นิทานพื้นบ้านออสเตรเลียเรื่องตำนานนกอีมูกับนกบัสตาร์ด

ในท้องทุ่งกว้างมีเรื่องเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากออสเตรเลีย นกหลากหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันมาช้านาน บ้างบินโฉบสูงเหนือแผ่นดิน บ้างวิ่งเร็วราวสายลม ท่ามกลางพวกมัน มีนกอยู่สองชนิดที่เคยเป็นคู่แข่งกัน ทั้งในเรื่องศักดิ์ศรีและอำนาจ

มีเรื่องเล่าขานกันในนิทานพื้นบ้านของชาวอะบอริจิน ว่าครั้งหนึ่งนกทั้งสองเคยอยู่ในฐานะที่ทัดเทียมกัน จนกระทั่งบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกมันไปตลอดกาล… กับนิทานพื้นบ้านออสเตรเลียเรื่องตำนานนกอีมูกับนกบัสตาร์ด

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านออสเตรเลียเรื่องตำนานนกอีมูกับนกบัสตาร์ด

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านออสเตรเลียเรื่องตำนานนกอีมูกับนกบัสตาร์ด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในอดีตกาล นกอีมูคือราชาแห่งทุ่งกว้าง นกทุกตัวต่างยำเกรงมัน ไม่ใช่เพราะมันบินได้สูงกว่านกอื่น ๆ แต่เพราะมันแข็งแกร่งและสง่างาม วิ่งได้เร็วจนไม่มีใครตามทัน

แต่ในขณะที่นกตัวอื่นยอมรับ นกบัสตาร์ดกลับไม่พอใจ โดยเฉพาะตัวเมียที่ขุ่นเคืองยิ่งกว่าใคร

“ทำไมนกอีมูถึงต้องเป็นราชา ทั้งที่เราก็บินได้” นางพึมพำกับตนเองขณะจ้องมองนกอีมูวิ่งผ่านทุ่งหญ้าแห้งด้วยความภาคภูมิใจ

นกบัสตาร์ดไม่เคยชอบใจที่ต้องก้มหัวให้นกอีมู มันช่างเดินเชิดหน้าเหมือนเหนือกว่านกอื่น ๆ เสมอ

“ต้องมีสักวิธีที่ข้าจะโค่นมันลงมาได้” นางคิด พลางจิกกินเมล็ดพืชอย่างร้อนรน

วันหนึ่ง นางสังเกตเห็นว่านกอีมูรักศักดิ์ศรีของตนเหนือสิ่งอื่นใด นี่แหละจุดอ่อนที่ดี! แผนการค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของนาง

รุ่งเช้า นกบัสตาร์ดแสร้งทำเป็นนั่งพักอยู่ในพุ่มหญ้า พับปีกแนบลำตัวจนดูเหมือนว่าไม่มีปีกเลย

เมื่อนกอีมูเดินผ่านมา นางทำเป็นถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ

“ราชาแห่งนกเช่นเจ้ากำลังลำบากอยู่หรือ?”

นกอีมูหยุดเดิน แปลกใจที่นกบัสตาร์ดมาทักตนอย่างเป็นมิตร นกบัสตาร์ดมักทำตัวเป็นศัตรูกับมันเสมอ

“ข้าจะลำบากไปทำไม?” นกอีมูเชิดคอสูง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงภูมิใจ

นกบัสตาร์ดยิ้มบาง ๆ แล้วพูดต่อ “ก็นกตัวอื่น ๆ เริ่มสงสัยในอำนาจของเจ้าไงล่ะ ราชาที่แท้จริงต้องแตกต่างจากพวกเรา แต่เจ้ากลับมีปีกเหมือนนกทุกตัว”

นกอีมูกะพริบตาด้วยความงุนงง “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า?”

“ก็ถ้าเจ้าไม่มีปีกสิ เจ้าจะแตกต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง และทุกตัวจะยอมรับว่าเจ้าคือราชาที่แท้จริง ไม่ใช่นกธรรมดา ๆ ที่แค่ตัวใหญ่!”

นกอีมูนิ่งคิด คำพูดของนกบัสตาร์ดฟังดูมีเหตุผล “เจ้าดูนี่สิ ข้าไม่มีปีกเลย ข้ายอมสละมันเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องบินเพื่อยิ่งใหญ่” นกบัสตาร์ดพูดพลางกางปีกออกเล็กน้อยแล้วรีบหุบกลับอย่างแนบเนียน

นกอีมูจ้องมองนางอย่างลังเล แล้วพยักหน้า “ข้าจะไปปรึกษาคู่ของข้าเรื่องนี้”

“เจ้าคิดว่าอย่างไร?” นกอีมูถาม

“มันเสี่ยงเกินไป เจ้าแน่ใจหรือว่าการตัดปีกจะทำให้เจ้าเป็นราชาที่แท้จริง?”

“ถ้าข้าไม่ทำ พวกมันอาจไม่เคารพข้าอีกต่อไป ข้าจะไม่เป็นเพียงนกธรรมดา แต่จะเป็นราชาแห่งทุ่งกว้างโดยสมบูรณ์!”

คู่ของมันยังลังเล แต่สุดท้ายนกอีมูก็ตัดสินใจแล้ว พวกมันช่วยกันถอนขนปีกออกจนหมด และตัดปีกให้สั้นลงจนไม่อาจบินได้อีก

รุ่งเช้า นกอีมูเดินไปหานกบัสตาร์ดด้วยความภาคภูมิใจ

“ดูสิ ข้าทำตามที่เจ้าบอกแล้ว!” นกอีมูกางปีกที่ไร้ขนออก โชว์ให้เห็นว่าตนไม่สามารถบินได้อีกต่อไป

แต่นกบัสตาร์ดกลับหัวเราะเสียงดัง พลางกางปีกกว้างแล้วกระพือขึ้นสูง ก่อนจะทะยานขึ้นฟ้า

“โง่เง่าสิ้นดี เจ้าเชื่อข้าจริง ๆ หรือ? ตอนนี้เจ้าบินไม่ได้แล้ว แต่ข้ายังบินได้เหมือนเดิม!”

นกอีมูมองขึ้นไปด้วยความตกตะลึง มันพยายามกระพือปีก แต่มันทำไม่ได้อีกแล้ว

“เจ้าโกหกข้า!” มันร้องลั่น

“หึหึ นี่แหละบทเรียนสำหรับพวกที่หลงตัวเองมากเกินไป” นกบัสตาร์ดกล่าวก่อนจะบินจากไป ทิ้งให้นกอีมูยืนตัวแข็งทื่ออยู่กลางทุ่ง

ตั้งแต่นั้นมา นกอีมูก็ไม่อาจบินได้อีกเลย

แต่ความแค้นยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจของมัน นกอีมูจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่าย ๆ…

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านออสเตรเลียเรื่องตำนานนกอีมูกับนกบัสตาร์ด 2

ตั้งแต่วันที่ถูกหลอก นกอีมูไม่อาจบินได้อีกต่อไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะยอมแพ้

มันเฝ้าคิดหาทางแก้แค้นนกบัสตาร์ด มองดูอีกฝ่ายโบยบินไปบนฟ้าอย่างภาคภูมิใจทุกวัน ยิ่งเห็น นกอีมูก็ยิ่งโกรธ “ข้าอาจไม่ได้ปีกคืนมา แต่ข้าจะทำให้มันต้องเสียบางอย่างเช่นกัน”

นกอีมูเริ่มสังเกตเห็นว่านกบัสตาร์ดหวงแหนลูกของตนมาก นางมีลูกหลายตัว แต่ก็มักจะบ่นเสมอว่าอาหารมีไม่พอสำหรับพวกมัน

นี่แหละจุดอ่อนของมัน!

วันหนึ่ง นกอีมูแอบซ่อนลูก ๆ ของตนไว้ในพุ่มไม้ ปล่อยให้เหลือเพียงสองตัวเดินไปมาอยู่ข้างกาย

จากนั้นมันเดินไปหานกบัสตาร์ดที่กำลังเฝ้าดูลูกน้อยของตน

“ลูกน้อยย่อมได้รับอาหารมากกว่า หากเจ้ามีลูกเพียงสองตัว พวกมันจะเติบโตใหญ่เช่นเดียวกับลูกข้า” นกอีมูกล่าวเสียงเรียบ

นกบัสตาร์ดกะพริบตา มองดูลูกนกอีมูสองตัวที่ดูแข็งแรงและสมบูรณ์

“เจ้าพูดจริงหรือ? ถ้าลูกข้าน้อยลง มันจะเติบโตแข็งแรงขึ้น?”

“แน่นอน” นกอีมูตอบอย่างแนบเนียน “ดูข้าสิ ลูกข้ามีแค่สองตัว แต่มันแข็งแรงกว่าเจ้าหลายเท่า”

นกบัสตาร์ดหันไปมองลูก ๆ ของตนที่กำลังจิกแย่งอาหารกัน มันเริ่มลังเล ก่อนจะพยักหน้าอย่างโลภ “ข้าจะทำให้ลูกของข้าแข็งแกร่งที่สุด”

และแล้ว นกบัสตาร์ดก็ทำสิ่งที่ไม่มีแม่ตัวไหนควรทำ… นางกำจัดลูกน้อยของตนจนเหลือเพียงสองตัว

วันต่อมา นกบัสตาร์ดเดินไปหานกอีมูด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าทำตามที่เจ้าบอกแล้ว! ข้ามีลูกแค่สองตัว และพวกมันจะเติบโตแข็งแรงเหมือนลูกของเจ้า!”

แต่แทนที่นกอีมูจะชื่นชม มันกลับหัวเราะเสียงเย็นชา ก่อนจะส่งสัญญาณเรียกลูกของมัน

จากพุ่มไม้ ลูกนกอีมูตัวเล็ก ๆ ค่อย ๆ เดินออกมา… สิบตัว!

นกบัสตาร์ดเบิกตากว้าง “นี่มันอะไรกัน!? เจ้าบอกว่ามีลูกแค่สองตัว!”

“ข้าไม่เคยพูดว่าข้าจะมีลูกแค่สองตัว ข้าเพียงบอกว่าเจ้าควรมีลูกน้อยลง” นกอีมูพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

นกบัสตาร์ดช็อก นางหันไปมองลูกทั้งสองตัวที่เหลือของตนด้วยความเสียใจ แต่ทุกอย่างสายไปแล้ว “เจ้าโกหกข้า!”

“แล้วเจ้าเองไม่เคยหลอกข้าหรือ? เจ้าทำให้ข้าเสียปีก ข้าก็เพียงคืนบางสิ่งให้เจ้าเท่านั้น”

นกบัสตาร์ดตัวสั่นด้วยความโกรธ แต่ไม่อาจทำอะไรได้

ตั้งแต่นั้นมา นกบัสตาร์ดก็วางไข่และมีลูกเพียงสองตัวในแต่ละฤดู ส่วนลูกนกอีมูยังคงมีเป็นฝูงเหมือนเดิม

และนกอีมู… แม้มันจะไม่อาจบินได้อีก แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูแคลนมันอีกเลย

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านออสเตรเลียเรื่องตำนานนกอีมูกับนกบัสตาร์ด 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ความอิจฉาริษยาและเล่ห์กลอาจย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง”

เมื่อนกบัสตาร์ดอิจฉานกอีมู นางใช้เล่ห์กลล่อลวงให้อีมูตัดปีกของตนเอง โดยหวังจะทำลายความยิ่งใหญ่ของอีมู แต่ในที่สุด นกอีมูก็ใช้ปัญญาแก้แค้นด้วยกลอุบายที่ทำให้ นกบัสตาร์ดต้องสูญเสียบางสิ่งเช่นกัน นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่คิดร้ายต่อผู้อื่น มักจะได้รับผลกรรมคืนกลับมา

อีกทั้งยังเตือนว่า “การเชื่อคนอื่นโดยไม่ใช้ปัญญาไตร่ตรอง อาจนำไปสู่หายนะ” เช่นเดียวกับที่นกอีมูรีบตัดสินใจตัดปีกของตนเองเพียงเพราะต้องการรักษาสถานะของราชาแห่งนก สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายสูญเสียโดยไม่สามารถแก้ไขได้อีก

และใครที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อทำร้ายผู้อื่น สุดท้ายอาจได้รับผลร้ายตอบแทน และการตัดสินใจโดยขาดสติปัญญา อาจนำไปสู่ความเสียหายที่ไม่สามารถย้อนคืนได้

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านออสเตรเลียเรื่องตำนานนกอีมูกับนกบัสตาร์ด (อังกฤษ: The Legend of the Emu and the Bustard) นิทานเรื่องนี้มาจากตำนานของชาวอะบอริจิน (Aboriginal) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของออสเตรเลีย พวกเขามีวัฒนธรรมการเล่าเรื่องแบบปากต่อปากมายาวนาน โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ สัตว์ป่า และการกำเนิดสิ่งต่าง ๆ ตามความเชื่อที่เรียกว่า “ดรีมไทม์ (Dreamtime)” ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการสร้างโลกและการกำหนดกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ

นิทานนี้ถูกใช้เพื่ออธิบายว่าทำไมนกอีมูถึงบินไม่ได้ ในขณะที่นกฟลอริกันใหญ่ยังคงมีปีกและบินได้ รวมถึงสอดแทรกบทเรียนเรื่องความอิจฉาและเล่ห์กลที่อาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง สำหรับชาวออสเตรเลีย นิทานพื้นบ้านของชาวอะบอริจินเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศ เรื่องเล่าเหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดและยังคงมีอิทธิพลต่อมุมมองเกี่ยวกับธรรมชาติและสัตว์ป่าในออสเตรเลียจนถึงปัจจุบัน

“ความอิจฉาริษยาเปรียบดังคมมีดที่เจ้าหวังใช้ทำร้ายผู้อื่น แต่สุดท้ายมันกลับหันปลายมาห้ำหั่นเจ้าเอง”

นิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องทำไมค้างคาวจึงออกหากินเวลากลางคืน

มีเรื่องราวเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากไนจิเรีย เล่าถึงโลกที่แบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน บางคนเลือกยืนหยัดอยู่ข้างหนึ่ง บางคนยอมสู้เพื่อปกป้องพวกพ้อง แต่ก็มีบางคนที่ไม่เลือกข้างใดเลย เปลี่ยนสีไปตามสถานการณ์เพื่อความอยู่รอดของตนเอง

แต่เมื่อสงครามจบลง และความจริงถูกเปิดเผย คนที่เคยคิดว่าตนฉลาดที่สุด อาจกลายเป็นผู้ที่ไม่มีที่ยืนแม้แต่ในเงามืดของตัวเอง… กับนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องทำไมค้างคาวจึงออกหากินเวลากลางคืน

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องทำไมค้างคาวจึงออกหากินเวลากลางคืน

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องทำไมค้างคาวจึงออกหากินเวลากลางคืน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าลึกมีสัตว์มากมายอาศัยอยู่ ทั้งบนบกและในอากาศ พวกมันแบ่งกันอยู่อย่างสงบ สัตว์ปีกครอบครองท้องฟ้า สัตว์สี่เท้าเดินท่องไปบนแผ่นดิน

แต่มีสัตว์อยู่ตัวหนึ่งที่ ไม่เข้ากับใครเลย ค้างคาว!

มันมีปีกเหมือนนก แต่ไม่มีขนปกคลุมเหมือนพวกสัตว์ปีก และมันมีฟันเหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่ก็บินได้เหมือนนก

ค้างคาวรู้ดีว่าตัวเองแตกต่างจากสัตว์อื่น แต่มันไม่เคยรู้สึกกังวล เพราะมันมีเล่ห์เหลี่ยมเป็นอาวุธ “ข้าไม่จำเป็นต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง หากข้าเป็นมิตรกับทุกฝ่าย ข้าย่อมได้ประโยชน์จากทุกคน!” ค้างคาวคิดอย่างเจ้าเล่ห์

ดังนั้น เมื่ออยู่กับนก มันก็อ้างว่าตัวเองเป็นพวกเดียวกัน “ดูข้าสิ! ข้ามีปีก ข้าบินได้ ข้าเป็นนกแน่นอน!” ค้างคาวพูดกับพวกนก

พวกนกเชื่อมันและให้มันเข้าร่วมฝูง

แต่เมื่ออยู่กับสัตว์บก มันก็อ้างอีกอย่างหนึ่ง “เจ้าดูนกพวกนั้นสิ พวกมันไม่มีฟันเหมือนพวกเรา! ข้าไม่ใช่นก ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นพวกเจ้า!”

สัตว์บกได้ยินเช่นนั้นก็ต้อนรับมันเป็นพวก

ด้วยวิธีนี้ค้างคาวใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย มันเป็นเพื่อนกับทุกฝ่าย แต่ไม่เคยภักดีต่อผู้ใดเลย

วันหนึ่งความสงบของป่าถูกทำลาย

สัตว์ปีกและสัตว์บกเกิดความขัดแย้งกัน สาเหตุเริ่มจากเรื่องเล็กน้อย—เหยี่ยวตัวหนึ่งเผลอบินโฉบลงมาใกล้โพรงของหมาป่า ทำให้หมาป่าตื่นตกใจ และพวกมันก็เริ่มทะเลาะกัน

จากนั้นความบาดหมางก็ค่อย ๆ ขยายวงกว้างขึ้น พวกนกโทษว่าสัตว์บกก้าวร้าวและชอบครอบครองพื้นที่, พวกสัตว์บกกล่าวหาว่านกมักจะส่งเสียงดังและบุกรุกอาณาเขตของพวกมัน

ในที่สุดสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์ก็ปะทุขึ้น! เมื่อสงครามเริ่มต้นค้างคาวไม่แน่ใจว่าควรเข้าข้างฝ่ายไหน “ข้าควรอยู่กับฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่า!” มันคิด

ตอนแรกสัตว์บกดูเหมือนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ค้างคาวจึงไปสมทบกับพวกมัน มันวิ่งไปอยู่ข้างๆ สิงโต ช้าง และหมาป่า แล้วกล่าวว่า “ข้าเป็นพวกของพวกเจ้า! ดูสิ ข้ามีฟัน ข้าไม่ใช่นก!”

พวกสัตว์บกยอมรับมัน และค้างคาวก็ได้อาหารกินอย่างอิ่มหนำในค่ายของพวกมัน

แต่เมื่อเวลาผ่านไปสัตว์ปีกเริ่มเป็นฝ่ายชนะ พวกเหยี่ยวและนกอินทรีใช้ความว่องไวโจมตีจากท้องฟ้า ทำให้สัตว์บกเริ่มพ่ายแพ้

ค้างคาวเห็นท่าไม่ดี มันรีบเปลี่ยนข้างทันที มันบินขึ้นไปหาเหล่านกแล้วกล่าวว่า “ข้าผิดไปแล้ว! ข้าคือพวกของพวกเจ้าเสมอ ดูสิ ข้าบินได้เหมือนพวกเจ้า!”

พวกนกเชื่อมันและให้มันเข้าร่วม ค้างคาวรอดพ้นจากอันตรายอีกครั้ง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องทำไมค้างคาวจึงออกหากินเวลากลางคืน 2

สงครามดำเนินไปหลายวัน จนในที่สุดสัตว์บกและสัตว์ปีกต่างเหนื่อยล้า และตกลงทำสัญญาสงบศึก

เหล่าสัตว์ทั้งสองฝ่ายมานั่งล้อมวงกัน เพื่อพูดคุยถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น พวกมันเริ่มเล่าเรื่องราวของสงคราม และเมื่อเปรียบเทียบกันไปมาพวกมันก็เริ่มสังเกตถึงพฤติกรรมของค้างคาว

“เจ้าค้างคาวมันอยู่กับพวกข้า!” สิงโตคำราม

“ไม่จริง! มันอยู่กับพวกข้าต่างหาก!” อินทรีโต้กลับ

สัตว์ทั้งหมดเริ่มต่อปากต่อคำกัน จนตระหนักว่าค้างคาวเล่นตุกติกกับพวกมันทั้งสองฝ่าย! “มันเข้าข้างฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ แต่มันไม่เคยซื่อสัตย์กับใครเลย!”

เมื่อค้างคาวได้ยินเช่นนั้น มันรีบทำท่าทางใสซื่อและกล่าวว่า “ไม่จริง! ข้าเพียงแต่… เอ่อ… ข้าชอบทุกฝ่ายเท่านั้นเอง!”

แต่ไม่มีสัตว์ตัวใดเชื่อมันอีกแล้ว “สัตว์อย่างเจ้าไม่มีที่ยืนในป่าของพวกเรา!” เสือโคร่งคำราม

“เจ้าทรยศพวกเรา! เจ้าจะไม่ได้อยู่ร่วมกับพวกเราอีก!” นกฮูกกล่าวเสริม

ตั้งแต่นั้นมาสัตว์ปีกไม่ยอมรับค้างคาวเป็นพวก เพราะมันมีฟัน และสัตว์บกก็ไม่ยอมรับมัน เพราะมันมีปีก พวกมันร่วมกันขับไล่ค้างคาว

ค้างคาววิ่งไปหาสัตว์บก พวกมันก็ขู่จะขย้ำมัน ค้างคาวบินขึ้นไปหาพวกนก พวกมันก็จิกไล่จนมันต้องหนีไปอีก “ข้าจะซ่อนตัวที่ไหนได้บ้าง?” ค้างคาวคร่ำครวญ

สุดท้าย มันจึงต้องซ่อนตัวในถ้ำและเงามืด ไม่กล้าออกมาตอนกลางวัน เพราะเกรงว่าสัตว์อื่นจะทำร้ายมัน

ตั้งแต่นั้นมา ค้างคาวจึงต้องออกหากินในเวลากลางคืน และหลบซ่อนจากสายตาของทั้งสัตว์บกและสัตว์ปีกไปตลอดกาล

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องทำไมค้างคาวจึงออกหากินเวลากลางคืน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… “ผู้ที่เปลี่ยนข้างเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง อาจรอดได้ชั่วคราว แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผย สุดท้ายจะไม่มีที่ยืนในสังคม” ค้างคาวคิดว่าความเจ้าเล่ห์จะทำให้มันอยู่รอด แต่กลับทำให้มันถูกขับไล่จากทุกฝ่าย ไม่มีใครยอมรับ

“ความฉลาดที่ไร้ความซื่อสัตย์ ย่อมกลายเป็นดาบที่ย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง” แม้ค้างคาวจะฉลาด แต่เพราะมันไม่ภักดีต่อใครเลย สุดท้ายมันต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว

“คนที่ไม่เลือกข้าง ไม่ยึดมั่นในความจริงใจ ย่อมไม่เป็นที่ไว้ใจของผู้ใด” ค้างคาวพยายามเข้ากับทุกฝ่าย แต่เมื่อทุกคนรู้ความจริง มันกลับถูกปฏิเสธจากทุกกลุ่ม และต้องซ่อนตัวตลอดไป

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องทำไมค้างคาวจึงออกหากินเวลากลางคืน (อังกฤษ: Why the Bat flies by Night) นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานพื้นบ้านจากไนจีเรีย ซึ่งพบได้ในเรื่องเล่าของชนเผ่าเอโดะ (Edo) และโยรูบา (Yoruba) โดยเป็นนิทานประเภทนิทานอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ (Etiological Tale) ที่พยายามให้เหตุผลว่าทำไมค้างคาวจึงออกหากินเฉพาะเวลากลางคืน

ในวัฒนธรรมของชนเผ่าเหล่านี้ สัตว์มักถูกใช้เป็นตัวแทนของนิสัยมนุษย์ โดยเฉพาะค้างคาวซึ่งเป็นสัตว์ที่มีลักษณะแปลกกว่าสัตว์อื่นมันมีปีกแต่ไม่ใช่นก มีฟันแต่ไม่ใช่สัตว์บก ทำให้มันถูกมองว่า เป็นตัวแทนของความไม่แน่นอน และการกลับกลอก

นิทานเรื่องนี้สะท้อนค่านิยมของสังคมแอฟริกันดั้งเดิมเกี่ยวกับความซื่อสัตย์และความภักดี คนที่เปลี่ยนข้างเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอาจอยู่รอดในช่วงแรก แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผย พวกเขาจะถูกปฏิเสธจากทุกฝ่าย และไม่มีที่ยืนในสังคม เช่นเดียวกับค้างคาวที่ถูกขับไล่จากทั้งสัตว์บกและสัตว์ปีก จนต้องใช้ชีวิตในความมืดมิดไปตลอดกาล

เรื่องเล่านี้จึงไม่ได้เป็นเพียงนิทานอธิบายธรรมชาติ แต่ยังเป็นบทเรียนเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ จุดยืน และผลของการทรยศต่อผู้อื่น ซึ่งยังคงใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย

“ผู้ที่สวมหน้ากากเพื่อเอาตัวรอด อาจหลอกคนอื่นได้ชั่วคราว แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผย แม้แต่เงาของตนเองก็ยังไม่มีที่ให้ยืน”

นิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องหญิงสาวผู้มีสองผิว

เรื่องราวนิทานพื้นบ้านสากลเรื่องหนึ่งจากไนจีเรียบอกเราว่าไม่ใช่ทุกสิ่งที่เห็นจะเป็นอย่างที่คิด และไม่ใช่ทุกคนที่ถูกเมินเฉยจะไร้ค่า ในโลกที่คนถูกตัดสินจากเปลือกนอก ผู้ที่อดทนและรอเวลาของตนเองเท่านั้นจึงจะเผยตัวตนที่แท้จริงได้

แต่เมื่อความจริงถูกปิดบังด้วยอคติ และอำนาจถูกควบคุมด้วยเล่ห์กล ชะตากรรมของผู้หนึ่งอาจถูกลบเลือนไปอย่างง่ายดาย ทว่าสิ่งที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้ ย่อมไม่มีวันถูกกลืนหายไปตลอดกาล… กับนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องหญิงสาวผู้มีสองผิว

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องหญิงสาวผู้มีสองผิว

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องหญิงสาวผู้มีสองผิว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในดินแดนคาลาบาร์ กษัตริย์อียัมบา ทรงเป็นนักรบผู้เกรียงไกร พระองค์พิชิตดินแดนรอบข้าง กวาดต้อนผู้คนมาเป็นทาส และขยายอาณาจักรจนยิ่งใหญ่ พระองค์มีภรรยามากถึงสองร้อยนาง แต่ไม่มีผู้ใดให้กำเนิดบุตร

วันเวลาผ่านไป ประชาชนเริ่มกระซิบกระซาบว่าราชวงศ์อาจไร้ทายาทสืบทอดบัลลังก์ บรรดาที่ปรึกษาและผู้เฒ่าจึงเสนอว่า

“ฝ่าบาทควรอภิเษกกับบุตรสาวของแมงมุม! นางเป็นที่เลื่องลือว่ามีลูกมาก หากพระองค์อภิเษกกับนาง อาณาจักรของเราย่อมมีรัชทายาทเป็นแน่!”

คำแนะนำนี้แปลกประหลาดนัก แต่ในวัฒนธรรมของเผ่าเอฟิก แมงมุมเป็นสัญลักษณ์ของปัญญา ความลึกลับ และพลังแห่งโชคชะตา กษัตริย์จึงทรงยินยอมให้ทูตเดินทางไปทาบทาม

ไม่นานนัก บุตรสาวของแมงมุมก็ถูกพามายังพระราชวัง

แต่ทันทีที่กษัตริย์ทอดพระเนตรเห็นพระนาง พระองค์ถึงกับขมวดพระขนงและเบือนหน้าหนี

“นางอัปลักษณ์ยิ่งนัก! นี่หรือคือหญิงที่จะให้กำเนิดบุตรแก่ข้า?” พระองค์ตรัสเสียงเข้ม

แม้จะไม่เต็มพระทัย แต่เพื่อเอาใจประชาชน กษัตริย์ทรงยอมอภิเษกกับนาง ทว่าความรังเกียจมิได้จางหายไป พระองค์มิได้เสด็จไปหานางเลยแม้แต่คืนเดียว

ในวังหลวง มเหสีองค์อื่นพากันเย้ยหยันและดูแคลนนาง ไม่มีผู้ใดต้อนรับ หรือยอมรับว่านางเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์

พระนางถูกปล่อยให้อยู่อย่างเดียวดายในตำหนักอันเงียบเหงา

ไม่มีใครรู้ว่าบุตรสาวของแมงมุมมีความลับ

แท้จริงแล้วนางงดงามเกินกว่าผู้ใดจะคาดคิด แต่นางเกิดมาพร้อมผิวหนังชั้นนอกที่หยาบกร้านและดูอัปลักษณ์ ราวกับสิ่งที่มิใช่มนุษย์

นางถอดมันออกได้เพียงในยามค่ำคืน เมื่อนางอยู่เพียงลำพัง

ทุกคืน เมื่อนางมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ นางจะค่อย ๆ ลอกผิวหนังชั้นนอกออก เผยให้เห็นร่างแท้จริงของตนเอง ผิวของนางเรียบเนียนดุจงาช้าง ดวงตากลมโตเปล่งประกายราวดวงดาวเรือนผมดำขลับราวท้องฟ้ายามรัตติกาล

แต่ถึงนางจะงดงามเพียงใด ก็ไม่มีใครเคยได้เห็นโฉมแท้จริงของนาง

กระนั้น ความลับไม่มีในโลก

วันหนึ่งมเหสีเอกของกษัตริย์ ซึ่งเป็นหญิงที่เฉลียวฉลาดและเจ้าเล่ห์ จับตาดูนางและล่วงรู้ถึงความจริงนี้ “หากกษัตริย์ทรงรู้ นางอาจได้รับความรัก และอาจกลายเป็นผู้โปรดปรานที่สุด!” มเหสีเอกคิดในใจ

นางต้องกำจัดหญิงผู้นี้ ก่อนที่ความลับจะถูกเปิดเผย!

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องหญิงสาวผู้มีสองผิว 2

มเหสีเอกรู้ว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป บุตรสาวของแมงมุมอาจกลายเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ นางจึงไปหาหมอผีแห่งวังหลวง เพื่อขอให้ร่ายเวทมนตร์บางอย่าง “จงทำให้กษัตริย์ทรงลืมว่าหญิงผู้นั้นมีตัวตนอยู่ในวัง”

หมอผีมอบยาพิษแห่งความลืมเลือนแก่มเหสีเอก และนางก็นำไปผสมในอาหารของกษัตริย์

เมื่อกษัตริย์เสวยเข้าไปพระองค์ก็ค่อย ๆ ลืมว่าทรงมีภรรยาอีกคนหนึ่ง ชื่อของบุตรสาวแมงมุมถูกลบเลือนไปจากความทรงจำของพระองค์ ราวกับนางไม่เคยมีอยู่ในวังแห่งนี้

วันแล้ววันเล่าไม่มีใครมาเยี่ยมเยียนตำหนักของนาง นางกลายเป็นเงาที่ไร้ตัวตนในราชสำนัก

ผ่านไปสี่เดือน หญิงสาวสิ้นหวัง นางรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไป นางตัดสินใจเดินทางกลับไปหาพ่อของนางแมงมุมผู้ชาญฉลาด

เมื่อแมงมุมรู้เรื่องที่เกิดขึ้น เขารู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของมเหสีเอก

“พวกเขาคิดว่าข้าเป็นเพียงสัตว์เล็กๆ แต่พวกเขาประเมินข้าต่ำเกินไป”

แมงมุมไปหาหมอผีอีกคนหนึ่ง ซึ่งสามารถมองเห็นสิ่งที่ถูกซ่อนเร้นได้

หมอผีผู้นี้ล่วงรู้ทุกสิ่ง เขาทราบถึงเสน่ห์ดำที่ทำให้กษัตริย์ลืมภรรยาของพระองค์ และเตรียมยาถอนเสน่ห์ ให้แมงมุม

“จงให้กษัตริย์เสวยสิ่งนี้ พระองค์จะจดจำนางได้อีกครั้ง และเรียกหานางในทันที” หมอผีกล่าว

ไม่นานนัก กษัตริย์เสวยยาถอนเสน่ห์ และจู่ ๆ พระองค์ก็นึกถึงภรรยาที่ถูกลืมไป

“นางอยู่ที่ไหน? จงตามนางมาให้ข้าในคืนนี้!” กษัตริย์ตรัสสั่งเหล่าข้าราชบริพาร

เมื่อข่าวนี้ไปถึงหญิงสาว นางแทบไม่เชื่อหูของตนเอง

“พระองค์ทรงจำข้าได้แล้วหรือ?” นางกระซิบด้วยน้ำเสียงตื้นตัน

นางรีบอาบน้ำในแม่น้ำอันใสสะอาด ชโลมกายด้วยน้ำมันหอม และสวมเสื้อผ้าที่งดงามที่สุด

เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า นางออกเดินทางกลับไปยังพระราชวัง

นี่ไม่ใช่เพียงคืนที่นางจะได้กลับคืนสู่ตำหนักของตนเอง แต่เป็นคืนแห่งโชคชะตาที่จะตัดสินอนาคตของนาง

หญิงสาวเดินทางกลับสู่พระราชวังในค่ำคืนนั้น หัวใจของนางเต้นแรงทุกย่างก้าว นางไม่รู้ว่ากษัตริย์จะมีปฏิกิริยาเช่นไร แต่สิ่งหนึ่งที่นางมั่นใจคือ นางจะไม่ถูกลืมอีกต่อไป

เมื่อมาถึง พระนางถูกนำตัวเข้าเฝ้าต่อหน้ากษัตริย์อียัมบา

กษัตริย์ทอดพระเนตรเห็นนางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ พระองค์รู้สึกแตกต่างออกไป “เหตุใดข้าจึงปล่อยให้เจ้าถูกลืมเลือนไปได้?” พระองค์ตรัสพลางขมวดพระขนง รู้สึกผิดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

หญิงสาวคุกเข่าลง น้ำตาคลอเบ้า นางมิได้กล่าวโทษ แต่เพียงกล่าวว่า “ข้ามาเพราะพระองค์เรียกหา แต่หากข้ามิเป็นที่ต้องการอีก ข้าจะจากไปโดยมิต้องมีผู้ใดร่ายเวทมนตร์ใส่พระองค์อีกต่อไป”

คำพูดของนางเสียดแทงเข้าไปในพระทัยของกษัตริย์ พระองค์มองนางอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง “เจ้าไม่ใช่หญิงที่อัปลักษณ์เช่นที่ข้าเคยเห็นในวันแรก… ดวงตาของเจ้าเปี่ยมไปด้วยความเข้มแข็ง และเจ้ามีความสง่างามในแบบที่ข้าไม่เคยสังเกตมาก่อน”

หญิงสาวนิ่งเงียบ นางรู้อยู่แก่ใจว่ารูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางซ่อนอยู่ภายใต้ผิวหนังชั้นนอก

และในคืนนั้น นางก็ตัดสินใจเผยความลับที่เก็บงำมาตลอดชีวิต นางค่อยๆ ลอกผิวหนังชั้นนอกออกต่อหน้ากษัตริย์ บรรยากาศในท้องพระโรงเงียบสนิท ทุกสายตาจับจ้องไปที่นาง

จากหญิงที่เคยถูกดูแคลน นางกลับกลายเป็นหญิงงามที่ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบได้ ผิวของนางเรียบเนียนราวงาช้าง ดวงตากลมโตส่องประกายราวดวงดาว เรือนผมดำขลับราวท้องฟ้ายามรัตติกาล

กษัตริย์เบิกพระเนตรกว้าง พระองค์แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง “นี่คือเจ้าจริงๆ หรือ?” พระองค์ตรัสเบาๆ

หญิงสาวพยักหน้า ก่อนกล่าวว่า “นี่คือตัวข้าที่แท้จริง แต่หากมิใช่ความงามที่ทำให้พระองค์ต้องการข้า ข้าก็ยินดีที่จะกลับไปเป็นเช่นเดิม”

กษัตริย์ทรงนิ่งไป ก่อนจะลุกจากบัลลังก์ และก้าวลงมายืนต่อหน้านาง “ข้าเคยมองเพียงเปลือกนอก ข้าเคยปล่อยให้เจ้าเผชิญความเจ็บปวดเพียงลำพัง และข้าถูกหลอกให้ลืมเจ้า แต่คืนนี้ ข้าเห็นเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว”

จากนั้นพระองค์จึงตรัสต่อหน้าข้าราชบริพารทั้งปวงว่า “จากวันนี้ นางจะมิใช่เพียงมเหสีของข้า แต่จะเป็นผู้ที่ข้ายกย่องเหนือผู้ใด นางจะได้รับเกียรติและสิทธิ์ที่พึงมี และไม่มีใครในราชสำนักกล้าดูถูกนางได้อีก!”

มเหสีเอกที่แอบดูเหตุการณ์อยู่กัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจ เพราะรู้ว่าตนพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง

หญิงสาวผู้เคยถูกทอดทิ้ง ได้กลับคืนสู่บัลลังก์ มิใช่เพราะเวทมนตร์ แต่เพราะโชคชะตาของนางที่ถูกสร้างขึ้นจากความอดทนและคุณค่าที่แท้จริงของตนเอง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องเต่ากับลูกสาวแสนน่ารัก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… “คุณค่าที่แท้จริงของคนไม่ได้อยู่ที่เปลือกนอก แต่คือจิตใจและความเข้มแข็งภายใน” หญิงสาวถูกตัดสินจากรูปลักษณ์ของนาง แต่สุดท้าย สิ่งที่ทำให้นางได้รับการยอมรับ คือความอดทน ปัญญา และคุณค่าที่แท้จริงของตนเอง

“ความจริงอาจถูกปกปิด แต่ไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนเร้นได้ตลอดไป” แม้จะมีเล่ห์กลและเวทมนตร์มากมายที่พยายามทำให้หญิงสาวถูกลืม แต่สุดท้ายความจริงก็ได้รับการเปิดเผย และความยุติธรรมก็กลับคืนมา

“ผู้ที่ใช้เล่ห์กลเพื่อทำลายผู้อื่น สุดท้ายมักต้องพ่ายแพ้ต่อโชคชะตาของตนเอง” มเหสีเอกพยายามลบหญิงสาวออกจากชีวิตของกษัตริย์ แต่สุดท้ายนางกลับต้องยอมรับความพ่ายแพ้ และเห็นหญิงสาวก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด

“คนที่อดทนต่อความอยุติธรรม จะได้รับสิ่งที่คู่ควรในที่สุด” หญิงสาวไม่เคยแก้แค้นหรือโกรธแค้นผู้ที่ทำร้ายนาง นางเพียงอดทนและรอคอยเวลา จนสุดท้ายโชคชะตาก็ตอบแทนนางอย่างยิ่งใหญ่

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องหญิงสาวผู้มีสองผิว (อังกฤษ: The Woman with Two Skins) เป็นนิทานพื้นบ้านจากเผ่าเอฟิก (Efik) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ของประเทศไนจีเรีย เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมเกี่ยวกับความงาม โชคชะตา และบทบาทของสตรีในสังคม นิทานของชาวเอฟิกมักแฝงแนวคิดเกี่ยวกับอำนาจ การหลอกลวง และการพลิกผันของชีวิต

เต่าและแมงมุมเป็นสัตว์ที่ปรากฏบ่อยในนิทานของชนเผ่านี้ โดยแมงมุมในเรื่องนี้เป็นสัญลักษณ์ของปัญญาและความลึกลับ ลูกสาวของแมงมุมจึงไม่ได้เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา แต่เป็นตัวแทนของผู้ที่ถูกตัดสินจากเปลือกนอก แต่แท้จริงแล้วมีคุณค่าซ่อนอยู่ภายใน

การใช้ “สองผิว” เป็นสัญลักษณ์ของความจริงที่ถูกซ่อนเร้น และอคติของผู้คนที่มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ขณะเดียวกัน นิทานยังสะท้อนถึงอำนาจของสตรีในราชสำนัก ผ่านตัวละครมเหสีเอก ผู้ใช้เล่ห์กลเพื่อรักษาสถานะของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องราวที่พบได้บ่อยในนิทานแอฟริกันที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์

เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าความจริงไม่อาจถูกซ่อนเร้นได้ตลอดไป และผู้ที่อดทนและมีคุณค่าที่แท้จริง จะได้รับสิ่งที่คู่ควรในที่สุด

“บางคนถูกลืมเลือนเพราะเล่ห์กล บางคนถูกมองข้ามเพราะเปลือกนอก แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผย ผู้ที่เคยเหยียบย่ำ อาจต้องก้มหน้ามองผู้ที่ตนเคยดูแคลน”

นิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องเต่ากับลูกสาวแสนน่ารัก

ในโลกนี้ บางคนเกิดมาพร้อมทรัพย์สมบัติ บางคนเกิดมาอย่างยากไร้ แต่สิ่งที่แท้จริงกำหนดคุณค่าของคน ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขามีติดตัวมา หากแต่เป็นสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง

ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเรื่องเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากไนจีเรีย ว่ามีผู้เป็นบิดาที่แม้จะไม่มีทองคำ ไม่มีที่ดินกว้างใหญ่ แต่เขากลับมีบางสิ่งที่มีค่ากว่าทรัพย์สมบัติใด ๆ บางสิ่งที่จะเปลี่ยนอนาคตของครอบครัวไปตลอดกาล… กับนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องเต่ากับลูกสาวแสนน่ารัก

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องเต่ากับลูกสาวแสนน่ารัก

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องเต่ากับลูกสาวแสนน่ารัก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มี เต่าผู้เป็นพ่อเลี้ยงลูกสาวตามลำพัง เขาไม่ได้มีบ้านหลังใหญ่ ไม่มีที่ดินกว้างขวาง หรือทรัพย์สมบัติใด ๆ มีเพียงกระท่อมเก่า ๆ และชีวิตที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงตนเอง

แต่ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงสัตว์ตัวเล็กและเชื่องช้า เขาก็มีสิ่งหนึ่งที่ล้ำค่ากว่าสมบัติใด ๆ ปัญญา

เต่าเชื่อว่าความงดงามที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่คือจิตใจและสติปัญญา ดังนั้น เขาจึงตั้งใจเลี้ยงดูลูกสาวของเขาให้เติบโตขึ้นอย่างมีคุณค่า

ทุกเช้า ลูกสาวของเต่าจะตื่นขึ้นมากวาดลานบ้าน จัดเรียงของ และช่วยผู้คนในหมู่บ้าน นางไม่เคยบ่น ไม่เคยอิดออด แม้จะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน แต่นางไม่เคยดูถูกตัวเอง

“พ่อจ๋า ทำไมเราถึงไม่ร่ำรวยเหมือนครอบครัวอื่น?” นางเคยถามเต่าขณะที่พวกเขากำลังแบ่งข้าวมื้อสุดท้ายของวัน

เต่าหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า “ความร่ำรวยมีหลายแบบ บางคนร่ำรวยด้วยทองคำ แต่เราจะร่ำรวยด้วยปัญญา จงเป็นคนที่มีคุณค่า แล้ววันหนึ่งเจ้าจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเอง”

ลูกสาวของเต่าเติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่งดงามทั้งภายนอกและภายใน นางมีใบหน้าที่อ่อนหวานและแววตาที่เต็มไปด้วยความเมตตา ทุกคนในหมู่บ้านต่างชื่นชมในความอ่อนโยนและสติปัญญาของนาง

และไม่นานนัก ชื่อเสียงของนางก็แพร่กระจายไปไกล จนกระทั่งไปถึงพระราชวัง

ที่พระราชวัง เจ้าชายแห่งอาณาจักรอิกโบยังไม่ได้อภิเษกสมรส พระองค์ทรงได้รับคำแนะนำให้เลือกหญิงที่มีฐานะสูงส่ง แต่เจ้าชายยังไม่พบผู้ใดที่คู่ควร

จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าชายได้ยินเรื่องของลูกสาวเต่า “หญิงสาวผู้นี้ งดงามทั้งกายและใจ นางต้องเป็นเจ้าสาวของข้า!”

ดังนั้น เจ้าชายจึงเดินทางมายังหมู่บ้านของเต่า พร้อมด้วยขบวนราชองครักษ์เพื่อขอหญิงสาวแต่งงาน

เมื่อเต่าพบกับเจ้าชาย เขามิได้แสดงความดีใจหรืออ่อนน้อมอย่างที่คาด เขาเพียงแย้มยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า

“ลูกสาวของข้ามีค่ามากกว่าทองคำ นางคู่ควรกับบุรุษที่คู่ควร มิใช่เพียงผู้ที่มีอำนาจหรือทรัพย์สมบัติ เจ้าจะต้องพิสูจน์ตนเองก่อนที่ข้าจะยอมให้เจ้าพานางไป”

เจ้าชายขมวดคิ้ว “ข้ามีทุกสิ่ง ทั้งบัลลังก์ ความมั่งคั่ง และอำนาจ เจ้าไม่คิดว่าข้าคู่ควรหรือ?”

เต่าหัวเราะเบา ๆ “ทรัพย์สมบัติไม่ใช่ทุกอย่าง หากเจ้าต้องการลูกสาวของข้า เจ้าต้องทำให้ ‘นางเลือกเจ้าเอง'”

เจ้าชายตกตะลึงกับคำพูดของเต่า เขาไม่สามารถบังคับหญิงสาวให้แต่งงานกับเขาได้ หากต้องการได้หัวใจของนาง เขาจะต้องทำให้นางยอมรับในตัวเขาเอง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องเต่ากับลูกสาวแสนน่ารัก 2

เจ้าชายเคยคิดว่าบรรดาศักดิ์และทรัพย์สมบัติของพระองค์สามารถทำให้หญิงใดก็ได้ยอมแต่งงานกับพระองค์ แต่เมื่อพบกับลูกสาวของเต่า พระองค์รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่อาจชนะใจนางได้

ดังนั้น แทนที่จะโอ้อวดฐานะของตน เจ้าชายตัดสินใจใช้เวลาเรียนรู้และเข้าใจตัวตนของหญิงสาว

วันแรก เจ้าชายเดินทางไปหานางที่กระท่อมของเต่า และนั่งสนทนากับนาง

“เจ้าชอบสิ่งใด?” เจ้าชายถาม

“ข้าชอบเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ชอบการแบ่งปัน และชอบฟังเรื่องราวของผู้เฒ่า” หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม

เจ้าชายเริ่มเข้าใจว่า นางไม่ได้ให้ค่ากับสิ่งของ แต่ให้ค่ากับสิ่งที่อยู่ในหัวใจของผู้คน

วันหนึ่ง ฝนตกหนัก ถนนเต็มไปด้วยโคลน เด็กน้อยคนหนึ่งล้มลงกลางทาง ขุนนางหลายคนเดินผ่านไปโดยไม่สนใจ แต่เจ้าชายกลับเข้าไปช่วยเด็กน้อยขึ้นมา ปัดโคลนออกจากเสื้อผ้า และพาเขาไปหาที่พัก

หญิงสาวเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด นางรู้ว่าเจ้าชายไม่ได้ทำเพื่อให้ใครชื่นชม แต่เพราะพระองค์มีจิตใจที่เมตตาโดยแท้จริง

อีกวันหนึ่ง หญิงสาวพาเจ้าชายไปเยี่ยมชาวบ้านที่ยากจน ขณะนั้น มีหญิงชรากำลังขนฟืน เจ้าชายเห็นแล้วรีบเข้าไปช่วยโดยไม่ลังเล

“เจ้าชายไม่ควรทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” ข้าราชบริพารพึมพำ แต่เจ้าชายเพียงตอบว่า “ทุกคนล้วนเป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่มีงานใดที่ต่ำต้อยเกินไปหากเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น”

หญิงสาวมองพระองค์ด้วยความประทับใจ เจ้าชายไม่ได้เพียงแต่พูดถึงความดีงาม แต่พระองค์ลงมือทำจริง

วันหนึ่ง ขณะที่พวกเขากำลังนั่งใต้ร่มไม้ หญิงสาวเล่าเรื่องปรัมปราที่ผู้เฒ่าในหมู่บ้านเคยเล่าให้ฟัง

“เจ้าชายเคยได้ยินตำนานของกระต่ายกับสิงโตหรือไม่?” นางถาม

“ข้ายังไม่เคย ได้โปรดเล่าให้ข้าฟังเถิด” เจ้าชายตอบด้วยความสนใจ

หญิงสาวเล่าถึงกระต่ายตัวเล็กที่ใช้ปัญญาหลอกสิงโตเจ้าเล่ห์ แทนที่จะฟังผ่าน ๆ เจ้าชายกลับถามคำถามและวิเคราะห์เรื่องราวอย่างลึกซึ้ง

“เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็พ่ายแพ้ให้กับผู้ที่ใช้สติปัญญา เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่?” เจ้าชายถาม

หญิงสาวยิ้ม พระองค์ไม่ได้เพียงแค่ฟัง แต่ยังใคร่ครวญและเข้าใจ พระองค์ให้คุณค่ากับสติปัญญา ไม่ใช่เพียงกำลังหรือฐานะ

เวลาผ่านไป หญิงสาวเห็นว่าเจ้าชายมิใช่เพียงชายผู้สูงศักดิ์ แต่เป็นผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยน อ่อนน้อม และเต็มไปด้วยปัญญา

วันหนึ่ง นางเดินไปหาบิดาของนางเต่าผู้ชาญฉลาด และกล่าวว่า “พ่อจ๋า ข้าเลือกเขา ไม่ใช่เพราะเขาเป็นเจ้าชาย แต่เพราะเขามีจิตใจที่คู่ควรกับข้า”

เต่ายิ้มอย่างภูมิใจ เขาไม่ได้ร่ำรวยเพราะโชคชะตา แต่เพราะเขาเลี้ยงดูลูกสาวให้มีคุณค่าที่แท้จริง

สุดท้ายหญิงสาวแต่งงานกับเจ้าชาย และนำพาความมั่งคั่งและเกียรติยศมาสู่ครอบครัวของเต่า ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่เพราะการเลี้ยงดูที่ดี ทำให้ลูกของเขากลายเป็นหญิงที่คู่ควรกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องเต่ากับลูกสาวแสนน่ารัก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… “ความงดงามที่แท้จริง มิใช่เพียงรูปลักษณ์ แต่คือปัญญาและจิตใจ” ลูกสาวของเต่าไม่ได้เป็นที่ยอมรับเพราะความงามภายนอกเท่านั้น แต่เพราะคุณค่าภายในที่นางมี

“พ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกอย่างดี ย่อมสร้างอนาคตที่ยิ่งใหญ่ให้ลูกได้ แม้จะเริ่มจากความยากจน” เต่าไม่มีทรัพย์สมบัติใด แต่นางกลับกลายเป็นราชินี เพราะเต่าปลูกฝังคุณค่าที่แท้จริงให้นาง

“ความรักที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับฐานะ แต่เกิดจากการเคารพซึ่งกันและกัน” เจ้าชายไม่ได้เลือกหญิงสาวเพราะความงามเพียงอย่างเดียว และหญิงสาวก็ไม่ได้เลือกเจ้าชายเพียงเพราะบรรดาศักดิ์ แต่เพราะพวกเขามองเห็นคุณค่าของกันและกัน

“เมื่อคนมีคุณค่า โอกาสย่อมมาหาเอง” หญิงสาวไม่ได้ต้องวิ่งตามหาความมั่งคั่ง แต่เพราะนางมีคุณค่าแท้จริง โอกาสจึงเดินเข้ามาหานางเอง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องเต่ากับลูกสาวแสนน่ารัก (อังกฤษ: The Tortoise with a Pretty Daughter) เป็นนิทานพื้นบ้านจากชนเผ่าอิกโบ (Igbo) ในประเทศไนจีเรีย ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวัฒนธรรมและเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมายาวนาน นิทานของชาวอิกโบมักสอดแทรกบทเรียนชีวิตผ่านสัญลักษณ์ของสัตว์ต่างๆ และเต่า (Mbe) เป็นตัวละครที่ปรากฏบ่อยที่สุดในนิทานของพวกเขา

ในนิทานเรื่องนี้เต่าเป็นตัวแทนของพ่อที่ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีอำนาจ แต่สามารถใช้ปัญญาในการสร้างโอกาสให้ลูกของเขา

  • เต่าไม่ได้เป็นคนร่ำรวย แต่เขาเลี้ยงดูลูกสาวให้มีคุณค่าทั้งภายนอกและภายใน
  • เขาไม่สามารถมอบสมบัติให้ลูกสาวได้ แต่เขามอบการศึกษา ความเมตตา และปัญญาให้กับนาง
  • สุดท้าย ลูกสาวของเขาไม่ได้แต่งงานกับเจ้าชายเพราะความบังเอิญ แต่เพราะเธอมีคุณค่าที่แท้จริง

นิทานเรื่องนี้สะท้อนความเชื่อของชาวอิกโบที่ว่า “ปัญญาสำคัญกว่าทรัพย์สมบัติ” และ “แม้จะเกิดมายากจน แต่หากได้รับการเลี้ยงดูที่ดี ย่อมสามารถเปลี่ยนอนาคตของตนเองได้”

นิทานเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของหญิงงามที่แต่งงานกับเจ้าชาย แต่มันสะท้อนค่านิยมที่แท้จริงของสังคมอิกโบ ครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตให้ลูก, ความงดงามไม่ใช่เพียงภายนอก แต่คือปัญญาและจิตใจที่ดี, แม้จะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน หากมีคุณค่าแท้จริง ก็สามารถสร้างโอกาสให้ตนเองได้

นี่คือเหตุผลที่เต่า ถูกใช้เป็นตัวเอกของเรื่อง เพราะเขาคือผู้ที่แม้จะไม่มีอะไรเลย แต่สามารถใช้ปัญญาสร้างโอกาสให้ครอบครัวได้เสมอ

“จงเลี้ยงดูลูกสาวให้มีความงดงามทั้งภายนอกและภายใน เพราะไม่ว่าครอบครัวจะยากจนเพียงใด หากนางมีคุณค่าแท้จริง นางอาจได้แต่งงานกับเจ้าชาย และนำความมั่งคั่งมาสู่ตระกูล”

นิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องชายผู้ไม่เคยโกหก

ไม่มีใครรู้ว่ามนุษย์สามารถใช้ชีวิตโดยไม่โกหกได้จริงหรือไม่ เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน คำโกหกบางครั้งก็ดูเหมือนเป็นเกราะกำบัง หรืออาจเป็นอาวุธที่ใช้ปกป้องตนเอง แต่มีเรื่องเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากไนจีเรีย เล่าถึงว่ามีชายคนหนึ่ง ที่ผู้คนต่างเล่าขานว่า เขาไม่เคยโกหกเลยแม้แต่คำเดียว

เรื่องราวของเขาถูกกล่าวถึงไปไกล จนกระทั่งวันหนึ่ง ชื่อเสียงนั้นไปถึงหูของกษัตริย์ ผู้ไม่เชื่อว่ามีใครในโลกที่พูดแต่ความจริงได้เสมอ พระองค์จึงวางแผนจะพิสูจน์… และทำให้เขาต้องโกหกให้ได้ กับนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องชายผู้ไม่เคยโกหก

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องชายผู้ไม่เคยโกหก

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องชายผู้ไม่เคยโกหก

กาลครั้งหนึ่ง ณ อาณาจักรอันรุ่งเรือง มีชายคนหนึ่งชื่อ มามัด เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วทุกสารทิศในฐานะ “ชายผู้ไม่เคยโกหก” ไม่ว่าใครจะถามอะไร เขาจะตอบแต่ความจริงเสมอ ไม่พูดเกินจริง ไม่บิดเบือน ไม่ปิดบัง ชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายไปไกล แม้แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ไกลออกไปถึงยี่สิบวันทางเดินก็ยังรู้จักชื่อของเขา

เรื่องเล่าของมามัดเดินทางไปถึงพระราชวัง กษัตริย์ ผู้ปกครองอาณาจักรได้ยินเรื่องของเขาแล้วก็อดสงสัยไม่ได้

“ไม่มีทางที่ใครจะไม่เคยโกหกเลยตลอดชีวิต” กษัตริย์ตรัสกับข้าราชบริพาร “สักวันหนึ่ง เขาต้องโกหกแน่ ข้าจะเป็นคนพิสูจน์เอง!”

กษัตริย์จึงมีรับสั่งให้นำตัวมามัดมาเข้าเฝ้า เมื่อเขามาถึง พระองค์จ้องมองเขาด้วยสายตาจับผิด ก่อนเอ่ยถาม

“มามัด เป็นความจริงหรือไม่ที่เจ้ามิเคยพูดโกหกเลยแม้แต่ครั้งเดียว?”

“เป็นความจริง ฝ่าบาท” มามัดตอบ น้ำเสียงของเขาสงบ ไม่มีความลังเล

“และเจ้าจะไม่โกหกตลอดชีวิตของเจ้าเลยหรือ?” กษัตริย์ไล่ต้อน

“ข้ามั่นใจเช่นนั้น”

กษัตริย์เลิกพระขนง ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “ดี! แต่เจ้าจงระวังให้ดี การโกหกนั้นเจ้าเล่ห์นัก บางทีมันอาจแอบขึ้นมาบนลิ้นของเจ้าโดยที่เจ้าไม่รู้ตัวก็เป็นได้”

แม้มามัดจะยังคงสงบนิ่ง แต่กษัตริย์ก็มิได้วางพระทัย พระองค์ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า จะต้องทำให้มามัดโกหกให้ได้!

หลายวันผ่านไป มามัดยังคงทำตัวเป็นปกติ ไม่เคยพูดโกหกแม้แต่ครั้งเดียว กษัตริย์เฝ้าสังเกตเขา แต่ก็ยังจับผิดอะไรไม่ได้

จนกระทั่งวันหนึ่ง พระองค์คิดแผนบางอย่างขึ้นมาได้

วันนั้นเป็นวันที่กษัตริย์จะเสด็จออกล่าสัตว์ ลานหน้าพระราชวังเต็มไปด้วยขุนนางและทหารที่เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง พระองค์สวมชุดล่าสัตว์เต็มยศ มือข้างหนึ่งจับบังเหียนม้า อีกข้างหนึ่งจับอานไว้ ขณะที่พระบาทข้างซ้ายเหยียบโกลนเตรียมจะขึ้นม้า

ทันใดนั้น กษัตริย์ก็หันไปหามามัดแล้วตรัสว่า

“มามัด ไปบอกพระราชินีที่ตำหนักฤดูร้อนของข้าว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปกินมื้อเที่ยงกับนาง ให้เตรียมงานเลี้ยงใหญ่ และเจ้าจะร่วมรับประทานกับข้าด้วย”

มามัดก้มศีรษะรับคำสั่ง ก่อนเดินทางไปยังตำหนักฤดูร้อน

เมื่อมามัดจากไป กษัตริย์ก็หัวเราะเบาๆ ก่อนตรัสกับข้าราชบริพาร

“เราไม่ไปล่าสัตว์แล้ว! พรุ่งนี้เราจะหัวเราะให้สะใจ เพราะมามัดจะต้องโกหกเป็นครั้งแรก!”

ข้าราชบริพารพากันหัวเราะตาม กษัตริย์มั่นพระทัยว่าไม่ว่ามามัดจะพูดอะไรกับพระราชินี สุดท้ายเขาต้องโกหกอยู่ดี เพราะแผนที่แท้จริงคือ กษัตริย์จะไม่ไปมื้อเที่ยงตามที่สั่ง!

“ถ้าเขาบอกว่าวันพรุ่งนี้ข้าจะไป เขาย่อมโกหก!” กษัตริย์คิดในใจ “และหากเขาบอกว่าข้าไม่ไป เขาก็ต้องโกหกเช่นกัน เพราะเขาไม่รู้แผนของข้า!”

พระองค์ยิ้มอย่างพึงพอใจ เชื่อมั่นว่าครั้งนี้ ชายผู้ไม่เคยโกหกจะต้องเสียชื่อเสียงแน่นอน

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องชายผู้ไม่เคยโกหก 2

เมื่อมามัดเดินทางไปถึงตำหนักฤดูร้อน พระราชินีทรงรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้าทันที

“มามัด กษัตริย์ส่งเจ้ามาหรือ?” พระนางตรัสด้วยความสงสัย

“ใช่ พระนาง” มามัดตอบเรียบๆ

“พระองค์จะเสด็จมื้อเที่ยงพรุ่งนี้ใช่หรือไม่?”

มามัดเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

“บางทีพระองค์อาจจะเสด็จมา และบางทีพระองค์อาจจะไม่เสด็จ บางทีพระองค์อาจต้องการให้เตรียมงานเลี้ยง และบางทีพระองค์อาจเปลี่ยนพระทัย”

พระราชินีขมวดพระขนง “แล้วสรุปว่าพระองค์จะเสด็จหรือไม่?”

มามัดมองพระราชินีอย่างแน่วแน่ ก่อนกล่าวว่า

“ข้าไม่รู้ว่าหลังจากที่ข้าออกจากวัง พระบาทขวาของพระองค์จะขึ้นโกลน หรือพระบาทซ้ายของพระองค์จะก้าวลงสู่พื้นดินก่อนกัน”

พระราชินีนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจในความหมายของคำพูดนั้น มามัด ไม่ได้พูดโกหก และ ไม่ได้พูดสิ่งที่เกินความจริง เขาเพียงพูดในสิ่งที่เขาแน่ใจเท่านั้น

รุ่งเช้า กษัตริย์เสด็จไปยังตำหนักฤดูร้อนพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พระองค์ตรัสกับพระราชินีว่า

“เมื่อวาน มามัดโกหกท่านแล้วใช่หรือไม่?”

แต่พระราชินีมิได้ตอบเช่นนั้น นางเล่าถึงสิ่งที่มามัดพูดให้พระองค์ฟัง

กษัตริย์นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงหลุดหัวเราะออกมา พระองค์ตระหนักว่ามามัดไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อย เขาพูดแต่ความจริง และไม่กล่าวในสิ่งที่ตนไม่อาจรู้ได้แน่ชัด

“เจ้านี่ฉลาดนัก มามัด” กษัตริย์ตรัสพลางทอดพระเนตรเขาด้วยสายตาชื่นชม

มามัดยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าว “ความซื่อสัตย์มิได้หมายถึงการพูดทุกอย่างที่คิดออกมา แต่หมายถึงการพูดเฉพาะสิ่งที่เป็นจริง และไม่กล่าวในสิ่งที่เราไม่แน่ใจ”

ตั้งแต่นั้นมา กษัตริย์ยอมรับในสติปัญญาของมามัด และแต่งตั้งให้เขาเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของราชสำนัก

ชื่อเสียงของชายผู้ไม่เคยโกหกจึงแพร่สะพัดไปไกลยิ่งกว่าเดิม

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องชายผู้ไม่เคยโกหก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… “ความซื่อสัตย์ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การไม่โกหก แต่คือการพูดด้วยปัญญา” มามัดไม่พูดสิ่งที่ตนไม่แน่ใจ เพราะบางครั้ง “ข้าไม่รู้” ก็เป็นคำตอบที่จริงใจที่สุด

“ความจริงต้องมาพร้อมกับสติ” ไม่ใช่ทุกความจริงที่ควรพูดทันที คนฉลาดรู้ว่าความจริงควรถูกใช้เมื่อใด และอย่างไร

“ผู้มีปัญญาไม่ต้องโต้แย้ง แต่ใช้ความจริงให้เป็นประโยชน์” มามัดไม่พยายามเอาชนะกษัตริย์ แต่ใช้คำพูดที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา จนพระองค์ต้องยอมรับเอง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องชายผู้ไม่เคยโกหก (อังกฤษ: The Man Who Never Lied) เป็นนิทานพื้นบ้านจากแอฟริกา โดยเฉพาะจากชนเผ่าเฮาซา (Hausa) ซึ่งกระจายตัวอยู่ในไนจีเรีย ไนเจอร์ และแอฟริกาตะวันตก นิทานเรื่องนี้สะท้อนคุณค่าดั้งเดิมของสังคมแอฟริกันที่ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ ปัญญา และการใช้คำพูดอย่างรอบคอบ

ในวัฒนธรรมแอฟริกัน คำพูดมีพลังมากกว่าที่คิด คนที่พูดความจริงโดยไม่ไตร่ตรองอาจสร้างศัตรู แต่ผู้ที่ซื่อสัตย์อย่างชาญฉลาด จะได้รับการยอมรับและความเคารพ เรื่องราวของมามัดจึงไม่ใช่แค่สอนให้ไม่โกหก แต่ยังสอนให้รู้ว่า “ความจริงที่ไร้สติ อาจเป็นอาวุธที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง”

แม้ว่าเนื้อเรื่องอาจมีการดัดแปลงตามแต่ละภูมิภาค แต่สาระสำคัญยังคงเดิม นั่นคือความจริงควรมาพร้อมปัญญา มิใช่เพียงคำพูด ซึ่งเป็นบทเรียนที่ยังคงใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย

“ความจริงที่ไร้ปัญญา คือดาบที่ย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง แต่ความจริงที่ใช้เป็น คือพลังที่ไม่มีใครโค่นล้มได้”

นิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องตำนานฟ้าแลบและฟ้าร้อง

นานมาแล้วมีตำนานเรื่องเล่านิทานพื้นบ้านสากลจากไนจีเรีย โดยครั้งหนึ่งสายฟ้าและฟ้าร้องเคยอยู่ร่วมกับมนุษย์มาก่อน พวกมันไม่ได้อยู่บนฟ้า ไม่ได้ถูกกักขังอยู่ไกลเกินเอื้อม แต่เคยเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน มีเสียง หัวเราะ มีความรู้สึก และมีเรื่องราวของตัวเอง

แต่บางสิ่งทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป บางสิ่งที่รุนแรง ดุดัน และไม่มีวันย้อนคืน นี่คือตำนานที่ถูกเล่าขานถึงเหตุผลที่พวกมันต้องถูกขับไล่ไปสู่ฟากฟ้า และทำไมพวกมันถึงไม่เคยเงียบสงบอีกเลย… กับนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องตำนานฟ้าแลบและฟ้าร้อง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องตำนานฟ้าแลบและฟ้าร้อง

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องตำนานฟ้าแลบและฟ้าร้อง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในดินแดนห่างไกลที่ธรรมชาติยังคงปกครองโลก มีย่ากับหลานคู่นี้อาศัยอยู่ “รามา” หญิงชราผู้มีเสียงดังกึกก้อง และ “อามา” หลานสาวผู้ปราดเปรียวรวดเร็ว และมีแสงแห่งพลังไหลเวียนในร่างกาย

พวกนางมีพลังเหนือธรรมชาติ แต่ก็นำพาปัญหามาสู่หมู่บ้านเช่นกัน อามาใจร้อนและมักใช้พลังของเธอเพื่อแสดงอารมณ์ ทุกครั้งที่เธอโกรธ มือของเธอจะเปล่งประกายเป็นแสงวาบ และเมื่อเธอปล่อยพลังออกมา ทุกสิ่งที่ขวางทางจะถูกเผาทำลาย รามาเองแม้จะอายุมากแล้ว แต่ทุกคำพูดของเธอก็ดังราวกับฟ้าคำราม เมื่อไม่พอใจ เธอจะตะโกนจนแผ่นดินสะเทือน

คืนหนึ่ง หมู่บ้านกำลังหลับใหลเมื่อเสียงกรีดร้องของอามาดังขึ้น “มันกล้าดียังไง!” เธอกระแทกเท้าลงกับพื้น ตาของเธอวาวโรจน์

“ใครกันที่ทำให้เจ้าขุ่นเคือง?” รามาถามเสียงเข้ม

“พวกชาวบ้านน่ะสิ! วันนี้ข้าลงไปที่ลำธาร พวกเขากล้าดีอย่างไรถึงห้ามข้าตักน้ำ พวกเขาพูดว่า ‘เจ้าเป็นตัวก่อปัญหา เราไม่ต้องการให้เจ้าทำลายอะไรอีก’” อามากำมือแน่น

“แล้วเจ้าทำอะไรลงไป?”

“ข้าก็แค่… แค่ปล่อยแสงเล็ก ๆ ให้พวกเขาได้รู้ว่าข้าไม่ใช่คนที่ควรล้อเล่นด้วย!”

รามาถอนหายใจหนักหน่วง “เจ้ากำลังทำให้ทุกคนหวาดกลัว อามา”

“แล้วทำไมข้าต้องแคร์?” อามาชักสีหน้า “พวกเขาควรให้ความเคารพข้ามากกว่านี้!”

รามาส่ายหน้า “ความเคารพไม่ได้มาจากความกลัว แต่เจ้ากลับใช้พลังของเจ้าทำลายทุกอย่าง”

ทันใดนั้น เสียงหวีดร้องของชาวบ้านก็ดังขึ้น ข้างนอก แสงสีแดงฉานพุ่งขึ้นจากทุ่งนา ควันที่คละคลุ้งบ่งบอกว่ามีบางสิ่งถูกเผาทำลาย

“อามา! เจ้าทำอะไรลงไป?” รามาตะโกนก้อง

“พวกเขาห้ามข้าไม่ให้ใช้ลำธารของพวกเขา ก็ให้พวกเขาไม่มีไร่นาไว้กินแล้วกัน!”

รามาตาเบิกกว้าง “เจ้าควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้เลย เจ้าใช้พลังของเจ้าเพื่อแก้แค้น! เจ้าทำให้หมู่บ้านเดือนร้อนแล้ว!”

ขณะที่สองย่าหลานเถียงกัน ชาวบ้านพากันมุงมาดูไร่นาที่ลุกไหม้ บางคนร้องไห้ บางคนโกรธเกรี้ยว และบางคนเดินตรงไปยังพระราชวังของกษัตริย์เพื่อร้องทุกข์

รุ่งเช้า กษัตริย์แห่งแผ่นดินนั่งอยู่บนบัลลังก์ พระองค์ทรงมีพระพักตร์เคร่งขรึมเมื่อได้ฟังเสียงโอดครวญของชาวบ้าน

“ฝ่าบาท โปรดช่วยพวกเราด้วย!” ชายชราคนหนึ่งคุกเข่าลง “นางอามาเผาผลาญไร่นาของพวกเรา และนางรามาก็ตะโกนจนบ้านสั่นสะเทือน พวกเราไม่อาจทนอยู่ร่วมกับพวกนางได้อีกแล้ว!”

กษัตริย์ถอนพระปัสสาสะหนักหน่วง พระองค์ทรงรู้ดีว่าอามาและรามาเป็นผู้มีพลังพิเศษ แต่ตอนนี้พวกนางสร้างภัยพิบัติให้แก่ผู้คนมากเกินไป

พระองค์จึงมีรับสั่งให้ทหารนำตัวทั้งสองมาเข้าเฝ้า

เมื่ออามาและรามามาถึง อามายังคงเชิดหน้าอย่างท้าทาย ส่วนรามายืนสงบ แต่ก็มีแววขุ่นเคืองในดวงตา

“ข้าได้ยินเรื่องที่พวกเจ้าก่อขึ้นอีกแล้ว” กษัตริย์ตรัสเสียงเรียบ “พวกเจ้าเคยถูกเตือนมากี่ครั้งแล้ว อามา? และเจ้าเองก็เช่นกัน รามา”

“ฝ่าบาท พวกเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน!” อามาแย้ง

“ไม่ใช่! พวกเจ้าต่างหากที่ไม่เคยควบคุมตนเอง!” พระสุรเสียงของกษัตริย์ทรงอำนาจจนทั้งสองเงียบไป

“ข้าพยายามให้โอกาสพวกเจ้ามาตลอด แต่ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่เคยเรียนรู้” พระองค์ทอดพระเนตรไปที่ชาวบ้าน “ผู้คนของข้าต้องอยู่อย่างหวาดกลัวเพราะพวกเจ้า นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะยอมรับได้”

รามาขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทจะให้เราทำเช่นไร? หุบปากและอยู่เงียบ ๆ งั้นหรือ?”

“หากพวกเจ้าควบคุมตนเองไม่ได้ ข้าก็ไม่อาจให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป” กษัตริย์ตรัสหนักแน่น

อามาหัวเราะเยาะ “แล้วท่านจะทำอะไร? ขับไล่พวกเรางั้นหรือ? ท่านคิดว่าทำแบบนั้นแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นหรือ?”

“ใช่” กษัตริย์รับสั่งเรียบ ๆ “หากพวกเจ้าคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์นัก เช่นนั้นก็จงไปอยู่ให้ไกลจากพวกเขาเสีย!”

รามาเบิกตากว้าง “ฝ่าบาท… จะขับไล่พวกเราไปที่ไหน?”

พระองค์ตรัสเพียงสั้น ๆ “ไปอยู่บนฟากฟ้า!”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องตำนานฟ้าแลบและฟ้าร้อง 2

อามาจ้องพระพักตร์กษัตริย์ รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏบนใบหน้า “ท่านคิดว่าการเนรเทศข้าจะทำให้ทุกอย่างสงบลงหรือ?”

“หากพวกเจ้าไม่อาจอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ ก็จงไปอยู่ให้ห่างไกลจากพวกเขา!” กษัตริย์รับสั่ง น้ำเสียงแน่วแน่ดุจหินผา

ชาวบ้านพากันเงียบกริบ หลายคนมองด้วยความโล่งใจ บางคนกลับหวั่นวิตก พวกเขารู้ดีว่าการขับไล่อามาและรามาอาจไม่ได้หมายความว่าภัยพิบัติจะจบลง

เทพพายุได้รับบัญชาจากกษัตริย์ให้พาทั้งสองออกจากแผ่นดิน พายุสายหนึ่งพัดมาหอบร่างของพวกนางขึ้นไปสู่อากาศ รามาร้องตะโกนก้อง “ฝ่าบาท ท่านกำลังทำผิดพลาด!”

“ความผิดพลาดมิได้อยู่ที่ข้า แต่อยู่ที่พวกเจ้าต่างหาก” กษัตริย์ตรัสโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองพวกนางอีก

อามาพยายามดิ้นรน มือของเธอเปล่งแสงวาบด้วยความโกรธ แต่พายุกลับยิ่งหอบเธอขึ้นไปสูงขึ้นเรื่อย ๆ

“ข้าจะกลับมา!” อามากรีดร้อง “แล้วท่านจะเสียใจ!”

ตั้งแต่นั้นมา อามาและรามาก็อาศัยอยู่บนท้องฟ้า แต่ธรรมชาติของพวกนางไม่เคยเปลี่ยน

ทุกครั้งที่อามาโกรธ เธอจะปล่อยแสงสว่างวาบลงมายังพื้นโลก เผาทุกสิ่งที่เธอพุ่งเป้าไป เมื่อใดที่เธอทำเช่นนั้น รามาจะร้องคำรามตามหลังทุกครั้ง เป็นเสียงกึกก้องที่ทำให้พื้นดินสะเทือน

คืนหนึ่ง หมู่บ้านที่เคยขับไล่พวกนางออกไปต้องเผชิญกับพายุฝนและฟ้าผ่า ชาวบ้านพากันหลบซ่อนอยู่ในกระท่อม แม่กอดลูกไว้แน่น ขณะที่เสียงฟ้าร้องดังสะเทือนไปทั่ว

“อามากลับมาแล้ว…” หญิงชราคนหนึ่งพึมพำ

ชายชราคนหนึ่งถอนหายใจ “เราอาจจะขับไล่นางไป แต่เราไม่อาจกำจัดความโกรธของนางได้ นางยังคงอยู่ แม้อยู่ไกลแค่ไหน นางก็ยังสร้างความหวาดกลัวได้เช่นเดิม”

เด็กคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นถาม “แล้วเราจะทำอย่างไรดี?”

ชายชราเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงสายฟ้าแลบผ่านม่านฝน “เราต้องระมัดระวังให้มากขึ้น และเรียนรู้ว่า… พลังที่ไร้การควบคุมย่อมเป็นอันตรายเสมอ ไม่ว่าอยู่ที่ใด”

จากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่เกิดพายุฟ้าคะนอง ชาวบ้านจะเตือนลูกหลานของพวกเขาว่า “นั่นคืออามาและรามา—เสียงแห่งความโกรธที่ไร้ขอบเขต และผลลัพธ์ของการไม่รู้จักควบคุมตนเอง”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องตำนานฟ้าแลบและฟ้าร้อง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ถ้าไม่รู้จักควบคุมตัวเอง สุดท้ายจะกลายเป็นปัญหาทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง อามาใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ไม่ว่าถูกส่งไปไกลแค่ไหน เธอก็ยังสร้างปัญหา เพราะเธอไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเอง

การไล่บางอย่างออกไป ไม่ได้แปลว่ามันจะหายไป กษัตริย์คิดว่าการเนรเทศอามาและรามาจะทำให้ทุกอย่างสงบลง แต่สุดท้ายพวกนางก็ยังคงส่งผลกระทบต่อโลกอยู่ดี เหมือนปัญหาบางอย่างที่ถ้าไม่แก้ให้ถูกจุด มันก็จะกลับมาในรูปแบบใหม่

ความเคารพที่แท้จริงไม่ได้มาจากความกลัว อามาอยากให้ผู้คนเกรงขาม แต่สุดท้ายทุกคนก็แค่หวาดกลัวและผลักไสเธอออกไป คนที่ใช้ความรุนแรงหรือบังคับให้คนอื่นกลัว อาจได้อำนาจชั่วคราว แต่ไม่มีใครรักหรือยอมรับจากใจจริง

นิสัยของเราไปกับเราทุกที่ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ปัญหาก็จะตามไปเสมอ แม้จะถูกส่งขึ้นไปอยู่บนฟ้า อามาก็ยังโกรธง่ายและสร้างความเดือดร้อนเหมือนเดิม นั่นเพราะเธอไม่เคยเรียนรู้หรือปรับปรุงตัวเอง เหมือนคนบางคนที่คิดว่าแค่เปลี่ยนที่อยู่หรือสภาพแวดล้อมแล้วจะหนีปัญหาได้ แต่สุดท้ายถ้าไม่เปลี่ยนนิสัย ปัญหาก็จะเกิดซ้ำอยู่ดี

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องตำนานฟ้าแลบและฟ้าร้อง (อังกฤษ: The Story of the Lightning and the Thunder) เป็นนิทานพื้นบ้านของชาวไนจีเรีย ที่เล่าต่อกันมาเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติของฟ้าผ่าและฟ้าร้อง ด้วยความที่วัฒนธรรมแอฟริกันมักใช้เรื่องเล่าเป็นเครื่องมือถ่ายทอดภูมิปัญญา นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่คำอธิบายเกี่ยวกับสายฟ้าและเสียงคำรามของพายุ แต่ยังสะท้อนหลักคิดเรื่องการควบคุมอารมณ์และผลลัพธ์ของพฤติกรรมที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ

ไนจีเรียเป็นประเทศที่มีนิทานปรัมปราเกี่ยวกับธรรมชาติอยู่มากมาย ส่วนใหญ่มาจากชนเผ่าต่าง ๆ เช่น เผ่ายอร์บา (Yoruba) และเผ่าอิกโบ (Igbo) ซึ่งเชื่อว่าโลกเต็มไปด้วยวิญญาณและพลังที่มองไม่เห็น เรื่องราวของอามาและรามาจึงอาจมีรากฐานมาจากความเชื่อนี้ โดยใช้สายฟ้าและฟ้าร้องเป็นตัวแทนของอารมณ์เกรี้ยวกราดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือวิญญาณที่ถูกขับไล่ให้ไปอยู่บนท้องฟ้า

แม้ว่าเรื่องเล่านี้จะถูกถ่ายทอดผ่านกาลเวลาและอาจมีการดัดแปลงตามภูมิภาคต่าง ๆ แต่สาระสำคัญยังคงเดิม นั่นคือ การเตือนใจให้มนุษย์รู้จักควบคุมอารมณ์และตระหนักว่าการใช้พลังหรืออำนาจโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมา อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่มีวันย้อนคืนได้

“คนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ สุดท้ายจะถูกโลกผลักไส ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน ก็จะนำภัยมาสู่ตนเองและผู้อื่นเสมอ”

นิทานพื้นบ้านแอฟริกาใต้เรื่องการเอาตัวรอดของหมาในจอมฉลาด

ท่ามกลางทุ่งหญ้าสะวันนาอันกว้างใหญ่ มีเรื่องเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากแอฟริกาใต้ ในดินแดนแห่งนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ได้หมายถึงผู้ที่มีเขี้ยวคมและพละกำลังมหาศาลเสมอไป บางครั้ง ผู้ที่ฉลาดที่สุดต่างหากที่สามารถเอาชีวิตรอดจากอันตรายรอบด้านได้

ในป่ากว้างใหญ่แห่งนี้ มีสิงโตเจ้าป่า ผู้ไม่มีใครกล้าท้าทาย และมีหมาในตัวหนึ่ง ซึ่งแม้จะตัวเล็กและอ่อนแอกว่า แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้มันไม่เคยตกเป็นเหยื่อของใคร นั่นก็คือ… ไหวพริบอันเฉียบคม และวันนี้เอง ที่มันจะต้องใช้มันให้ถึงขีดสุด กับนิทานพื้นบ้านแอฟริกาใต้เรื่องการเอาตัวรอดของหมาในจอมฉลาด

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านแอฟริกาใต้เรื่องการเอาตัวรอดของหมาในจอมฉลาด

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านแอฟริกาใต้เรื่องการเอาตัวรอดของหมาในจอมฉลาด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในค่ำคืนอันอบอุ่น เด็ก ๆ นั่งล้อมรอบโกโก (Gogo หมายถึง คุณยาย) ผู้เล่านิทานประจำหมู่บ้าน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พลางเอนตัวลงบนตอไม้เก่า

“ฮาวู ฮาวู ฮาวู เด็ก ๆ ของข้า ฟังให้ดี วันนี้ข้าจะเล่าเรื่องของสัตว์ที่ฉลาดที่สุดในทุ่งหญ้า!”

เด็ก ๆ ตาเป็นประกาย พวกเขารู้ดีว่า “หมาใน (แจ็กคัล Jackal)” มักเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและไหวพริบ

นานมาแล้ว…

แสงแดดแผดเผาผืนดินร้อนจัด หมาในกำลังเดินเตร่อยู่ในทางแคบระหว่างหน้าผาสูง สายลมร้อนพัดฝุ่นทรายลอยคลุ้ง ขณะที่เขาก้มจมูกลงดมกลิ่นเพื่อหาอาหารเล็ก ๆ เช่นหนู หรือตุ๊กแกที่ซ่อนตัวอยู่ตามซอกหิน “บางทีข้าอาจเจอโชคดี ได้ของกินสักอย่าง” หมาในคิด ขณะเดินพลางใช้ลิ้นเลียจมูก

แต่ก่อนที่เขาจะก้าวไปไกลกว่านั้น เงาขนาดใหญ่ก็เคลื่อนเข้ามาตรงหน้า ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้น!

หมาในหยุดนิ่ง ขนบนหลังคอของเขาลุกชัน “โอ้ ไม่นะ…” เขากระซิบ หัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว

ตรงหน้าของเขา… สิงโตกำลังก้าวเข้ามา! สายตาคมกริบของสิงโตจ้องเขาไม่กระพริบ

“จบกันล่ะวันนี้!” หมาในคิดทางแคบเกินกว่าที่จะวิ่งหนี หากเขาหันหลังสิงโตจะตะครุบเขาได้ในพริบตา และเขาก็รู้ดีว่าเขาเคยเล่นตลกกับสิงโตมานับครั้งไม่ถ้วน

คราวนี้ บูเบซีคงไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ แน่!

แต่แทนที่จะตกใจ หมาในกลับแกล้งทำตัวสั่นงันงก แล้วร้องขึ้นเสียงดัง “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”

สิงโตที่กำลังจะกระโจนเข้าใส่หยุดกึก หรี่ตาจ้องหมาในอย่างสงสัย

“เจ้าหมาในมันเป็นบ้าไปแล้วหรือ?” สิงโตคิด “มันกำลังขอให้ข้าช่วย ทั้งที่ข้ากำลังจะกินมัน?”

“เจ้าหมาใน! เจ้าเป็นอะไร!?” สิงโตคำราม “หรือเจ้าคิดจะเล่นตลกอะไรข้าอีก?”

หมาในแกล้งตัวสั่น ทำเป็นเหลียวมองไปข้างบน ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ท่านสิงโต! รีบหนีเร็ว! หินก้อนมหึมาบนหน้าผานั่นกำลังจะร่วงลงมาแล้ว!”

สิงโตชะงัก รีบเงยหน้าขึ้นไปมองตามที่หมาในชี้ บนหน้าผาสูงมีหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่ แต่ไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย

หมาในรีบร้องเสียงดัง “ข้ากำลังพยายามใช้ขาของข้าค้ำมันไว้ไม่ให้ตกลงมา! ถ้าหินนั้นหล่น ท่านกับข้าจะถูกบดขยี้เป็นแผ่นแบน ๆ!”

สิงโตหรี่ตา ลังเล แต่ความคิดเรื่องหินที่อาจจะถล่มใส่ตัวเองก็ทำให้เขาหวั่นไหว “ถ้าข้าตายไปก่อนจะได้กินหมาในล่ะ?”

สิงโตคำรามอย่างหงุดหงิด แต่หมาในรีบสำทับเสียงดัง “ข้าทำคนเดียวไม่ไหว! ท่านสิงโต ท่านแข็งแรงกว่า ช่วยข้าค้ำหินเร็วเข้า!”

ด้วยความลังเล สิงโตจึงรีบใช้ไหล่ดันก้อนหินมหึมานั้นไว้

“อืมมมมม!!” สิงโตครางต่ำ ขณะที่ออกแรงสุดตัวพยายามยันหินที่ไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย

“ดีมาก ท่านสิงโต!” หมาในร้อง “ท่านต้องยืนอยู่ตรงนั้นนะ! ถ้าท่านขยับ หินจะถล่มแน่นอน!”

สิงโตใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อยันหินไว้อย่างสุดแรงเกิด…

และในขณะเดียวกัน… หมาใน… ก็เริ่มก้าวถอยหลังช้า ๆ… และก่อนที่สิงโตจะรู้ตัว… หมาในก็โกยแน่บสุดชีวิต!

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านแอฟริกาใต้เรื่องการเอาตัวรอดของหมาในจอมฉลาด 2

สิงโตยังคงออกแรงดันก้อนหินสุดแรงเกิด เหงื่อไหลซึมตามหน้าผาก กล้ามเนื้อสั่นจากแรงกด แต่ถึงอย่างนั้น หินก็ยังคงนิ่งสนิท ไม่แม้แต่จะขยับ

“แปลกจริง ทำไมมันไม่หนักขึ้นเลย?” สิงโตคิด ขณะกัดฟันออกแรงต่อไป

แต่แล้ว… ความเงียบค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา ไม่มีเสียงร้องของหมาในอีกแล้ว

สิงโตหูผึ่ง เอ๊ะ? ทำไมหมาในเงียบไป? “เจ้านั่นน่าจะยังช่วยข้ายันหินอยู่สิ?”

สิงโตค่อย ๆ กลอกตาลงมองข้าง ๆ แต่ที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า! หมาในหายไปแล้ว!

“หมาใน!?” สิงโตคำรามขึ้นมา “มันหลอกข้าอีกแล้ว!”

เขาผละออกจากก้อนหินด้วยความโมโห และเมื่อลองหันกลับไปมองอีกที เจ้าหินยักษ์ที่หมาในอ้างว่ากำลังจะหล่น… ก็ยังคงอยู่นิ่งเหมือนเดิม

“ข้าถูกหลอกอีกแล้ว!” สิงโตคำรามด้วยความกราดเกรี้ยว “เจ้าหมาในเจ้าเล่ห์! ข้าจะไม่ปล่อยมันไปแน่!”

ขณะเดียวกัน หมาในกำลังโกยสุดชีวิต! เขาวิ่งเร็วเสียจนฝุ่นฟุ้งกระจาย หัวใจเต้นโครมคราม แต่ริมฝีปากยังคงยิ้มกว้าง “ข้าฉลาดเกินกว่าจะตกเป็นเหยื่อของสิงโตได้ง่าย ๆ หรอกนะ!”

แต่แล้ว… เสียงคำรามของสิงโตก็ดังลั่นจากด้านหลัง! “ข้าจะล่าเจ้าจนกว่าจะเจอ!”

หมาในรีบกวาดตามองไปรอบ ๆ เขาต้องหาที่ซ่อนตัวทันที! ทันใดนั้นเขาเห็นโพรงไม้เก่า ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ “นั่นไง!”

เขากระโจนเข้าไป พาตัวเองมุดเข้าไปในโพรงแคบ ๆ อย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของสิงโตก็ดังขึ้น!

สิงโตหยุดตรงหน้าต้นไม้ ดวงตาดุดันกวาดมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นหมาในเลย “มันไปทางไหนกัน?” สิงโตขบฟันแน่น ก่อนจะกวาดตามองต้นไม้แล้วพูดขึ้น “เจ้าหมาใน! ข้ารู้ว่าเจ้ายังอยู่แถวนี้ ออกมาซะดี ๆ!”

เงียบ… สิงโตคำราม “ถ้าข้าเจอเจ้าเมื่อไหร่ เจ้าจะไม่มีวันได้หัวเราะอีก!”

แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาสักคำ หลังจากรออยู่ครู่ใหญ่ สิงโตก็เริ่มไม่แน่ใจ หรือว่าหมาในจะหนีไปได้จริง ๆ?

สุดท้าย สิงโตก็หันหลังกลับไป… หัวเสียและผิดหวังที่ถูกหลอกอีกครั้ง

หมาในรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของสิงโตหายไป… ก่อนจะค่อย ๆ โผล่หัวออกจากโพรง

เขายิ้มกว้าง หัวเราะคิกคักกับตัวเอง “ข้าบอกแล้ว สติปัญญาเหนือพละกำลังเสมอ!”

จากนั้น หมาในก็กระโจนออกไป หายลับไปในพุ่มไม้ ทิ้งให้สิงโตต้องผิดหวังและโกรธเคืองต่อไป

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านแอฟริกาใต้เรื่องการเอาตัวรอดของหมาในจอมฉลาด 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “สติปัญญาสามารถเอาชนะพละกำลังได้” แม้หมาในจะตัวเล็กและอ่อนแอกว่าสิงโต แต่เขากลับใช้ไหวพริบเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีทางหนี

“ความฉลาดไม่ใช่แค่การคิดเร็ว แต่คือการรู้ว่าควรทำอะไรในเวลาที่เหมาะสม” หมาในไม่ได้ใช้กำลังสู้กับสิงโต เพราะเขารู้ว่านั่นไม่มีทางชนะ เขาจึงใช้ปัญญาและเล่ห์เหลี่ยมเพื่อเอาตัวรอด

“บางครั้ง การพูดให้คนอื่นเชื่อสำคัญกว่าการมีแรงมากกว่า” หมาในไม่ได้มีพละกำลัง แต่เขาสามารถทำให้สิงโตเชื่อในสิ่งที่เขาสร้างขึ้น จนทำให้ตนเองรอดพ้นจากอันตราย

สุดท้าย “คนฉลาดไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่คือคนที่รู้จักใช้สติปัญญาให้เป็นประโยชน์”

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านแอฟริกาใต้เรื่องการเอาตัวรอดของหมาในจอมฉลาด (อังกฤษ: Clever Jackal Gets Away) เป็นนิทานพื้นบ้านของชาวซูลูจากแอฟริกาใต้ที่ถูกเล่าขานผ่านยุคสมัย นิทานเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการเล่านิทานรอบกองไฟ โดยเฉพาะจากปากของโกโก หรือผู้เฒ่าผู้แก่ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดภูมิปัญญาให้เด็ก ๆ ในเผ่า นิทานเรื่องนี้ยังคล้ายคลึงกับนิทานพื้นบ้านแอฟริกาใต้เรื่องสิงโตกับหมาใน (The Lion and the Jackal) ซึ่งเล่าในเนื้อหาอีกรูปแบบ

ในนิทานพื้นบ้านของชาวซูลู หมาในหรือ “มปุงกูเช” เป็นสัญลักษณ์ของความฉลาดแกมโกงและไหวพริบ ขณะที่สิงโตหรือ “บูเบซี” เป็นตัวแทนของพละกำลังและอำนาจ นิทานเรื่องนี้สะท้อนแนวคิดที่พบได้บ่อยในเรื่องเล่าของแอฟริกาใต้ นั่นคือ การที่สัตว์ตัวเล็กและอ่อนแอกว่าต้องอาศัยปัญญาเพื่อเอาตัวรอดจากผู้ที่แข็งแกร่งกว่า การที่หมาในสามารถหลอกล่อให้สิงโตติดกับได้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องขบขัน แต่เป็นบทเรียนเกี่ยวกับการใช้สติปัญญาเหนือกำลัง

นิทานเรื่องนี้ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิตของชาวซูลูที่ต้องพึ่งพาการเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย เช่น ทุ่งหญ้าสะวันนาอันกว้างใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์นักล่า ผู้คนในเผ่าถูกสอนให้รู้จักการใช้ความคิดอย่างชาญฉลาดมากกว่าการพึ่งพากำลังเพียงอย่างเดียว เรื่องราวของหมาในจึงเป็นตัวอย่างของการเอาตัวรอดที่แฝงอยู่ในวิถีชีวิตจริง

แม้ว่าต้นฉบับของนิทานจะมาจากชาวซูลู แต่แนวเรื่องของสัตว์ตัวเล็กที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกล่อสัตว์ที่แข็งแกร่งกว่าสามารถพบได้ในนิทานของชนเผ่าอื่นในแอฟริกาตอนใต้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวซวานาหรือชาวโซโธ แสดงให้เห็นว่านิทานประเภทนี้เป็นที่นิยมและเป็นส่วนสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมของชาวแอฟริกันมาหลายชั่วอายุคน

“พละกำลังทำให้เจ้าดูน่าเกรงขาม แต่สติปัญญาต่างหากที่ทำให้เจ้าอยู่รอด”

นิทานพื้นบ้านเคนยาเรื่องมีใครอยู่ในบ้านกระต่าย?

ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ของดินแดนมาซาย สัตว์ป่าต่างใช้ชีวิตตามวิถีของตนเอง มีเรื่องเล่านิทานพื้นบ้านสากลจากเคนยาและแทนซาเนีย กระต่ายผู้ปราดเปรียวอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ใต้ต้นอะคาเซีย ท่ามกลางความสงบสุขที่คุ้นเคย

แต่ในค่ำคืนหนึ่ง ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป เมื่อเสียงประหลาดดังขึ้นจากในบ้านของเขา เสียงนั้นเต็มไปด้วยอำนาจและความน่ากลัว สร้างความหวาดหวั่นไปทั่วป่า เมื่อความไม่แน่นอนเข้าปกคลุม เหล่าสัตว์จะทำอย่างไรเพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่พวกเขาไม่อาจมองเห็น? กับนิทานพื้นบ้านเคนยาเรื่องมีใครอยู่ในบ้านกระต่าย?

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเคนยาเรื่องมีใครอยู่ในบ้านกระต่าย?

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านเคนยาเรื่องมีใครอยู่ในบ้านกระต่าย?

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แห่งเผ่ามาซาย กระต่ายอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็กใต้ต้นอะคาเซีย ทุกวันเขาจะออกไปหาอาหาร กระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง ก่อนจะกลับเข้าบ้านในยามค่ำคืน

แต่เย็นวันหนึ่ง เมื่อเขากลับมาถึงประตูบ้านของเขาถูกปิดสนิท กระต่ายขมวดคิ้ว เขาจำได้แน่ว่าไม่ได้ปิดประตูเมื่อออกไป เขาลองผลักเบา ๆ แต่มันไม่ขยับ

ทันใดนั้น! เสียงแปลกประหลาดดังมาจากในบ้าน “อย่าเข้ามา! นี่คือบ้านของข้า!”

กระต่ายสะดุ้งโหยงหัวใจเต้นแรง “ใครกันที่อยู่ในบ้านของข้า?” เขาร้องถาม แต่เสียงนั้นตอบกลับมาด้วยโทนต่ำและดุดัน

“ข้าคือสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในป่า! ข้าจะจับเจ้ากินถ้าเจ้ากล้าก้าวเข้ามา!”

กระต่ายตกใจสุดขีด หูของเขาตั้งขึ้นด้วยความหวาดกลัว บ้านของเขาถูกยึดไปแล้ว!

กระต่ายกระโดดหนีออกไป และตัดสินใจว่า เขาจะไม่เผชิญเรื่องนี้เพียงลำพัง เขาต้องการความช่วยเหลือ!

กระต่ายรีบไปหาช้าง ซึ่งเป็นสัตว์ที่ใหญ่และทรงพลังที่สุดในป่า “ช้างผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดช่วยข้าด้วย! มีสัตว์ประหลาดอยู่ในบ้านของข้า มันเสียงดังและน่ากลัวมาก!”

ช้างกระพือหูและถาม “เจ้ามองเห็นมันหรือไม่?”

“ข้ามองไม่เห็น ข้าได้ยินแค่เสียงของมัน” กระต่ายตอบ

ช้างพยักหน้าแล้วเดินตามกระต่ายไปยังบ้าน เขาใช้เท้าขนาดใหญ่ของตนกระทืบพื้นอย่างแรง และร้องถามเสียงดัง “ใครอยู่ในบ้านของกระต่าย? ออกมาซะ!”

แต่สิ่งที่พวกเขาได้ยินคือเสียงคำรามต่ำดังออกมาจากในบ้าน “ข้าคือสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในป่า! ข้าจะบดขยี้เจ้าหากเจ้ากล้ารบกวนข้า!”

ช้างถอยหลัง แม้เขาจะตัวใหญ่ แต่เสียงนี้ทำให้เขาไม่แน่ใจ “ข้าอาจจะแข็งแกร่ง… แต่ข้าไม่แน่ใจว่าข้าจะเอาชนะมันได้ ข้าขอไม่เสี่ยงดีกว่า”

กระต่ายผิดหวัง แต่เขาไม่ยอมแพ้

เขารีบไปหาแรด ที่กำลังขูดโคลนออกจากผิวหนังของตน “แรดผู้แข็งแกร่ง ได้โปรดช่วยข้าด้วย! มีสัตว์ประหลาดอยู่ในบ้านของข้า ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร แต่มันขู่จะกินทุกคน!”

แรดส่ายหัว “หากข้าได้เห็น ข้าจะใช้เขาของข้าผลักมันออกไป! แต่ถ้าเจ้าไม่เห็นมัน ข้าก็ไม่รู้ว่าข้ากำลังเผชิญกับอะไร”

แรดมองไปยังบ้านของกระต่าย และคำรามข่มขู่ “เจ้าผู้บุกรุก! ออกมาเดี๋ยวนี้!”

แต่เสียงในบ้านตอบกลับด้วยโทนต่ำและดุร้าย “ข้าจะฉีกเจ้าทิ้งเป็นชิ้น ๆ หากเจ้ากล้าบุกเข้ามา!”

แรดสูดจมูกแรง ๆ แล้วถอยออกมา “ข้าคิดว่าเจ้าควรไปหาสัตว์ที่ฉลาดกว่าข้า ข้าถนัดใช้กำลัง แต่ข้าไม่อยากสู้กับสิ่งที่ข้าไม่เห็น”

กระต่ายถอนหายใจหนัก ๆ ไม่มีใครกล้าบุกเข้าไป ไม่มีใครรู้ว่าสัตว์ประหลาดนั้นคืออะไร แต่เขายังไม่ยอมแพ้

กระต่ายไปหาหมาจิ้งจอก ที่กำลังเอนกายพักใต้ร่มไม้ “เจ้าฉลาดนัก หมาจิ้งจอก ได้โปรดช่วยข้าด้วย! มีบางอย่างยึดบ้านของข้า และมันขู่จะกินข้า!”

หมาจิ้งจอกลืมตาขึ้น หัวเราะเบา ๆ “ข้าฉลาดก็จริง แต่นั่นไม่ได้แปลว่าข้าต้องเสี่ยงชีวิตให้เจ้า ถ้าเจ้ามองไม่เห็นมัน ข้าก็ไม่เห็นเหตุผลที่จะไปเผชิญมัน”

กระต่ายรู้สึกผิดหวัง แต่ก่อนที่เขาจะจากไป หมาจิ้งจอกก็พูดขึ้น “แต่ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งที่อาจช่วยเจ้าได้… ลองไปถามนกกระจอกเทศสิ”

กระต่ายรีบวิ่งไปหานกกระจอกเทศ ซึ่งกำลังกระพือปีกขณะที่ใช้ปากจิกพื้นหาอาหาร “นกกระจอกเทศ! เจ้าสามารถวิ่งเร็วและมองเห็นได้ไกล เจ้าจะช่วยข้าสืบดูไหมว่าอะไรอยู่ในบ้านของข้า?”

นกกระจอกเทศเอียงคอ “ถ้าเป็นสิ่งที่ข้าสู้ได้ ข้าจะจัดการให้เอง”

มันเดินไปใกล้บ้านของกระต่าย ชะโงกมองผ่านรูเล็ก ๆ บนกำแพง แต่เมื่อได้ยินเสียงคำรามจากด้านใน มันก็สะดุ้งและรีบชักหัวกลับ

“อืม… ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากเสี่ยง” นกกระจอกเทศกล่าวก่อนจะวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว

กระต่ายรู้สึกสิ้นหวัง ใครกันที่จะกล้าสู้กับสิ่งที่พวกเขาไม่รู้จัก?

แต่แล้ว… กบตัวเล็ก ๆ กระโดดเข้ามาใกล้ “บางที… ข้าอาจช่วยเจ้าได้นะ”

กระต่ายก้มลงมอง กบตัวเล็ก ๆ นั่งนิ่งจ้องเขาอยู่ “เจ้า!? เจ้าตัวเล็กแค่นี้ จะช่วยข้าได้อย่างไร?” กระต่ายถามด้วยความสงสัย

กบยิ้ม “ขนาดไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือเราต้องรู้ว่ากำลังเผชิญกับอะไร และข้ารู้วิธีหาคำตอบ”

กระต่ายมองกบด้วยความลังเล แต่เมื่อไม่มีใครช่วยได้ เขาก็ไม่มีทางเลือก “เจ้ามีแผนอะไร?”

กบยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนกระซิบแผนการของเขาให้กระต่ายฟัง คืนนี้… ความจริงจะถูกเปิดเผย!

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเคนยาเรื่องมีใครอยู่ในบ้านกระต่าย 2

กระต่ายยังคงมองกบตัวเล็กด้วยความไม่แน่ใจ “เจ้าตัวเล็กแค่นี้ จะช่วยข้าได้อย่างไร?”

กบยิ้มกว้าง ดวงตาของมันเป็นประกาย “ขนาดไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือเจ้าต้องใช้สมองให้เป็น”

จากนั้น กบกระโดดไปใกล้บ้านของกระต่าย แล้วตะโกนกลับเข้าไปด้วยเสียงที่ดังก้อง “เจ้าผู้บุกรุกในบ้านของกระต่าย! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร?”

ภายในบ้าน เงียบไปชั่วขณะก่อนที่เสียงน่ากลัวจะดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าคือสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในป่า! ข้าจะบดขยี้เจ้าหากเจ้ากล้ารบกวนข้า!”

แต่กบไม่ได้สะทกสะท้าน มันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงน่ากลัวกว่าเดิม “หึ! แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ที่สามารถเหยียบเจ้าจนแหลกเป็นผุยผงในพริบตา?”

ทันใดนั้นเสียงในบ้านเงียบกริบ! ไม่มีเสียงคำราม ไม่มีเสียงข่มขู่

กระต่ายและสัตว์ทั้งหมดมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

กบขยับเข้าไปใกล้บ้าน แล้วตะโกนอีกครั้ง “ถ้าเจ้าไม่ออกมา ข้าจะบุกเข้าไปเดี๋ยวนี้!”

ทันใดนั้น ประตูบ้านของกระต่ายก็เปิดออก!

สัตว์ทั้งหมดถอยหลังด้วยความตื่นเต้นและหวาดกลัว พวกเขาเบิกตากว้าง คาดไม่ถึงกับสิ่งที่กระโดดออกมา

มันไม่ใช่สัตว์ประหลาด ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในป่า มันคือ… หนอนตัวเล็ก ๆ!

กระต่ายอ้าปากค้าง “เจ้าคือสัตว์ที่ขู่จะกินข้าทั้งตัวในคำเดียวเหรอ!?”

หนอนตัวเล็ก ๆ สั่นเทา มันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพยายามดิ้นหนี แต่กบกระโดดไปขวางทางไว้

“ข้า… ข้าแค่ต้องการที่พักพิง! ข้าไม่อยากให้ใครมาไล่ข้าออกไป ข้าจึงทำเสียงให้ดูน่ากลัว!” หนอนสารภาพเสียงสั่น

ทันใดนั้นสัตว์ทั้งหมดก็หัวเราะออกมา แม้แต่ช้างและแรดก็อดหัวเราะไม่ได้

กระต่ายถอนหายใจยาว ก่อนจะหันไปหากบ “เจ้าช่างฉลาดนัก หากไม่มีเจ้า เราคงไม่มีวันรู้ว่าสัตว์ประหลาดที่เรากลัวกันนักหนา แท้จริงแล้วเป็นเพียงหนอนตัวเล็ก ๆ!”

กบกระโดดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ข้าบอกเจ้าแล้ว ขนาดไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือการใช้สมอง”

สุดท้าย กระต่ายอนุญาตให้หนอนตัวเล็ก ๆ อยู่ต่อ แต่ต้องสัญญาว่าจะไม่ขู่ใครอีก

และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา หากสัตว์ตัวใดมีปัญหาพวกเขาจะช่วยกันคิด แทนที่จะตัดสินเพียงจากความกลัว

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเคนยาเรื่องมีใครอยู่ในบ้านกระต่าย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความกลัวมักมาจากสิ่งที่เราไม่เข้าใจ และบางครั้ง สิ่งที่ดูน่ากลัวอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด กระต่ายและสัตว์ต่าง ๆ ต่างหวาดกลัวสิ่งที่พวกเขามองไม่เห็น เพียงเพราะเสียงขู่ที่ดังและน่าเกรงขาม แต่เมื่อใช้ไหวพริบและความกล้าหาญ พวกเขากลับพบว่า “สัตว์ประหลาด” ที่พวกเขากลัว แท้จริงแล้วเป็นเพียงหนอนตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

การเผชิญหน้ากับปัญหาต้องใช้ทั้งปัญญาและความร่วมมือ ไม่ใช่แค่พละกำลัง แม้ว่าสัตว์ตัวใหญ่จะหวาดกลัวและลังเล แต่สัตว์ตัวเล็กอย่างกบกลับสามารถไขปริศนาและแก้ปัญหาได้ด้วยไหวพริบ

เมื่อเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้จัก จงอย่าด่วนตัดสิน แต่ให้ใช้สติและความสามัคคีในการหาคำตอบ บางครั้ง คำตอบของปัญหาอาจง่ายกว่าที่เราคิด และความช่วยเหลืออาจมาจากผู้ที่เราคาดไม่ถึงที่สุด

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านเคนยาเรื่องมีใครอยู่ในบ้านกระต่าย? (อังกฤษ: Who’s in Rabbit’s House?) เป็นนิทานพื้นบ้านของชาวมาซาย (Maasai) ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เร่ร่อนที่อาศัยอยู่ในเคนยาและแทนซาเนีย นิทานเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนิทานสัตว์ดั้งเดิมของแอฟริกาที่สอนบทเรียนเกี่ยวกับไหวพริบ ความกล้าหาญ และความร่วมมือ

ในวัฒนธรรมของชาวมาซาย นิทานถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสอนเด็ก ๆ เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกัน การแก้ปัญหา และบทบาทของสติปัญญาเหนือพละกำลัง เรื่องราวของกระต่ายที่ต้องเผชิญกับ “สัตว์ประหลาด” ในบ้านของตนเองสะท้อนถึงแนวคิดของ “ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก” ซึ่งเป็นหัวข้อที่พบได้บ่อยในนิทานแอฟริกัน

แนวคิดของการร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหา ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิตของชาวมาซาย ซึ่งเป็นสังคมที่ต้องพึ่งพาความสามัคคีในการดูแลฝูงปศุสัตว์และเอาชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย นิทานเรื่องนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าสำหรับความบันเทิงเท่านั้น แต่เป็นบทเรียนที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อสอนให้เด็ก ๆ เข้าใจว่าความกลัวสามารถถูกเอาชนะได้ด้วยสติปัญญาและการทำงานร่วมกัน

“ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ได้มาจากสิ่งที่เราเห็น แต่มาจากสิ่งที่เราไม่รู้จัก หากปล่อยให้จินตนาการครอบงำ เราอาจหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง และพลาดโอกาสในการเผชิญหน้ากับความจริง”

นิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องทำไมท้องฟ้าถึงอยู่ไกล

นานมาแล้ว มีเรื่องเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากไนจีเรีย ว่าโลกไม่ได้เป็นเช่นที่เราเห็นในวันนี้ มนุษย์ไม่ต้องทำไร่ไถนา ไม่ต้องออกล่าสัตว์ เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการล้วนอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม ท้องฟ้าหาใช่เพียงผืนฟ้ากว้าง แต่เป็นผู้หล่อเลี้ยงทุกชีวิตบนแผ่นดิน ทุกคนใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่มีผู้ใดอดอยาก ไม่มีผู้ใดต้องแก่งแย่ง

แต่เมื่อความอุดมสมบูรณ์ดำรงอยู่ได้นานพอ มนุษย์ก็มักลืมเลือนคุณค่าของมัน และเมื่อใดที่ความโลภเข้าครอบงำ สิ่งที่เคยเป็นของขวัญ อาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหวนคืน… กับนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องทำไมท้องฟ้าถึงอยู่ไกล

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องทำไมท้องฟ้าถึงอยู่ไกล

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องทำไมท้องฟ้าถึงอยู่ไกล

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ท้องฟ้าอยู่ใกล้โลกมาก ใกล้เสียจนผู้คนสามารถเอื้อมมือขึ้นไปสัมผัสมันได้ และสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือท้องฟ้าเป็นแหล่งอาหารของมนุษย์

ทุกวัน ผู้คนเพียงแค่ยื่นมือขึ้นไป แล้วเด็ดชิ้นส่วนของท้องฟ้าลงมารับประทาน และไม่ว่าพวกเขาจะอยากกินอะไร ท้องฟ้าก็จะให้ตามต้องการ มันมีรสชาติที่เปลี่ยนไปตามใจคนที่หยิบมัน บางคนอยากกินขนมปังหอม ๆ เพียงแค่บิชิ้นส่วนของท้องฟ้ามาวางบนลิ้น มันก็กลายเป็นขนมปังอุ่น ๆ บางคนต้องการเนื้อย่างรสเข้มข้น ท้องฟ้าก็จะมอบรสชาตินั้นให้

และที่สำคัญท้องฟ้าไม่มีวันหมด เมื่อถูกหยิบไป มันจะฟื้นตัวขึ้นมาใหม่เสมอ ไม่มีใครต้องอดอยาก ไม่มีใครต้องแย่งชิงกัน

ชีวิตของผู้คนในยุคนั้นเรียบง่ายและสงบสุข พวกเขารับประทานเท่าที่ต้องการ และทุกครั้งหลังจากที่ได้รับอาหารจากท้องฟ้า พวกเขาจะกล่าวคำขอบคุณเสมอ “ขอบคุณฟ้า ที่มอบสิ่งดี ๆ ให้เรา”

แต่สิ่งดี ๆ มักไม่ยั่งยืน เมื่อมนุษย์เริ่มลืมตนเอง โลกก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…

เมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์เริ่มเปลี่ยนไป

ผู้คนไม่ได้พอใจกับการกินเพียงเพื่อให้อิ่มอีกต่อไป พวกเขาเริ่มอยากกินเพื่อความสุข งานเลี้ยงเริ่มจัดขึ้นบ่อยขึ้น บ้านเรือนต่างแข่งขันกันว่าใครจะสามารถดึงชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของท้องฟ้ามาเลี้ยงแขกได้ การกินกลายเป็นการอวดอ้าง มากกว่าความจำเป็น

“เราต้องมีอาหารมากที่สุด!”

“เราต้องกินให้เต็มที่ ไม่งั้นก็เสียของ!”

จากที่เคยหยิบพอดี พวกเขากลับเริ่มดึงชิ้นใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ บ้านหลังหนึ่งอาจเด็ดท้องฟ้าลงมากองเต็มโต๊ะ แต่กินไม่หมดก็ทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ เศษซากของท้องฟ้าเริ่มกองสุมอยู่ตามพื้น

ท้องฟ้าเฝ้ามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ความสุขจากการเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงมนุษย์ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเศร้า

“ข้าให้พวกเจ้าทุกสิ่ง แต่พวกเจ้ากลับใช้มันอย่างสิ้นเปลือง…”

แล้ววันหนึ่ง สัญญาณแรกของหายนะก็มาถึง

ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนไป… จากที่เคยนุ่มและอ่อนโยน มันเริ่มแข็งขึ้น ผู้คนสังเกตเห็นว่ามันไม่ได้คืนตัวเหมือนก่อน เมื่อเด็ดออกไป มันเริ่มทิ้งร่องรอยแตกหัก และการที่มันเติมเต็มตัวเองก็ดูจะช้าลงทุกวัน

แต่ถึงแม้จะมีสัญญาณเช่นนี้ ผู้คนก็ยังไม่หยุด พวกเขายังคงดึงชิ้นใหญ่มากขึ้น กินไม่หมดกองทิ้ง และสนุกสนานไปกับความอุดมสมบูรณ์ที่พวกเขาคิดว่าไม่มีวันหมด

แต่พวกเขาคิดผิด… ท้องฟ้ากำลังจะจากไปตลอดกาล

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องทำไมท้องฟ้าถึงอยู่ไกล 2

ท้องฟ้ายังคงเฝ้ามองมนุษย์ด้วยความผิดหวัง จากผู้ที่เคยขอบคุณและใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า บัดนี้พวกเขากลับใช้ชีวิตอย่างสิ้นเปลือง หยิบมากเกินความจำเป็น กินไม่หมดก็ทิ้งอย่างไม่ไยดี ความเคารพที่เคยมีต่อท้องฟ้าเลือนหายไป มีเพียงเสียงหัวเราะในงานเลี้ยงที่อวดอ้างความมั่งคั่งของอาหารที่มาจากฟากฟ้า

ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนไป มันแข็งขึ้น หนาแน่นขึ้น และไม่สามารถถูกฉีกออกได้ง่ายเหมือนแต่ก่อน ผู้คนเริ่มสังเกตว่า ชิ้นส่วนที่พวกเขาหยิบมาไม่ได้ฟื้นตัวเร็วเหมือนเดิม แต่แทนที่จะหยุด พวกเขากลับดึงมันแรงขึ้น พยายามฉีกเอาชิ้นที่ใหญ่กว่าเดิม

วันหนึ่ง หญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้านเตือนลูกหลานของนาง

“ลูกเอ๋ย ท้องฟ้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เราต้องหยุดดึงมันมากเกินไป มิฉะนั้น สิ่งเลวร้ายอาจเกิดขึ้น”

แต่ไม่มีใครฟัง พวกเขาเพียงหัวเราะและพูดว่า “ท้องฟ้าอยู่ตรงนี้มาตลอด มันไม่ไปไหนหรอก”

แต่ในคืนนั้นเอง ท้องฟ้าเริ่มสั่นไหวเป็นครั้งแรก เมฆเคลื่อนตัวอย่างหนัก เสียงลมครวญครางดังก้องราวกับกำลังบ่นถึงสิ่งที่มนุษย์ทำ

แล้วรุ่งเช้า… ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

เช้าวันนั้น ผู้คนในหมู่บ้านตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ท้องฟ้าไม่ได้อยู่ใกล้โลกอีกต่อไป มันลอยสูงขึ้นกว่าเดิม ไกลเกินกว่าใครจะเอื้อมถึง

ชาวบ้านรีบวิ่งออกมาพยายามแตะต้องมัน แต่พวกเขาพบว่า มือของพวกเขาสัมผัสได้เพียงอากาศว่างเปล่า

“ไม่นะ! ท้องฟ้าหนีไปแล้ว!”

ผู้คนต่างร้องไห้และอ้อนวอนให้ท้องฟ้ากลับมา แต่ไม่มีคำตอบ มันลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ สูงขึ้นไปจนไม่มีใครสามารถแตะต้องมันได้อีก

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้คนต้องหาอาหารด้วยตนเอง พวกเขาต้องทำไร่ไถนา ต้องออกล่าสัตว์ ต้องใช้แรงกายเพื่อความอยู่รอด ไม่มีใครได้รับอาหารจากฟากฟ้าอีกต่อไป

บางคนเสียใจและเข้าใจบทเรียนของตนเอง แต่ก็สายเกินไปแล้ว ท้องฟ้าไม่เคยกลับลงมาใกล้อีกเลย

และนี่คือเหตุผลที่ว่า… ทำไมท้องฟ้าจึงอยู่ไกลจากเรา

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องทำไมท้องฟ้าถึงอยู่ไกล 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… เมื่อไม่รู้จักพอ สิ่งที่เคยมีอาจจากไปตลอดกาล ผู้คนเคยได้รับพรแห่งความอุดมสมบูรณ์ แต่กลับใช้มันอย่างสิ้นเปลือง ไม่เคารพในสิ่งที่ได้รับ จนสุดท้าย พรนั้นก็หายไปตลอดกาล

ความโลภไม่เคยนำพาความมั่นคง การได้รับสิ่งใดมาโดยง่าย ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นจะอยู่ตลอดไป หากไม่รู้คุณค่าและใช้มันอย่างประมาท วันหนึ่งสิ่งที่เคยเป็นของเราก็อาจหลุดลอยไป

ทรัพยากรมีขีดจำกัด และธรรมชาติย่อมลงโทษผู้ที่ไม่เคารพมัน เมื่อมนุษย์ใช้สิ่งที่มีโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมา พวกเขาก็ต้องเผชิญกับความสูญเสียและความลำบากที่ตนเองเป็นผู้ก่อขึ้นเอง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องทำไมท้องฟ้าถึงอยู่ไกล (อังกฤษ: Why the Sky Is Far Away) เป็นนิทานพื้นบ้านจาก ไนจีเรีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าดั้งเดิมที่แพร่หลายในแอฟริกาตะวันตก นิทานเรื่องนี้สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ที่มีขีดจำกัด และผลลัพธ์ของความโลภ ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญที่ถูกถ่ายทอดผ่านตำนานและนิทานของหลายชนเผ่าในภูมิภาคนี้

เรื่องราวของ ท้องฟ้าที่เคยอยู่ใกล้และสามารถให้อาหารมนุษย์กินได้ เป็นสัญลักษณ์ของยุคแห่งความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งคล้ายคลึงกับแนวคิดของ “ยุคทอง” ในตำนานของหลายวัฒนธรรมทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อน้ำใจของธรรมชาติถูกละเลย และมนุษย์เริ่มใช้ทรัพยากรอย่างไม่รู้คุณค่า สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไป และมนุษย์ต้องเผชิญกับผลของการกระทำของตนเอง

ตำนานนี้สะท้อนถึงแนวคิดเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของวัฒนธรรมเกษตรกรรมของชาวไนจีเรียและแอฟริกาตะวันตก นิทานพื้นบ้านหลายเรื่องในภูมิภาคนี้มักมีจุดมุ่งหมายในการสอนให้ผู้คน รู้จักความพอเพียงและเคารพธรรมชาติ โดยเตือนว่าหากพวกเขาใช้สิ่งที่ได้รับมาอย่างไม่ระมัดระวัง พวกเขาอาจต้องสูญเสียมันไปตลอดกาล

เรื่องเล่านี้ยังคงถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นในรูปแบบของนิทานพื้นบ้าน คำบอกเล่า และการแสดงละครพื้นเมือง เพื่อเตือนให้ผู้คนเห็นถึงคุณค่าของสิ่งที่มี และตระหนักว่าความโลภสามารถนำไปสู่การสูญเสียที่ไม่มีวันย้อนคืนได้

“สิ่งที่ถูกมอบให้ด้วยความเมตตา อาจถูกพรากไปด้วยความโลภ ความอุดมสมบูรณ์ไม่ได้สูญหายไปเอง แต่มนุษย์ต่างหากที่ผลักมันออกไป”

นิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องชายตาบอดกับนายพราน

ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีเรื่องเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากไนจีเรีย ว่ามีชายตาบอดผู้เป็นที่รู้จักไปทั่ว ไม่ใช่เพราะความมืดที่ปกคลุมดวงตาของเขา แต่เพราะปัญญาอันเฉียบแหลมที่ดูราวกับสามารถมองเห็นได้มากกว่าคนตาดีเสียอีก ผู้คนมักหยุดคุยกับเขา ขอคำแนะนำ และทุกคำตอบของเขาก็แม่นยำเสมอ

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นค่าของสิ่งที่มองไม่เห็น นายพรานหนุ่มผู้ภาคภูมิใจในสายตาและทักษะของตนเอง ไม่เคยเชื่อว่าคนที่ไม่สามารถมองเห็นจะมีประโยชน์ใด ๆ ได้เลย จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้เรียนรู้ว่าการมองเห็นที่แท้จริง อาจไม่ได้อยู่ที่ดวงตา แต่อยู่ที่สิ่งที่หัวใจสามารถรับรู้… กับนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องชายตาบอดกับนายพราน

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องชายตาบอดกับนายพราน

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องชายตาบอดกับนายพราน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายตาบอดอาศัยอยู่กับน้องสาวของเขาในกระท่อมเล็ก ๆ ใกล้ชายป่า แม้ดวงตาของเขาจะมืดบอด แต่เขากลับเป็นผู้ที่รู้แจ้งกว่าหลายคนในหมู่บ้าน

ทุกวัน เขาจะนั่งอยู่หน้ากระท่อม สนทนากับผู้คนที่ผ่านไปมา หากมีใครต้องการรู้สิ่งใด เขามักให้คำตอบที่ถูกต้องเสมอ

ชาวบ้านต่างประหลาดใจและเอ่ยถามว่า “ชายตาบอด ทำไมเจ้าถึงฉลาดนัก?”

เขายิ้มบาง ๆ แล้วตอบว่า “เพราะข้าสามารถมองเห็นด้วยหูของข้า”

วันหนึ่ง น้องสาวของเขาตกหลุมรักนายพรานหนุ่ม และทั้งสองได้แต่งงานกัน เมื่องานฉลองสิ้นสุด นายพรานย้ายเข้ามาอยู่ในกระท่อมเดียวกันกับภรรยา แต่เขาไม่เคยเห็นค่าของพี่ชายตาบอดเลย

“คนที่ไม่มีตา จะมีประโยชน์อะไร?” นายพรานพูดเยาะเย้ยทุกครั้งที่เห็นชายตาบอด

ทุกวัน นายพรานออกล่าสัตว์ด้วยกับดักและหอกของเขา และทุกค่ำคืน ชายตาบอดจะเอ่ยขอร้องว่า “พรุ่งนี้ พาข้าไปล่าสัตว์ด้วยได้หรือไม่?”

แต่นายพรานเพียงแค่ส่ายหน้าและตอบอย่างเย็นชา “เจ้ามองไม่เห็น แล้วเจ้าจะช่วยอะไรได้?”

จนกระทั่งวันหนึ่ง นายพรานกลับมาจากป่าพร้อมกับกวางอ้วนพี ความอิ่มหนำทำให้เขาอารมณ์ดี และเมื่อเขากินเสร็จ ก็หันไปบอกชายตาบอด “พรุ่งนี้ ข้าจะให้เจ้าตามไปล่าสัตว์ด้วย”

รุ่งเช้า นายพรานนำอาวุธและกับดักไปด้วย ขณะที่จูงมือชายตาบอดเดินเข้าไปในป่าลึก

ยังไม่ทันเดินไปไกลนัก ชายตาบอดหยุดกะทันหันและกระซิบว่า “เงียบก่อน… มีสิงโตอยู่ข้างหน้า”

นายพรานตกใจรีบมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นอะไรเลย

“ไม่มีอะไรอยู่ตรงนี้ เจ้าเพ้อไปเอง” นายพรานตอบ

ชายตาบอดยิ้มบาง ๆ แล้วพูดอย่างมั่นใจ “มีสิงโตอยู่จริง แต่มันกำลังหลับ เจ้าจึงยังปลอดภัย”

เมื่อนายพรานเดินต่อไป เขาก็เห็นสิงโตตัวใหญ่ นอนหลับสนิทอยู่ใต้ร่มไม้

เขาหันไปมองชายตาบอดด้วยความตกตะลึง “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

“เพราะข้ามองเห็นด้วยหูของข้า” ชายตาบอดตอบเรียบ ๆ

ทั้งสองเดินลึกเข้าไปในป่า จนถึงลานกว้างที่เหมาะแก่การวางกับดัก นายพรานเริ่มสอนชายตาบอด วิธีวางกับดักจับนก

“พรุ่งนี้ เราจะกลับมาดูว่าเราจับอะไรได้” นายพรานกล่าว ก่อนจะพาชายตาบอดกลับบ้าน

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องชายตาบอดกับนายพราน 2

รุ่งเช้า นายพรานและชายตาบอดเดินกลับไปยังจุดที่วางกับดักไว้ เมื่อพวกเขามาถึง นายพรานกวาดตามองอย่างรวดเร็ว กับดักของทั้งสองจับนกได้ตัวละหนึ่งตัว

แต่นายพรานสังเกตเห็นความแตกต่างทันที ในกับดักของเขามีเพียงนกสีเทาตัวเล็ก ๆ ขนของมันหมองและไร้ชีวิตชีวา แต่ในกับดักของชายตาบอด มีนกที่งดงาม มีขนสีเขียว แดง และทองระยิบระยับ

นายพรานมองซ้ายมองขวา ไม่มีใครอยู่รอบ ๆ เขาค่อย ๆ หยิบนกสีสวยจากกับดักของชายตาบอด แล้วแอบยัดนกสีเทาใส่มือของเขาแทน

“เราต่างก็ได้มาคนละตัว” นายพรานกล่าวอย่างเรียบเฉย ซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของตนไว้

ชายตาบอดลูบปีกของนกในมือช้า ๆ แล้วก็ยิ้มบาง ๆ โดยไม่พูดอะไร

เมื่อทั้งสองเดินกลับออกจากป่า นายพรานก็ถามอย่างเยาะเย้ย “หากเจ้าฉลาดนัก เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ทำไมโลกนี้ถึงเต็มไปด้วยความโกรธและความเกลียดชัง?”

ชายตาบอดเพียงแค่ยิ้ม แล้วตอบอย่างแผ่วเบา “เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยผู้คนเช่นเจ้า… ผู้ที่เอาของที่ไม่ใช่ของตนไป”

นายพรานชะงักกึก คำพูดนั้น ทิ่มแทงเข้าไปในใจของเขาอย่างจัง ราวกับว่าชายตาบอดมองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น

ความละอายเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขา เขาหยิบนกสีสวยออกมา ยื่นคืนให้ชายตาบอด แล้วกล่าวอย่างสำนึกผิด “ข้าขอโทษ”

ชายตาบอดรับนกคืนมา แต่เขาไม่กล่าวคำตำหนิใด ๆ เพียงแค่ลูบขนมันเบา ๆ และเดินต่อไป

เมื่อพวกเขาเข้าใกล้หมู่บ้าน นายพรานก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แล้วเจ้าตอบข้าได้หรือไม่ ทำไมโลกนี้จึงเต็มไปด้วยความรักและความเมตตา?”

ชายตาบอดหัวเราะเบา ๆ และตอบว่า “เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยผู้คนเช่นเจ้า… ผู้ที่เรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง”

นายพรานได้ยินเช่นนั้นก็หยุดเดิน และมองชายตาบอดด้วยความเคารพเป็นครั้งแรก

ตั้งแต่นั้นมา หากใครถามว่า “ชายตาบอด ทำไมเจ้าถึงฉลาดนัก?”

นายพรานจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “เพราะเขามองเห็นด้วยหู… และได้ยินด้วยหัวใจ”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องชายตาบอดกับนายพราน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ปัญญาที่แท้จริงไม่ได้มาจากดวงตาที่มองเห็น แต่เกิดจากหัวใจที่รับฟังและเรียนรู้ แม้ชายตาบอดจะไร้ซึ่งสายตา แต่เขากลับเข้าใจโลกได้ลึกซึ้งกว่าผู้ที่มีดวงตาคมกริบ ความฉลาดไม่ได้วัดจากสิ่งที่เห็นได้ด้วยตา แต่จากการฟัง การสังเกต และการใช้สติปัญญาอย่างแท้จริง

ความโลภและการเอาเปรียบผู้อื่นนำมาซึ่งความละอาย เช่นเดียวกับนายพรานที่คิดหักหลังชายตาบอด แต่สุดท้ายต้องยอมรับความผิดพลาดของตนเอง ผู้ที่กล้ายอมรับผิดและเรียนรู้จากมัน คือผู้ที่เติบโตและเข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต

โลกใบนี้เต็มไปด้วยทั้งความอยุติธรรมและความเมตตา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเลือกเป็นคนแบบไหน เพราะสุดท้าย คนที่เรียนรู้จากความผิดพลาด คือคนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกดีขึ้นได้

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านไนจีเรียเรื่องชายตาบอดกับนายพราน (อังกฤษ: The Blind Man and the Hunter) เป็นนิทานพื้นบ้านจากไนจีเรีย และเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าดั้งเดิมที่พบได้ในวัฒนธรรมแอฟริกาตะวันตก นิทานเรื่องนี้สะท้อนความสำคัญของสติปัญญาเหนือการมองเห็นทางกายภาพ ซึ่งเป็นแนวคิดที่พบได้บ่อยในนิทานพื้นบ้านของภูมิภาคนี้

นิทานเกี่ยวกับชายตาบอดที่มีปัญญาเหนือกว่าคนตาดีมักถูกเล่าขานในสังคมแอฟริกัน ซึ่งให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาของผู้อาวุโสและผู้ที่ใช้ประสาทสัมผัสอื่น ๆ อย่างเฉียบแหลม นิทานนี้ยังสะท้อนแนวคิดเรื่องความซื่อสัตย์และการเรียนรู้จากความผิดพลาด โดยนายพรานเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่ทำผิดพลาดแต่สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้

ในวัฒนธรรมแอฟริกัน นิทานมักถูกใช้เป็นเครื่องมือสอนศีลธรรมให้เด็ก ๆ และคนในชุมชน เรื่องนี้จึงเป็นบทเรียนเกี่ยวกับความยุติธรรม ความฉลาด และความสามารถในการใช้หัวใจฟังเสียงของโลก ซึ่งเป็นคุณค่าที่สำคัญในสังคมไนจีเรียและแอฟริกาตะวันตกโดยรวม

“ปัญญาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ดวงตาที่มองเห็น แต่อยู่ที่หัวใจที่รู้จักฟังและเรียนรู้ ความโลภอาจทำให้คนหลงผิด แต่ความสำนึกผิดต่างหากที่ทำให้คนเติบโต”