม้ให้ล้มลงได้ และไม่มีใครในแดนตะวันตกที่กล้าเทียบฝีมือกับเขา

ชื่อของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่ว ในดินแดนที่เต็มไปด้วยคาวบอยผู้กล้าหาญ ไม่มีใครที่เก่งกว่าบิล ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ใช่แค่คาวบอยธรรมดา แต่เขาคือ “เพโคส บิล” ตำนานแห่งแดนตะวันตก

แต่เรื่องราวของเขายังไม่จบเพียงเท่านี้ ตำนานของเพโคส บิลยังคงถูกเล่าขานไปอีกยาวนาน

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องเพโคส บิล คาวบอยมหากาฬ 2

ชีวิตของเพโคส บิลหลังจากมาอยู่กับคาวบอยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาเรียนรู้ทุกอย่างที่มนุษย์ต้องรู้ แต่เขาไม่ได้เป็นแค่คาวบอยธรรมดา เขากลายเป็นคาวบอยที่เก่งที่สุดในแดนตะวันตก ไม่มีใครขี่ม้าได้เร็วกว่าเขา ไม่มีใครใช้แส้ได้แรงกว่าเขา และแน่นอน ไม่มีใครบ้าบิ่นเท่าเขา

วันหนึ่ง คาวบอยในฟาร์มนั่งล้อมวงเล่าเรื่องราวเกินจริงกันตามประสา มีคนพูดถึงจระเข้ยักษ์ที่ดุร้าย มีคนโม้ว่าเขาเคยยิงปืนถูกนกที่กำลังบินกลางอากาศ แต่เมื่อพูดถึงเพโคส บิล ทุกคนต่างเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและพูดเป็นเสียงเดียวกัน

“แต่ไม่มีใครเทียบได้กับบิล…” เขาเป็นตำนานที่มีชีวิต และทุกเรื่องที่เล่าถึงเขาก็ดูเกินจริงเสียจนไม่มีใครกล้าคัดค้าน

ว่ากันว่าบิลสร้างแม่น้ำริโอแกรนด์ด้วยแส้ของเขา ในวันหนึ่งที่อากาศร้อนจัด เขาฟาดแส้ลงพื้นจนเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ และน้ำก็พุ่งออกมาจากใต้ดินกลายเป็นแม่น้ำสายยาวที่ไหลผ่านแดนตะวันตกมาจนถึงปัจจุบัน

“ข้าว่าข้าหิวน้ำแล้ว” บิลเคยพูดขึ้นมากลางวงคาวบอย จากนั้นเขาก็เดินไปที่แม่น้ำ รวบกำปั้นตักน้ำขึ้นมาดื่ม แล้วแม่น้ำทั้งสายก็แห้งไปครึ่งวัน

“เจ้าโม้หรือเปล่า?” คาวบอยหนุ่มคนหนึ่งพูดพลางหัวเราะ

“ข้าไม่เคยโม้ ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ลองไปดูแม่น้ำพรุ่งนี้เช้า มันจะเต็มเหมือนเดิม ข้าแค่หยิบยืมมาดื่มชั่วคราวเท่านั้น”

ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนแต่ง แต่ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องของบิล พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาคือคาวบอยที่บ้าบิ่นและเก่งที่สุดที่เคยมีมา

วันหนึ่ง บิลเดินทางไปเจอกับพายุที่รุนแรงที่สุดในรอบร้อยปี ลมกรรโชกแรงจนคาวบอยทุกคนต้องรีบหาที่หลบภัย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่บิลจะทำ เขายืนกอดอกมองดูท้องฟ้าที่ดำมืด ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง

“เจ้าพายุ เอ็งคิดว่าข้าจะกลัวเจ้างั้นรึ?” แทนที่เขาจะหลบ บิลกระโดดขึ้นไปบนพายุทอร์นาโด ใช้มือเปล่าจับกระแสลมหมุน แล้วใช้แส้ฟาดมันเหมือนเป็นม้าตัวหนึ่ง พายุสะบัดไปมาอย่างดุเดือด แต่บิลก็ควบคุมมันได้ในที่สุด

“ข้าคิดว่าเจ้าควรจะไปทางใต้มากกว่า!” เขาควบพายุไปจนพ้นเมือง เปลี่ยนเส้นทางของมันให้พัดไปยังที่ที่ไม่มีใครอาศัยอยู่ จากนั้นเขาก็กระโดดลงมา ตบมือลงบนพื้นแล้วเดินกลับเข้าเมืองราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไม่มีใครในแดนตะวันตกที่กล้าทำสิ่งที่เพโคส บิลทำ ไม่มีใครกล้าท้าทายธรรมชาติได้แบบเขา

แม้เพโคส บิลจะเป็นคาวบอยที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนตะวันตก แต่เขาก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง หัวใจของเขาก็ยังคงโหยหาความรัก วันหนึ่งเขาได้พบกับหญิงสาวที่ไม่เหมือนใคร เธอชื่อสลู-ฟุท ซู หญิงคาวเกิร์ลที่กล้าหาญและบ้าบิ่นไม่แพ้เขา

ซูไม่ได้ขี่ม้าเหมือนคนทั่วไป เธอขี่เสือภูเขาแทน และว่ากันว่าเธอสามารถใช้แส้สะบัดสายฟ้าบนท้องฟ้าให้เปลี่ยนทิศทางได้

“เจ้าคิดว่าเจ้าขี่ม้าเก่งที่สุดในแดนตะวันตกแล้วรึ?” ซูเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มท้าทาย

“ข้าไม่เคยคิดว่าข้าต้องแข่งกับใคร ข้าก็แค่เก่งที่สุดโดยธรรมชาติ” บิลหัวเราะ “งั้นเจ้ามาแข่งกับข้าดูสิ ข้าขี่เสือภูเขา เจ้าขี่ม้าของเจ้า ใครไปถึงภูเขาฝั่งนู้นก่อนเป็นฝ่ายชนะ!”

ไม่มีใครเคยกล้าท้าทายเพโคส บิลแบบนี้มาก่อน เขามองเธอด้วยแววตาสนุกสนาน ก่อนจะพยักหน้า “ตกลง ถ้าเจ้าชนะ ข้าจะให้เจ้าขี่ทอร์นาโดของข้า!”

ซูหัวเราะเสียงดัง “แล้วถ้าเจ้าชนะล่ะ? เจ้าต้องแต่งงานกับข้า!”

การแข่งขันเริ่มขึ้น พวกเขาควบม้าและเสือภูเขาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พายุฝุ่นฟุ้งตลบ เสือภูเขาของซูเร็วกว่าใคร แต่บิลก็ไม่ยอมแพ้ ขาของเขากดลงบนอานม้าแน่นขึ้น แล้วเขาก็กระโจนขึ้นไปบนหลังของพายุที่เขาคุ้นเคย

“ข้าบอกแล้วว่าข้าขี่ทอร์นาโดได้!” ซูมองเขาอย่างตะลึงก่อนจะหัวเราะเสียงดัง พวกเขาไปถึงภูเขาพร้อมกัน ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ

แต่สุดท้าย ซูก็ตกลงแต่งงานกับบิล

คืนแต่งงานเต็มไปด้วยความสนุกสนาน คาวบอยจากทั่วแดนตะวันตกต่างมาร่วมงาน ไม่มีใครเคยเห็นคู่รักที่เหมาะสมกันขนาดนี้มาก่อน ทุกคนต่างพูดว่า ถ้ามีใครสักคนที่ควรค่าแก่การเป็นภรรยาของเพโคส บิล คนคนนั้นก็คือสลู-ฟุท ซู

แต่ในคืนนั้นเอง ซูต้องการพิสูจน์ว่าเธอแข็งแกร่งพอจะเป็นภรรยาของบิล เธอกระโดดขึ้นขี่ปลาวาฬในแม่น้ำ เธอสามารถควบคุมมันได้อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่มันจะสะบัดตัวเธอออก เธอตกลงไปในน้ำและหายไป ไม่มีใครพบร่างของเธออีกเลย

เพโคส บิลหัวใจสลาย เขาเดินออกจากงานแต่งงานโดยไม่พูดอะไรอีกเลย แล้วเดินเข้าไปในทะเลทราย ไม่มีใครพบเห็นเขาอีก

บางคนบอกว่าเขาตายอยู่กลางทะเลทราย บางคนเชื่อว่าเขาขี่พายุหายไปและยังคงอยู่ที่ไหนสักแห่งเหนือท้องฟ้าในแดนตะวันตก

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเพโคส บิลจากไปที่ไหน แต่ตำนานของเขาไม่เคยเลือนหายไปจากประวัติศาสตร์ของอเมริกา ตราบใดที่ยังมีคาวบอยขี่ม้าอยู่ในแดนตะวันตก เรื่องราวของชายผู้บ้าบิ่นที่สุดเท่าที่เคยมีมาจะยังคงถูกเล่าขานตลอดไป

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องเพโคส บิล คาวบอยมหากาฬ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความกล้าหาญและความบ้าบิ่นอาจทำให้กลายเป็นตำนาน แต่แม้ผู้แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่อาจควบคุมทุกสิ่งได้ เพโคส บิลเป็นคาวบอยที่ไม่มีใครเทียบได้ เขาท้าทายธรรมชาติ ควบคุมพายุ และสร้างตำนานที่ไม่มีวันเลือนหาย แต่สุดท้าย แม้แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดยั้งโชคชะตาได้

เรื่องราวของเขาเตือนให้เรารู้ว่าไม่มีใครเป็นผู้ชนะตลอดไป แม้จะเก่งกาจเพียงใด ก็ยังมีสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ แต่ตราบใดที่ยังมีคนเล่าขานถึงวีรกรรมของเขา ตำนานของเพโคส บิลจะไม่มีวันตาย

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องเพโคส บิล คาวบอยมหากาฬ (อังกฤษ: Pecos Bill) ตำนานของเพโคส บิลมีต้นกำเนิดจากเรื่องเล่าของคาวบอยในแดนตะวันตกของอเมริกา ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวรรณกรรมแนว Tall Tales หรือ “เรื่องเล่าขยายความเกินจริง” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้บุกเบิกและนักเดินทางที่ต้องการเล่าเรื่องให้สนุกและน่าตื่นเต้น

เรื่องราวของเพโคส บิลได้รับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดย Edward O’Reilly ผู้เขียนบทความเกี่ยวกับเขาในนิตยสาร The Century Magazine ก่อนจะนำมาตีพิมพ์ในหนังสือ Saga of Pecos Bill ซึ่งทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

ตำนานของเพโคส บิลสะท้อนถึงจิตวิญญาณของชาวแดนตะวันตก ที่ต้องเผชิญกับธรรมชาติอันโหดร้ายแต่ก็สามารถเอาชนะมันได้ เขาถูกเล่าว่าเป็นคาวบอยที่แข็งแกร่งและบ้าบิ่นที่สุด สามารถเชื่องม้าดุร้าย ขี่พายุทอร์นาโด และสร้างแม่น้ำด้วยแส้ของเขาเอง ตำนานของเขาจึงมีลักษณะคล้ายกับเรื่องของพอล บันยันกับเบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์ (Paul Bunyan and Babe the Blue Ox) หรือ จอห์น เฮนรี่ (John Henry) ที่เป็นตัวแทนของ “วีรบุรุษผู้สร้างอเมริกา”

แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าเพโคส บิลเคยมีตัวตนจริง แต่เรื่องราวของเขาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมคาวบอยและแดนตะวันตก และยังคงถูกเล่าขานในหนังสือเด็ก ภาพยนตร์ และแอนิเมชัน จนกลายเป็นหนึ่งในตำนานพื้นบ้านที่สำคัญของอเมริกา

“ไม่มีผู้ใดควบคุมทุกสิ่งได้ แม้แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะสุดท้ายแล้ว ธรรมชาติและโชคชะตายิ่งใหญ่กว่ามนุษย์เสมอ”

นิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องพอล บันยันกับเบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์

ในดินแดนอันกว้างใหญ่ของอเมริกา มีเรื่องเล่าตำนานนิทานพื้นบ้านสากล ถึงชายผู้หนึ่งชายร่างยักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาไม่ใช่แค่คนตัดไม้ธรรมดา แต่เป็นผู้ที่สามารถเปลี่ยนภูมิประเทศได้ด้วยมือเปล่า และมีคู่หูเป็นวัวน้ำเงินขนาดมหึมา เรื่องราวของเขายิ่งใหญ่จนไม่มีใครแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือเพียงตำนาน แต่ไม่ว่าอย่างไร ชื่อของเขายังคงก้องอยู่ในทุกผืนป่าที่เคยถูกโค่น และในทุกแม่น้ำที่เคยไหลผ่านรอยเท้าของเขา

นี่คือเรื่องราวของพอล บันยันและเบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์ เรื่องเล่าของชายผู้สร้างโลก แต่สุดท้าย… ก็ถูกโลกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล กับนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องพอล บันยันกับเบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องพอล บันยันกับเบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องพอล บันยันกับเบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ว่ากันว่า ครั้งหนึ่ง ในคืนที่หนาวที่สุดของปี พายุหิมะโหมกระหน่ำหนักจนป่าทั้งผืนถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง และในคืนนั้นเอง เด็กชายคนหนึ่งก็ถือกำเนิดขึ้นมา

เขาไม่ได้เป็นเด็กธรรมดา… เขาคือพอล บันยัน! ตั้งแต่วินาทีที่เขาเกิด โลกก็แทบสั่นสะเทือน ว่ากันว่าต้องใช้ขวานตัดไม้ขนาดใหญ่เพื่อตัดสายรกของเขา และเมื่อเขาหาวครั้งแรกเกิดพายุหิมะกระจายไปทั่วหุบเขา

“เด็กคนนี้ต้องเป็นคนพิเศษแน่ ๆ!” หญิงชราผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านกล่าว และพอล บันยันก็เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่ตัวใหญ่กว่าคนปกติถึงสิบเท่า!

เมื่อเขาอายุเพียงขวบเดียว พ่อแม่ของเขาต้องสร้างเปลเด็กขนาดเท่าเรือสำราญ ให้เขานอน และทุกครั้งที่พอลคว่ำตัว เกิดแผ่นดินไหวจนหน้าต่างทุกบ้านสั่นสะเทือน “โอ๊ย! พอล! เจ้าต้องระวังตัวหน่อยสิ!” แม่ของเขาต้องตะโกนเตือนทุกวัน

แต่พอลไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น เขาแค่เกิดมาพร้อมพลังที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน!

เมื่อเขาเริ่มกินอาหาร พ่อแม่ของเขาพบว่าลูกชายของพวกเขามีความหิวระดับยักษ์ พ่อของเขาต้องเตรียมอาหารใส่เกวียนขนาดใหญ่เพียงพอสำหรับผู้ใหญ่สิบคน ทุกมื้อ “กินเยอะขนาดนี้ พ่อกับแม่จะหมดตัวก่อนเจ้าจะโตพอดี!” พ่อของเขาแซว

และเมื่อพอล บันยันโตขึ้น เขาก็ยิ่งสูงใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาเริ่มเดินทุกก้าวที่เขาเหยียบทำให้พื้นดินเป็นหลุมขนาดใหญ่ เมื่อเขาลงไปเล่นน้ำในแม่น้ำน้ำเอ่อล้นไปท่วมฟาร์มของเพื่อนบ้าน และเมื่อเขาเล่นกับสัตว์ในป่ากวางและหมาป่าต้องหนีไปให้ไกลที่สุดเพราะเขาตัวใหญ่เกินไปสำหรับพวกมัน

แต่พอลเป็นเด็กที่จิตใจดีและรักธรรมชาติ เขาชอบช่วยเหลือผู้คน และแม้จะตัวใหญ่ขนาดนี้ เขาไม่เคยใช้พลังของตัวเองเพื่อทำร้ายใครเลย

วันหนึ่ง ขณะที่พายุหิมะพัดแรงที่สุดในรอบหลายปี พอลเดินออกไปสำรวจป่า และสิ่งที่เขาเจอก็เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล

ตรงนั้นกลางทุ่งหิมะขาวโพลน มีบางสิ่งกำลังสั่นเทาด้วยความหนาว… มันคือลูกวัวตัวหนึ่ง แต่ไม่ใช่วัวธรรมดา มันเป็นวัวที่มีสีฟ้าสดใส ตั้งแต่หัวจรดหาง! มันคือเบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์!

พอลเห็นเจ้าวัวตัวน้อยสั่นด้วยความหนาว เขาจึงอุ้มมันขึ้นมาในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม “เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้ เจ้าตัวเล็ก?” พอลพูดเบา ๆ

เบ๊บมองเขาด้วยดวงตากลมโต แม้วัวตัวนี้จะดูไม่เหมือนวัวตัวอื่น แต่มันก็ไม่กลัวพอลเลย พอลจึงตัดสินใจพามันกลับบ้าน และตั้งชื่อให้มันว่าเบ๊บ “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจะเป็นเพื่อนข้า เบ๊บ!”

เบ๊บเติบโตอย่างรวดเร็ว มันกินอาหารมากพอ ๆ กับพอล และตัวมันก็ใหญ่ขึ้นทุกวัน

ในเวลาไม่นาน พวกเขาก็กลายเป็น คู่หูที่แยกจากกันไม่ได้

พอลกับเบ๊บเริ่มออกเดินทางไปทั่วดินแดนอเมริกา พวกเขาผ่านป่าเขา แม่น้ำ และที่ราบกว้างใหญ่ พอลค้นพบว่าพลังของเขาสามารถใช้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้

เขาเริ่มทำงานเป็นคนตัดไม้ และแน่นอนว่าขวานของพอลก็ต้องพิเศษไม่แพ้ตัวเขา ขวานของพอลใหญ่เท่ากับต้นไม้ทั้งต้น!

และเมื่อพอลเหวี่ยงขวานครั้งเดียว ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดก็ล้มลงในพริบตา

เบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์ ก็คอยช่วยเขาลากซุงออกจากป่า ด้วยพลังที่มหาศาลของมัน

“ข้าว่าข้ากับเจ้าจะช่วยสร้างอะไรดี ๆ ให้ผู้คนได้นะ เบ๊บ!” และเขาพูดถูก พอลและเบ๊บสามารถ ตัดไม้ได้มากกว่าทีมตัดไม้ทั้งหมดในประเทศรวมกัน

พวกเขาทำงานหนัก สร้างเส้นทางและเปิดทางใหม่ ๆ ให้กับผู้คน ว่ากันว่า ทะเลสาบและแม่น้ำใหญ่หลายแห่งของอเมริกาเกิดขึ้นจากรอยเท้าของพอล!

ตำนานของพอล บันยันและเบ๊บ วัวน้ำเงินเริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่ว ทุกคนต่างเล่าขานถึงชายร่างยักษ์ที่มีพลังมากพอจะเปลี่ยนภูมิประเทศของอเมริกาได้เพียงลำพัง!

แต่เรื่องราวของพวกเขายังไม่จบเพียงเท่านี้…

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องพอล บันยันกับเบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์ 2

เมื่อเรื่องราวของพอล บันยันและเบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์ แพร่กระจายไป ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างเล่าขานถึงความแข็งแกร่งของเขา หลายคนสงสัยว่าเขาเป็นมนุษย์จริง ๆ หรือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา

ว่ากันว่า พอลเป็นคนสร้างภูมิประเทศของอเมริกา!

  • “แม่น้ำมิสซิสซิปปีเกิดจากการลากขวานของพอลบนพื้นดิน” เมื่อเขาลากขวานผ่านหุบเขา ดินก็แยกออก และแม่น้ำก็ไหลผ่านช่องนั้นจนกลายเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
  • “เทือกเขาร็อกกี้เกิดขึ้นจากขี้เลื่อยของพอลตอนตัดต้นไม้” ว่ากันว่าพอลตัดต้นไม้มากเสียจนขี้เลื่อยกองพะเนินกลายเป็นภูเขาสูงตระหง่าน
  • “ทะเลสาบใหญ่ทั้งห้าของอเมริกาเกิดจากรอยเท้าของเบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์” เพราะทุกครั้งที่เบ๊บเดินไปตามทาง มันเหยียบพื้นดินจนเป็นหลุมขนาดใหญ่ และเมื่อฝนตก น้ำก็เติมเต็มจนกลายเป็นทะเลสาบ

ทุกคนที่เคยพบพอลต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีใครเทียบเทียมเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นคนตัดไม้ นายพราน หรือคาวบอยผู้เก่งกาจ

แต่พอลไม่เคยใช้พลังของเขาเพื่ออวดอ้างหรือข่มเหงใคร เขาเป็นคนใจดี และเชื่อว่าพลังของเขาควรถูกใช้เพื่อสร้าง ไม่ใช่เพื่อทำลาย

เขาเดินทางไปทั่วอเมริกา ใช้ขวานของเขาตัดไม้เพื่อเปิดทางให้กับผู้คน และสร้างเส้นทางใหม่ ๆ ที่ช่วยให้ประเทศเติบโตขึ้น

แต่ไม่ว่าเขาจะเดินทางไปที่ไหน เบ๊บ วัวน้ำเงินก็ยังคงเป็นเพื่อนคู่ใจของเขาเสมอ

หลายปีผ่านไป อเมริกาเริ่มเปลี่ยนไป เมืองเติบโตขึ้น เทคโนโลยีก้าวหน้า และเครื่องจักรเริ่มเข้ามาแทนที่แรงงานคน

โรงเลื่อยจักรกลสามารถตัดต้นไม้ได้เร็วขึ้น รถไฟสามารถขนไม้ไปได้ไกลกว่าเดิม คนตัดไม้ที่เคยทำงานร่วมกับพอลเริ่มหายไปทีละคน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่แม้แต่พอลเองก็ไม่อาจหยุดยั้งได้

เขาเริ่มสงสัยว่า โลกนี้ยังต้องการชายที่ตัวใหญ่เกินไปสำหรับเมืองและเครื่องจักรหรือไม่

วันหนึ่ง พอลและเบ๊บยืนมองดูเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยปล่องไฟและรถไฟไอน้ำ เขายิ้มบาง ๆ แล้วเอื้อมมือลูบคอเบ๊บ

“ดูเหมือนว่า ถึงเวลาของเราจะหมดลงแล้วนะ เจ้าคู่หู” เบ๊บมองเขาด้วยสายตาเข้าใจ

ว่ากันว่าพอลและเบ๊บเดินทางเข้าไปในป่าลึก ที่ไม่มีใครรู้จัก และไม่เคยมีใครพบเห็นเขาอีกเลย

แต่บางคนเชื่อว่า พอล บันยันไม่ได้จากไปจริง ๆ

พวกเขาเชื่อว่าในคืนที่พายุโหมกระหน่ำที่สุด ในค่ำคืนที่ฟ้าร้องดังที่สุด หากเงี่ยหูฟังให้ดี… เสียงก้องของฟ้าร้องอาจไม่ใช่แค่เสียงพายุ แต่มันอาจเป็นเสียงขวานของพอลที่ยังคงฟาดลงบนต้นไม้อยู่ที่ไหนสักแห่ง

และเบ๊บ… วัวน้ำเงินในตำนาน อาจยังคงเดินเคียงข้างชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกา

ตำนานของพอล บันยันและเบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์ ยังคงถูกเล่าขานไปตลอดกาล…

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องพอล บันยันกับเบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… แม้พลังจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา พอล บันยันคือชายผู้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ด้วยสองมือ แต่เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคของเครื่องจักร ความยิ่งใหญ่ของเขาก็ถูกแทนที่ เขาไม่ได้พ่ายแพ้ต่อใคร แต่พ่ายแพ้ต่อกาลเวลา

เรื่องราวของพอลเตือนให้เรารู้ว่าไม่มีผู้ใดยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะทรงพลังหรือเก่งกาจเพียงใด สุดท้ายทุกสิ่งต้องหลีกทางให้อนาคต แต่สิ่งที่ยังคงอยู่ตลอดไป คือตำนานของผู้ที่ใช้พลังของตนเพื่อสร้างสรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำลาย

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องพอล บันยันกับเบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์ (อังกฤษ: Paul Bunyan and Babe the Blue Ox) เป็นหนึ่งในนิทานพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงที่สุดของอเมริกา ต้นกำเนิดของเรื่องนี้มาจากกลุ่มคนตัดไม้ในแถบอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะในรัฐมินนิโซตา วิสคอนซิน และมิชิแกน ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมตัดไม้ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

เรื่องราวของพอล บันยัน เริ่มต้นจากตำนานเล่าขานกันปากต่อปาก ในหมู่คนตัดไม้ โดยพวกเขาสร้างเรื่องราวของชายร่างยักษ์ที่สามารถตัดไม้ได้เร็วและมากกว่าคนทั่วไปเพื่อขยายขอบเขตงานของพวกเขา พอลจึงกลายเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่ง ความขยัน และจิตวิญญาณแห่งแรงงานอเมริกัน

ตำนานของพอลถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกโดย James MacGillivray ในปี 1906 ผ่านบทความในหนังสือพิมพ์ และต่อมา William B. Laughead ได้นำเรื่องราวนี้มาปรับแต่งให้เป็นนิทานพื้นบ้านที่แพร่หลายมากขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20

“Babe the Blue Ox” หรือเบ๊บ วัวน้ำเงินยักษ์ ถูกเพิ่มเข้ามาในเรื่องราวภายหลัง และกลายเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพและความซื่อสัตย์ของพอล บันยัน

เมื่ออุตสาหกรรมตัดไม้เริ่มลดลง และเครื่องจักรเข้ามาแทนที่แรงงานคน เรื่องราวของพอล บันยันก็เริ่มสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกและการเลือนหายไปของยุคแรงงานแบบเดิม ทำให้ตำนานนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวของชายผู้แข็งแกร่ง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านทางประวัติศาสตร์ของอเมริกา

ปัจจุบัน ตำนานของพอล บันยันยังคงถูกเล่าขานผ่านหนังสือเด็ก แอนิเมชัน รูปปั้นขนาดใหญ่ในหลายรัฐของสหรัฐฯ และยังเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมอเมริกันมากที่สุด

“แม้จะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่มีใครแข็งแกร่งไปกว่ากาลเวลา และไม่มีสิ่งใดคงอยู่ตลอดไป นอกจากเรื่องราวที่เราทิ้งไว้ให้โลกจดจำ”

นิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องกลับมาที่ฟาร์มแล้วเกิดอะไรขึ้น!?

ในดินแดนตะวันตกอันกว้างใหญ่ มีเรื่องเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากอเมริกา โดยเรื่องราวธรรมดาที่ทุกวันดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ชาวเมืองใช้ชีวิตตามจังหวะของเวลา ไม่มีใครรีบร้อน ไม่มีเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ให้กล่าวถึง ทุกอย่างดูปกติเสียจนไม่น่าจะมีเรื่องราวอะไรให้เล่าขาน

แต่บางครั้ง ในวันที่ดูธรรมดาที่สุด สิ่งที่ไม่ธรรมดาก็อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครคาดคิด และเมื่อเรื่องราวสองด้านดำเนินไปพร้อมกัน บางคนอาจกำลังพบกับวันที่น่าเบื่อที่สุด ขณะที่อีกคนอาจกำลังพบกับโชคชะตาที่เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล กับนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องกลับมาที่ฟาร์มแล้วเกิดอะไรขึ้น!?

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องกลับมาที่ฟาร์มแล้วเกิดอะไรขึ้น

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องกลับมาที่ฟาร์มแล้วเกิดอะไรขึ้น!?

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ท่ามกลางที่ราบกว้างใหญ่ของรัฐเท็กซัส มีฟาร์มเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่กลางพื้นที่แห้งแล้ง แต่ก็เต็มไปด้วยวัว ไก่ และคอกม้าเจ้าปัญหา เจ้าของฟาร์มคือคุณลุงเท็กซัสกับคุณนายเท็กซัส คู่สามีภรรยาที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ทุกวันของพวกเขาเหมือนกันเป๊ะ ตื่นเช้า เลี้ยงวัว เก็บไข่ กินข้าว แล้วก็นอน

แต่วันนั้นไม่เหมือนวันอื่น เพราะคุณลุงเท็กซัสต้องเข้าเมืองไปทำธุระ

ตอนเช้าตรู่ ขณะที่ดวงอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า คุณลุงเท็กซัสสวมหมวกคาวบอยใบเก่า ปัดฝุ่นออกจากเสื้อ ก้าวขึ้นหลังม้า แล้วหันไปหาภรรยา

“วันนี้ผมต้องเข้าเมือง ไปทำธุระที่ไปรษณีย์ แล้วอาจแวะดื่มกาแฟที่คาเฟ่” เขาพูดเสียงเนือย ๆ “คงกลับเย็น ๆ นะ อย่ารอข้าวเย็นล่ะ”

คุณนายเท็กซัสพยักหน้า “ไปดีมาดีนะที่รัก อย่าเผลอหลับกลางทางล่ะ”

คุณลุงเท็กซัสถอนหายใจแรง ๆ เขารู้ว่าเมืองนี้น่าเบื่อแค่ไหน “ถนนเต็มไปด้วยฝุ่น ร้านค้าเล็ก ๆ ที่ไม่มีอะไรขายนอกจากถั่ว กาแฟ และเชือกผูกวัว ผู้คนที่เคลื่อนที่ช้ากว่ารถม้าพัง ๆ”

“เฮ้อ… วันนี้คงไม่มีอะไรพิเศษหรอก” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนกระตุกบังเหียน ควบม้าออกจากฟาร์มไป

เขาไม่รู้เลยว่า เขากำลังพลาดวันที่บ้าคลั่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟาร์มตัวเอง!

แต่กลับมาที่ฟาร์ม… เรื่องไม่ธรรมดากำลังจะเกิดขึ้น!

หลังจากคุณลุงเท็กซัสออกไปคุณนายเท็กซัสเดินออกมานั่งชิล ๆ บนเก้าอี้โยกหน้าบ้าน ลมพัดเอื่อย ๆ เธอจิบชามะนาว คิดว่า วันนี้คงเป็นวันที่เงียบสงบเหมือนทุกวัน …จนกระทั่ง ได้ยินเสียงดังมาจากเล้าไก่!

“ก๊อก ๆ ๆ ๆ!” เธอลุกขึ้นเดินไปดู และทันใดนั้น ตาเบิกกว้างสุดขีด

ไก่ในฟาร์มออกไข่เป็นร้อยฟองภายในพริบตา! “โอ้โห! นี่มันอะไรกันเนี่ย!?” เธออุทานเสียงหลง

เธอยังไม่ทันตั้งตัว เสียงจากคอกวัวก็ดังสนั่นขึ้นอีก! “มออออออ!” คุณนายเท็กซัสรีบเดินไปดู และต้องตะลึงยิ่งกว่าเดิม

ฝูงวัวในฟาร์มเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า! เมื่อเช้าเธอจำได้ว่ามีวัวอยู่แค่สิบกว่าตัว แต่ตอนนี้… วัวเดินกันแน่นฟาร์ม! บางตัวยังกินหญ้าอยู่สบายใจ แต่บางตัวดูเหมือนจะงง ๆ ว่า ตัวเองมาจากไหน

“นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า?” เธอพึมพำ พลางบีบแขนตัวเอง

ยังไม่จบแค่นั้น… จู่ ๆ ก็มีกลิ่นน้ำมันโชยขึ้นมาจากพื้นดิน! เธอหันไปมอง และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าทำให้เธอแทบเป็นลม! บ่อน้ำมันพุ่งขึ้นจากใต้ดินเป็นสาย! “พระเจ้า! ฟาร์มนี้มีน้ำมัน! เรารวยแล้ว!”

เธอยืนมองตาค้างน้ำมันดำ ๆ พุ่งขึ้นสูงราวกับน้ำพุ แถมมีฝูงไก่กับวัว มุงดูเหมือนพวกมันก็ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

จากฟาร์มบ้าน ๆ ตอนเช้า ตอนนี้กลายเป็นฟาร์มเศรษฐีในชั่วข้ามวัน!

คุณนายเท็กซัสนั่งลงบนเก้าอี้โยก ค่อย ๆ จิบมะนาวต่อ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แล้วลุงเท็กซัสสามีฉันจะว่ายังไงนะเนี่ย…” เธอยิ้มบาง ๆ รอให้เขากลับมาเจอเซอร์ไพรส์ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต!

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องกลับมาที่ฟาร์มแล้วเกิดอะไรขึ้น 2

ขณะที่ฟาร์มกำลังกลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์ คุณลุงเท็กซัสยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง เขากำลังใช้ชีวิตที่น่าเบื่อที่สุดในโลก

เมืองที่เขาไปเป็นเมืองเล็ก ๆ กลางทะเลทราย ถนนดินแดงแห้งแล้ง ตึกไม้เก่า ๆ ข้างทางเต็มไปด้วยฝุ่น รถม้าแล่นผ่านไปแบบไม่รีบร้อน และคนในเมือง… เคลื่อนที่ช้ากว่าเต่าคลาน

คุณลุงเท็กซัสถอนหายใจ “เอาล่ะ มาทำธุระให้เสร็จเร็ว ๆ แล้วกลับบ้านกันดีกว่า…”

เขาจูงม้าเข้าไปจอดที่หน้าคาเฟ่ ซึ่งเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมพัดผ่านประตูไม้ ภายในร้านมีชายแก่สองคนนั่งจิบกาแฟเงียบ ๆ นายอำเภอเอนตัวพิงเก้าอี้ หาววอดใหญ่ เขาสั่งกาแฟ แล้วรอ…

ผ่านไป 10 นาที พนักงานยังคงคนกาแฟอยู่ “อืม… นี่ผมต้องรออีกนานไหมเนี่ย…” คุณลุงเท็กซัสบ่นกับตัวเอง

20 นาทีผ่านไป ในที่สุดกาแฟก็ถูกเสิร์ฟ เขายกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แล้วรีบไปทำธุระต่อ

ต่อไปคือ ไปรษณีย์… เขาเดินไปที่ อาคารไม้เก่าที่มีพนักงานเพียงคนเดียว ซึ่งกำลังติดแสตมป์ให้ลูกค้าคนหนึ่งอยู่ คุณลุงเท็กซัสยืนรอ…

ผ่านไป 15 นาที พนักงานยังคงค่อย ๆ ยกแสตมป์ขึ้น… เล็งมุม… แล้วกดลงไปแบบพิถีพิถัน

คุณลุงเท็กซัสแทบจะกรีดร้องออกมา “ติดแสตมป์หรือวาดภาพโมนาลิซาอยู่กันแน่!?”

จากนั้น เขาเดินไปตลาด… ร้านขายของชำมีแค่ ถั่ว เชือก และฟาง พ่อค้าใช้เวลาคิดเงินให้ลูกค้าคนหนึ่ง นานเท่ากับการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำ

ทุกอย่างที่นี่เดินไปอย่างเชื่องช้า… และมันเป็นวันที่น่าเบื่อที่สุดในชีวิตเขา! “ให้ตายสิ! คิดถึงฟาร์มแล้ว!” คุณลุงเท็กซัสพึมพำกับตัวเอง

พระอาทิตย์เริ่มตกดิน เขากระโดดขึ้นหลังม้าและควบกลับบ้าน “หวังว่าฟาร์มจะยังเป็นฟาร์มเดิมที่รู้จักนะ…”

คุณลุงเท็กซัสขี่ม้ากลับบ้านด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาคิดถึง ฟาร์มเก่า ๆ ของเขา ที่เงียบสงบ ไม่มีอะไรให้เซอร์ไพรส์ แต่พอเขามาถึงหน้าฟาร์ม… เขาถึงกับกระตุกบังเหียนม้าจนหยุดกะทันหัน

ดวงตาเบิกกว้าง หมวกคาวบอยเกือบปลิวหลุด “อะไรวะเนี่ย!?” ภาพตรงหน้าไม่ใช่ฟาร์มที่เขาจำได้เลย!

  • โรงนาเปลี่ยนเป็นสีแดงสด สะอาดสะอ้านเหมือนเพิ่งสร้างใหม่
  • วัวเดินกันขวักไขว่ ฝูงไก่เต็มเล้า
  • บ่อน้ำมันพุ่งสูงเป็นสาย เหมือนน้ำพุในพระราชวัง!

คุณลุงเท็กซัสกระพริบตาแรง ๆ “ผมกลับมาถูกฟาร์มแน่เหรอ!?”

เขารีบกระโดดลงจากหลังม้า วิ่งไปหาคุณนายเท็กซัสที่นั่งเอนหลัง จิบชามะนาวสบายใจ บนเก้าอี้โยกเดิมของเธอ “ที่รัก! นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?”

คุณนายเท็กซัสเหลือบมองเขายิ้มบาง ๆ “อ๋อ ก็ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ…”

คุณลุงเท็กซัสกระพริบตาปริบ ๆ “ไม่มีอะไร!?” เขาชี้ไปที่ฝูงวัวจำนวนมหาศาล “นี่วัวมาจากไหน!?”

“ก็แค่… มันเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยเองที่รัก”

“แล้วไข่นั่น!?” เขาชี้ไปที่กองไข่ที่วางเรียงกันสูงเท่าตัวคน “ไก่มันเป็นอะไรรึไง!?”

“ไม่รู้สิ อยู่ ๆ มันก็ขยันขึ้นมาวันนี้เองจ้ะ”

คุณลุงเท็กซัสมองไปรอบ ๆ อย่างมึนงง แล้วก็มองเห็น… บ่อน้ำมันพุ่งขึ้นสูงกว่ายอดต้นไม้! “แล้วไอ้นั่นล่ะ!? น้ำมันพุ่งมาจากไหน!?”

คุณนายเท็กซัสยักไหล่ “ก็คงเป็นโชคดีของเรามั้งที่รัก”

คุณลุงเท็กซัสถึงกับทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพูดว่า… “ผมใช้เวลาทั้งวัน… ทรมานตัวเองในเมืองที่น่าเบื่อที่สุดในโลก…”

เขามองภรรยาของตัวเองที่นั่งโยกเก้าอี้อย่างสบายใจ ท่ามกลาง ฟาร์มที่กลายเป็นมหาเศรษฐีภายในวันเดียว “แต่พอกลับมา… กลายเป็นว่าเจ้ากลายเป็นเศรษฐีแบบไม่ต้องทำอะไรเลย!?”

คุณนายเท็กซัสหัวเราะเบา ๆ “ก็ใช่นะสิที่รัก”

คุณลุงเท็กซัส ถอนหายใจหนักกว่าเดิม “ถ้าผมอยู่บ้านวันนี้… อย่างน้อยผมก็คงได้เห็นอะไรดี ๆ บ้าง…”

คุณนายเท็กซัสหัวเราะขำจิบชามะนาวต่อ “เอาน่า อย่างน้อยเราก็รวยแล้ว!”

และจากวันนั้นเป็นต้นมา ฟาร์มของพวกเขาก็กลายเป็นฟาร์มที่ร่ำรวยที่สุดในเท็กซัส ขณะที่คุณลุงเท็กซัสยังคง งงไม่หายว่าเขาพลาดอะไรไปหมดได้ยังไง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องกลับมาที่ฟาร์มแล้วเกิดอะไรขึ้น 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดคิด และบางครั้ง โชคชะตาก็ไม่ได้เป็นของคนที่พยายามมากที่สุดเสมอไป

“ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดคิด และโชคชะตาอาจพลิกผันได้ในพริบตา บางครั้ง คนที่คิดว่าตัวเองกำลังทำเรื่องสำคัญ อาจไม่ได้พบอะไรเลย แต่คนที่อยู่เฉย ๆ กลับเจอสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าโดยไม่ต้องพยายาม” คุณลุงเท็กซัสออกเดินทางไปทำธุระทั้งวัน ทุ่มเทเวลาไปกับสิ่งที่ดูเหมือนจะสำคัญ แต่กลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย ขณะที่คุณนายเท็กซัสอยู่เฉย ๆ ที่บ้าน แต่ฟาร์มกลับกลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า บางครั้ง การพยายามมากเกินไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โชคชะตาอาจเข้าข้างคนที่อยู่ถูกที่ถูกเวลา และสิ่งที่ยิ่งใหญ่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

“บางครั้ง แค่เราอยู่ถูกที่ถูกเวลา ก็โชคดีกว่าการพยายามเสียอีก”

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องกลับมาที่ฟาร์มแล้วเกิดอะไรขึ้น!? (อังกฤษ: Meanwhile, Back at the Ranch) เป็นนิทานพื้นบ้านของอเมริกาที่ได้รับความนิยมจากการใช้โครงสร้างการเล่าเรื่องแบบตัดสลับระหว่างสองเหตุการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แนวคิดนี้มาจากวัฒนธรรมการเล่าเรื่องของชาวตะวันตก โดยเฉพาะในยุคของคาวบอยและการตั้งถิ่นฐานในชนบท ซึ่งเน้นความแตกต่างระหว่างชีวิตที่เรียบง่ายกับเหตุการณ์สุดโต่งที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

นิทานเรื่องนี้มีรากฐานจากวิธีเล่าเรื่องที่นิยมใช้ในวรรณกรรมตะวันตกและภาพยนตร์แนวคาวบอย โดยใช้วลี “Meanwhile, back at the ranch…” เป็นจุดเปลี่ยนเพื่อสร้างความขัดแย้งระหว่างฉากที่ดำเนินไปอย่างน่าเบื่อ กับฉากที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น การเล่าเรื่องลักษณะนี้กลายเป็นเทคนิคที่ถูกนำไปใช้ในหนังสือ นิทาน และแม้แต่รายการโทรทัศน์ในยุคหลัง

แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่านิทานเรื่องนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อใด แต่ได้รับการบันทึกและเล่าขานอย่างแพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 20 และกลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวขำขันที่สะท้อนวิถีชีวิตของชาวอเมริกันในชนบท โดยเฉพาะการเปรียบเทียบระหว่าง “ความคาดหวัง” กับ “ความเป็นจริง” ที่อาจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

“บางครั้ง คนที่พยายามที่สุดกลับไม่ได้อะไรเลย ขณะที่คนที่อยู่เฉย ๆ อาจได้รับทุกอย่าง”

นิทานพื้นบ้านเปอร์โตริโกเรื่องฮวน โบโบ ไปทำงาน

ในโลกนี้ มีคนหลายประเภทบางคนฉลาดหลักแหลม คิดเร็วทำเร็ว ในขณะที่บางคน… ก็ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้น คนที่ซื่อ ๆ ก็อาจทำให้เราหัวเราะ และบางครั้ง โชคดีก็อาจเข้าข้างพวกเขาโดยไม่คาดคิด

นี่คือเรื่องราวนิทานพื้นบ้านสากลจากเปอร์โตริโกของฮวน โบโบ เด็กหนุ่มผู้มีจิตใจดีแต่เข้าใจอะไรผิดไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่าแม่จะสอนอะไร เขาก็ทำตามสุดความสามารถ แต่ทำออกมาแบบผิดที่ผิดทางทุกครั้ง! มาดูกันว่า ความซื่อ (และความเซ่อ) ของเขาจะพาไปเจอเรื่องอะไรบ้าง… กับนิทานพื้นบ้านเปอร์โตริโกเรื่องฮวน โบโบ ไปทำงาน

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเปอร์โตริโกเรื่องฮวน โบโบ ไปทำงาน

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านเปอร์โตริโกเรื่องฮวน โบโบ ไปทำงาน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนเกาะเปอร์โตริโก มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อฮวน โบโบ ซึ่งถ้าจะพูดให้ตรงที่สุด… เขาไม่ได้ฉลาดสักเท่าไหร่ แม่ของเขารักเขามาก แต่ก็ปวดหัวกับความซื่อบื้อของเขาไม่เว้นแต่ละวัน

วันหนึ่ง แม่ของเขาทนไม่ไหวอีกต่อไป

“ฮวน โบโบ! ลูกต้องไปทำงานแล้วนะ!” แม่พูด พลางถอนหายใจ “ลูกโตพอจะช่วยหาเงินเข้าบ้านได้แล้ว อย่าเอาแต่เดินไปมาแบบเป็ดหลงฝูง!”

“ได้เลยแม่! ข้าจะออกไปทำงาน และข้าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด!” ฮวนพูดด้วยความมั่นใจสุดขีด

แม่มองลูกชายที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น แล้วก็รู้สึก… ไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่

“จำไว้นะลูก ฟังให้ดีเวลามีคนสั่งงาน แล้วทำตามให้ถูกต้อง!” แม่กำชับ

“ได้เลยแม่! ฟังให้ดี ทำให้เป๊ะ!” ฮวนทวนคำสั่งด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป มุ่งหน้าสู่ชีวิตแรงงานครั้งแรกของเขา… ซึ่งทุกคนในหมู่บ้านยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นหายนะขนาดไหน

ฮวนเดินไปเรื่อย ๆ จนไปเจอชายแก่เจ้าของฟาร์มหมู ชายแก่กำลังขว้างเศษอาหารให้หมูกิน ฮวนรีบเข้าไปหา “คุณลุงครับ ข้าอยากทำงาน!” ฮวนพูดเสียงดังฟังชัด

ชายแก่หรี่ตามองเขาเล็กน้อย “เจ้าทำงานเป็นไหม?”

“แม่บอกว่าข้าทำงานเก่งสุด ๆ!” ฮวนตอบมั่นใจสุดชีวิต

ชายแก่ถอนหายใจ “งั้นเอาเถอะ เจ้าช่วยข้าทำความสะอาดเล้าและให้อาหารหมู แล้วข้าจะให้ค่าจ้างเจ้าเป็นเหรียญเงินหนึ่งเหรียญ”

ฮวน โบโบพยักหน้าหงึก ๆ แล้วทำงานทันที เขาขยันมาก ใช้แรงเต็มที่ แต่ไม่ได้ใช้สมองเลย เขาตักอาหารหมูแล้วเทแบบไม่ยั้ง จนเล้าเต็มไปด้วยเศษอาหารเละ ๆ และตอนทำความสะอาดก็ ใช้ไม้กวาดตีหมูแทนจะกวาดพื้น

หมูร้องเสียงดัง “อ๊อง! อ๊อง!” วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น

ชายแก่ส่ายหน้า “เอาเถอะ เจ้าก็ขยันดี นี่ค่าจ้างของเจ้า”* เขาหยิบเหรียญเงินให้ฮวน

ฮวนดีใจมาก “ขอบคุณครับลุง! ข้าจะเอามันกลับไปให้แม่!”

แล้วเขาก็กำเหรียญแน่นในมือ… แน่นมาก …แน่นจนเหงื่อเริ่มออก

ระหว่างเดินกลับบ้าน มือของเขาเปียกและเหนียว เหรียญเลย ลื่นหลุดจากมือ ตกลงไปในโคลนข้างทาง ฮวนมองเหรียญที่จมหายไปแบบงง ๆ “อ้าว… หายซะแล้วแฮะ”

เขาเดินกลับบ้านตัวเปล่า พอแม่เห็นเข้าก็ขมวดคิ้วทันที “ไหนล่ะค่าจ้างของลูก?”

“เอ่อ… มันหายไปแล้วแม่ ข้ากำมันแน่นมากเลยนะ! แต่พอเหงื่อออก มันก็ลื่นหลุดจากมือไปเอง”

แม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โอ๊ย ฮวน! ลูกต้องเก็บเงินไว้ในกระเป๋าสิ ไม่ใช่กำไว้แบบนั้น!”

ฮวนทำตาโต รู้สึกเหมือนได้เรียนรู้สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต “โอ้ จริงด้วย! ข้าจะจำไว้เลย!”

และแน่นอนว่า เขาจะจำคำสอนของแม่ไปใช้… แต่จะใช้ให้ถูกหรือเปล่านี่อีกเรื่อง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเปอร์โตริโกเรื่องฮวน โบโบ ไปทำงาน 2

วันรุ่งขึ้น ฮวน โบโบออกไปหางานทำอีกครั้ง คราวนี้เขาเดินไปถึงร้านขายวัว เจ้าของร้านเป็นชายร่างใหญ่ ใบหน้าเคร่งขรึม แต่พอเห็นฮวนเข้ามา เขาก็เลิกคิ้วด้วยความสงสัย “เจ้าต้องการอะไรล่ะ เจ้าหนุ่ม?”

“ข้าต้องการทำงาน ข้าทำงานเก่งมากนะ!” ฮวนพูดอย่างมั่นใจ

เจ้าของร้านคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า “เอาล่ะ เจ้าช่วยข้าทำความสะอาดโรงวัว และดูแลวัวพวกนี้ให้หน่อย ถ้าทำดี ข้าจะให้ค่าจ้างเป็นนมสดขวดใหญ่”

ฮวนดีใจสุด ๆ และรีบลงมือทำงานทันที เขาทำเต็มที่… แต่ไม่ได้คิดเลยว่าควรทำอย่างไรให้มันดี วัวโดนเขาเช็ดจนขนยุ่งเหยิง โรงวัวเต็มไปด้วยฟางกระจัดกระจายไปหมด แต่เจ้าของร้านก็ถอนหายใจแล้วส่งขวดนมให้เขาตามสัญญา

“ขอบคุณมากลุง!” ฮวนรับขวดนมมาและนึกถึงคำสอนของแม่ทันที

“ต้องเก็บค่าจ้างไว้ในกระเป๋า!” เขาเปิดกระเป๋าเสื้อ แล้ว… เทนมทั้งหมดใส่ลงไปในนั้น

นมไหลทะลุกระเป๋าเสื้อเปียกไปทั่วตัวเขา! เขากลับบ้านในสภาพที่ตัวเหม็นนมสุด ๆ พอแม่เห็นก็ยิ่งปวดหัว “ลูกทำอะไรลงไป ฮวน!?”

“ก็แม่บอกให้ใส่ค่าจ้างในกระเป๋านี่นา!”

แม่ถอนหายใจแรงกว่าเดิม “โอ๊ย ฮวน! ของเหลวต้องถือดี ๆ ด้วยมือ ไม่ใช่เทใส่กระเป๋า!”

ฮวนพยักหน้าแรง ๆ “อ๋อ เข้าใจแล้ว! คราวหน้าข้าจะถือมันดี ๆ!”

วันต่อมา ฮวนออกไปทำงานอีกครั้ง คราวนี้เขาได้งานที่ร้านขนมปัง และค่าจ้างของเขาคือ… เนยก้อนโตหนึ่งก้อน!

คราวนี้ฮวนจำบทเรียนจากแม่ได้ขึ้นใจ “ต้องถือไว้ดี ๆ ด้วยมือ!”

เขาออกเดินทางกลับบ้าน ท่ามกลางแดดร้อนจัดของเปอร์โตริโก… เนยในมือเริ่มนิ่ม… แล้วมันก็เริ่มละลาย… จากนั้น… เนยเละติดมือของเขาเป็นโจ๊ก!

พอถึงบ้าน มือของฮวนเต็มไปด้วยคราบเนยเหนียว ๆ แม่เห็นสภาพลูกชายแล้วแทบเป็นลม “โอ๊ย ฮวน! ของที่ละลายง่ายแบบนี้ ลูกต้องห่อมันไว้สิ!”

ฮวนพยักหน้าแรง ๆ “อ๋อออ เข้าใจแล้วแม่! คราวหน้าข้าจะห่อมันให้ดีเลย!”

วันถัดมา ฮวน โบโบได้งานใหม่ที่โรงฆ่าสัตว์ คราวนี้เขาทำได้ดีขึ้นมาหน่อย (หรือเปล่า?) และได้รับ ขาแฮมอันใหญ่เป็นค่าจ้าง!

เขานึกถึงคำแม่ทันที “ของที่ละลายง่ายต้องห่อไว้!”

ฮวนเลยหยิบใบไม้แห้ง ๆ มาห่อขาแฮมจนหมด แล้วมัดด้วยเถาวัลย์ จากนั้นก็อุ้มมันแนบอกเหมือนทารกตัวน้อย แล้วเดินกลับบ้าน

คนทั้งหมู่บ้านมองเขาด้วยความสงสัย “เอ่อ… นั่นเจ้าทำอะไรน่ะ?”

“ข้าห่อมันไว้เหมือนที่แม่บอกไงล่ะ!” ไม่มีใครกล้าถามอะไรต่อ ทุกคนได้แต่ส่ายหน้าขำ ๆ

วันต่อมา ฮวนได้ค่าจ้างเป็นแมว คราวนี้เขานึกถึงคำแม่ว่า “สัตว์ต้องจูงมันไปดี ๆ ไม่ใช่ห่อไว้”

ดังนั้น เขาจึงเอาเชือกผูกคอแมว แล้วลากมันไปตามทางเหมือนจูงวัว แมวร้องเสียงแหลม “เมี้ยวววว!” พยายามข่วนฮวนทุกทาง คนทั้งหมู่บ้านขำกันจนท้องแข็ง

แม่แทบเป็นลมเมื่อเห็นลูกชายจูงแมวมาแบบนั้น “โอ๊ย ฮวน! ของแบบนี้ต้องอุ้มมันดี ๆ ไม่ใช่ลากไปกับพื้น!”

“โอ๊อ๋! คราวหน้าข้าจะอุ้มมันดี ๆ เลย!”

วันสุดท้าย ฮวน โบโบได้ค่าจ้างเป็น ขาแฮมอีกครั้ง!

เขานึกถึงคำสอนของแม่เรื่องแมว… “ของแบบนี้ต้องอุ้มมันดี ๆ” ดังนั้น เขาจึงอุ้มขาแฮมแนบอก ลูบมันไปมาเหมือนลูกแมว

ทุกคนในหมู่บ้านถึงกับร้องไห้ขำ บังเอิญเศรษฐีที่เดินทางผ่านมาพอดี เห็นแล้วถูกใจในความซื่อของฮวน

“เจ้านี่มันทั้งทึ่มและน่าทึ่งจริง ๆ!” เศรษฐีหัวเราะลั่นก่อนมอบเงินก้อนโตให้

ฮวนกลับบ้านพร้อมเงินเต็มมือ แม่ทั้งดีใจและปวดหัวไปพร้อมกัน “ลูกนี่มัน… เฮ้อ เอาเถอะ อย่างน้อยเราก็มีเงินกินข้าว!”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเปอร์โตริโกเรื่องฮวน โบโบ ไปทำงาน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความซื่ออย่างเดียวไม่พอ หากขาดความเข้าใจและการใช้ปัญญา ฮวนพยายามทำตามคำสอนของแม่อย่างเคร่งครัด แต่เขา ขาดการคิดไตร่ตรองว่าสิ่งไหนควรใช้กับสถานการณ์ใด ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายไม่หยุด

อย่างไรก็ตามความพยายามและทัศนคติที่ดีของเขาก็นำมาซึ่งโชคดีโดยไม่คาดคิด แม้จะดูซื่อบื้อ แต่ฮวนก็เป็นตัวแทนของ ความไร้เดียงสา ความมุ่งมั่น และมุมมองที่เรียบง่ายของชีวิต

เรื่องนี้ยังเตือนให้เรารู้ว่าบางครั้ง การทำตามคำสั่งหรือกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัดโดยไม่เข้าใจจุดประสงค์ อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ผิดพลาด การเรียนรู้จากความผิดพลาด และรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด!

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านเปอร์โตริโกเรื่องฮวน โบโบ ไปทำงาน (อังกฤษ: Juan Bobo goes to Work) เป็นหนึ่งในนิทานพื้นบ้านที่โด่งดังที่สุดของเปอร์โตริโก และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมแคริบเบียน ซึ่งมีการเล่าขานกันมาหลายชั่วอายุคน ชื่อ “Juan Bobo” แปลตรงตัวว่า “ฮวนผู้เซ่อซ่า” หรือ “ฮวนทึ่ม” และเป็นตัวละครที่มักจะปรากฏในนิทานพื้นบ้านของเปอร์โตริโกในหลายเวอร์ชัน

ต้นกำเนิดของนิทานนี้มาจากเรื่องเล่าปากต่อปากของชาวชนบทในเปอร์โตริโก ตั้งแต่ยุคอาณานิคมสเปน (ประมาณศตวรรษที่ 16-19) ฮวน โบโบเป็นตัวแทนของชาวบ้านธรรมดาที่ซื่อ ๆ ไม่ได้ฉลาดหลักแหลม แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจดี เรื่องราวของเขามักเป็นแนวขำขัน และสอนบทเรียนชีวิตอย่างอ้อม ๆ

ในยุคต่อมา นิทานพื้นบ้านเปอร์โตริโกเรื่องฮวน โบโบ ไปทำงานและเรื่องอื่น ๆ ของฮวน โบโบ ถูกนำมารวบรวมและตีพิมพ์ในหนังสือเด็ก โดยเฉพาะในเปอร์โตริโกและสหรัฐอเมริกา ทำให้กลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่เป็นที่รักของเด็ก ๆ และเป็นสัญลักษณ์ของ นิทานพื้นบ้านแคริบเบียนที่ยังคงได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน

แม้ว่าฮวน โบโบจะเป็นตัวละครเฉพาะของเปอร์โตริโก แต่โครงสร้างของนิทานที่เกี่ยวกับเด็กหนุ่มซื่อ ๆ ที่ทำพลาดเพราะเข้าใจผิด นั้น คล้ายกับนิทานพื้นบ้านของหลายวัฒนธรรมทั่วโลก เช่น Hans in Luck ฮันผู้โชคดี (เยอรมัน), Simple Simon ซีมอนจอมเซ่อ (อังกฤษ), หรือ Pedro Urdemales เปโดร อุรเดมาเลส จอมเจ้าเล่ห์ (ละตินอเมริกา) อย่างไรก็ตาม ฉากหลังและวัฒนธรรมของเรื่องราวของฮวน โบโบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของชาวเปอร์โตริโกอย่างแท้จริง

“ความซื่ออย่างเดียวอาจพาไปถึงที่หมาย… แต่ไม่ได้แปลว่าจะไปถึงอย่างถูกต้อง”

นิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องจอร์น เฮนรี่

ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีเรื่องเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากอเมริกา ถึงเหล่ามนุษย์ที่ต่างสร้างสิ่งใหม่เพื่อทำให้ชีวิตสะดวกขึ้น เครื่องจักรและเทคโนโลยีถูกคิดค้นมาเพื่อแทนที่แรงงานคน แต่ในขณะที่บางคนยอมรับความเปลี่ยนแปลงโดยไม่ตั้งคำถาม ก็ยังมีบางคนที่เชื่อมั่นว่าหัวใจของมนุษย์ไม่อาจถูกแทนที่ได้

นี่คือเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ผู้ที่ไม่ได้เป็นเพียงแรงงานธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของพลัง ความมุ่งมั่น และศักดิ์ศรีของมนุษย์ เรื่องราวของเขาถูกเล่าขานผ่านบทเพลงและเสียงค้อนที่ก้องสะท้อนผ่านกาลเวลา… กับนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องจอร์น เฮนรี่

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องจอร์น เฮนรี่

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องจอร์น เฮนรี่

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางเสียงลมหวิวของทุ่งหญ้าและประกายดาวบนฟ้า เด็กชายคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นในกระท่อมไม้เล็ก ๆ ริมแม่น้ำมิสซิสซิปปี แม้ยังเป็นเพียงทารกแรกเกิด แต่ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อเห็นมือเล็ก ๆ ของเขากำหมัดแน่นราวกับนักรบที่พร้อมเผชิญโลก

“เด็กคนนี้จะต้องเป็นคนพิเศษแน่ ๆ” หญิงชราผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านกล่าว ขณะมองดูดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยพลังของทารก

จอห์น เฮนรี่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางเสียงค้อนทุบเหล็กและเสียงล้อเกวียนบดดิน พ่อแม่ของเขาเป็นแรงงาน ทั้งสองสอนให้เขารู้จักคุณค่าของหยาดเหงื่อ ตั้งแต่เล็ก เขาก็แข็งแรงกว่าคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน เมื่ออายุเพียงหกขวบ เขาก็สามารถยกค้อนเหล็กที่หนักพอจะทำให้ผู้ใหญ่บางคนล้มลงได้

“จอห์น แข็งแรงเหมือนวัวกระทิงเลยนะ!” เพื่อนบ้านมักพูดเช่นนั้น เมื่อเห็นเขาหาบน้ำหรือช่วยพ่อสร้างกระท่อม

เมื่อโตขึ้น ร่างกายของเขาก็สูงใหญ่และเต็มไปด้วยมัดกล้าม เขาไม่เคยกลัวงานหนัก ไม่เคยปฏิเสธความลำบาก เขาเชื่อว่าแรงงานคือเกียรติ และเขาจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่มือของมนุษย์จะเป็นได้

วันหนึ่ง ขณะที่เขาเดินผ่านเมืองเล็ก ๆ ในรัฐเวอร์จิเนีย เขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟสายใหม่ ทางรถไฟที่จะเชื่อมโลกสองฟากเข้าด้วยกัน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและชีวิตของแรงงานหลายร้อยคน

“นี่อาจเป็นโอกาสของเรา” เขาคิด ก่อนจะเดินเข้าไปสมัครเป็นแรงงานก่อสร้างทางรถไฟ ด้วยค้อนเหล็กคู่ใจของเขา

จอห์น เฮนรี่ทำงานให้กับบริษัทก่อสร้างทางรถไฟในทีมของแรงงานผิวดำ งานของเขาคือการใช้ค้อนเหล็กขนาดใหญ่ตอกหมุดและทุบหินเพื่อขยายเส้นทาง พวกเขาต้องทำงานตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก ลมหายใจของเขาหนักหน่วง แต่ทุกครั้งที่ค้อนกระทบกับเหล็ก เสียงดังกังวานของมันก็เป็นดั่งเพลงแห่งแรงงาน

“เร็วเข้า! ทางรถไฟสายนี้ต้องเสร็จภายในกำหนด!” หัวหน้าคนงานตะโกนขณะที่แรงงานแต่ละคนเร่งมือ

วันแล้ววันเล่า จอห์น เฮนรี่กลายเป็นตำนานในหมู่คนงาน ไม่มีใครตอกหมุดได้เร็วและหนักแน่นเท่าเขา ทุกครั้งที่ค้อนของเขาฟาดลงไป มันเหมือนกับฟ้าผ่า

แต่แล้ววันหนึ่ง รถม้าคันหนึ่งก็มาถึงแคมป์ คนที่ลงมาจากรถม้านั้นเป็นชายในชุดสูท เจ้าของบริษัทก่อสร้างทางรถไฟนั่นเอง

“พวกเราได้เครื่องจักรตัวใหม่มาแล้ว!” เขาประกาศ พร้อมเปิดผ้าคลุมเผยให้เห็นเครื่องเจาะไอน้ำขนาดมหึมา

“เจ้าสิ่งนี้จะทำงานแทนพวกเจ้า มันเร็วกว่า อึดกว่า และไม่ต้องหยุดพัก!” เขากล่าว พลางยิ้มเยาะ

แรงงานทั้งหลายมองหน้ากันอย่างหวาดหวั่น ถ้าเครื่องจักรทำงานแทนพวกเขาได้ พวกเขาก็จะกลายเป็นคนไร้งาน ไร้อนาคต

แต่จอห์น เฮนรี่ไม่ยอม เขาก้าวออกมาข้างหน้า จ้องมองเครื่องจักรไอน้ำด้วยแววตาแน่วแน่ มือของเขากำด้ามค้อนแน่น

“ข้าไม่เชื่อว่าเหล็กกล้าจะเอาชนะหัวใจของคนได้” เขากล่าวเสียงหนักแน่น

หัวหน้าคนงานได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “งั้นเจ้าก็ลองแข่งกับมันดูสิ! ถ้าเจ้าชนะ เครื่องจักรนี่ก็จะไม่มีความหมาย แต่ถ้าแพ้…”

จอห์น เฮนรี่เงยหน้าขึ้น มองไปที่อุโมงค์ที่ยังขุดไม่เสร็จ เขารู้ว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องของเขาคนเดียว แต่มันคือศักดิ์ศรีของแรงงานทุกคน

“ตกลง ข้าจะประลองกับมัน!” เขาประกาศ

เสียงเฮดังขึ้นจากเหล่าแรงงาน ขณะที่การแข่งขันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร กำลังจะเริ่มต้นขึ้น…

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องจอร์น เฮนรี่ 2

รุ่งเช้าของวันแข่งขัน ดวงอาทิตย์เพิ่งขึ้นเหนือขอบฟ้า เสียงหวูดรถไฟดังลั่น ท่ามกลางแรงงานนับร้อยที่มารวมตัวกันเพื่อเป็นพยานในศึกระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร

ด้านหนึ่งคือเครื่องเจาะไอน้ำ สีดำทะมึน มีปล่องพ่นควันอยู่ด้านบน ล้อเหล็กของมันเกาะติดพื้นแน่น รอคอยคำสั่งให้เริ่มทำงาน

อีกด้านคือจอห์น เฮนรี่ ชายร่างใหญ่ มือของเขากำด้ามค้อนเหล็กแน่น กล้ามเนื้อของเขาขยับไหวตามลมหายใจ ดวงตาของเขามั่นคง และเต็มไปด้วยแรงศรัทธา

หัวหน้าคนงานยกธงขึ้น ก่อนตะโกนเสียงดัง “เริ่มได้!”

เสียงเครื่องจักรดังครืนทันที กลไกภายในขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว สว่านโลหะเริ่มหมุน เจาะลงไปที่หินแข็งตรงปากอุโมงค์อย่างแม่นยำ

แต่จอห์น เฮนรี่ไม่ยอมให้เครื่องจักรนำหน้า เขาย่อตัวลงและฟาดค้อนหนัก ๆ ลงบนหิน เสียงดังสนั่นของโลหะกระทบกึกก้อง ทุกการฟาดของเขาทำให้หินแตกเป็นชิ้น ๆ และถอยร่นเข้าไปในอุโมงค์

“เร็วเข้า จอห์น! เราเชื่อในเจ้า!” คนงานพากันส่งเสียงเชียร์

การแข่งขันดำเนินไปอย่างดุเดือด เครื่องเจาะไอน้ำขยับเข้าไปในอุโมงค์ลึกขึ้นเรื่อย ๆ แต่จอห์น เฮนรี่ก็ไม่ลดละ ค้อนของเขาส่งเสียงก้องกังวาน แขนของเขาขยับไม่มีหยุด

เหงื่อเริ่มไหลซึมตามหน้าผากของเขา แต่เขาไม่แม้แต่จะเช็ดมัน ลมหายใจหนักหน่วง แต่แรงใจของเขายังมั่นคง

ผ่านไปหลายชั่วโมง ฝุ่นหินฟุ้งกระจาย อากาศในอุโมงค์ร้อนอบอ้าว และแล้ว… “จอห์นเข้าเส้นชัยแล้ว!”

เสียงโห่ร้องดังขึ้น จอห์น เฮนรี่ ขุดทะลุอุโมงค์ก่อนเครื่องจักร ได้สำเร็จ! แรงงานทุกคนส่งเสียงโห่ร้อง ก้องไปทั่วภูเขา บางคนกระโดดด้วยความดีใจ

จอห์น เฮนรี่เดินออกมาจากอุโมงค์ พร้อมรอยยิ้มแห่งชัยชนะ เครื่องจักรไอน้ำยังคงหมุนอยู่ข้างหลังเขาอย่างช้า ๆ ราวกับยอมรับความพ่ายแพ้

จอห์น เฮนรี่ยืนอยู่ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของแรงงาน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นหิน แต่ในดวงตาของเขามีเพียงศักดิ์ศรีของแรงงาน ที่ไม่มีวันถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรใด ๆ

“เจ้าทำได้! เจ้าชนะแล้ว!” คนงานพากันตะโกน

เขายิ้ม ภูมิใจกับสิ่งที่ทำได้ แต่ทันใดนั้น… มือของเขาคลายออก ค้อนเหล็กหลุดจากมือ ร่างของเขาเริ่มเซไปข้างหน้า

“จอห์น!” เสียงร้องดังขึ้นจากรอบด้าน จอห์น เฮนรี่ทรุดตัวลงกับพื้น หน้าอกของเขาขยับขึ้นลงอย่างหนัก หัวใจของเขาเต้นแรงเกินไปจากการทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน

เขามองไปที่ท้องฟ้าสีคราม ยิ้มบาง ๆ และกระซิบเบา ๆ “ข้า… ขุดอุโมงค์นี้เพื่อพวกเรา…”

จากนั้นทุกอย่างก็เงียบลง ร่างของชายผู้ยิ่งใหญ่สงบนิ่ง ดั่งภูเขาที่หยุดเคลื่อนไหว เสียงของแรงงานที่เคยโห่ร้องกลับกลายเป็นเสียงสะอื้น

พวกเขารู้ว่าจอห์น เฮนรี่ ได้กลายเป็นตำนานไปแล้ว

หลังจากวันนั้น เรื่องราวของชายผู้ใช้ค้อนเหล็กต่อสู้กับเครื่องจักรถูกเล่าขานต่อไป คนงานทุกคนต่างจดจำว่า เขาคือผู้ที่ยืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีของแรงงาน

ในค่ำคืนเงียบสงบ บางครั้ง เมื่อสายลมพัดผ่านอุโมงค์เก่า ๆ พวกเขาเชื่อว่าเสียงนั้นคือเสียงค้อนของจอห์น เฮนรี่ ที่ยังคงดังก้องไปตลอดกาล…

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องจอร์น เฮนรี่ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

สอนให้รู้ว่า พลังของมนุษย์ไม่ได้อยู่แค่ในกำลังแขน แต่ยังอยู่ในหัวใจและจิตวิญญาณ เขาไม่ได้เป็นเพียงชายผู้แข็งแกร่ง แต่เป็นสัญลักษณ์ของความพากเพียร ความกล้าหาญ และศักดิ์ศรีของแรงงาน

แม้ว่าเครื่องจักรจะทรงพลังและทำงานได้รวดเร็ว แต่มันไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีศรัทธา และไม่มีหัวใจที่มุ่งมั่นเหมือนมนุษย์ จอห์น เฮนรี่เลือกที่จะยืนหยัด ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อนำชัยชนะกลับมาให้เหล่าแรงงานทุกคน

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของเขายังสะท้อนให้เห็นว่าบางครั้งชัยชนะก็มาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่าย เขาทุ่มเททุกอย่างที่มีจนหมดสิ้น แม้จะชนะเครื่องจักร แต่ก็ต้องแลกด้วยชีวิตของตนเอง

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้า เรื่องของจอห์น เฮนรี่ยังคงเตือนให้เราระลึกว่าความเป็นมนุษย์ ความมุ่งมั่น และศักดิ์ศรี ไม่อาจถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรหรือสิ่งใด ๆ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านอเมริกันเรื่องจอร์น เฮนรี่ (อังกฤษ: John Henry) ตำนานของจอห์น เฮนรี่ เป็นหนึ่งในนิทานพื้นบ้านของสหรัฐอเมริกาที่เล่าขานกันมาหลายชั่วอายุคน เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคที่สหรัฐฯ กำลังขยายเส้นทางรถไฟอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคใต้และแถบเทือกเขาแอปปาเลเชียน เรื่องราวของเขามักถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลงพื้นบ้านหรือ “Ballad of John Henry” ซึ่งเป็นเพลงแนวโฟล์กที่แพร่หลายทั้งในกลุ่มแรงงานและนักดนตรีพื้นบ้าน

แม้ว่าตำนานนี้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าจอห์น เฮนรี่เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงหรือไม่ แต่มีข้อสันนิษฐานว่าอาจได้รับแรงบันดาลใจจากแรงงานผิวดำที่ทำงานสร้างทางรถไฟในช่วงเวลานั้น แรงงานเหล่านี้ต้องทำงานหนัก ท่ามกลางความกดดันจากนายทุนและการแข่งขันกับเทคโนโลยีที่เริ่มเข้ามาแทนที่แรงงานคน เรื่องราวของจอห์น เฮนรี่จึงสะท้อนถึงความพยายามของมนุษย์ในการต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลง และการยืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีของแรงงาน

บางแหล่งข้อมูลชี้ว่าการแข่งขันระหว่างจอห์น เฮนรี่กับเครื่องเจาะไอน้ำอาจมีพื้นฐานจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นระหว่างการขุดอุโมงค์ทางรถไฟ Lewis Tunnel หรือ Big Bend Tunnel ในรัฐเวอร์จิเนียตะวันตก อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนี้ได้ถูกเล่าขานและดัดแปลงไปตามยุคสมัย จนกลายเป็นหนึ่งในตำนานที่ทรงพลังที่สุดในวัฒนธรรมอเมริกัน

ปัจจุบันตำนานของจอห์น เฮนรี่ยังคงถูกเล่าผ่านหนังสือ ภาพยนตร์ และเพลง อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและศักดิ์ศรีของแรงงาน ซึ่งยังคงมีความหมายต่อสังคม แม้ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นก็ตาม

“แม้คนจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ไม่มีหัวใจใดที่ทนรับภาระหนักได้ตลอดไป”

นิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องอุราชิมะ ทาโร่ ผู้เดินทางสู่โลกใต้ทะเล

ณ แดนปลาดิบมีตำนานนิทานพื้นบ้านสากล เล่าถึง ณ หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ริมทะเล คลื่นซัดเข้าฝั่งเป็นระลอก แสงแดดอ่อน ๆ ทาบลงบนผืนน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา ที่แห่งนี้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งอาศัยอยู่ เขาใช้ชีวิตเรียบง่าย ดำเนินวันเวลาตามจังหวะของกระแสคลื่น หาเลี้ยงชีพด้วยเรือเล็กและอวนจับปลา

แต่แล้ว… ในวันหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นวันธรรมดา ชะตาชีวิตของเขากลับเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล โดยที่เขาไม่อาจหวนคืนกลับมาเป็นเช่นเดิมได้อีก… กับนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องอุราชิมะ ทาโร่ ผู้เดินทางสู่โลกใต้ทะเล

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องอุราชิมะ ทาโร่

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องอุราชิมะ ทาโร่ ผู้เดินทางสู่โลกใต้ทะเล

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ริมทะเล มีชายหนุ่มผู้หนึ่งชื่อ อุราชิมะ ทาโร่ เขาเป็นชาวประมงหนุ่มใจดี อาศัยอยู่กับมารดาและใช้ชีวิตเรียบง่าย ทาโร่ไม่เพียงแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตกปลา แต่ยังเป็นชายที่มีน้ำใจเสมอ

วันหนึ่ง ขณะที่เขาเดินเล่นริมชายหาด ทาโร่ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังมาจากกลุ่มเด็กชายที่กำลังมุงดูบางสิ่งบางอย่างอยู่ พอเดินเข้าไปใกล้ เขาก็พบว่าเด็ก ๆ กำลังใช้ไม้แหย่และผลักไสเต่าทะเลตัวหนึ่ง ที่ดิ้นไปมาอยู่บนผืนทราย “ฮ่า ๆ มันดูอ่อนแอจังเลย!”

“ลองพลิกมันกลับด้านดูสิ มันจะขยับไม่ได้แน่ ๆ” เด็กชายหัวเราะสนุกสนาน พลางใช้ไม้เขี่ยกระดองเต่า ทาโร่มองภาพนั้นแล้วรู้สึกสงสาร

“หยุดเดี๋ยวนี้!” เขาเดินเข้าไป ดวงตาฉายแววตำหนิ เด็ก ๆ ชะงัก ก่อนจะรีบถอยหลังไปเล็กน้อย

“ทำไมพวกเจ้าต้องรังแกมันด้วย?” ทาโร่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เด็กชายคนหนึ่งยักไหล่ “ก็แค่เต่าตัวหนึ่ง จะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ?”

ทาโร่ส่ายหน้า ก่อนจะก้มลงช้อนเต่าขึ้นมาเบา ๆ ในอ้อมแขนของเขา เปลือกกระดองเย็นและเรียบลื่น เต่าดูหวาดกลัวแต่ไม่ขัดขืน “เต่าตัวนี้ก็มีชีวิตเหมือนพวกเรา มันเจ็บและหวาดกลัวเป็นเหมือนกัน”

เด็ก ๆ หลุบตาลง ไม่กล้าสบตาทาโร่ เขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังริมฝั่งทะเล “ข้าจะปล่อยมันคืนสู่ทะเล”

เขาค่อย ๆ คุกเข่าลง วางเต่าบนผิวน้ำที่ซัดเข้าฝั่งเป็นระลอก “กลับบ้านของเจ้าเถอะ”

เต่าหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ว่ายน้ำออกไป ทิ้งไว้เพียงฟองน้ำเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ลอยกระจาย

ทาโร่ยิ้มบาง ๆ เขาไม่รู้เลยว่า การช่วยเหลือครั้งนี้จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล

รุ่งเช้าวันต่อมา ขณะที่ทาโร่กำลังพายเรือออกไปหาปลา เขาได้ยินเสียงเรียกจากผืนน้ำ “ท่านอุราชิมะ ทาโร่!”

เขาหันขวับไปมอง และต้องตกตะลึงเมื่อเห็น เต่าขนาดใหญ่กว่าปกติถึงสองเท่า ว่ายตรงมาหาเขา

ทาโร่ขมวดคิ้ว “เจ้าคือ…”

เต่าเงยหน้าขึ้น ดวงตาของมันเปล่งประกาย “ข้าคือเต่าที่ท่านช่วยไว้เมื่อวาน”

ทาโร่เบิกตากว้าง “พูดได้งั้นรึ!?”

“แน่นอน” เต่าพยักหน้า “ข้ามาเพื่อตอบแทนบุญคุณท่าน เจ้าหญิงโอโตะฮิเมะแห่งวังมังกรใต้สมุทรต้องการพบท่าน”

“เจ้าหญิงโอโตะฮิเมะ?” ทาโร่เอ่ยชื่อด้วยความสงสัย

“ใช่ นางคือธิดาแห่งท้องทะเล หากท่านต้องการ ข้าจะพาท่านไปยังวังของนาง”

ทาโร่ลังเล เขาไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่น้ำเสียงของเต่าจริงจังและน่าเชื่อถือ “เช่นนั้น… ก็ได้”

เต่าพยักหน้า “เกาะกระดองข้าให้แน่น” ทาโร่ปีนลงจากเรือ ค่อย ๆ จับกระดองเต่าแน่น เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เต่าก็พาทาโร่ดำดิ่งลงสู่ใต้ทะเล

รอบตัวของเขามีเพียงฟองอากาศที่ลอยขึ้นไปเบื้องบน เขาควรจะหายใจไม่ได้ แต่น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกสบายเหมือนอยู่บนบก

ไม่นานนัก วังมังกรใต้สมุทรก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น

ทาโร่มองด้วยความตื่นตะลึง ปราสาทที่สร้างจากปะการังหลากสีสัน เปล่งประกายใต้แสงแดดที่ลอดลงมา ฝูงปลาเล็กใหญ่แหวกว่ายรอบ ๆ เมือง โคมไฟที่ทำจากไข่มุกส่องแสงระยิบระยับ ที่นี่ช่างงดงามราวกับโลกอีกใบหนึ่ง

เมื่อเต่าพาทาโร่เข้ามาถึงเจ้าหญิงโอโตะฮิเมะ ก็มาต้อนรับเขาด้วยตนเอง

นางสวมกิโมโนผืนบางละเอียดอ่อน ผมยาวดำขลับ ดวงตาอ่อนโยนราวกับกระแสน้ำ

“ยินดีต้อนรับ อุราชิมะ ทาโร่” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากขอบคุณเจ้าที่ช่วยเหลือบริวารของข้า”

ทาโร่รู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ค้อมศีรษะอย่างสุภาพ “เป็นเกียรติของข้าที่ได้มาที่นี่”

เจ้าหญิงหัวเราะเบา ๆ “อยู่ที่นี่เถอะทาโร่ ที่วังมังกรเจ้าจะมีแต่ความสุข ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา”

ทาโร่เหลือบมองไปรอบ ๆ เขาไม่เคยเห็นสถานที่ใดสวยงามขนาดนี้มาก่อน เสียงดนตรีแว่วมาเบา ๆ อาหารแปลกตาถูกนำมาวางตรงหน้า “หากข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ต้องเป็นชาวประมงอีกต่อไป… ข้าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย”

ความคิดนั้นทำให้เขายิ้มออกมา เขาไม่รู้เลยว่าเวลาในวังนี้ไม่ได้ไหลไปเหมือนบนโลกมนุษย์…

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องอุราชิมะ ทาโร่ 2

เวลาผ่านไปอย่างสงบสุข ทาโร่ใช้ชีวิตอยู่ใน วังมังกรใต้สมุทร ท่ามกลางความหรูหราและความบันเทิงไม่รู้จบ ทุกวันมีงานเลี้ยง อาหารอร่อย และเสียงดนตรีที่ไม่มีวันสิ้นสุด เขาไม่มีความทุกข์ ไม่มีภาระ ทุกอย่างราวกับฝันที่เป็นจริง

แต่แล้ว… คืนหนึ่ง ขณะที่เขานั่งอยู่บนระเบียง มองดูฝูงปลาแหวกว่าย ทาโร่ก็รู้สึกว่างเปล่าในหัวใจ

“ข้าอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว?” เขานึกถึงบ้านของตนเอง นึกถึงแม่ที่รอคอยอยู่บนบก

“ข้าต้องกลับบ้านแล้ว…” รุ่งเช้า เขาคุกเข่าต่อหน้าเจ้าหญิงโอโตะฮิเมะ และกล่าวว่า “เจ้าหญิง ได้โปรดให้ข้ากลับบ้านเถิด ข้าคิดถึงครอบครัวของข้า”

ดวงตาของเจ้าหญิงหม่นลง นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบา “หากเจ้าต้องการกลับ ข้าย่อมไม่อาจรั้งเจ้าไว้… แต่โปรดรับสิ่งนี้ไป”

นางยื่นกล่องทามาเทะบาโกะ (Tama Tebako) ให้เขา “นี่คือของขวัญจากข้า เจ้าจงเก็บมันไว้อย่างดี แต่จงจำไว้ว่า… ห้ามเปิดมันเด็ดขาด”

ทาโร่ขมวดคิ้ว “เพราะเหตุใดหรือ?”

เจ้าหญิงยิ้มเศร้า “เจ้าจะเข้าใจเองเมื่อถึงเวลา”

ทาโร่ลังเล แต่ก็รับกล่องมาไว้ในมือ “ขอบพระคุณสำหรับทุกสิ่ง ข้าจะไม่มีวันลืมพระองค์”

เต่าพาทาโร่กลับสู่ผิวน้ำ เขาโบกมือลาวังมังกร และเมื่อเท้าสัมผัสผืนทรายริมชายหาด เขาก็รู้สึกเหมือนเป็นฝันไป แต่เมื่อเขาหันกลับไปมองรอบ ๆ… ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว

ทาโร่ก้าวเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ทุกสิ่งรอบตัวดูแปลกตาและแปลกประหลาด บ้านเรือนที่เคยคุ้นหายไป ทางเดินที่เคยรู้จักก็ไม่เหมือนเดิม

เขาเดินไปถามชายชราที่กำลังนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ “ท่านลุง ขออภัย ข้าขอถามสิ่งหนึ่ง… นี่คือหมู่บ้านอุราชิมะใช่หรือไม่?”

ชายชราขมวดคิ้วก่อนพยักหน้า “ใช่ นี่คือหมู่บ้านอุราชิมะ”

“แล้วครอบครัวของข้าเล่า? อุราชิมะ ทาโร่?”

ชายชราทำหน้าสงสัย “อุราชิมะ ทาโร่? ข้าเคยได้ยินชื่อนี้… แต่เป็นเรื่องเล่าที่เก่าแก่ตั้งแต่ร้อยปีก่อน”

ทาโร่ชะงัก หัวใจหล่นวูบ “เป็นไปไม่ได้! ข้าเพิ่งจากไปไม่นาน!”

เขาวิ่งไปตามถนนแต่ไม่มีใครจำเขาได้ บ้านของเขาหายไป คนในหมู่บ้านก็ล้วนเป็นคนแปลกหน้าทุกอย่างเปลี่ยนไปจนหมดสิ้น

“ข้า… ข้าถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง” มือของเขากำกล่องทามาเทะบาโกะแน่นขึ้น คำเตือนของเจ้าหญิงโอโตะฮิเมะดังก้องในหัว

“ห้ามเปิดมันเด็ดขาด” แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเหลือให้เขาแล้ว

“บางที… บางทีในนี้อาจมีคำตอบ” ด้วยความสงสัยทาโร่ค่อย ๆ เปิดฝากล่องออก… ทันใดนั้นเอง! ควันสีขาวพวยพุ่งออกมา หมุนวนรอบตัวเขา

เขารู้สึกถึงบางอย่างกำลังเปลี่ยนไปร่างกายของเขาหนักขึ้น… ผิวของเขาหย่อนยาน… เส้นผมของเขากลายเป็นสีขาว

เพียงพริบตาเดียว อุราชิมะ ทาโร่ก็กลายเป็นชายชราผู้ชราและอ่อนแรง เขาเงยหน้าขึ้น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีฟ้า ทะเลยังคงซัดเข้าฝั่งอย่างเชื่องช้า… แต่เวลาของเขาหมดลงแล้ว

เสียงของเจ้าหญิงโอโตะฮิเมะแว่วมาในสายลม “ข้าขอโทษ ทาโร่… แต่เวลากลับคืนไม่ได้” ชายชราทรุดตัวลงบนพื้นทราย และมองทะเลกว้างเป็นครั้งสุดท้าย

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องอุราชิมะ ทาโร่ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… “เวลาเป็นสิ่งที่ไม่มีวันย้อนคืน และบางสิ่งเมื่อสูญเสียไปแล้ว ก็อาจไม่มีทางกลับมาได้อีก”

ทาโร่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในวังมังกรโดยไม่รู้เลยว่า เวลาบนโลกมนุษย์ยังคงเดินต่อไป เมื่อเขากลับมา ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงจนหมดสิ้น ไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว ไม่มีอดีตของเขาหลงเหลืออยู่ สิ่งที่เขาเคยมี ถูกกลืนหายไปตามกาลเวลา

กล่องทามาเทะบาโกะคือ สัญลักษณ์ของอดีตที่ไม่อาจเปิดออกได้โดยไม่ต้องแลกกับบางสิ่ง การเปิดกล่องเป็นการปลดปล่อยความจริงที่เลี่ยงไม่ได้—เวลาที่เขาสูญเสียไปได้ย้อนคืนสู่ร่างของเขาในพริบตา ท้ายที่สุด ความปรารถนาจะกลับไปสู่วันวานก็กลายเป็นสิ่งที่ทำลายตัวเขาเอง

นิทานนี้จึงเป็นคำเตือนว่า… “อย่าหลงลืมโลกแห่งความเป็นจริง เพราะเมื่อทุกอย่างสายเกินไป สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ อาจมีเพียงความว่างเปล่า”

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องอุราชิมะ ทาโร่ ผู้เดินทางสู่โลกใต้ทะเล (อังกฤษ: Urashima Taro) เป็นนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นที่มีต้นกำเนิดเก่าแก่ ย้อนกลับไปไกลถึงยุคเฮอัน (ค.ศ. 794–1185) และอาจได้รับอิทธิพลจากเรื่องเล่าทางพุทธศาสนาเกี่ยวกับกาลเวลาและการเปลี่ยนแปลง นิทานเรื่องนี้ปรากฏในบันทึกโบราณหลายฉบับ เช่น “นิฮงโชกิ” (พ.ศ. 1273 / ค.ศ. 720) และ “มันโยชู” (พ.ศ. 1323 / ค.ศ. 759) ซึ่งเป็นหนึ่งในบันทึกวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น

เรื่องราวของอุราชิมะ ทาโร่ สะท้อนถึงแนวคิดเรื่องเวลาและความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต ซึ่งเป็นปรัชญาที่ปรากฏในวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาโดยตลอด วังมังกรใต้สมุทรเป็นสัญลักษณ์ของโลกเหนือธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความสุขอันเป็นนิรันดร์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นกับดักแห่งกาลเวลา ทาโร่ที่เลือกกลับสู่โลกมนุษย์ต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าโลกไม่ได้รอคอยเขา และสิ่งที่เขาสูญเสียไปนั้น ไม่อาจหวนคืนได้

นิทานเรื่องนี้ยังคล้ายคลึงกับนิทานและตำนานจากวัฒนธรรมอื่น ๆ เช่น เรื่องของริป แวน วิงเคิล (Rip Van Winkle) จากตะวันตก หรือ ตำนานเกี่ยวกับเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในดินแดนเทพนิยาย ในหลายวัฒนธรรม นิทานเหล่านี้มักเป็นเครื่องเตือนใจเกี่ยวกับความไม่จีรังของชีวิตและผลของการหลงลืมโลกแห่งความเป็นจริง

ปัจจุบันนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่องอุราชิมะ ทาโร่ ยังคงเป็นนิทานที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น มักถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ การ์ตูน และวรรณกรรมสำหรับเด็ก แต่สาระสำคัญของเรื่องยังคงเหมือนเดิมกาลเวลาไม่เคยหยุดรอใคร และบางสิ่งเมื่อสูญเสียไปแล้ว… อาจไม่มีวันได้คืนกลับมา

“เวลาไม่เคยหยุดรอใคร… หันกลับมาอีกที ทุกสิ่งที่เคยรัก อาจกลายเป็นเพียงเถ้าธุลีของอดีต”

นิทานพื้นบ้านเกาหลีเรื่องเสือกับลูกพลับแห้ง

ในป่าลึกที่ปกคลุมด้วยหิมะ มีเรื่องราวสนุก ๆ เป็นนิทานพื้นบ้านสากลจากแดนกิมจิ เล่าถึงเสือตัวหนึ่งเดินย่างกรายลงจากภูเขาด้วยความหิวโซ ดวงตาคมกริบของมันกวาดมองหาเหยื่อ ทว่าในค่ำคืนนี้ ทุกอย่างกลับเงียบสงัดผิดปกติ

เมื่อมันย่องเข้าใกล้หมู่บ้านเล็ก ๆ กลิ่นอาหารลอยมาแตะจมูก พร้อมกับเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังออกจากบ้านหลังหนึ่ง เสือหยุดนิ่ง แอบฟังด้วยความสนใจ โดยไม่รู้เลยว่า คำพูดเพียงไม่กี่คำของมนุษย์กำลังจะเปลี่ยนความคิดของมันไปตลอดกาล… กับนิทานพื้นบ้านเกาหลีเรื่องเสือกับลูกพลับแห้ง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเกาหลีเรื่องเสือกับลูกพลับแห้ง

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านเกาหลีเรื่องเสือกับลูกพลับแห้ง

กลางฤดูหนาว ลมหนาวพัดผ่านป่าเขา หิมะสีขาวปกคลุมพื้นป่าอย่างหนาทึบ ใต้เงาของต้นไม้สูง เสือลายพาดกลอนตัวหนึ่งเดินย่างกรายอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีเหลืองเรืองแสงจ้องมองไปรอบ ๆ ขณะที่มันย่างเท้าไปตามเส้นทางบนภูเขา

“ข้าหิว…” เสือพึมพำกับตัวเอง มันรู้สึกอ่อนล้า ท้องร้องด้วยความหิว

ช่วงหลายวันที่ผ่านมา หิมะที่ตกหนักทำให้เหล่าสัตว์ในป่าหายไป ไม่มีวัวป่า กวาง หรือแม้แต่กระต่ายให้ล่า เสือเฝ้ารอคอยอาหารมาตลอด แต่ตอนนี้มันรอไม่ไหวอีกแล้ว

กลิ่นหอมบางอย่างลอยมากับสายลม กลิ่นของอาหาร… และกลิ่นของมนุษย์

เสือเงยหน้าขึ้น สูดจมูกฟุดฟิด มันรู้ว่ามีหมู่บ้านของมนุษย์อยู่เชิงเขา มันไม่ค่อยอยากเข้าไปนัก เพราะรู้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตราย แต่ความหิวก็ทำให้มันลังเล

“ข้าจะไปแค่ดูเท่านั้น… ถ้าโชคดี อาจจะได้เนื้อสักชิ้น”

เสือค่อย ๆ ย่องลงจากภูเขา เลียบไปตามแนวต้นไม้ข้างทาง มันเดินจนกระทั่งเห็นแสงไฟจากบ้านหลังหนึ่งส่องวูบไหวท่ามกลางความมืด บ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ภายในดูอบอุ่น มีเสียงพูดคุยดังออกมา

ทันใดนั้นเอง… เสียงร้องไห้ของเด็กดังขึ้นจากในบ้าน เสือชะงัก หันไปมองเสียงนั้นทันที

ภายในบ้าน หญิงชราคนหนึ่งนั่งโยกเปลเล็ก ๆ ไปมา ในเปลมีเด็กน้อยวัยสามขวบที่กำลังร้องไห้อย่างสุดเสียง แม่นั่งอยู่ข้าง ๆ พยายามปลอบแต่ไม่เป็นผล

“โอ๋ ๆ ลูกแม่ อย่าร้องนะ” นางลูบศีรษะของลูกชายอย่างอ่อนโยน

แต่เสียงร้องของเด็กยังคงดังไม่หยุด หญิงชราถอนหายใจ แล้วหันไปพูดกับแม่เด็ก “เด็กคนนี้ร้องไม่หยุดเลย ถ้ายังร้องอยู่อีกล่ะก็ เสือคงมาจับกินแน่ ๆ”

เสือที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เงามืดนอกบ้าน แสยะยิ้มขึ้นเล็กน้อย “พวกมนุษย์รู้ว่าข้าน่ากลัว ข้าคือเจ้าป่า ใคร ๆ ก็กลัวข้า” มันคิดในใจอย่างภาคภูมิใจ แต่… เด็กน้อยในเปลยังคงร้องไห้ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

เสือเลิกคิ้ว “อะไรนะ? เด็กนี่ไม่กลัวข้าเลยเหรอ?”

แม่นั่งมองลูกชายด้วยสีหน้าวิตก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “ลูกจ๋า ถ้ายังร้องอยู่อีกล่ะก็ แม่จะให้ลูกพลับแห้งนะ”

ทันทีที่แม่พูดจบ เสียงร้องไห้ของเด็กก็หยุดลงทันที ราวกับเวทมนตร์

เสือที่แอบฟังอยู่เบิกตากว้าง ร่างกายแข็งทื่อ มันขยับถอยหลังไปเล็กน้อย “อะไรนะ… ลูกพลับแห้ง?”

มันเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน “เสืออย่างข้าคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด… แต่มนุษย์คนนี้กลับไม่กลัวข้าเลย”

“กลับกัน… เด็กน้อยหยุดร้องทันทีที่ได้ยินคำว่าลูกพลับแห้ง…”

“ถ้าอย่างนั้น ลูกพลับแห้งต้องเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าข้าแน่ ๆ!” เสือเริ่มรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว ขนตามร่างลุกชัน มันไม่เคยได้ยินชื่อของสิ่งนี้มาก่อน แต่ดูเหมือนว่าเด็กมนุษย์จะหวาดกลัวมันมากกว่าที่หวาดกลัวเสือเสียอีก

“ข้าต้องออกไปจากที่นี่ ก่อนที่ลูกพลับแห้งนั่นจะมาถึง” เสือหันซ้ายหันขวา มันกำลังคิดหาทางหนี แต่ไม่รู้ว่าควรหนีไปทางไหน มันไม่เคยกลัวสิ่งใดมาก่อน แต่ตอนนี้ หัวใจของมันเต้นรัวด้วยความหวาดหวั่น

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเกาหลีเรื่องเสือกับลูกพลับแห้ง 2

เสือยืนนิ่งอยู่ใต้เงามืดข้างบ้าน หูของมันยังคงเงี่ยฟังเสียงภายในบ้านด้วยความหวาดระแวง แม้จะไม่มีเสียงพูดถึง “ลูกพลับแห้ง” อีก แต่มันก็ยังรู้สึกขนลุกทุกครั้งที่คิดถึงสิ่งนั้น

“ข้าต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” เสือก้าวถอยหลังช้า ๆ อย่างระมัดระวัง ท้องของมันยังคงหิว แต่ความกลัวกลับครอบงำมันเสียหมด มันคิดว่าหากยังอยู่ที่นี่ต่อไป เจ้าสิ่งที่เรียกว่าลูกพลับแห้งอาจจะปรากฏตัวขึ้นก็ได้

ขณะที่มันกำลังก้าวถอยหลังไปอีก เสียงฝีเท้าบางอย่างก็ดังขึ้นจากข้างหลัง! หมับ!

บางอย่างคว้าหางของเสือเอาไว้ มันสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ มันหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว

ที่แท้แล้ว… ไม่ใช่ปีศาจลูกพลับแห้งที่มันกลัว แต่เป็นชายคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังมัน มือของชายคนนั้นจับหางของเสือไว้แน่น

ชายคนนั้นคือหัวขโมยที่แอบย่องเข้ามาในหมู่บ้าน เขาตั้งใจจะขโมยวัวจากคอกในยามดึก แต่เพราะความมืด เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าสิ่งที่เขาจับไว้ไม่ใช่วัว แต่เป็นเสือตัวใหญ่

หัวขโมยยิ้มกว้าง นึกว่าโชคดีที่จับวัวได้โดยไม่ต้องเสียแรงมาก “จับได้แล้ว! วัวตัวนี้หนักดีจริง ๆ สงสัยจะอ้วนมาก”

เสือแข็งทื่อไปชั่วขณะ มันรู้สึกถึงมือที่จับหางของมันไว้อย่างแน่นหนา แต่สมองของมันยังเต็มไปด้วยภาพของ “ลูกพลับแห้ง” ที่มันคิดว่าน่ากลัวสุดชีวิต

“อึก… หรือว่า… เจ้าคนนี้จะเป็นผู้ส่งสารของลูกพลับแห้ง!?” เสือแทบหยุดหายใจ ความหวาดกลัวทำให้มันไม่กล้าขยับตัว

หัวขโมยไม่รู้เลยว่าเขากำลังจับหางของเสืออยู่ เขาคิดว่าเป็นวัวจริง ๆ จึงใช้เชือกคล้องรอบคอเสือ แล้วออกแรงดึงเต็มที่ “มากับข้าเถอะ เจ้าวัวอ้วน! คืนนี้เจ้าจะต้องเป็นของข้า!”

เสือที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวสะดุ้งสุดตัว ความคิดสุดท้ายของมันคือมันต้องหนีไปจากหมู่บ้านนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่เจ้าสิ่งที่เรียกว่าลูกพลับแห้งจะมาจับมัน

โครม! เสือกระโจนพุ่งไปข้างหน้าเต็มแรง ดึงหัวขโมยติดไปกับมัน ชายคนนั้นตกใจสุดขีด เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้จับวัว แต่กำลังเกาะอยู่บนหลังของเสือจริง ๆ!

“อ๊ากกกก! เสือ! ข้าเกาะหลังเสืออยู่!” หัวขโมยตะโกนลั่นด้วยความตกใจสุดชีวิต เขาพยายามปล่อยมือ แต่ความเร็วของเสือทำให้เขากระเด็นไปด้านข้าง

เสือกระโจนข้ามรั้วบ้าน พุ่งทะยานออกจากหมู่บ้านโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย มันวิ่งกลับขึ้นภูเขาด้วยความเร็วที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

“ข้ารอดแล้ว! ลูกพลับแห้งไม่ได้ตามข้ามาใช่ไหม!?” มันไม่กล้าหันกลับไปมองแม้แต่น้อย ร่างของมันหายไปในความมืด ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าบนหิมะ

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เสือตัวนี้ก็ไม่เคยกล้ากลับมาที่หมู่บ้านแห่งนี้อีกเลย

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเกาหลีเรื่องเสือกับลูกพลับแห้ง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความกลัวนั้นเกิดจากความไม่รู้ และการเข้าใจผิดสามารถทำให้สิ่งที่ไม่น่ากลัวกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในจินตนาการของเรา

เสือในเรื่องเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งและดุร้าย แต่มันกลับหวาดกลัว “ลูกพลับแห้ง” เพียงเพราะมันไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร และเพราะมันเข้าใจผิดว่าลูกพลับแห้งต้องเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าตัวเอง นี่สะท้อนให้เห็นว่าบางครั้งความกลัวของเรามาจากการไม่เข้าใจสิ่งนั้นจริง ๆ และอาจทำให้เราตัดสินใจผิดพลาด หรือวิตกกังวลโดยไม่มีเหตุผล

นอกจากนี้ นิทานยังสะท้อนถึงพลังของคำพูดและมุมมองของแต่ละคนที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ เด็กในเรื่องไม่ได้กลัวเสือเลย แต่กลับหยุดร้องไห้ทันทีเมื่อได้ยินคำว่า “ลูกพลับแห้ง” นี่ทำให้เสือเข้าใจผิดว่าเจ้าสิ่งนี้ต้องน่ากลัวมาก ความหมายของ “สิ่งที่น่ากลัว” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวสิ่งนั้นเอง แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครมองมันจากมุมไหน

สุดท้ายเรื่องนี้ยังสื่อถึงความตลกขบขันของสถานการณ์ที่เกิดจากความเข้าใจผิด เสือคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าป่า แต่กลับต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพราะสิ่งที่มันไม่เคยรู้จักมาก่อน ซึ่งเป็นการเสียดสีพฤติกรรมของมนุษย์ที่บางครั้งก็กลัวสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องกลัวเช่นกัน

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านเกาหลีเรื่องเสือกับลูกพลับแห้ง (อังกฤษ: The Tiger and the Dried Persimmon) เป็นหนึ่งในนิทานพื้นบ้านของเกาหลีที่เล่าต่อกันมายาวนาน มันสะท้อนถึงวัฒนธรรมและคติสอนใจของคนเกาหลี โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องความกลัวและความเข้าใจผิด

เรื่องนี้น่าจะเกิดขึ้นจากสังคมเกาหลีในอดีต ซึ่งมีป่าภูเขามากมายและเต็มไปด้วยเสือโคร่งเกาหลีที่เคยอาศัยอยู่ในธรรมชาติ เสือเป็นสัตว์ที่ผู้คนหวาดกลัว เพราะมันดุร้ายและเป็นนักล่าที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านเองก็มีวิธีจัดการกับความกลัว เช่น การใช้คำขู่เด็กให้หยุดร้อง ซึ่งเป็นเรื่องปกติในหลายวัฒนธรรม

“ลูกพลับแห้ง” เป็นของหวานพื้นเมืองที่ได้รับความนิยมในเกาหลีมาแต่โบราณ เด็ก ๆ มักจะชอบกินลูกพลับแห้ง ดังนั้นเมื่อลูกน้อยหยุดร้องไห้ทันทีที่แม่พูดถึงมัน ทำให้เสือเข้าใจผิดว่าสิ่งนี้ต้องน่ากลัวกว่าตัวเอง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ชวนขบขัน

นิทานเรื่องนี้จึงสะท้อนถึงวิธีที่ผู้คนใช้ความคิดและมุมมองของตนเองตีความสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน มันเป็นเรื่องเล่าที่มีทั้งแง่ขำขันและคติสอนใจ ทำให้ได้รับความนิยมและถูกเล่าขานต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

“เจ้าป่าที่แข็งแกร่ง ไม่ได้แพ้ให้กับศัตรู… แต่แพ้ให้กับความกลัวที่ตัวเองสร้างขึ้นมา”