นิทานพื้นบ้านฝรั่งเศสเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร

ในดินแดนอันไกลโพ้น มีผู้คนเล่าขานถึงนิทานพื้นบ้านสากลจากประเทศฝรั่งเศส โดยมีพ่อค้าผู้มั่งคั่งอาศัยอยู่กับลูกสาวสามคน พี่สาวสองคนหลงใหลในความหรูหราและความงามของตัวเอง ส่วนลูกสาวคนสุดท้องชื่อเบลล์ งดงามทั้งรูปลักษณ์และจิตใจ เธออ่อนโยนและมองโลกในแง่ดีเสมอ

แต่เมื่อโชคชะตานำพาความยากลำบากมาสู่ครอบครัว พวกเขาต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และดอกกุหลาบที่ดูเหมือนเป็นเพียงของขวัญเล็กน้อย กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวมหัศจรรย์ที่เกี่ยวพันกับความรัก การเสียสละ และบทเรียนอันลึกซึ้ง… กับนิทานพื้นบ้านฝรั่งเศสเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านฝรั่งเศสเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านฝรั่งเศสเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อค้าผู้มั่งคั่งคนหนึ่งที่อาศัยอยู่กับลูกสาวสามคน พี่สาวสองคนโตเป็นคนเอาแต่ใจ หยิ่งทะนง และชื่นชอบชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย แตกต่างจากน้องสาวคนสุดท้องชื่อ เบลล์ ซึ่งงดงามทั้งรูปลักษณ์และจิตใจ เธออ่อนโยน มองโลกในแง่ดี และพอใจในชีวิตที่เรียบง่าย

วันหนึ่ง พ่อค้าประสบปัญหาทางการเงิน เรือสินค้าของเขาหายไปในพายุและกิจการทั้งหมดล้มละลาย ครอบครัวต้องย้ายจากคฤหาสน์ใหญ่โตในเมืองไปอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ในชนบท พี่สาวสองคนโกรธแค้นและเอาแต่บ่นถึงชีวิตที่ลำบาก ต่างจากเบลล์ที่ช่วยพ่อทำงานบ้านโดยไม่เคยปริปากบ่น

ไม่นานนัก พ่อค้าได้รับข่าวว่าเรือสินค้าลำหนึ่งของเขาอาจรอดจากพายุและนำทรัพย์สินกลับมาได้ เขาจึงเดินทางไปยังเมืองใหญ่เพื่อตรวจสอบ ก่อนออกเดินทาง เขาถามลูกสาวทั้งสามว่าอยากได้ของขวัญอะไรเมื่อเขากลับมา

พี่สาวทั้งสองขอชุดหรูและเครื่องประดับราคาแพง แต่เบลล์ขอเพียงดอกกุหลาบ ดอกหนึ่ง เพราะเธอไม่ได้เห็นกุหลาบมาตั้งแต่ย้ายมาอยู่ในชนบท

เมื่อพ่อค้าไปถึงเมืองใหญ่ เขาพบว่าเรือสินค้าของเขาถูกยึดไปทั้งหมด การเดินทางครั้งนี้ไร้ผล และเขาก็ไม่มีของขวัญให้ลูกสาวตามที่สัญญาไว้ ระหว่างเดินทางกลับบ้าน เขาหลงเข้าไปในป่าที่มืดมิดท่ามกลางพายุ เขาพบปราสาทลึกลับตั้งอยู่กลางป่า

ประตูของปราสาทเปิดอยู่ และข้างในมีอาหารและที่พักที่จัดเตรียมไว้อย่างหรูหรา แต่เขาไม่พบใครเลย

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะกำลังจะออกเดินทางต่อ เขาเดินผ่านสวนของปราสาทและเห็นดอกกุหลาบงดงาม เขาจึงเด็ดกุหลาบดอกหนึ่งเพื่อนำไปให้เบลล์

ทันใดนั้นอสูรน่ากลัวเจ้าของปราสาทก็ปรากฏตัวขึ้น อสูรโกรธจัดที่พ่อค้าขโมยกุหลาบของเขา “เจ้าขโมยสมบัติของข้า! เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”

พ่อค้ากลัวจนตัวสั่น เขาขอร้องอสูรให้ไว้ชีวิตและเล่าถึงลูกสาวที่รอคอยดอกกุหลาบของเขา อสูรจึงยื่นข้อเสนอว่า “ถ้าเจ้าต้องการมีชีวิตรอด เจ้าต้องส่งลูกสาวคนหนึ่งของเจ้ามาอยู่ที่ปราสาทของข้าแทน มิฉะนั้นเจ้าจะต้องตาย”

พ่อค้าจำใจรับข้อเสนอและเดินทางกลับบ้าน

เมื่อกลับถึงบ้าน พ่อค้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกสาวฟัง พี่สาวทั้งสองไม่เต็มใจเสียสละตนเอง ต่างจากเบลล์ที่รักพ่ออย่างสุดหัวใจ “พ่อขา ข้ายินดีไปอยู่กับอสูร ข้าไม่อาจยอมให้ท่านต้องตายเพราะข้า”

แม้พ่อค้าจะพยายามห้าม แต่เบลล์ยังคงยืนยันในคำตัดสินใจของเธอ

เบลล์เดินทางไปยังปราสาทลึกลับของอสูร และพบว่าแม้อสูรจะดูน่ากลัว แต่เขากลับไม่ทำร้ายเธอ อสูรดูแลเบลล์เป็นอย่างดี เขาให้เธอใช้ชีวิตอย่างอิสระในปราสาท เธอได้เดินเล่นในสวนและห้องสมุดที่ใหญ่โต

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านฝรั่งเศสเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร 2

ทุกคืน อสูรจะมานั่งกินอาหารเย็นกับเธอและถามเธอว่า “เจ้าจะแต่งงานกับข้าไหม?”

แต่เบลล์ปฏิเสธทุกครั้ง แม้ว่าอสูรจะดูน่าเกรงขาม แต่เธอเริ่มเห็นถึงจิตใจที่อ่อนโยนและเมตตาของเขา ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มพัฒนาไปในทางที่ดี

วันหนึ่ง เบลล์ได้รับข่าวว่าพ่อของเธอล้มป่วยหนัก เธอขออนุญาตอสูรกลับไปเยี่ยมพ่อ อสูรอนุญาต แต่ขอให้เธอสัญญาว่าจะกลับมาภายในหนึ่งสัปดาห์พร้อมบอกว่า “หากเจ้าลืมสัญญา ข้าคงต้องตายเพราะหัวใจข้าแตกสลาย”

เบลล์รับปาก และอสูรมอบแหวนวิเศษให้เธอเพื่อนำทางกลับมาที่ปราสาท

เมื่อเบลล์กลับถึงบ้าน เธอเล่าเรื่องชีวิตในปราสาทให้ครอบครัวฟัง พี่สาวทั้งสองเห็นว่าเบลล์ดูมีความสุขและงดงามยิ่งขึ้น พวกเธออิจฉาและวางแผนทำให้เบลล์กลับไปที่ปราสาทล่าช้ากว่ากำหนด “อยู่กับพ่อก่อนเถิด เจ้าคงไม่อยากจากไปตอนนี้” พี่สาวพูดพร้อมกับเสแสร้งแสดงความห่วงใย

เบลล์หลงเชื่อและอยู่กับพ่อจนลืมวันเวลาที่สัญญาไว้

แต่แล้ว… เมื่อเบลล์กลับถึงปราสาท เธอพบว่าทุกอย่างเงียบสงัดและหม่นหมองอย่างน่าประหลาด เธอวิ่งไปทั่วปราสาทตามหาอสูร จนในที่สุด เธอพบเขานอนหมดสติอยู่กลางสวนกุหลาบ ร่างของเขาซูบผอมและดูอ่อนแรง

“อสูร! ท่านอย่าทิ้งข้าไป ข้าขอโทษที่กลับมาช้า!” เบลล์ร้องไห้และจับมือเขาไว้แน่น

เสียงอสูรแผ่วเบาราวกระซิบ “เจ้า… เจ้ามาสายเกินไป… ข้าคงไม่อาจอยู่รอเจ้าได้อีกแล้ว…”

“ไม่! ข้ากลับมาแล้ว ท่านต้องไม่ไปไหน ข้ารักท่าน!” เบลล์สะอื้น เธอก้มลงพูดข้างหูเขาอย่างหนักแน่น

ทันใดนั้นเอง แสงสว่างสีทองอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่วสวน ร่างของอสูรถูกล้อมรอบด้วยแสงนั้น ก่อนที่ขนหยาบกร้านของเขาจะค่อย ๆ หายไป เผยให้เห็นชายหนุ่มผู้สง่างาม

เบลล์มองดูเขาด้วยความตกตะลึง “นี่… ท่าน?”

เจ้าชายลืมตาขึ้นและยิ้มให้เธอ “ใช่ ข้าคืออสูรคนเดิม คำสาปได้ถูกปลดเพราะความรักแท้ของเจ้า”

หลังจากที่เขากลับคืนร่าง เจ้าชายเล่าให้เบลล์ฟังว่าในอดีต เขาคือชายหนุ่มที่หยิ่งทะนงและเย่อหยิ่ง เขาเคยปฏิเสธที่จะช่วยเหลือหญิงชราคนหนึ่งที่มาขอพักพิงในคืนพายุ หญิงชราคนนั้นแท้จริงคือแม่มดที่ปลอมตัวมา

“ความเย่อหยิ่งและความไร้เมตตาของข้าทำให้ข้าถูกสาปให้กลายเป็นอสูร จนกว่าจะมีคนที่มองเห็นหัวใจของข้าแทนรูปลักษณ์ภายนอก และรักข้าในแบบที่ข้าเป็น เจ้าได้ช่วยข้าพ้นจากคำสาปนั้น เบลล์”

เบลล์ยิ้มและพูดว่า “ข้ารักท่าน ไม่ว่าท่านจะเป็นอสูรหรือเจ้าชาย ข้ารักในสิ่งที่ท่านเป็นมาตลอด”

สวนกุหลาบรอบตัวพวกเขากลับมาสดใส ปราสาททั้งหลังเปล่งประกายอีกครั้ง เจ้าชายและเบลล์ครองรักกันอย่างมีความสุข และทั้งคู่เรียนรู้ว่าความรักแท้คือการมองเห็นคุณค่าภายในของกันและกัน

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านฝรั่งเศสเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ความรักแท้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก แต่เกิดจากการมองเห็นคุณค่าภายในของจิตใจ” เบลล์รักอสูรในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เขาดูเหมือน

“การให้อภัยและการเสียสละคือพลังที่เปลี่ยนแปลงชีวิต” เบลล์ยอมเสียสละเพื่อครอบครัว และให้อภัยอสูรโดยไม่ตัดสินเขาจากรูปลักษณ์

“ความเย่อหยิ่งและการไร้เมตตาจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เจ็บปวด” เจ้าชายได้รับบทเรียนจากคำสาปที่ทำให้เขาต้องเผชิญผลจากการกระทำของตนเอง

“การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดจากหัวใจที่เต็มไปด้วยความรัก ความกล้าหาญ และความเมตตา”

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านฝรั่งเศสเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร (อังกฤษ: Beauty and the Beast) นิทานเรื่องนี้มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศสโดยปรากฏครั้งแรกในงานเขียนของมาดาม กาบริแอล-ซูซาน เดอ วิลล์เนิฟ (Gabrielle-Suzanne de Villeneuve) ในปี ค.ศ. 1740 ในนิยายชื่อ “La Belle et la Bête” เรื่องราวในฉบับนี้ยาวและมีรายละเอียดมากกว่า โดยมีองค์ประกอบของจิตวิทยา ความรัก และการเสียสละ

ต่อมาในปี ค.ศ. 1756 นิทานเรื่องนี้ถูกย่อและเรียบเรียงใหม่โดยมาดาม ฌานน์-มารี เลอปริ๊นซ์ เดอ โบมงต์ (Jeanne-Marie Leprince de Beaumont) ซึ่งทำให้นิทานเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องราวที่สั้น กระชับ และเป็นที่รู้จักในวงกว้าง นิทานฉบับนี้มุ่งเน้นเรื่องความดีงามภายในและความสำคัญของความรักที่แท้จริง

เรื่องราวนี้สะท้อนคุณค่าในยุคศตวรรษที่ 18 ของฝรั่งเศส ทั้งเรื่องการตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก การเสียสละเพื่อครอบครัว และความรักที่มองข้ามความกลัวและอคติ นิทานเรื่องนี้ยังได้รับการดัดแปลงหลายครั้งทั้งในรูปแบบวรรณกรรม บัลเลต์ ละครเวที และภาพยนตร์ โดยเวอร์ชันที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” ของดิสนีย์ ซึ่งเผยแพร่ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1991 เป็นหนึ่งในนิทานพื้นบ้านหรือนิทานเทพนิยายที่มีชื่อเสียงอย่างมากเรื่องหนึ่งบนโลกใบนี้

“ความรักแท้ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่ตาเห็น แต่คือสิ่งที่หัวใจสัมผัสได้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของคนคนหนึ่ง อคติและความเย่อหยิ่งคือคำสาปที่แท้จริง ซึ่งจะถูกปลดปล่อยได้ด้วยความเมตตา การให้อภัย และความรักที่ไม่มีเงื่อนไข”

นิทานพื้นบ้านอังกฤษเรื่องเฮดลีย์โคว

ในหมู่บ้านเล็ก ๆ มีตำนานนิทานพื้นบ้านสากลทางตอนเหนือของอังกฤษ มีหญิงชราผู้ยากจนคนหนึ่งอาศัยอยู่ตามลำพังในกระท่อมเล็ก ๆ ของเธอ แม้จะไม่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่เธอก็ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและพึงพอใจในสิ่งที่มีเสมอ เธอมีความสามารถพิเศษที่หาได้ยาก คือการมองโลกในแง่ดีในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าชีวิตจะยากลำบากเพียงใด

วันหนึ่งโชคชะตาพาเธอไปพบสิ่งที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอ หม้อเหล็กเก่า ๆ ที่ถูกทิ้งไว้ริมถนน หม้อใบนี้ดูธรรมดา แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยที่เธอไม่เคยคาดคิด และพาเธอไปพบกับเฮดลีย์โคว สิ่งมีชีวิตลึกลับในตำนานที่ทิ้งบทเรียนสำคัญไว้ให้เธอ… กับนิทานพื้นบ้านอังกฤษเรื่องเฮดลีย์โคว

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอังกฤษเรื่องเฮดลีย์โคว

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านอังกฤษเรื่องเฮดลีย์โคว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านบนเนินเขาเฮดลีย์ในนอร์ธัมเบอร์แลนด์ หลังจากเสร็จสิ้นการทำงานในทุ่งนา หญิงชราเดินกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้า ระหว่างทาง เธอสะดุดตากับหม้อเหล็กเก่า ๆ ใบหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนน ดูเหมือนจะถูกทิ้งไว้

“ใครกันนะที่ทิ้งหม้อไว้ตรงนี้?” เธอพูดกับตัวเอง พลางเดินเข้าไปใกล้ เธอเอามือแตะหม้อเพื่อดูว่ามันยังใช้งานได้หรือไม่ และพูดว่า “บางทีหม้อนี้คงมีรู หรือพังจนใช้ไม่ได้แล้ว คนถึงได้ทิ้งมันไว้”

แม้จะคิดอย่างนั้น แต่เธอก็ไม่รู้สึกว่าหม้อนี้ไร้ค่า “หากข้าเอามันกลับบ้าน อย่างน้อยก็อาจใช้ทำกระถางปลูกดอกไม้ได้นี่นา!”

ด้วยความอยากรู้ หญิงชราเปิดฝาหม้อออก และสิ่งที่เธอเห็นทำให้เธอแทบล้มลงด้วยความตื่นเต้น หม้อใบนั้นเต็มไปด้วยเศษทองคำระยิบระยับ

“พระเจ้า โชคดีอะไรเช่นนี้! ข้าจะขายทองคำพวกนี้ และชีวิตข้าจะสบายขึ้นเสียที!” เธอกล่าวอย่างมีความสุข

เธอรีบใช้ผ้าคลุมของเธอพันรอบหม้ออย่างแน่นหนา และเริ่มลากมันกลับบ้าน แต่การเดินทางกลับบ้านครั้งนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะหม้อใบนี้กำลังจะนำพาเธอเข้าสู่เรื่องราวที่คาดไม่ถึง…

หญิงชราลากหม้อใบใหญ่ไปได้สักพัก แม้หม้อจะหนัก แต่เธอก็มีพลังใจจากความคิดถึงอนาคตที่สดใสที่รออยู่ข้างหน้า

แต่เมื่อเธอหยุดพักและหันกลับไปมองหม้อของเธออีกครั้ง เธอก็ต้องตกตะลึง เพราะทองคำในหม้อได้เปลี่ยนเป็นก้อนเงิน

เธอจ้องหม้อสักครู่ ก่อนจะหัวเราะออกมา “เงินก็ยังดีมากอยู่ดี! และมันอาจจะปลอดภัยกว่าทองคำ เพราะคงไม่มีใครคิดจะขโมยเงินง่าย ๆ” เธอพูดพร้อมกับยิ้ม

หญิงชรายังคงลากหม้อกลับบ้านต่อไป โดยไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือผิดหวังเลย เธอคิดอยู่เสมอว่าสิ่งที่เธอได้รับยังคงมีคุณค่า

หลังจากเดินทางมาอีกระยะหนึ่ง หญิงชราเริ่มเหนื่อยล้า เธอหยุดพักอีกครั้งและหันไปมองหม้อของเธอ แต่คราวนี้ก้อนเงินในหม้อได้เปลี่ยนเป็นก้อนเหล็ก

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอังกฤษเรื่องเฮดลีย์โคว 2

เธออ้าปากค้าง แต่ก็ไม่ได้แสดงความเสียใจออกมาเลย เธอกลับพูดขึ้นว่า “ก้อนเหล็กขายง่ายกว่าเงิน และเงินที่ได้มาจะนำไปใช้จ่ายอย่างประหยัด! ข้าโชคดีจริง ๆ!”

หญิงชราเริ่มลากหม้อที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ กลับบ้านต่อ แม้ก้อนเหล็กจะดูธรรมดา แต่เธอกลับรู้สึกว่ามันเป็นสมบัติที่มีคุณค่า

ในที่สุด เมื่อเธอเข้าใกล้บ้านของเธอ หญิงชราก็หยุดพักอีกครั้ง เธอหันไปมองหม้อของเธอ และพบว่าก้อนเหล็กในหม้อได้กลายเป็นก้อนหินธรรมดา

เธอจ้องมองก้อนหินนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสดใส “ก้อนหินนี้จะเป็นที่กั้นประตูที่ยอดเยี่ยม! ข้าไม่ต้องยกท่อนไม้เก่า ๆ มาใช้อีกแล้ว”

เธอรู้สึกพึงพอใจกับสิ่งที่เธอมี และลากหม้อที่เต็มไปด้วยหินกลับบ้าน พร้อมกับคิดถึงการใช้งานที่เป็นประโยชน์ของมัน

เมื่อหญิงชราถึงบ้าน เธอวางหม้อไว้ที่หน้าประตูบ้านของเธอ และคิดว่าจะใช้ก้อนหินเป็นที่กั้นประตู แต่ทันใดนั้นเอง ก้อนหินในหม้อก็เริ่มขยับ มันค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่าง

หม้อและก้อนหินได้กลายเป็นเฮดลีย์โคว สิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีชื่อเสียงในตำนานท้องถิ่นของอังกฤษ ซึ่งสามารถแปลงร่างและหลอกลวงผู้คนได้

เฮดลีย์โคว หัวเราะเสียงดัง “เจ้าสนุกกับข้าจริง ๆ ใช่ไหม? ข้าคือเฮดลีย์โคว และข้าก็มีความสุขที่ได้เจอกับเจ้าด้วย!”

หญิงชรามองตามมันด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้น เธอกลับไม่ได้รู้สึกโกรธหรือผิดหวังเลยแม้แต่น้อย

“ช่างน่าทึ่งอะไรเช่นนี้! การได้เห็นเจ้าเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในชีวิตข้า!” เธอกล่าว

เฮดลีย์โควหัวเราะเสียงดังลั่นอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งหายลับไปในป่า ทิ้งหญิงชราไว้กับรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข หญิงชราเดินกลับเข้าไปในบ้าน พร้อมกับคิดถึงเหตุการณ์แปลกประหลาดในวันนั้น และยังคงรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอยู่เสมอ

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอังกฤษเรื่องเฮดลีย์โคว 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ความสุขไม่ได้มาจากสิ่งที่เรามี แต่อยู่ที่มุมมองของเราที่มีต่อสิ่งเหล่านั้น” หญิงชรายังคงมองโลกในแง่ดี แม้ว่าสิ่งที่เธอพบจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดทาง

“การยอมรับในสิ่งที่มีอยู่และมองหาประโยชน์จากมัน จะนำพาความสุขมาสู่ชีวิต” ไม่ว่าจะเป็นทองคำ เงิน เหล็ก หรือแม้แต่หินธรรมดา หญิงชราก็เห็นคุณค่าในทุกสิ่ง

“การมองโลกในแง่ดีช่วยให้เราผ่านพ้นความผิดหวังและรักษาความสุขในใจได้เสมอ” แม้จะพบกับความเปลี่ยนแปลง หญิงชรายังคงพึงพอใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และในที่สุดเธอก็ได้รับประสบการณ์ที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตจากเฮดลีย์โคว

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านอังกฤษเรื่องเฮดลีย์โคว (อังกฤษ: The Hedley Kow) นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานพื้นบ้านจากนอร์ธัมเบอร์แลนด์และเดอแรมทางตอนเหนือของอังกฤษ โดยตัวละครหลัก “เฮดลีย์โคว” เป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานท้องถิ่นที่มักปรากฏในนิทานพื้นบ้านอังกฤษ เฮดลีย์ โควมีลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ มักแสดงตัวในรูปแบบของสัตว์หรือสิ่งของเพื่อหลอกลวงหรือเล่นตลกกับผู้คน แต่ไม่ถึงขั้นเป็นอันตราย

นิทานเรื่องนี้สะท้อนถึงวัฒนธรรมพื้นบ้านของผู้คนในชนบทอังกฤษที่นิยมเล่าเรื่องราวแปลกประหลาดเพื่อให้ข้อคิดและความสนุกสนาน เฮดลีย์ โควเองเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่ไม่แน่นอนในชีวิต ซึ่งมักจะเป็นเครื่องเตือนใจให้คนรู้จักมองโลกในแง่ดีและพอใจในสิ่งที่ตนมี

เรื่องราวนี้ได้รับการบันทึกและเล่าในหลายเวอร์ชัน หนึ่งในฉบับที่โด่งดังคือที่รวบรวมไว้ในงานของ โจเซฟ เจคอบส์ (Joseph Jacobs) ผู้เป็นนักสะสมและเผยแพร่นิทานพื้นบ้านของอังกฤษในศตวรรษที่ 19 ในนิทานชุด “More English Fairy Tales” ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1894

นิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องฮันส์เม่นน้อย

ในชนบทอันเงียบสงบ มีตำนานเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากเยอรมนี มีชาวนาและภรรยาผู้เฝ้าฝันถึงการมีลูกมานานนับปี พวกเขาอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้ชีวิตเรียบง่ายนี้มีสีสันด้วยเสียงหัวเราะของเด็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นลูกเช่นไร พวกเขาก็พร้อมจะรัก

แต่เมื่อคำอธิษฐานได้รับการตอบสนอง กลับมีบางสิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดเกิดขึ้น เด็กชายที่ถือกำเนิดมาพร้อมรูปลักษณ์ครึ่งหนึ่งเป็นมนุษย์ และอีกครึ่งหนึ่งเป็นเม่น ก่อให้เกิดทั้งความรัก ความหวัง และการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตของเขาและคนรอบข้างไปตลอดกาล… กับนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องฮันส์เม่นน้อย

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องฮันส์เม่นน้อย

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องฮันส์เม่นน้อย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาและภรรยาที่อาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ชีวิตของพวกเขาเรียบง่าย แต่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ เพราะทั้งคู่ไม่มีลูกสืบสกุล แม้จะพยายามมานานหลายปี พวกเขาจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างสิ้นหวัง

“พระเจ้า ได้โปรด ให้เรามีลูกเถิด ไม่ว่าจะเป็นเด็กแบบไหน เราก็จะรักเขา ขอเพียงให้เราได้เป็นพ่อแม่”

ในที่สุด คำอธิษฐานของพวกเขาก็ได้รับคำตอบ ภรรยาของชาวนาให้กำเนิดลูกชาย แต่ทารกคนนี้ไม่ใช่เด็กธรรมดา เขามีร่างกายครึ่งหนึ่งเป็นมนุษย์ และอีกครึ่งหนึ่งเป็นเม่น!

เมื่อชาวนาเห็นลูกของเขา เขาถึงกับอุทานด้วยความตกใจ “พระเจ้า ลูกชายของเราช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน!”

ภรรยาของเขามองลูกด้วยความอ่อนโยน แต่เธอก็อดเศร้าไม่ได้ “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็คือลูกของเรา ข้าจะรักเขาเท่าที่แม่คนหนึ่งจะรักลูกได้”

พวกเขาตั้งชื่อเด็กน้อยคนนี้ว่าฮันส์ และเลี้ยงดูเขาเท่าที่จะทำได้ แต่การเลี้ยงดูฮันส์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะรูปลักษณ์ที่ไม่ธรรมดาของเขาทำให้ชาวบ้านพากันซุบซิบนินทา

“ดูสิ ลูกชายของชาวนาคนนั้นเป็นเม่น! เขาต้องเป็นคำสาปจากพระเจ้าแน่ ๆ”

ชาวนาก็เริ่มอายต่อสายตาผู้คน เขาค่อย ๆ เผยท่าทีเย็นชาต่อฮันส์ บางครั้งถึงกับบ่นว่า “ถ้าไม่มีฮันส์ ชีวิตเราคงจะดีกว่านี้”

คำพูดเหล่านี้บาดลึกในหัวใจของฮันส์ เขารู้ตัวดีว่าไม่มีใครต้องการเขา แม้แต่ครอบครัวของตัวเอง

“ถ้าข้าไม่มีที่ให้เรียกว่าบ้าน ข้าก็จะสร้างชีวิตของตัวเอง!”

วันหนึ่ง ฮันส์จึงรวบรวมข้าวของเท่าที่มี เขาพาไก่หลายตัวและขลุ่ยวิเศษ ที่เขาทำขึ้นเอง แล้วเดินทางออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังป่าลึก

ในป่า ฮันส์ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวอย่างสงบสุข เขาเลี้ยงไก่ และบรรเลงเพลงด้วยขลุ่ยวิเศษของเขา เพลงของฮันส์ไพเราะจนสัตว์ป่าทั้งหลายเงี่ยหูฟัง และในไม่ช้า เสียงเพลงของเขาก็เลื่องลือไปถึงหมู่บ้านใกล้เคียง ผู้คนเริ่มพูดถึงเม่นประหลาดที่เป่าขลุ่ย

วันหนึ่งกษัตริย์จากอาณาจักรใกล้เคียงหลงทางในป่า พระองค์ค้นหาเส้นทางกลับวังอยู่นานจนหมดหวัง จนกระทั่งได้ยินเสียงขลุ่ยของฮันส์

“ใครอยู่ที่นั่น? ช่วยข้าด้วยเถิด!”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องฮันส์เม่นน้อย 2

ฮันส์ปรากฏตัวต่อหน้ากษัตริย์ ท่าทางแปลกประหลาดของเขาทำให้พระองค์ถึงกับผงะ แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย กษัตริย์จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

“ข้าหลงทางอยู่ในป่านี้ หากเจ้าช่วยข้าออกไปได้ ข้าจะให้รางวัลแก่เจ้าเท่าที่เจ้าต้องการ”

ฮันส์ยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านต้องสัญญาว่า เมื่อถึงวังแล้ว ท่านจะให้ลูกสาวของท่านแต่งงานกับข้า”

แม้จะตกใจ แต่กษัตริย์ไม่มีทางเลือก พระองค์รับปากอย่างไม่เต็มใจนัก “ข้าสัญญา หากข้าได้กลับถึงวัง ข้าจะให้สิ่งที่เจ้าขอ”

ฮันส์จึงพากษัตริย์กลับสู่วังอย่างปลอดภัย

แต่เมื่อกษัตริย์กลับถึงวัง พระองค์กลับไม่ยอมรักษาคำพูด “ข้าจะไม่ให้ลูกสาวของข้าแต่งงานกับเม่นประหลาดเช่นนั้นเด็ดขาด!” กษัตริย์คิดว่าฮันส์คงไม่กล้าทวงคำสัญญา

แต่ไม่นานนัก ฮันส์เดินทางมาถึงวังพร้อมกับขบวนไก่ของเขา เขาประกาศเสียงดังต่อหน้าผู้คนในราชสำนัก

“กษัตริย์สัญญาว่าจะให้ลูกสาวของเขาแต่งงานกับข้า ท่านไม่สามารถละเมิดคำสัญญาได้!”

เมื่อกษัตริย์เห็นความเด็ดเดี่ยวของฮันส์ พระองค์ก็รู้ว่าปฏิเสธไม่ได้ จึงจำใจให้เจ้าหญิงแต่งงานกับเขา

เจ้าหญิงแม้จะรู้สึกหวาดกลัวในตอนแรก แต่เมื่อเธอได้พูดคุยกับฮันส์ เธอกลับพบว่าเขาเป็นผู้มีจิตใจดีและเฉลียวฉลาด

ในคืนแต่งงาน เมื่อฮันส์อยู่ในห้องตามลำพังกับเจ้าหญิง เขาพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องกลัวข้า ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า หากเจ้าให้ข้าอยู่เคียงข้างด้วยความจริงใจ ข้าจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้น”

เมื่อเจ้าหญิงแสดงความรักและความจริงใจต่อฮันส์ คำสาปที่ทำให้เขาเป็นครึ่งคนครึ่งเม่นก็ถูกทำลาย ร่างของเขากลับกลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม

เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนในวังต่างตกตะลึงเมื่อพบว่าฮันส์ไม่ใช่เม่นประหลาดอีกต่อไป แต่เป็นชายหนุ่มผู้สง่างาม

หลังจากนั้น ฮันส์และเจ้าหญิงครองรักกันอย่างมีความสุข พวกเขาปกครองอาณาจักรด้วยความยุติธรรมและปัญญา

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องฮันส์เม่นน้อย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “รูปลักษณ์ภายนอกอาจหลอกตา แต่คุณค่าแท้จริงอยู่ที่จิตใจและความดีภายใน” ฮันส์อาจเกิดมาดูแตกต่าง แต่ความเฉลียวฉลาด ความอดทน และจิตใจที่ดีงามของเขาทำให้เขาเอาชนะอุปสรรคและเปลี่ยนโชคชะตาของตัวเองได้

“คำสัญญาคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์” กษัตริย์เรียนรู้ว่าการรักษาคำพูดเป็นสิ่งสำคัญ และการละเมิดคำสัญญาอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด

“ความรักและความจริงใจสามารถลบล้างอุปสรรคทุกอย่างได้” เจ้าหญิงยอมรับฮันส์ในแบบที่เขาเป็น ความรักของเธอช่วยปลดปล่อยเขาจากคำสาป และทำให้พวกเขาทั้งคู่พบความสุขที่แท้จริง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องฮันส์เม่นน้อย (อังกฤษ: Hans My Hedgehog) นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานพื้นบ้านจากประเทศเยอรมนี ซึ่งได้รับการบันทึกและเผยแพร่โดยพี่น้องกริมม์ (Brothers Grimm) ในหนังสือ Grimm’s Fairy Tales หรือ Kinder- und Hausmärchen ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1812

ฮันส์เม่นน้อยเป็นหนึ่งในนิทานที่สะท้อนถึงแนวคิดพื้นบ้านดั้งเดิมของยุโรปที่สอนเรื่องคุณค่าภายใน ความอดทน และการเอาชนะอุปสรรค แม้ว่าจะเกิดมาแตกต่างหรือถูกมองว่าเป็นคนนอก นอกจากนี้ นิทานยังมีองค์ประกอบที่คล้ายคลึงกับนิทานในวัฒนธรรมอื่น เช่น การทำลายคำสาป การแสดงความกล้าหาญ และการได้รับความรักจากคนที่มองเห็นคุณค่าที่แท้จริง

“ความแตกต่างไม่ได้ลดคุณค่าของตัวตน แต่คือบททดสอบที่เปิดเผยความกล้าหาญและความงามในจิตใจ รูปลักษณ์ภายนอกอาจจางหายตามกาลเวลา แต่ความดีและความซื่อสัตย์จะคงอยู่ตลอดไป และเปลี่ยนโชคชะตาให้ยิ่งใหญ่เกินจินตนาการ”

นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่เน้นการสอนว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่สำคัญเท่าความดีและสติปัญญาภายใน ซึ่งเป็นแก่นเรื่องที่ยังคงโดดเด่นและมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมสำหรับเด็กมาจนถึงทุกวันนี้

นิทานพื้นบ้านสกอตแลนด์เรื่องเจ้าหญิงต้นไม้ทองกับราชินีต้นไม้เงิน

ในอาณาจักรอันเงียบสงบ มีเรื่องเล่าขานตำนานนิทานพื้นบ้านสากลจากสกอตแลนด์ โดยมีราชินีผู้เลอโฉมชื่อราชินีต้นไม้เงินและเจ้าหญิงผู้เลื่องลือในความงามอย่างเจ้าหญิงต้นไม้ทอง ความงดงามของทั้งสองทำให้พวกเธอเป็นที่ชื่นชมของทุกผู้คนในอาณาจักร ชีวิตในวังเต็มไปด้วยความสงบสุข และดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ

แต่แล้วทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปเมื่อคำพูดของปลาวิเศษในบ่อน้ำใส ได้เปิดเผยความจริงบางอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ความอิจฉา ความรัก และการต่อสู้กับชะตากรรมได้นำไปสู่เรื่องราวที่ไม่มีวันลืม… กับนิทานพื้นบ้านสกอตแลนด์เรื่องเจ้าหญิงต้นไม้ทองกับราชินีต้นไม้เงิน

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านสกอตแลนด์เรื่องเจ้าหญิงต้นไม้ทองกับราชินีต้นไม้เงิน

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านสกอตแลนด์เรื่องเจ้าหญิงต้นไม้ทองกับราชินีต้นไม้เงิน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีราชินีผู้เลอโฉมองค์หนึ่งชื่อราชินีต้นไม้เงิน (Silver-Tree) และพระราชธิดาผู้มีความงามเหนือใครในแผ่นดินชื่อเจ้าหญิงต้นไม้ทอง (Gold-Tree) ทั้งสองอาศัยอยู่ในวังอันงดงามที่ล้อมรอบด้วยป่าและท้องทะเล

ราชินีต้นไม้เงินหลงใหลในความงามของตนเอง และชอบที่จะถามปลาวิเศษในบ่อน้ำใส ซึ่งว่ากันว่าไม่มีคำตอบใดผิดพลาด

“ปลาวิเศษในบ่อใส ผู้ใดเลอโฉมที่สุดในโลกนี้?”

ทุกครั้ง ปลาวิเศษจะตอบว่า “พระนางคือผู้ที่งดงามที่สุดในโลกนี้ ไม่มีใครเทียบได้” คำตอบนี้ทำให้ราชินีต้นไม้เงินยิ้มอย่างพึงพอใจ

วันหนึ่งเมื่อราชินีต้นไม้เงินมีธิดา ราชินีต้นไม้เงินถามคำถามเดิม แต่คราวนี้คำตอบของปลาวิเศษเปลี่ยนไป

“ข้าขอโทษ พระนาง แต่ผู้ที่งดงามที่สุดในโลกนี้คือเจ้าหญิงต้นไม้ทอง ผู้เป็นธิดาของพระนาง”

เมื่อได้ยินดังนั้น ราชินีต้นไม้เงินโกรธจัดและความอิจฉาก็เข้าครอบงำหัวใจของเธอ นางกลับไปที่วังด้วยความโกรธและวางแผนกำจัดเจ้าหญิงต้นไม้ทอง

“ถ้าข้าไม่สามารถเป็นผู้เลอโฉมที่สุด ข้าจะไม่มีวันยอมให้ลูกสาวของข้าแย่งตำแหน่งนี้ไป!”

พระราชาผู้เป็นพ่อของเจ้าหญิงต้นไม้ทอง สังเกตเห็นท่าทีอันแปลกประหลาดของราชินีต้นไม้เงิน พระองค์ล่วงรู้ถึงความอิจฉาและความโกรธของนาง จึงวางแผนช่วยเหลือลูกสาว

“ลูกของข้าจะต้องปลอดภัย ข้าจะส่งนางไปยังที่ที่ราชินีตามหาไม่พบ”

พระราชาพาเจ้าหญิงต้นไม้ทองเดินทางไปยังดินแดนอันไกลโพ้น ที่ซึ่งเธอได้แต่งงานกับเจ้าชายแห่งดินแดนอื่น และใช้ชีวิตในปราสาทอันหรูหรา

“ที่นี่ เจ้าจะปลอดภัย” พระราชาบอกลูกสาวก่อนจากลา

เจ้าหญิงต้นไม้ทองใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในปราสาทของเจ้าชาย โดยไม่ล่วงรู้เลยว่าราชินีต้นไม้เงินยังคงตามล่าตัวเธอ

ราชินีต้นไม้เงินไม่ยอมแพ้ เธอออกตามหาเจ้าหญิงต้นไม้ทองจนพบที่อยู่ของเธอ นางปลอมตัวเป็นแม่ค้าขายของเร่ และเดินทางไปที่ปราสาทพร้อมกับแผนการร้าย

ราชินีเคาะประตูปราสาท เจ้าหญิงต้นไม้ทองเปิดประตูและมองดูแม่ค้าที่มีท่าทีอ่อนโยน

“ข้าเป็นเพียงแม่ค้าผู้ยากจน แต่ข้าขอนำเข็มปักผมงดงามนี้มาให้เจ้าหญิง เพื่อแสดงความชื่นชมในความงามของเจ้า” ราชินีพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะ

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านสกอตแลนด์เรื่องเจ้าหญิงต้นไม้ทองกับราชินีต้นไม้เงิน 2

เจ้าหญิงหลงเชื่อและรับเข็มปักผมมาอย่างไม่ระวังตัว เธอลองปักเข็มลงบนผมของเธอ และทันใดนั้น เธอก็ล้มลงกับพื้น หลับใหลราวกับไร้ชีวิต

ราชินีต้นไม้เงินหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ “ตอนนี้ ข้าคือผู้เลอโฉมที่สุดในโลกแล้ว!” นางรีบเดินทางกลับวัง

เมื่อเจ้าชายกลับมาพบเจ้าหญิงต้นไม้ทองที่นอนนิ่งในห้อง เขารู้สึกเสียใจจนแทบขาดใจ เขาสั่งให้สร้างห้องกระจก ในวังเพื่อเก็บร่างของเจ้าหญิงไว้ให้คงอยู่เหมือนเดิม

“ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้า แม้เจ้าจะจากข้าไปแล้ว” เจ้าชายกล่าว พร้อมสั่งให้คนรับใช้ห้ามแตะต้องร่างของเธอ

วันเวลาผ่านไป เจ้าชายตัดสินใจแต่งงานใหม่ ภรรยาคนใหม่ของเขาเป็นหญิงที่มีจิตใจดีและฉลาด วันหนึ่ง นางเดินสำรวจปราสาทและพบห้องกระจกที่เก็บร่างของเจ้าหญิงต้นไม้ทอง

“นี่ใครกัน? ทำไมจึงถูกเก็บไว้เช่นนี้?” นางสงสัย

เมื่อเข้าไปใกล้ นางสังเกตเห็นเข็มปักผมแปลกตา เสียบอยู่ในผมของเจ้าหญิงต้นไม้ทอง นางค่อย ๆ ดึงเข็มนั้นออก และทันใดนั้น เจ้าหญิงก็ลืมตาขึ้น

“ข้าอยู่ที่ไหน? เกิดอะไรขึ้นกับข้า?” เจ้าหญิงถามอย่างงุนงง

ข่าวการฟื้นคืนชีพของเจ้าหญิงต้นไม้ทองแพร่กระจายไปถึงราชินีต้นไม้เงิน นางโกรธจัดและวางแผนเดินทางไปที่ปราสาทอีกครั้ง คราวนี้ นางปลอมตัวเป็นหญิงชราผู้ใจดี และนำน้ำดื่มที่ผสมยาพิษ ไปให้เจ้าหญิง

เมื่อราชินีต้นไม้เงินมาถึง เจ้าหญิงไม่ยอมดื่มน้ำ แต่แกล้งรับไว้ด้วยท่าทีสุภาพ เจ้าหญิงบอกให้เจ้าชายและภรรยาคนใหม่เตรียมแผนตอบโต้ พวกเขาวางแผนให้ราชินีเป็นคนดื่มน้ำที่เธอนำมาเอง

ในที่สุด เจ้าหญิงหลอกล่อราชินีให้ดื่มน้ำพิษนั้น โดยบอกว่า “ท่านมาจากทางไกลนัก น้ำดื่มนี่ช่างบริสุทธิ์นัก ดื่มให้สดชื่นเถิด”

ราชินีต้นไม้เงินหลงเชื่อ และเมื่อดื่มน้ำเข้าไป เธอก็ทรุดลงทันที คำพูดสุดท้ายของเธอคือ “ไม่มีวัน…ไม่มีทาง…” ก่อนที่นางจะหมดลมหายใจ

หลังจากเอาชนะราชินีต้นไม้เงินได้ เจ้าหญิงต้นไม้ทอง เจ้าชาย และภรรยาคนใหม่ของเขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุข พวกเขารู้ดีว่าความรัก ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และการใช้สติปัญญาคือสิ่งที่ช่วยปกป้องพวกเขาจากอันตราย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความอิจฉาและความหลงตัวเองคือหนทางสู่ความพินาศ แต่ความรักและความกล้าหาญคือพลังที่แท้จริงในการเผชิญกับความชั่วร้าย

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านสกอตแลนด์เรื่องเจ้าหญิงต้นไม้ทองกับราชินีต้นไม้เงิน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความอิจฉาและความหลงตัวเองเป็นสิ่งที่นำไปสู่ความพินาศ ราชินีต้นไม้เงินไม่สามารถยอมรับความงามของผู้อื่นได้ แม้จะเป็นลูกสาวของตัวเอง จนความอิจฉาครอบงำและทำลายตัวเธอเองในที่สุด

นอกจากนี้ยังสอนให้รู้ว่า ความรัก ความกล้าหาญ และสติปัญญาสามารถปกป้องเราจากอันตราย เช่นเดียวกับเจ้าหญิง เจ้าชาย และภรรยาคนใหม่ ที่ร่วมมือกันต่อสู้กับความชั่วร้าย และเปลี่ยนชะตากรรมให้กลับมาสงบสุขอีกครั้ง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านสกอตแลนด์เรื่องเจ้าหญิงต้นไม้ทองกับราชินีต้นไม้เงิน (อังกฤษ: The Gold-Tree and the Silver-Tree) เป็นนิทานพื้นบ้านจากประเทศสกอตแลนด์ ซึ่งได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือ “Popular Tales of the West Highlands” โดยนักเขียนและนักรวบรวมนิทานพื้นบ้านชาวสก็อต จอห์น ฟรานซิส แคมป์เบล (John Francis Campbell) ในช่วงศตวรรษที่ 19

“ความอิจฉาเป็นดั่งไฟที่เผาผลาญ ไม่เพียงทำลายผู้อื่น แต่ยังเผาตัวเราเองจนมอดไหม้ ในขณะที่ความรักและความกล้าหาญเท่านั้นที่สามารถดับไฟนั้น และนำพาชีวิตไปสู่ความสงบสุขที่แท้จริง”

นิทานเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมพื้นบ้านและความเชื่อของชาวสกอตแลนด์ในเรื่องความงาม ความอิจฉา และบทบาทของสติปัญญาในการเอาชนะอุปสรรค ตัวเรื่องมีความคล้ายคลึงกับนิทานเรื่องสโนว์ไวท์ (Snow White) ที่ได้รับการบันทึกโดยพี่น้องกริมม์ แต่มีองค์ประกอบที่แตกต่าง เช่น การแต่งงานของเจ้าชายกับภรรยาคนใหม่ และการฟื้นคืนชีพของเจ้าหญิง

ด้วยลักษณะเฉพาะของตัวละครและการเล่าเรื่องนิทานเรื่องนี้ จึงเป็นตัวอย่างที่งดงามของนิทานพื้นบ้านสกอตแลนด์ที่สะท้อนคุณค่าและบทเรียนสำคัญผ่านเรื่องเล่าที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

นิทานพื้นบ้านรัสเซียเรื่องหัวผักกาดยักษ์

ในกระท่อมเล็ก ๆ ริมสวน มีเรื่องเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากรัสเซีย โดยเรื่องงราวมีอยู่ว่า… ชายชราและภรรยาของเขาใช้ชีวิตเรียบง่ายด้วยการปลูกผักผลไม้ไว้กินเอง ชายชรารักสวนของเขาอย่างมาก และเชื่อว่าการดูแลต้นไม้ทุกต้นด้วยความตั้งใจ จะทำให้ได้ผลผลิตที่งดงาม วันหนึ่ง เขาหว่านเมล็ดหัวผักกาดลงในดิน โดยหวังว่าจะได้หัวผักกาดดี ๆ มาแบ่งปันกันกิน

แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ หัวผักกาดนั้นเติบโตขึ้นจนใหญ่เกินจินตนาการ ใหญ่จนเขาและภรรยาไม่สามารถเก็บเกี่ยวมันได้ด้วยตัวเอง การดึงหัวผักกาดนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่สอนบทเรียนลึกซึ้งเกี่ยวกับพลังของความร่วมมือ… กับนิทานพื้นบ้านรัสเซียเรื่องหัวผักกาดยักษ์

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านรัสเซียเรื่องหัวผักกาดยักษ์

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านรัสเซียเรื่องหัวผักกาดยักษ์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายชราและภรรยาของเขาอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ทั้งสองใช้ชีวิตเรียบง่ายโดยปลูกผักไว้กินเองในสวน ชายชรารักสวนผักของเขาอย่างที่สุด ทุกเช้าตรู่เขาจะลุกขึ้นมารดน้ำ พรวนดิน และถอนวัชพืชด้วยความเอาใจใส่

วันหนึ่ง ชายชราได้เลือกเมล็ดหัวผักกาดเมล็ดหนึ่ง ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สุดในสวน เขาปลูกมันลงในดินพร้อมกล่าวคำอธิษฐาน “ขอให้เจ้าหัวผักกาดเติบโตแข็งแรง ให้เรามีอาหารดี ๆ ไว้กิน”

ด้วยการดูแลที่พิถีพิถันของเขา หัวผักกาดได้รับน้ำที่เพียงพอ แสงแดดที่อบอุ่น และดินที่อุดมสมบูรณ์จากการใส่ปุ๋ยเป็นประจำ มันเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนใบของมันสูงใหญ่เกินพืชผักอื่น ๆ ในสวน “หัวผักกาดนี้คงจะดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยปลูกมาแน่ ๆ” ชายชรากล่าวกับภรรยาด้วยความภาคภูมิใจ

วันเวลาผ่านไป หัวผักกาดก็เติบโตจนกลายเป็นหัวผักกาดยักษ์ที่ใหญ่โตผิดปกติ ใบเขียวชอุ่มของมันชูสูงบังแดดของพืชอื่น ๆ ในสวน แต่หัวผักกาดกลับดูสวยงามและสมบูรณ์มากจนไม่มีแม้แต่จุดตำหนิ ชายชราและภรรยามองดูมันด้วยความดีใจ

“ถึงเวลาแล้วที่เราจะเก็บเกี่ยวมัน” ชายชรากล่าวในวันหนึ่ง พร้อมม้วนแขนเสื้อขึ้นเตรียมตัวดึงหัวผักกาดยักษ์ขึ้นจากดิน

ชายชราลงมือดึงหัวผักกาดด้วยแรงทั้งหมด เขาออกแรงเต็มที่ แต่ไม่ว่าจะพยายามดึงเท่าไร หัวผักกาดก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย “หัวผักกาดนี้ช่างแน่นในดินเสียจริง” เขาพูดพร้อมกับหอบหายใจ

เขาเรียกภรรยาของเขามาช่วย “มานี่เถอะ ภรรยาข้า เราจะดึงมันด้วยกัน”

ภรรยาเดินมาพร้อมจับเอวของชายชราไว้ ทั้งสองดึงหัวผักกาดพร้อมกัน พวกเขาออกแรงนับ “หนึ่ง… สอง… สาม!” แต่หัวผักกาดก็ยังไม่ขยับ “เราคงต้องการคนช่วยมากกว่านี้” ภรรยากล่าว

ชายชราและภรรยาเรียกหลานสาวที่กำลังเล่นอยู่ใกล้ ๆ ให้มาช่วย “หลานรัก มาช่วยคุณปู่กับคุณย่าดึงหัวผักกาดนี้หน่อย”

หลานสาวรีบวิ่งเข้ามาและจับเอวของคุณย่าไว้ พวกเขาพร้อมใจกันดึง “หนึ่ง… สอง… สาม!” แต่หัวผักกาดก็ยังคงติดแน่นในดินเหมือนเดิม

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านรัสเซียเรื่องหัวผักกาดยักษ์ 2

“ทำไมมันถึงแน่นอย่างนี้นะ? เราต้องการความช่วยเหลืออีก!” หลานสาวพูดขึ้น

พวกเขาเรียกสุนัข ที่นอนอยู่ใกล้ ๆ มาช่วย สุนัขกระโดดขึ้นมาจับชายกระโปรงของหลานสาวไว้ และทุกคนออกแรงพร้อมกัน “หนึ่ง… สอง… สาม!” ถึงแม้จะมีแรงจากสุนัขเพิ่มมา หัวผักกาดยักษ์ก็ยังคงอยู่ในดินอย่างแน่นหนา

“เราต้องการคนช่วยอีกแล้ว!” สุนัขเห่าเรียกแมวที่เดินเล่นอยู่ใกล้ ๆ แมวมองดูพวกเขาด้วยท่าทางเฉยเมยก่อนจะพูดว่า “ข้าตัวเล็กกว่าพวกเจ้าตั้งมาก จะช่วยได้อย่างไร?”

“แต่มากกว่าก็ดีกว่าน้อยกว่า รีบมาช่วยเราซะเถอะ!” สุนัขกล่าว แมวจึงเดินมาจับปลายหางของสุนัข และทั้งหมดก็พยายามดึงอีกครั้ง “หนึ่ง… สอง… สาม!” แต่ถึงแม้จะมีแมวช่วย หัวผักกาดก็ยังคงไม่ขยับ

ขณะที่ทุกคนกำลังหมดแรงและเริ่มคิดว่าจะไม่มีทางดึงหัวผักกาดขึ้นมาได้ หนูตัวเล็ก ๆ วิ่งผ่านมา ทุกคนจึงร้องเรียกมัน “เจ้าหนูตัวน้อย มาช่วยเราดึงหัวผักกาดที!” แมวพูด

หนูตัวเล็กมองทุกคนอย่างสงสัย “ข้าตัวเล็กเท่านี้ จะช่วยอะไรได้ล่ะ?”

“เจ้าลองดูเถอะ ทุกแรงล้วนสำคัญ!” ชายชรากล่าว

หนูตัวเล็กยิ้มเล็ก ๆ และพูดว่า “ถ้าดึงไม่ขึ้น ข้าจะมีแผน!” มันรีบวิ่งไปข้างหัวผักกาด มันขุดดินแล้วจากนั้นใช้ฟันคม ๆ กัดรากรอบ ๆ ของผักกาดจนขาด

“กัดรากออกแล้ว ลองอีกทีสิ!” หนูตัวเล็กตะโกน ทุกคนเรียงแถวใหม่ หนูจับหางแมว แมวจับสุนัข สุนัขจับหลานสาว หลานสาวจับภรรยา ภรรยาจับเอวชายชรา และชายชราจับใบหัวผักกาด

ทันใดนั้น หัวผักกาดยักษ์ก็หลุดออกจากดิน! ทุกคนล้มกลิ้งไปคนละทิศละทาง แต่ก็หัวเราะด้วยความดีใจ หนูตัวเล็กวิ่งไปตรวจดูหัวผักกาดและพูดด้วยรอยยิ้ม “มันใหญ่มากจนข้าปวดฟันหมดเลย!”

ชายชราและภรรยาแบ่งหัวผักกาดให้ทุกคนในครอบครัว รวมถึงสัตว์ที่ช่วยด้วย หัวผักกาดนี้ใหญ่พอสำหรับเลี้ยงพวกเขาไปอีกหลายวัน และเหลือไปขายที่ตลาดเพื่อซื้อาอาหรให้เหล่าสัตว์ของเขาที่ได้ช่วยเหลือเขาในการดึงหัวผักกาดนี้ออก

และทุกคนเรียนรู้ว่าสิ่งเล็กน้อยที่ดูเหมือนไม่สำคัญ เช่น หนูตัวเล็ก ๆ ก็สามารถเป็นกุญแจสำคัญในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ “แม้สิ่งเล็กน้อยที่ดูไร้ค่า อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านรัสเซียเรื่องหัวผักกาดยักษ์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความสามัคคีและการทำงานร่วมกันคือกุญแจสำคัญในการเอาชนะอุปสรรค แม้แต่ผู้ที่ดูเหมือนไม่สำคัญหรือเล็กน้อย เช่น หนูตัวเล็ก ๆ ก็มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ความสำเร็จเป็นไปได้

นอกจากนี้ยังเตือนให้เราอย่าดูถูกพลังของสิ่งเล็ก ๆ หรือมองข้ามความช่วยเหลือจากใครก็ตาม เพราะบางครั้ง ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มักเกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งใหญ่และเล็กเพียงใดก็ตาม

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านรัสเซียเรื่องหัวผักกาดยักษ์ (อังกฤษ: The Giant Turnip) มีต้นกำเนิดจากเรื่องเล่าของชาวชนบทในยุโรปตะวันออก นิทานเรื่องนี้เป็นที่รู้จักในภาษารัสเซียว่า “Репка” (Repka) แปลว่า “หัวผักกาด”

เรื่องนี้ได้รับการรวบรวมและเล่าใหม่ในปี 1863 โดยอเล็กซานเดอร์ อัฟานาเซฟ (Alexander Afanasyev) นักเขียนและนักสะสมวรรณกรรมพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงของรัสเซีย เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้รวบรวมนิทานพื้นบ้านจำนวนมาก คล้ายกับพี่น้องกริมม์ในเยอรมนี

นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่มุ่งเน้นให้เด็ก ๆ เรียนรู้คุณค่าของความสามัคคีและการทำงานร่วมกัน นิทานนี้ยังมีจังหวะการเล่าที่สนุกสนานและซ้ำไปซ้ำมา ทำให้ง่ายต่อการจดจำและเหมาะสำหรับการเล่าในครอบครัวหรือชุมชน

“อย่าดูแคลนพลังของสิ่งเล็ก ๆ เพราะบางครั้ง สิ่งที่ดูไร้ค่าที่สุด อาจเป็นกุญแจสำคัญในการพลิกชะตาและสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่”

นอกจากนี้ นิทานเรื่องนี้ยังได้รับความนิยมในระดับนานาชาติ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพื้นบ้านที่ถูกนำไปดัดแปลงในหนังสือเด็ก ละคร และสื่อการเรียนการสอนทั่วโลก

นิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องชาวประมงกับภรรยาของเขา

ในกระท่อมเล็ก ๆ ริมทะเล มีเรื่องเล่านิทานพื้นบ้านสากลจากเยอรมนีถึงชาวประมงผู้ยากจนและภรรยาของเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ทุกวัน ชาวประมงออกหาปลาตามชายฝั่ง เพื่อหาเลี้ยงปากท้องในขณะที่ภรรยามักบ่นถึงความยากลำบากในชีวิต

แต่วันหนึ่ง ชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อชาวประมงจับปลาตัวหนึ่งได้ และพบว่ามันไม่ใช่ปลาธรรมดา แต่เป็นปลาวิเศษที่สามารถพูดได้และมอบคำขอพรให้เขา การพบกันครั้งนี้นำมาซึ่งความหวัง ความโลภ และบทเรียนสำคัญที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม… กับนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องชาวประมงกับภรรยาของเขา

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องชาวประมงกับภรรยาของเขา

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องชาวประมงกับภรรยาของเขา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวประมงผู้ยากจนคนหนึ่งอาศัยอยู่กับภรรยาของเขาในกระท่อมเล็ก ๆ ริมทะเล ชีวิตของทั้งสองเรียบง่ายและขัดสน ชาวประมงออกหาปลาทุกวันเพื่อเลี้ยงปากท้องของตนเองและภรรยา

วันหนึ่ง ขณะเหวี่ยงแหจับปลา เขาได้ปลาตัวหนึ่งขึ้นมา ปลาตัวนั้นไม่เหมือนปลาธรรมดา มันมีเกล็ดสีทองระยิบระยับ และสิ่งที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือ ปลาตัวนี้พูดได้!

“ได้โปรด ปล่อยข้าไปเถิด ข้าไม่ใช่ปลาแบบธรรมดา หากเจ้าปล่อยข้า ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างสมเกียรติ ข้าสามารถให้เจ้าขอพรอะไรก็ได้!” ปลาวิเศษกล่าว

ชาวประมงตกใจและรู้สึกสงสาร เขามองปลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ข้าไม่ต้องการสิ่งใดหรอก เจ้าจงกลับไปว่ายในทะเลของเจ้าเถิด ข้าไม่อยากเอาเปรียบเจ้า”

ว่าแล้วเขาก็โยนปลากลับลงสู่ทะเลที่ใสสะอาด ปลาว่ายน้ำหายไปทันที ชาวประมงรู้สึกสบายใจที่ได้ทำสิ่งดี ๆ และกลับบ้านไป

เมื่อเขากลับถึงบ้าน เขาเล่าเรื่องให้ภรรยาฟังด้วยความภูมิใจ แต่ภรรยาไม่ได้ชื่นชมการกระทำของเขาเลยแม้แต่น้อย กลับโกรธและตำหนิเขา

“เจ้ามันโง่เง่า! เจ้าปล่อยปลาวิเศษไปโดยไม่ขออะไรเลยหรือ? เจ้าคิดบ้างไหมว่าชีวิตของเราลำบากแค่ไหน? ไปซะ! ไปบอกปลานั่นว่าข้าต้องการบ้านหลังใหม่ที่สวยงาม!”

ชาวประมงพยายามอธิบายว่าเขาไม่อยากรบกวนปลาวิเศษ แต่ภรรยาของเขายืนยันเสียงแข็ง เขาจึงจำใจกลับไปที่ทะเล

เมื่อชาวประมงมาถึงทะเล เขาเรียกปลาด้วยบทกลอนที่เขาคิดขึ้นอย่างง่าย ๆ

“เจ้าปลาวิเศษ เจ้าปลาทอง ว่ายมาหน้าคลื่นแล้วจงช่วยข้าหน่อยเถิด ภรรยาข้าขอพรจากเจ้า!”

ทะเลเริ่มปั่นป่วนเล็กน้อย แต่ปลาวิเศษก็โผล่ขึ้นมา “เจ้าต้องการอะไรอีกหรือ?” มันถาม

“ภรรยาข้าต้องการบ้านหลังใหม่ บ้านที่ใหญ่กว่านี้…” ชาวประมงกล่าวด้วยความอับอาย

ปลาวิเศษถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “จงกลับบ้านไปเถิด บ้านใหม่ของเจ้ารออยู่แล้ว”

เมื่อชาวประมงกลับถึงบ้าน เขาพบว่ากระท่อมเล็ก ๆ ของพวกเขากลายเป็นบ้านไม้หลังใหญ่ที่สวยงาม ภรรยาของเขาดีใจและหัวเราะอย่างพึงพอใจ

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องชาวประมงกับภรรยาของเขา 2

ไม่นานนัก ภรรยาก็เริ่มไม่พอใจอีก เธอสั่งให้สามีไปหาปลาอีกครั้ง เพื่อขอให้เธอกลายเป็นราชินี “บ้านนี้ใหญ่ก็จริง แต่ข้าควรมีมากกว่านี้ ข้าต้องการเป็นราชินี! ไปบอกปลานั่นซะ!”

ชาวประมงกลับไปที่ทะเลอีกครั้ง ครั้งนี้น้ำทะเลเริ่มขุ่นมัวและมีคลื่นลมแรงขึ้น เมื่อเขาเรียกปลาวิเศษ มันโผล่มาและฟังคำขออีกครั้ง “จงกลับบ้านไปเถิด นางได้เป็นราชินีแล้ว”

แต่แม้ได้เป็นราชินีแล้ว ภรรยาก็ยังไม่พอใจอีก เธออยากได้มากกว่านั้น “การเป็นราชินีมันยังไม่พอ ข้าต้องการเป็นจักรพรรดินี ไปบอกปลานั่นซะ!”

ชาวประมงพยายามค้าน “พอเถอะ นางเริ่มให้มากแล้ว เราไม่ควรทำให้ปลานั่นลำบาก!” แต่ภรรยาไม่ฟังและสั่งให้เขากลับไปอีก

ทะเลในครั้งนี้มืดครึ้มและมีคลื่นลมรุนแรง เมื่อปลาวิเศษโผล่มา มันพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “กลับบ้านไปเถิด นางได้เป็นจักรพรรดินีแล้ว”

แม้ได้เป็นจักรพรรดินีแล้ว ภรรยาก็ยังไม่หยุด เธอบอกสามีว่า “ข้าต้องการเป็นพระเจ้า! ไปบอกปลานั่นว่าข้าต้องการควบคุมดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และสวรรค์ทั้งปวง!”

ชาวประมงตกใจมาก “เป็นพระเจ้า? เจ้าจะบ้าหรือ? เราควรหยุดก่อนที่ทุกอย่างจะพัง!”

แต่ภรรยาไม่ฟัง เขาจำใจกลับไปที่ทะเลอีกครั้ง ครั้งนี้ทะเลปั่นป่วนราวกับพายุใหญ่ เขาเรียกปลาวิเศษด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงและบอกคำขอของภรรยา

ปลาวิเศษฟังคำขอนี้เงียบ ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “จงกลับบ้านไปเถิด นางได้นั่งอยู่ในกระท่อมเก่าของนางแล้ว”

เมื่อชาวประมงกลับถึงบ้าน เขาพบว่าปราสาทหลังใหญ่และตำแหน่งจักรพรรดินีของภรรยาได้หายไป พวกเขากลับมายืนอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ที่เก่าและโทรมเหมือนวันแรกที่เขาพบปลาวิเศษ และด้วยเหตุนี้ทะเลจึงสงบลงอีกครั้ง และชาวประมงกับภรรยาของเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ในกระท่อมเก่า ๆ ที่สกปรกเหมือนเดิมอีกครั้ง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องชาวประมงกับภรรยาของเขา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความโลภที่ไม่มีที่สิ้นสุดจะนำมาซึ่งความสูญเสีย ภรรยาของชาวประมงต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่พอใจในสิ่งที่มีอยู่ แม้จะได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายความโลภก็ทำให้เธอสูญเสียทุกสิ่ง

นอกจากนี้ยังสอนให้เราเห็นว่า การพอใจในสิ่งที่มีเป็นหนทางสู่ความสุขที่แท้จริง เช่นเดียวกับชาวประมงที่พอใจในชีวิตเรียบง่ายของเขาตั้งแต่ต้น ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากสิ่งของภายนอก แต่มาจากใจที่สงบและรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่แล้ว

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องชาวประมงกับภรรยาของเขา (อังกฤษ: The Fisherman and His Wife) เป็นนิทานพื้นบ้านเยอรมันที่ถูกรวบรวมโดยพี่น้องกริมม์ (Brothers Grimm) ในปี 1812 (ลำดับที่ 19 ใน Kinder- und Hausmärchen)

นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ใน Aarne–Thompson หมวด 555 ซึ่งว่าด้วย ความไม่พอใจและความโลภ และบางครั้งถูกมองว่าเป็น “นิทานต่อต้านเทพนิยาย” (Anti-fairy tale) แหล่งที่มาของนิทานนี้มาจากฟิลิป อ็อตโต รุงเกอ (Philipp Otto Runge) จิตรกรชาวเยอรมัน (1777–1810) ซึ่งพี่น้องกริมม์ได้รับต้นฉบับนิทานจากเขาในปี 1809

โดยเรื่องราวโดยสรุปคือชายหาปลาผู้ยากจนและภรรยาอาศัยอยู่ในกระท่อมใกล้ทะเล วันหนึ่งชายจับปลาได้ตัวหนึ่งซึ่งสามารถให้พรได้และขอให้ปล่อยตัว เขาปล่อยมันไปอย่างมีเมตตา เมื่อภรรยารู้เรื่อง เธอให้เขากลับไปขอพรจากปลาเธอต้องการบ้านที่ดีกว่า ชายหาปลาไปขอพรและได้บ้านใหม่ แต่ภรรยาไม่พอใจและขอเพิ่มอีกเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปราสาท การเป็นกษัตริย์ จักรพรรดิ ไปจนถึงพระสันตะปาปา ทะเลเริ่มปั่นป่วนขึ้นทุกครั้งที่ขอพร จนสุดท้ายเธอขออำนาจเทียบเท่าพระเจ้า เมื่อชายหาปลาไปขอพรอีกครั้ง ปลาเพียงบอกว่า ให้กลับไปบ้านเถิด ภรรยาเขากลับไปอยู่ในกระท่อมเก่าอีกครั้ง

“ความโลภไม่เคยให้สิ่งใด นอกจากพาเรากลับไปเริ่มต้นที่ศูนย์”

นิทานพื้นบ้านโรมาเนียเรื่องหมูต้องสาป

ในอาณาจักรอันห่างไกล มีเรื่องเล่าขานตำนานนิทานพื้นบ้านสากลจากโรมาเนีย โดยเรื่องราวมีพระราชาผู้ทรงปัญญามีลูกสาวสามคนที่เขารักดั่งแก้วตาดวงใจ ชีวิตในวังเป็นไปด้วยความสุขสงบจนกระทั่งวันหนึ่ง พระราชาต้องออกเดินทางไปยังดินแดนอันไกลโพ้น ทิ้งลูกสาวทั้งสามไว้เบื้องหลัง

ก่อนจากไป พระราชากำชับลูกสาวทุกคนว่า “อย่าเปิดประตูห้องลับเด็ดขาดจนกว่าข้าจะกลับมา” คำเตือนนั้นเต็มไปด้วยความหนักแน่น แต่ก็สร้างความสงสัยให้กับลูกสาวคนเล็ก ผู้ซึ่งมีหัวใจที่อยากรู้อยากเห็นมากที่สุด เมื่อความอยากรู้อยากเห็นเอาชนะคำสั่งที่เด็ดขาด ความลับที่ซ่อนอยู่ในห้องนั้นจึงถูกเปิดเผย และโชคชะตาของเธอก็เปลี่ยนไปตลอดกาล… กับนิทานพื้นบ้านโรมาเนียเรื่องหมูต้องสาป

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านโรมาเนียเรื่องหมูต้องสาป

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านโรมาเนียเรื่องหมูต้องสาป

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระราชาผู้ยิ่งใหญ่มีลูกสาวสามคนซึ่งเขารักดั่งดวงใจ วันหนึ่งพระราชาต้องออกเดินทางไกล จึงสั่งลูกสาวทั้งสามว่า “อย่าเปิดประตูห้องลับเด็ดขาดจนกว่าข้าจะกลับมา”

ลูกสาวสองคนโตพยักหน้าเชื่อฟัง แต่ลูกสาวคนเล็กซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่สามารถต้านทานคำสั่งนี้ได้ เธอแอบเปิดประตูห้องลับเมื่อพ่อจากไป และพบหนังสือแห่งโชคชะตา เมื่อเปิดอ่าน หนังสือกล่าวว่า “เจ้าจะต้องแต่งงานกับหมู”

“เป็นไปไม่ได้! ข้าจะแต่งงานกับหมูได้อย่างไรกัน?” เธอพูดพร้อมน้ำตาไหล

ไม่นานนัก หมูตัวหนึ่งก็มาที่พระราชวัง และกล่าวกับพระราชาว่า “ข้าคือเจ้าบ่าวตามคำทำนายในหนังสือโชคชะตา ลูกสาวคนเล็กของท่านต้องแต่งงานกับข้า”

พระราชาเสียใจมากและพยายามเจรจากับหมู แต่เจ้าหมูยืนยันว่ามันคือโชคชะตา

ลูกสาวคนเล็กของพระราชาก็เศร้าไม่แพ้กัน “ข้าจะทำอย่างไรได้? หากนี่คือโชคชะตาของข้า ข้าก็จะยอมรับ” นางกล่าวด้วยน้ำตา

เมื่อถึงเวลา นางสวมชุดแต่งงานแล้วเดินทางออกจากพระราชวังพร้อมเจ้าหมู

นางถูกพาไปยังปราสาทหรูหราอันน่าอัศจรรย์ ทุกอย่างดูดีเกินกว่าจะเชื่อว่านี่คือบ้านของหมู ที่นั่น เจ้าหมูดูแลเธออย่างอ่อนโยน และแม้นางจะเศร้าในตอนแรก นางก็ค่อย ๆ ยอมรับเขา

คืนหนึ่ง นางตื่นขึ้นมากลางดึกและพบว่าเจ้าหมูที่นอนข้างเธอกลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม เธออุทานด้วยความตกใจ “เจ้าเป็นใครกันแน่?”

เขายิ้มและตอบว่า “ข้าคือเจ้าชายผู้ถูกสาปให้กลายเป็นหมูในตอนกลางวัน และคืนร่างมนุษย์เฉพาะในยามค่ำคืนเท่านั้น”

นางมองเขาด้วยแววตาสงสัย “แต่ทำไมจึงต้องคำสาปเช่นนี้?”

“แม่มดผู้ทรงพลังเป็นผู้สาปข้า และไม่มีทางทำลายคำสาปได้ เว้นแต่เจ้าจะเชื่อใจข้าโดยไม่พยายามเปลี่ยนแปลงอะไร”

แม้นางจะพยายามเชื่อใจเขา แต่ความอยากรู้อยากเห็นยังคงอยู่ลึกในใจ วันหนึ่งนางกลับไปเยี่ยมบ้านของพ่อ น้องสาวทั้งสองของนางเริ่มเยาะเย้ยและยุยง

“เจ้าจะยอมแต่งงานกับหมูและเชื่อฟังเขาไปตลอดชีวิตหรือ? เจ้าควรค้นหาความจริง!” น้องสาวกล่าว

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านโรมาเนียเรื่องหมูต้องสาป 2

นางลังเลแต่สุดท้ายก็คล้อยตาม เมื่อกลับถึงปราสาท นางแอบถือโคมไฟเข้าไปในห้องของเจ้าชายตอนกลางคืน เมื่อแสงส่องไปบนใบหน้าของเขา นางเห็นว่าเขาคือชายหนุ่มรูปงามจริง ๆ แต่ทันใดนั้น หยดน้ำตาเทียนตกลงบนร่างของเขา ทำให้เขาตื่นขึ้นมา

“เจ้าไม่เชื่อใจข้าใช่ไหม? ตอนนี้คำสาปจะรุนแรงขึ้น และข้าจะต้องจากเจ้าไป!” เจ้าชายพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า และในทันใดนั้นเขาก็หายตัวไป

หญิงสาวเสียใจอย่างยิ่ง แต่นางไม่ยอมแพ้ “ข้าทำผิดพลาด แต่ข้าจะตามหาเขา ไม่ว่าจะต้องเผชิญอันตรายใด ๆ”

ระหว่างทาง นางพบกับเหล่านางฟ้าที่มอบของวิเศษให้ เช่น รองเท้าเหล็ก ผ้าคลุมล่องหน และเข็มทองคำ นางฟ้ากล่าวว่า “ใช้สิ่งเหล่านี้เมื่อเจ้าต้องการผ่านบททดสอบในปราสาทของแม่มด”

นางเดินทางไกลผ่านภูเขาและทะเล จนในที่สุดมาถึงปราสาทของแม่มด

แม่มดให้หญิงสาวทำงานที่เป็นไปไม่ได้ เช่น แยกเมล็ดพืชพันชนิดภายในคืนเดียวหรือปั่นด้ายจากไหมที่ไม่มีวันหมด

แม่มดนำเมล็ดพืชพันธุ์ต่าง ๆ นับพันมาเทรวมกันเป็นกองใหญ่และสั่งว่า “หากเจ้าต้องการช่วยเจ้าชาย จงแยกเมล็ดพืชทั้งหมดนี้ให้เสร็จก่อนรุ่งสาง!”

หญิงสาวตกใจ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำงานนี้ในเวลาสั้น ๆ แต่ทันใดนั้นหล่านางฟ้าตัวน้อย ซึ่งนางเคยช่วยไว้ระหว่างการเดินทางปรากฏตัวขึ้น และช่วยแยกเมล็ดพืชอย่างรวดเร็ว ด้วยความช่วยเหลือของพวกนาง งานจึงเสร็จทันเวลา

แม่มดนำกองไหมมหึมาและมอบล้อปั่นด้ายให้ พร้อมกล่าวว่า “จงปั่นไหมนี้ให้หมดเป็นด้ายก่อนพระอาทิตย์ตกดิน!”หญิงสาวหยิบเข็มทองคำ ที่นางฟ้ามอบให้ขึ้นมา และใช้มันปั่นไหม เข็มทองคำมีพลังวิเศษ สามารถปั่นไหมทั้งหมดให้กลายเป็นด้ายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

แม่มดส่งหญิงสาวไปยังดินแดนอันไกลโพ้น และสั่งให้นำแอปเปิลทองคำ จากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์กลับมา ซึ่งต้องข้ามทะเลที่กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยพายุร้าย หญิงสาวใช้รองเท้าเหล็ก ที่ช่วยให้เดินทางไกลและมั่นคงแม้ต้องข้ามทะเลลื่นไถล นอกจากนี้ วาฬที่นางเคยช่วยไว้ระหว่างทางยังปรากฏตัวและอาสาช่วยพานางข้ามทะเลไปถึงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และกลับมาพร้อมแอปเปิลทองคำ

หลังจากผ่านบททดสอบทั้งหมด แม่มดยังคงขังเจ้าชายไว้ในห้องลับที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นหรือเข้าไปได้ หญิงสาวใช้ผ้าคลุมล่องหน ซึ่งทำให้เธอหายตัวได้ นางลอบเข้าไปในห้องลับโดยที่แม่มดไม่รู้ตัว และช่วยเจ้าชายหลบหนีออกมา

หลังจากผ่านบททดสอบทั้งหมด แม่มดยังคงขังเจ้าชายไว้ในห้องลับที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นหรือเข้าไปได้ หญิงสาวใช้ผ้าคลุมล่องหน ซึ่งทำให้เธอหายตัวได้ นางลอบเข้าไปในห้องลับโดยที่แม่มดไม่รู้ตัว และช่วยเจ้าชายหลบหนีออกมา

ด้วยความรักและความเสียสละของนาง คำสาปของเจ้าชายถูกทำลาย ทั้งสองกลับไปครองรักกันอย่างมีความสุขในปราสาทของพวกเขา

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านโรมาเนียเรื่องหมูต้องสาป 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความรักที่แท้จริงต้องการความเชื่อใจ ความเสียสละ และความอดทน แม้ความอยากรู้อยากเห็นอาจนำมาซึ่งปัญหา แต่ความมุ่งมั่นและความกล้าหาญสามารถช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดได้

นอกจากนี้ยังเตือนให้เรารู้ว่า การเผชิญหน้ากับอุปสรรคด้วยสติปัญญาและความอดทน คือหนทางสู่การเอาชนะทุกความยากลำบาก เช่นเดียวกับหญิงสาวที่สามารถผ่านบททดสอบยากลำบากทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือเจ้าชาย

สุดท้าย เรื่องราวนี้ย้ำให้เห็นว่าความเชื่อใจคือรากฐานของความสัมพันธ์ และความรักที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาจะนำพาความสุขมาสู่ชีวิตในที่สุด

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านโรมาเนียเรื่องหมูต้องสาป (อังกฤษ: The Enchanted Pig) เป็นนิทานพื้นบ้านโรมาเนียสไตล์นิทานปรัมปราเทพนิยายที่ถูกรวบรวมในหนังสือ Rumanische Märchen และโดยปเตร อิสปิเรสคู (Petre Ispirescu) ใน Legende sau basmele românilor นิทานเรื่องนี้ยังปรากฏใน The Red Fairy Book ของ แอนดรูว์ แลง (Andrew Lang)

นิทานเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรนิทานสากลเกี่ยวกับ “สัตว์เป็นเจ้าบ่าว” (Animal as Bridegroom) หรือ “การค้นหาสามีที่สูญหาย” (The Search for the Lost Husband) ซึ่งเล่าเรื่องของหญิงสาวที่แต่งงานกับสามีในร่างสัตว์ ผิดข้อห้ามบางอย่าง และต้องออกตามหาสามีที่หายไป

“นิทานสะท้อนถึง ความรัก ความซื่อสัตย์ และการเสียสละของหญิงสาว ที่ต้องเผชิญอุปสรรคเพื่อเอาชนะคำสาปและฟื้นคืนชีวิตคู่”

นิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องลูกแก้วคริสตัลวิเศษ

ในดินแดนแห่งหนึ่ง มีเรื่องเล่าขานตำนานนิทานพื้นบ้านสากลจากเยอรมนี เกี่ยวกับลูกแก้ววิเศษที่ซ่อนอยู่ในปราสาทต้องคำสาป ว่ากันว่าลูกแก้วนี้มีพลังมหาศาลและสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของผู้ครอบครองได้

ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ชายหนุ่มผู้กล้าหาญตัดสินใจออกเดินทาง เขาไม่เพียงต้องการไขปริศนาเรื่องลูกแก้ว แต่ยังต้องการเผชิญหน้ากับสิ่งลึกลับที่อยู่เบื้องหลังตำนานนี้ เรื่องราวของการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายและการเสียสละจึงได้เริ่มต้นขึ้น… กับนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องลูกแก้วคริสตัลวิเศษ

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องลูกแก้วคริสตัลวิเศษ

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องลูกแก้วคริสตัลวิเศษ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่มดผู้ทรงพลังและชั่วร้าย นางเกลียดมนุษย์และทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความรักหรือความดีงาม นางมีลูกชายสามคนซึ่งนางหวาดระแวงว่าจะมาท้าทายอำนาจของนางในอนาคต เพื่อป้องกันภัยนี้ นางใช้เวทมนตร์แยกพวกเขาออกจากกัน

แม่มดสาปลูกชายคนโตให้กลายเป็นนกอินทรี บินร่อนเร่อยู่บนท้องฟ้า คนกลางกลายเป็นวาฬ ที่ต้องล่องลอยในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ส่วนน้องชายคนสุดท้องผู้ยังคงเป็นมนุษย์ หนีจากแม่มดออกไปได้อย่างหวุดหวิด

น้องชายคนสุดท้องเติบโตขึ้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยพี่ชายทั้งสอง วันหนึ่งเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับลูกแก้ววิเศษ ซึ่งมีพลังอำนาจในการทำลายคำสาปและปลดปล่อยทุกคนจากเวทมนตร์ชั่วร้าย ลูกแก้วนี้ถูกซ่อนไว้ในปราสาทของแม่มดที่ไม่มีใครกล้าเข้าไป

“ข้าต้องการช่วยพี่ชายของข้า และข้าจะทำทุกอย่างเพื่อทำลายคำสาปนั้น” เขาคิดในใจ และออกเดินทางทันที

หลังจากเดินทางหลายวันผ่านป่าทึบและภูเขาสูงชัน น้องชายได้พบนกอินทรีตัวใหญ่ เกาะอยู่บนต้นไม้ นกพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า

“เจ้าเดินทางไปไหนกัน เจ้าดูเหมือนคนที่ข้าคุ้นเคย…”

น้องชายเงยหน้าขึ้นมองและอุทานด้วยความตกใจ “พี่ชาย! นี่คือเจ้าจริง ๆ ใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว ข้าคือพี่ชายคนโตของเจ้า ข้าถูกแม่มดสาปให้กลายเป็นนกอินทรี และต้องบินอยู่ในป่าแห่งนี้ตลอดกาล”

“ข้ากำลังตามหาลูกแก้ววิเศษเพื่อช่วยเจ้ากับพี่ชายคนกลาง เราจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง!” น้องชายตอบด้วยความมุ่งมั่น

นกอินทรีมอบขนนกวิเศษให้และกล่าวว่า “หากเจ้าเจอกับอุปสรรคที่ข้ามกำลังช่วยได้ เผาขนนกนี้ แล้วข้าจะมาหาเจ้า”

ไม่นานหลังจากนั้น น้องชายเดินทางถึงชายฝั่งทะเล เขาเห็นวาฬตัวใหญ่ ลอยอยู่ในน้ำ วาฬมองขึ้นมาจากทะเลและพูดว่า

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องลูกแก้วคริสตัลวิเศษ 2

“เจ้าคือผู้ใด ข้ามองเห็นแววตาที่คล้ายกับพี่น้องของข้า…”

“พี่ชายคนกลาง! ข้าคือน้องชายของเจ้า ข้ากำลังตามหาลูกแก้ววิเศษเพื่อช่วยเจ้าและพี่ชายคนโต!”

วาฬมอบเกล็ดวิเศษให้กับเขาและกล่าวว่า “โยนเกล็ดนี้ลงในน้ำเมื่อใด ข้าจะมาหาเจ้า”

ในที่สุด น้องชายก็มาถึงภูเขาสูงชันที่ตั้งของปราสาทต้องคำสาป ปราสาทถูกล้อมรอบด้วยหนามแหลมและกำแพงเวทมนตร์ที่ไม่มีทางผ่านได้

“ข้าต้องการพี่ชายของข้า พวกเขารอให้ข้าช่วยอยู่!” น้องชายกล่าวกับตัวเอง

เขาหยิบขนนกของอินทรีขึ้นมาเผา ทันใดนั้น นกอินทรีก็บินลงมาจากฟ้า “ขึ้นหลังข้า ข้าจะพาเจ้าข้ามหนามเหล่านี้ไป”

ภายในปราสาทเต็มไปด้วยห้องลึกลับและกับดัก ทุกอย่างนำไปสู่ห้องลับที่มีลูกแก้ววิเศษ ซ่อนอยู่ แต่ห้องนั้นมีมังกรดุร้ายเฝ้าอยู่

เมื่อมังกรคำรามและพ่นไฟใส่ น้องชายโยนเกล็ดวิเศษลงในทะเล วาฬเรียกพายุและทำให้น้ำท่วมปราสาท มังกรเสียหลักและอ่อนแรง น้องชายใช้โอกาสนั้นวิ่งเข้าไปคว้าลูกแก้ววิเศษ

ทันทีที่เขาสัมผัสลูกแก้ว พลังอันมหาศาลก็ปะทุขึ้น คำสาปทั้งหมดของแม่มดถูกทำลาย พี่ชายคนโตกลับคืนร่างมนุษย์และบินลงมาจากฟ้า พี่ชายคนกลางปรากฏตัวขึ้นจากทะเลในร่างเดิม

ปราสาทของแม่มดพังทลาย แม่มดสูญเสียอำนาจและหายตัวไปตลอดกาล พี่น้องทั้งสามกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งด้วยความสุข พวกเขาเดินทางกลับบ้านพร้อมลูกแก้ววิเศษ และใช้พลังของมันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องลูกแก้วคริสตัลวิเศษ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความรักและความสามัคคีในครอบครัวเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ แม้พี่น้องจะถูกแยกจากกันด้วยคำสาป แต่ความมุ่งมั่นและความรักของน้องชายคนสุดท้องช่วยนำพวกเขากลับมารวมตัวกันได้

เรื่องนี้ยังแสดงให้เห็นว่า ความกล้าหาญและความอดทนจะนำไปสู่ชัยชนะ แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคใหญ่หลวงก็ตาม น้องชายเอาชนะความกลัวและเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือพี่ชายของเขา

สุดท้าย นิทานเตือนให้เราเห็นถึงคุณค่าของการช่วยเหลือผู้อื่นและการใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา เพราะไม่ใช่เพียงพลังหรือโชคเท่านั้นที่นำไปสู่ความสำเร็จ แต่การคิดไตร่ตรองและการร่วมมือกับคนรอบข้างก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องลูกแก้วคริสตัลวิเศษ (อังกฤษ: The Crystal Ball) เป็นนิทานปรัมปราจากเยอรมนี ซึ่งถูกรวบรวมโดยพี่น้องกริมม์ (Jacob และ Wilhelm Grimm) และตีพิมพ์ใน “Grimm’s Fairy Tales” หรือ “Kinder- und Hausmärchen” นิทานเล่มดังกล่าวเผยแพร่ครั้งแรกในปี 1812 และเป็นการรวบรวมเรื่องเล่าพื้นบ้านของชาวยุโรป โดยเฉพาะชาวเยอรมันในยุคนั้น

เนื้อเรื่องสะท้อนธีมที่นิยมในนิทานปรัมปรา เช่น การผจญภัยของตัวเอกที่ต้องเผชิญอุปสรรคใหญ่หลวงเพื่อช่วยเหลือครอบครัวหรือคนที่รัก โครงสร้างของเรื่องราว เช่น พี่น้องสามคน คำสาป และการใช้ไหวพริบเพื่อเอาชนะสิ่งชั่วร้าย เป็นแบบแผนที่พบได้ทั่วไปในนิทานพื้นบ้านของเยอรมัน นิทานเรื่องนี้ยังแฝงคุณธรรมเกี่ยวกับความกล้าหาญ ความรักในครอบครัว และการใช้ปัญญาในการเอาชนะปัญหา

นิทานเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกับนิทานอื่น ๆ ของพี่น้องกริมม์ ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่วัฒนธรรมและความเชื่อดั้งเดิมของยุโรป นอกจากนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับวรรณกรรมแฟนตาซีและศิลปะการเล่าเรื่องในยุคต่อมา

“ความกล้าหาญ ความรักในครอบครัว และไหวพริบจะช่วยให้เราผ่านพ้นอุปสรรคและเอาชนะความชั่วร้ายได้เสมอ”

นิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องหญิงชาวนาผู้เฉลียวฉลาด

ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีเรื่องเล่าขานนิทานพื้นบ้านสากลจากเยอรมนี โดยมีชาวนาผู้ยากจนที่อาศัยอยู่กับลูกสาวเพียงคนเดียว แม้จะมีชีวิตที่เรียบง่าย แต่หญิงสาวกลับเป็นที่เลื่องลือในความเฉลียวฉลาดของเธอ วันหนึ่งโชคชะตานำพาชีวิตของเธอให้เปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อชาวนาผู้เป็นพ่อพบถ้วยทองคำในทุ่งนา และการเผชิญหน้ากับกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจ ทำให้หญิงสาวต้องใช้สติปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหาที่ไม่มีใครคาดคิด

เรื่องราวของหญิงสาวผู้เฉลียวฉลาดจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมบททดสอบที่ทั้งท้าทายและน่าตื่นเต้น ซึ่งจะเผยถึงพลังของไหวพริบและความรักที่แท้จริง กับนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องหญิงชาวนาผู้เฉลียวฉลาด

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องหญิงชาวนาผู้เฉลียวฉลาด

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องหญิงชาวนาผู้เฉลียวฉลาด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาผู้ยากจนคนหนึ่งอาศัยอยู่กับลูกสาวเพียงคนเดียวในกระท่อมเล็ก ๆ กลางทุ่ง ชายชาวนาขยันทำงานหนักทุกวันเพื่อหาเลี้ยงชีพ ส่วนลูกสาวของเขาเป็นหญิงสาวที่ไม่เพียงงดงาม แต่ยังเฉลียวฉลาดเกินวัย

วันหนึ่งขณะที่ชาวนากำลังไถนา เขาเห็นบางสิ่งวาววับอยู่ในดิน เมื่อขุดขึ้นมา เขาพบ ถ้วยทองคำใบหนึ่ง ชายชาวนาประหลาดใจและคิดว่า “ของล้ำค่าเช่นนี้ ข้าควรมอบให้กษัตริย์”

เมื่อไปถึงวัง ชาวนาโค้งคำนับและยื่นถ้วยทองคำให้กษัตริย์ พร้อมกล่าวว่า “ข้าพบสิ่งนี้ในทุ่งของข้า ข้าขอมอบให้ฝ่าบาทเพื่อแสดงความภักดี”

กษัตริย์มองถ้วยทองคำแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เจ้าบอกว่าพบถ้วยนี้ในทุ่งของเจ้า แล้วทำไมถึงมีเพียงใบเดียว? ถ้ามีถ้วยใบหนึ่ง ก็ควรจะมีอีกใบหนึ่งด้วย เจ้าขโมยอีกใบไปหรือไม่?”

ชาวนาตกใจและตอบไม่ถูก เขากลับบ้านด้วยความกลัดกลุ้ม

เมื่อกลับถึงบ้าน ลูกสาวเห็นพ่อของเธอถอนหายใจและนั่งซึมอยู่ จึงถามว่า “พ่อเป็นอะไรไป? ทำไมถึงดูทุกข์ใจเช่นนี้?”

พ่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เธอฟังจบแล้วยิ้มบาง ๆ

“ไม่ต้องกังวลค่ะพ่อ ข้าจะช่วยเอง ท่านเพียงนำข้อความนี้ส่งให้กษัตริย์”

เธอเขียนจดหมายและมอบให้พ่อ เมื่อกษัตริย์เปิดอ่าน เขาพบข้อความที่ว่า:

“ถ้วยทองคำใบนี้เป็นของขวัญจากทุ่ง หากทุ่งสร้างอีกใบขึ้นมาเมื่อใด ข้าจะรีบนำมามอบให้ฝ่าบาท”

กษัตริย์อ่านจบก็หัวเราะด้วยความประทับใจในไหวพริบของหญิงสาว จึงสั่งให้คนไปเชิญตัวเธอมายังวัง

เมื่อหญิงสาวมาถึงวัง กษัตริย์มองเธอด้วยความสนใจและกล่าวว่า “ข้าต้องการทดสอบปัญญาของเจ้า หากเจ้าผ่านบททดสอบทั้งหมด ข้าจะมอบรางวัลใหญ่ให้”

เขาสั่งให้คนรับใช้ยกแก้วน้ำมาแก้วหนึ่งและถามว่า “เจ้าสามารถทำให้แก้วนี้แห้งโดยไม่ใช้น้ำหรือไม่?”

หญิงสาวยิ้มและตอบว่า “ง่ายมากเพคะ” แล้วเธอก็รินน้ำออกจากแก้วจนหมดและยื่นกลับให้กษัตริย์

กษัตริย์หัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าเฉลียวฉลาดจริง ๆ แต่ข้าจะมีคำถามยากขึ้นอีก”

กษัตริย์หยิบก้อนหินก้อนหนึ่งและพูดว่า “จงทำให้หินก้อนนี้ออกลูกได้!”

หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงสงบว่า “หากฝ่าบาททำให้หินก้อนนี้เติบโตเป็นต้นไม้ได้ ข้าก็จะทำให้มันออกลูกได้”

คำตอบของเธอทำให้กษัตริย์ประหลาดใจและยิ่งชื่นชมในปัญญาของเธอ

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องหญิงชาวนาผู้เฉลียวฉลาด 2

หลังจากทดสอบหลายครั้ง กษัตริย์ยอมรับว่าไม่มีใครเฉลียวฉลาดเท่าเธอ จึงกล่าวว่า “เจ้าคือหญิงที่ข้าตามหามานาน ข้าต้องการให้เจ้าเป็นราชินีของข้า”

หญิงสาวตอบตกลง และทั้งสองแต่งงานกัน

แต่ก่อนแต่งงาน กษัตริย์ตั้งเงื่อนไขไว้ว่า “หากวันใดเราโต้เถียงกันจนต้องแยกจากกัน เจ้าจะต้องกลับบ้านของเจ้า แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าสามารถนำสิ่งที่เจ้ารักที่สุดจากวังติดตัวไปได้เพียงสิ่งเดียว”

หญิงสาวพยักหน้าและรับคำ

ไม่นานหลังจากแต่งงาน ทั้งสองเกิดข้อโต้แย้งอย่างรุนแรง กษัตริย์โมโหจนสั่งให้เธอกลับบ้าน

“ถ้าเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่อีก เจ้าก็ไปซะ และอย่าลืมข้อแม้ของข้า!”

หญิงสาวตอบอย่างสงบว่า “เพคะ ฝ่าบาท”

ในคืนก่อนออกเดินทาง เธอให้ยานอนหลับแก่กษัตริย์ และในขณะที่เขาหลับสนิท เธอให้คนรับใช้พาเขาขึ้นเกวียนพร้อมเธอ

เมื่อกษัตริย์ตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองอยู่ในบ้านของพ่อหญิงสาว เขาประหลาดใจและถามว่า “ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่?”

เธอยิ้มและตอบว่า “ท่านบอกว่าข้าสามารถนำสิ่งที่ข้ารักที่สุดติดตัวมาได้ และข้าก็เลือกท่าน”

กษัตริย์หัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “เจ้าช่างฉลาดและแสนดี ข้าไม่ควรโมโหเจ้าเลย เรากลับวังกันเถิด!”

ตั้งแต่นั้นมา กษัตริย์และหญิงสาวใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข และกษัตริย์ไม่เคยลืมความฉลาดและความรักที่หญิงสาวมีให้เขา

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องหญิงชาวนาผู้เฉลียวฉลาด 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความฉลาดและไหวพริบช่วยให้เราก้าวข้ามอุปสรรคในชีวิตได้ เช่นเดียวกับที่หญิงสาวใช้ปัญญาตอบคำถามกษัตริย์ในสถานการณ์ยากลำบาก ในชีวิตจริง เราสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์และความสงบในการแก้ปัญหาต่าง ๆ รอบตัว

นิทานยังแสดงให้เห็นว่าความรักที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่สิ่งของหรือฐานะ แต่คือการเห็นคุณค่าของกันและกัน อย่างหญิงสาวที่เลือกกษัตริย์เป็น “สิ่งที่เธอรักที่สุด” ช่วยเตือนให้เราใส่ใจและให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่มีค่าในชีวิต

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านเยอรมันเรื่องหญิงชาวนาผู้เฉลียวฉลาด (อังกฤษ: The Clever Peasant Girl) เป็นนิทานพื้นบ้านเยอรมันที่ถูกรวบรวมโดย พี่น้องกริมม์ (Brothers Grimm) ในนิทานชุด Grimm’s Fairy Tales โดยเป็นนิทานลำดับที่ 94

นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวด “หญิงชาวนาแสนฉลาด” (The Clever Farmgirl) ซึ่งเป็น ประเภท 875 ในดัชนี Aarne-Thompson

นิทานประเภทนี้เป็น นิทานพื้นบ้านที่เกี่ยวกับการโต้ตอบอย่างเฉลียวฉลาดที่พบได้บ่อยที่สุดในยุโรป นิทานสะท้อนถึง ความเฉลียวฉลาดและปัญญาของผู้หญิง ที่สามารถพลิกสถานการณ์หรือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยความคิดที่แหลมคม

โดยเนื้อเรื่องอีกเวอร์ชันคือ ชาวนาขอที่ดินจากกษัตริย์ และพบครกทองคำ ลูกสาวเตือนว่าถ้ามอบให้กษัตริย์ ท่านจะเรียกร้องหา สาก ด้วย แต่ชาวนาไม่ฟัง กษัตริย์จึงขังเขาไว้เพราะไม่มีสากทองคำ

กษัตริย์ทดสอบปัญญาลูกสาวชาวนา ด้วยปริศนาให้มา “ไม่เปลือยไม่แต่งตัว ไม่เดินไม่ขี่ ไม่อยู่บนถนนหรือข้างถนน” เธอแก้ปริศนาได้โดยใส่ตาข่ายปลา มัดกับลาลากตัวเอง กษัตริย์พอใจ ปล่อยชาวนาและแต่งงานกับเธอ

ต่อมา เกิดข้อพิพาทเรื่องลูกม้าที่นอนใต้โค กษัตริย์ตัดสินให้ลูกม้าเป็นของเจ้าของโค ราชินีแนะนำชาวนาให้ประชดกษัตริย์จนท่านยอมเปลี่ยนคำตัดสิน

เมื่อรู้ว่าราชินีให้คำปรึกษา กษัตริย์ส่งเธอกลับบ้านพ่อ โดยอนุญาตให้พาสิ่งที่รักที่สุดไป เธอวางยานอนหลับพากษัตริย์ไปบ้านพ่อ และบอกว่าท่านคือสิ่งที่เธอรักที่สุด กษัตริย์ซึ้งใจ พาเธอกลับวัง และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

“ไหวพริบและความฉลาดช่วยแก้ปัญหาได้มากกว่ากำลังหรืออำนาจ และความรักที่แท้จริงคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด”

นิทานพื้นบ้านอังกฤษเรื่องหญิงสาวหมวกต้นกก

นานมาแล้วมีเรื่องเล่าขานตำนานนิทานพื้นบานสากล ณ ประเทศอังกฤษ โดยในคฤหาสน์ใหญ่โตของเศรษฐีผู้มั่งคั่ง ลูกสาวทั้งสามของเขาเติบโตขึ้นมาด้วยความรักและเอาใจใส่ แต่เมื่อถึงวันที่เศรษฐีต้องการทดสอบความรักของพวกเธอ

คำตอบที่แตกต่างกลับกลายเป็นชนวนของความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวง เรื่องราวของลูกสาวคนสุดท้องที่ถูกขับไล่ออกจากบ้านเพียงเพราะเปรียบความรักของเธอว่า “เท่ากับเกลือ” ได้เริ่มต้นขึ้น กับนิทานพื้นบ้านอังกฤษเรื่องหญิงสาวหมวกต้นกก

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอังกฤษเรื่องหญิงสาวหมวกต้นกก

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านอังกฤษเรื่องหญิงสาวหมวกต้นกก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีผู้มั่งคั่งอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตกับลูกสาวสามคน วันหนึ่งเขาเกิดอยากรู้ว่าลูกสาวของเขารักเขามากแค่ไหน จึงเรียกลูกสาวทั้งสามคนมาถาม

“ลูก ๆ ของพ่อ เจ้ารักพ่อมากแค่ไหน?” เขาถามด้วยรอยยิ้ม

ลูกสาวคนโตตอบทันทีว่า “ข้ารักท่านเหมือนน้ำผึ้งหวานที่สุดในโลก” คำตอบทำให้เศรษฐียิ้มพึงพอใจ

ลูกสาวคนกลางพูดว่า “ข้ารักท่านเท่ากับทองคำที่ล้ำค่าที่สุดในโลกนี้” เขาหัวเราะเสียงดังด้วยความดีใจ

เมื่อถึงคราวลูกสาวคนสุดท้อง เธอยิ้มแล้วตอบว่า “ข้ารักท่านเท่ากับเกลือค่ะ”

เศรษฐีขมวดคิ้วทันที “เกลือ? เจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับข้าหรือ? เจ้าคิดว่าเกลือมีค่าเท่าข้ารึ?”

“แต่เกลือสำคัญมากนะคะ…” เธอพยายามอธิบาย แต่เขาโกรธเกินกว่าจะฟัง

“ออกไปจากบ้านข้าซะ! ข้าไม่ต้องการลูกที่ไม่เห็นค่าข้า!” เศรษฐีตวาดและไล่เธอออกจากบ้าน

ลูกสาวคนสุดท้องเดินออกจากบ้านด้วยความเสียใจ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมคำตอบของเธอถึงทำให้พ่อโกรธขนาดนั้น

เมื่อเดินทางมาถึงทุ่งที่เต็มไปด้วยต้นกก เธอนั่งลงคิดในใจ “ข้าต้องปกปิดตัวตนของข้า ไม่มีใครรู้ว่าข้าคือใคร”

เธอเก็บต้นกกมาถักเป็นหมวกและเสื้อคลุมเพื่อปิดบังใบหน้าและรูปลักษณ์ที่แท้จริง จากนั้นจึงเดินทางต่อไปจนมาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่

“ข้าขอพบแม่บ้านใหญ่ได้หรือไม่?” เธอถามคนรับใช้หน้าคฤหาสน์

แม่บ้านใหญ่เดินออกมาและมองเธอด้วยความสงสัย “เจ้าคือใคร? ทำไมจึงแต่งตัวเช่นนี้?”

“ข้าคือหญิงสาวหมวกต้นกก ข้ากำลังมองหางานทำ ข้าสามารถทำงานทุกอย่างได้ ขอเพียงที่พักเล็ก ๆ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม

“ได้ หากเจ้าไม่รังเกียจที่จะทำงานครัว เจ้าสามารถเริ่มได้เลย” แม่บ้านตอบ

ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าของคฤหาสน์ได้จัดงานเต้นรำใหญ่โต หญิงสาวหมวกต้นกกแอบมองจากมุมห้อง เห็นแขกทุกคนแต่งตัวงดงาม

“ข้าก็อยากไปงานนี้บ้าง…” เธอคิดในใจ

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอังกฤษเรื่องหญิงสาวหมวกต้นกก 2

ในคืนนั้น เมื่อทุกคนยุ่งอยู่กับงานเต้นรำ เธอแอบเปลี่ยนชุดเป็นเดรสที่งดงาม และซ่อนหมวกต้นกกของเธอไว้ จากนั้นจึงเข้าร่วมงานโดยไม่มีใครจำได้

ที่งานเต้นรำ เธอเต้นรำกับลูกชายของเจ้าของคฤหาสน์ เขาหลงใหลในความงามและความลึกลับของเธอทันที

“เจ้าเป็นใคร? ข้าไม่เคยพบใครที่งดงามเช่นเจ้า” เขาถาม

“ข้าเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา” เธอตอบพร้อมยิ้มบาง ๆ เมื่อถึงเวลาเธอก็รีบหนีออกจากงาน

ลูกชายเจ้าของคฤหาสน์พยายามตามหาหญิงสาวที่เต้นรำกับเขา แต่ไม่พบ หญิงสาวหมวกต้นกกทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คืนต่อมาเธอแอบเข้าร่วมงานเต้นรำอีกครั้ง และหนีไปก่อนที่เขาจะจับได้

ในคืนสุดท้าย ลูกชายเจ้าของคฤหาสน์ตัดสินใจไม่ปล่อยให้เธอหนีไปอีก “ข้ารู้ว่าเจ้าคือหญิงสาวที่ข้าเต้นรำด้วยทุกคืน เจ้าเป็นใครกันแน่?”

เธอตัดสินใจเปิดเผยตัวตน และเล่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับพ่อของเธอและเหตุผลที่เธอต้องปกปิดตัว

“เจ้าไม่ใช่เพียงคนงดงาม แต่ยังกล้าหาญและเข้มแข็ง ข้าต้องการให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป” เขาขอเธอแต่งงาน

งานแต่งงานจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เธอเชิญพ่อของเธอมาโดยไม่บอกว่าตัวเองคือเจ้าสาว

ในงานเลี้ยง เธอสั่งให้เชฟปรุงอาหารโดยไม่ใส่เกลือ

เมื่อพ่อของเธอลิ้มรสอาหาร เขาขมวดคิ้ว “อาหารนี้ช่างจืดชืด ข้าคิดถึงเกลือจริง ๆ”

เธอลุกขึ้นพูด “ตอนนี้ท่านเข้าใจหรือยังว่าเกลือสำคัญเพียงใด? ข้ารักท่านเหมือนเกลือ เพราะเกลือแม้ดูธรรมดา แต่ขาดไม่ได้ในชีวิต”

พ่อของเธอน้ำตาไหลด้วยความสำนึกผิด “พ่อเสียใจที่เคยไล่เจ้าจากบ้าน ข้าผิดเองที่ไม่เข้าใจความหมายของเจ้า” ทั้งสองกอดกันและคืนดีกัน และจบลงด้วยความสุขในท้ายที่สุด

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านอังกฤษเรื่องหญิงสาวหมวกต้นกก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สิ่งที่ดูธรรมดา เช่น เกลือ อาจมีคุณค่ามากกว่าสิ่งที่ดูหรูหราและล้ำค่า เราควรตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งรอบตัว และไม่ตัดสินคนหรือสิ่งใดจากรูปลักษณ์หรือความธรรมดาของมัน

นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่า การให้อภัยและความรักสามารถเยียวยาความผิดพลาดในอดีต และนำความสุขกลับคืนมาสู่ครอบครัวได้เสมอ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านอังกฤษเรื่องหญิงสาวหมวกต้นกก (อังกฤษ: Cap-o’-Rushes) เป็นนิทานพื้นบ้านอังกฤษที่ถูกรวบรวมโดยโจเซฟ จาคอบส์ (Joseph Jacobs) ในหนังสือ English Fairy Tales

จาคอบส์ระบุแหล่งที่มาของเรื่องนี้ว่า “ได้จากบทความของมิสซิสวอลเตอร์-โธมัสใน Suffolk Notes and Queries ของ Ipswich Journal ซึ่งถูกตีพิมพ์โดย มิสเตอร์แลง (Mr. Lang) ในนิตยสาร Longman’s Magazine เล่มที่ 13 และใน Folk-Lore ฉบับเดือนกันยายน 1890″

เรื่องราวโดยสรุปคือชายผู้มั่งคั่งมีลูกสาวสามคนและถามพวกเธอว่า “พวกเจ้ารักพ่อมากเพียงใด”

ลูกสาวคนแรกตอบว่า “เท่าชีวิต” คนที่สองตอบว่า “เท่าโลกทั้งใบ” และคนสุดท้องตอบว่า “เท่าที่เนื้อต้องการเกลือ” ผู้เป็นพ่อเข้าใจผิดและคิดว่าลูกสาวคนสุดท้องไม่ได้รักเขาเลยจึงไล่เธอออกจากบ้าน

เธอทำชุดจากต้นกกคลุมเสื้อผ้าชุดงามของเธอไว้ และหางานในบ้านหลังใหญ่ เป็นคนล้างจาน เนื่องจากเธอไม่บอกชื่อให้ใครรู้ พวกเขาจึงเรียกเธอว่า “หญิงสาวหมวกต้นกก”

คืนหนึ่ง เหล่าคนใช้ไปดูงานเต้นรำหญิงสาวหมวกต้นกกบอกว่าเหนื่อยเกินไป แต่เมื่อพวกเขาไปแล้ว เธอถอดชุดกกและไปงานเต้นรำลูกชายเจ้าของบ้านตกหลุมรักเธอทันที แต่เธอหนีไปก่อนที่เขาจะรู้ว่าเธอเป็นใคร

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีกสองคืน และในคืนที่สาม เขาให้แหวนเธอและบอกว่าเขาจะตายถ้าไม่ได้เธอเมื่อไม่มีงานเต้นรำอีก ลูกชายเจ้าของบ้านล้มป่วย หญิงสาวหมวกต้นกกขอร้องจนได้ทำข้าวต้มให้เขา และเธอแอบใส่แหวนลงไปในข้าวต้ม

เมื่อเขาพบแหวน เขาเรียกตัวหญิงสาวหมวกต้นกกและซักถามจนเธอยอมรับว่าเธอคือหญิงสาวในงานเต้นรำ จากนั้นเธอถอดชุดกกออกและพวกเขาแต่งงานกัน

หญิงสาวหมวกต้นกกขอให้จัดอาหารในงานแต่งโดยไม่ใส่เกลือ อาหารทุกจานจึงจืดสนิท พ่อของเธอที่เป็นแขกในงานร้องไห้ เพราะเข้าใจในที่สุดถึงความหมายของคำว่า “เท่าที่เนื้อต้องการเกลือ”

เมื่อหญิงสาวหมวกต้นกกเปิดเผยว่าเธอคือลูกสาวคนสุดท้องพวกเขาจึงกลับมาคืนดีกัน และทุกคนก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป

“ความรักแท้บางครั้งอาจถูกเข้าใจผิด แต่สุดท้ายจะพิสูจน์ตัวเองได้ด้วยความจริงใจ”